ตอนที่ 26 : คู่รักรอบที่สุดท้าย : คู่กัน
วันปิดเทอมหลังจากสอบไฟนอลเสร็จวนกลับมาถึงแล้ว และการเที่ยวหลังจากปิดเทอมผมเองก็วางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ก็อย่างที่ไอ้ชนินมันเคยชวนไปนั่นแหละ ทะเลไง หลังจากพูดกันวันนั้นมันก็แทบไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก จนผมต้องเป็นฝ่ายถามมันย้ำ ๆ ว่ามันจะไปอยู่ไหม แต่ปรากฎว่าแม่งจองโรงแรมเอาไว้เรียบร้อยแล้วโดยที่ไม่บอกผมสักแอะ
เพราะงั้นวันนี้ผมก็ต้องเดินทางแล้วยังไงล่ะ
“...เดี๋ยวกลับจากทะเลผมค่อยกลับบ้านนะแม่” ผมหนีบเอาโทรศัพท์ไว้ข้างหูในขณะที่พูดกับแม่ตัวเองไปด้วยเก็บของใส่กระเป๋าไปด้วย
“ไปไม่กี่วัน น่าจะสองสามวัน...อืม เดี๋ยวผมกลับแล้วจะโทรหานะ”
ผมรีบวางสายแล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายบ่า เดินไปปิดไฟ ดูอะไรในห้องให้เรียบร้อยก่อนจะเปิดประตูออกมาแล้วเดินตรงเข้าไปในห้องของไอ้ชนินที่มันเองก็ง่วนอยู่กับการเก็บของอยู่
“เก็บของใกล้เสร็จยังสัด”
“เสร็จแล้ว” มันพูดโพล่งขึ้นมา พร้อมกับวางกระเป๋าลงบนพื้น จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา แต่งแต้มอะไรของมันอีกเป็นพรืด จนผมอดไม่ได้ที่จะบ่น
“อีกหนึ่งชั่วโมงรถออก มึงยังชิวอยู่ได้”
“ก็ปกติ แต่ถ้านั่งเครื่องบินน่าจะสบายกว่าไม่ใช่เหรอ” มันเดินออกมาหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาสะพายบ้าง
“กูไม่สะดวกทางการเงิน เก็บไว้ซื้ออย่างอื่นไหมล่ะ”
ไอ้เรื่องการจองรถไปทะเล ผมเป็นคนจองเอง โดยกะเอาไว้คือขึ้นรถช่วงเย็น พอไปถึงที่นู่นก็จะเช้าพอดี จะได้เดินทางมีรถอะไรสะดวกแถมยังประหยัดเงินด้วย แต่ไอ้ชนินก็ร้องจะเอาเครื่องบินอยู่ดีข้ออ้างก็คืออยากให้ผมนั่งสบาย ตีนสิ ช่วงไฮท์ซีซั่นค่าตั๋วเครื่องบินแถวนี้เป็นหมื่น ถูกสุดก็สามพัน
“บอกแล้วว่าเดี๋ยวจ่ายเอง”
“ไม่ต้องเลย กูให้มึงจ่ายมีหวังเสียเป็นหมื่น”
“เพื่อความสะดวก อะไรก็ได้ทั้งนั้น”
“ปากมาก ตกลงมึงจะไปไหม”
ผมพูดเสียงเข้ม มันเบะปากเล็กน้อยก่อนจะเดินนำผมลงไปจากหอ แต่ยังมิวายบ่นเสียงอ่อยมาแต่ไกลไม่เบาและดังพอที่จะให้ผมได้ยิน
“ไม่อ่อนโยนเลย”
กูเคยอ่อนโยนกับมึงหรือไงล่ะ ทำมาเป็นบ่น
...
ใช้เวลาเกือบสามสิบนาทีก็ขับมาถึงสถานีขนส่งในตัวเมือง วันนี้เราขับรถของใครของมันมาเพราะว่าติดกระเป๋าของตัวเอง และผมก็วางแผนเอาไว้แล้วว่าหลังจากที่กลับมาจากทะเลก็กะว่าจะขับกลับบ้านเลย ไอ้ชนินก็ไม่ได้คัดค้านเท่าไหร่ แต่ก็บ่นอิดออดอยู่เล็กน้อยว่าทำไมถึงรีบกลับบ้าน น่าจะอยู่ด้วยกันอีกหน่อย
“เอาของมาครบนะ” ไอ้ชนินหันมาถามผมในขณะที่กำลังเดินเข้าไปในสถานี
“กูว่ากูลืม” ผมยกกระเป๋าขึ้นมาควานหาของบางอย่าง และคาดว่าน่าจะลืมไว้ที่ห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ลืม?”
“แปรงสีฟัน”
“เดี๋ยวซื้อที่นู่นก็ได้...ไม่งั้นก็ใช้ด้วยกัน โรแมนติกดี” ไอ้ชนินยิ้มหวาน ความคิดแต่ละอย่างของมันที่จัญไรจริง ๆ
“พ่อสิ”
ผมด่ามันเข้าให้ รีบสาวเท้าเดินนำไปนั่งรออยู่ด้านหน้ารถเพื่อรอขึ้น ไอ้ชนินเองก็เดินตามมาติด ๆ พร้อมกับนั่งลงอยู่ข้าง ๆ มันหันมองไปเรื่อยเหมือนคนไม่เคยมา
“นี่กูลืมหูฟังด้วยเหรอเนี่ย...” ผมบ่นออกมาเพราะเมื่อกี้เปิดกระเป๋าแล้วไม่เห็นหูฟังตัวโปรดของตัวเองที่ผมชอบเอาออกมาใช้เวลาเดินทางไปไหนไกล ๆ
“แฟน กินอะไรไหม”
ไอ้ชนินสะกิดเข้าที่ช่วงไหล่ผม มันพยักพเยิดหน้าไปทางร้านค้าที่เปิดอยู่ไม่ไกล ผมเหลือบตามองมันเล็กน้อย ช่วงนี้พออยู่ด้วยกันนาน ๆ บางทีมันก็จะเรียกแบบนี้แทนชื่อผม หรือบางทีก็สะกิดเอา ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกันว่ามันถึงไม่ยอมเรียกชื่อผมตรง ๆ สักที
“ของเบา ๆ พอ น้ำไม่ต้อง มีแจกบนรถ”
“...” ไอ้ชนินยิ้มจากนั้นมันก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปที่ร้าน ผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรนักถึงได้หันมานั่งมองที่รถเพื่อรอดูเขาประกาศว่าจะให้ขึ้นไปนั่งได้เมื่อไหร่
นั่งไปได้สักพักไอ้ชนินก็เดินกลับมานั่งลงอยู่ที่เก้าอี้ ผมเหลือบสายตามองมือของมันที่เหมือนจะไม่ได้ซื้ออะไรออกมาจากร้านค้าเลย
“มึงซื้ออะไรมา” ผมขมวดคิ้ว มึงกินอากาศต่างขนมหรือไง
“หูฟัง...ทนใช้ไปก่อนนะ” มันยัดหูฟังที่เพิ่งซื้อมาใส่กระเป๋าเสื้อให้
“อันนี้เรียกว่าของกินมึงเหรอ”
“เรียกว่าของเบส ซื้อให้เบสใช้”
ทีเรื่องที่ไม่ได้ขอนี่ชอบทำจังเลยไอ้สัด
“เขาเรียกขึ้นรถแล้ว”
ผมไม่ได้อยากบ่นอะไรมันมากนักเพราะมันพอดีกับที่ทางรถเรียกให้ขึ้นไปนั่ง เลยต้องยกกระเป๋าไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อฝากเอาไว้ ก่อนจะเดินขึ้นไปบนรถ หาที่นั่งของตัวเองแล้วนั่งลง ไอ้ชนินเป็นฝ่ายนั่งติดกับกระจกรถ ส่วนผมกลัวว่าจะได้ลุกขึ้นไปฉี่บ่อย ๆ เลยขอเป็นคนนั่งอยู่ด้านนอกเอง
แล้วยิ่งแอร์ที่ทางรถเปิดมาขนาดนี้ผมคงได้น้ำหมดตัว ฉิบหาย กูนึกว่าอยู่ขั้วโลกเหนือ
“แอร์หนาวสัด กูไม่ชักตายบนรถเหรอ” ถึงขนาดที่ว่าห่มผ้าที่เขาแจกให้บนรถมาคลุมทั้งตัวแล้วแต่ก็ยังหนาวอยู่
“เอาเพิ่มไหม”
“มึงไม่ห่มหรือไง”
“ก็เย็นสบายดี” ไอ้ชนินดึงผ้าห่มของตัวเองขึ้นคลุมตัวผมอีกชั้นหนึ่ง มันยิ้มให้ผมเหมือนกำลังบอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไร
“เอาเสื้อกันหนาวด้วยไหม”
“เสื้อกูอยู่ในกระเป๋า”
“ถ้ากอดได้ก็คงกอดไปแล้ว”
“ตีนสิ”
ผมกลอกตามองบนอย่างระอา พอยอมให้นิด ๆ หน่อย ๆ ไอ้ชนินเป็นต้องทำอย่างกับตัวเองได้ใจตลอดจนผมหมั่นไส้ โดยเฉพาะหาเรื่องกอดเรื่องจับมือนี่ชำนาญนัก
“ยุกยิกอะไรของมึง” แต่พอนั่งไปได้สักพัก ผมที่กำลังเคลิ้มหลับเป็นต้องลืมตาขึ้นถามคนข้าง ๆ ที่ยุกยิกอยู่ใต้ผ้าห่มผม
“ขอจับมือหน่อย คิดถึง” ไอ้ชนินกระซิบถามเพราะช่วงกลางคืนนี้คนบนรถส่วนใหญ่ก็พากันนอนเกือบหมดแล้ว ทางรถเองก็เหลือแสงไว้สลัว ๆ ให้ได้นอนกันสบาย ๆ ไปแล้วด้วย
“คิดถึงเหี้ยอะไร นั่งอยู่ด้วยกัน”
“น่า” มันเอามือยุกยิกเข้ามาในใต้ผ้าห่มอีกรอบ
ผมถอนหายใจออกมาเสียงหนัก ขยับมือตัวเองไปกอบกุมมือของมันเอาไว้ในใต้ผ้าห่ม ก่อนจะเอนตัวนอนหลับเหมือนเดิม
“พอใจมึงแล้วนะ ทีนี้ก็นอนได้แล้ว”
“ครับ” ไอ้ชนินส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะเอนตัวนอนลงบ้างแล้วหลับไปทั้งที่มือของมันก็จับมือของผมเอาไว้อยู่อย่างนั้น
...
“...จะถึงแล้ว”
ผมสะดุ้งลืมตาขึ้นมาในขณะที่ไอ้ชนินโยกตัวผมเพื่อปลุกเบา ๆ พอลืมตามาได้ผมก็กวาดตามองภายในรถบัสที่คนนั่งอยู่น้อยลงไปทุกที นี่ผมหลับยาวไปกี่ชั่วโมงวะ อย่าบอกว่าเช้าแล้ว
“ขออนุญาตเก็บผ้าห่มนะคะ” เสียงของพนักงานบนรถเอ่ยขึ้นมา ทำให้ผมขยับตัวขึ้นนั่งปกติแล้วดึงผ้าห่มไปให้ ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากหาว ไอ้ชนินเองก็ยื่นมือไปเลื่อนผ้าม่านออก แสงจากดวงอาทิตย์สว่างจ้าจนผมแสบตาเล็กน้อย
“ผ้าเย็น”
“ขอบใจ” ผมรับมาจากมือไอ้ชนินแล้วเช็ดหน้าของตัวเองเบา ๆ
จากนั้นรถก็ขับมาจอดเทียบท่าสถานีที่เป็นจุดหมายปลายทางของผม ผมเดินลงมาจากรถแล้วเดินไปเอากระเป๋าของตัวเองออกมายืนรอไอ้ชนินที่ลงมาจากรถแบบรั้งท้าย
“เราต้องนั่งไปไหนต่อ” ไอ้ชนินถามขึ้นมาหลังจากที่เดินมาหาผมเรียบร้อยแล้ว
“แล้วมึงจองโรงแรมไว้ที่ไหน”
“ใกล้ ๆ ทะเล”
“...” ผมหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดดูว่าไอ้ชนินจองโรงแรมไว้ตรงไหน ดูเหมือนว่าไม่ได้ไกลไปจากสถานีเท่าไหร่ แถมยังใกล้ทะเลด้วย เลือกได้ดีนี่หว่า
“นั่งแท็กซี่ไปแล้วกัน แต่ก่อนหน้านั้นกูขอแวะซื้อแปรงสีฟันก่อนแล้วกัน”
ผมหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาสะพายแล้วเดินนำมันไป ไอ้ชนินเองก็เดินตามผมมาติด ๆ “รู้ทางแบบนี้แปลว่าเคยมา”
“กูไม่ได้มากับผู้หญิงก็แล้วกัน”
“ยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ร้อนตัวจัง”
สัด กูแค่บอกเพราะไม่อยากให้มึงคิดไปไกลไหมล่ะไอ้ฉิบหาย
ผมไม่ได้พูดประโยคในใจออกไป นอกจากรีบก้าวเท้าเดินเร็ว ๆ แล้วให้มันวิ่งตามก็แค่นั้น
หลังจากที่ขึ้นรถแท็กซี่เพื่อต่อมาที่โรงแรมแล้ว พวกผมก็รีบเข้าไปเช็คอินที่โรงแรม ส่วนค่าจ่ายแท็กซี่ก็ไม่ได้แพงมากเท่าไหร่ อย่างน้อยก็ยังกดมิเตอร์ ถ้าไม่กดแล้วมาโกงล่ะก็ ผมบอกเลยว่าผมได้ออกข่าวหน้าหนึ่งแน่ ๆ
“เลือกห้องได้ดี” ผมพูดขึ้นมาในขณะที่เดินมาวางกระเป๋าลงบนเตียง ก่อนจะหันหน้าไปมองหน้าต่างที่พอมองลงไปแล้วจะเห็นทะเลพร้อมกับหาดทรายพอดี ราคาห้องประมาณนี้น่าจะแพงอยู่แต่ก่อนหน้าผมเองก็ขอดูค่าห้องแล้วก็แค่พันกว่าเอง แต่ก็ติดอยู่อย่างที่มันเป็นห้องเตียงเดี่ยวนอนด้วยกันนี่แหละ
“ได้มาตอนราคาอยู่ในช่วงโปรโมชั่นพอดี”
ไอ้ชนินล้มตัวลงนอนบนเตียง ผมไม่รู้ว่าเมื่อคืนมันได้นอนหรือเปล่า เพราะหน้าตามันก็หน้าแป๊ะยิ้มเหมือนเดิมไม่ได้อิดโรยอะไร
“อืม”
“จะนอนก่อนไหม หรือจะไปหาไรกินก่อน”
“มึงหิวไหมล่ะ” ผมเท้าสะเอวข้างหนึ่งยืนถามมันอยู่ตรงหน้า ไอ้ชนินเท้าหน้ามาคุยกับผม
“หิว”
“ก็ไปหาของกิน”
“แต่ได้ยินมาแว่ว ๆ จากคนที่เดินผ่านเมื่อกี้ว่าวันนี้มีถนนคนเดินนะ”
“มึงจะไปเหรอ”
“ไปไหมล่ะ”
“กูยังไงก็ได้”
“งั้นไป”
“งั้นกูนอน” ผมพูดเสร็จก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มตัวเองเสร็จสรรพ เพราะยังไงวันนี้ก็คงไม่ได้ออกไปเพราะเพิ่งจะลงจากรถ ถึงจะนอนไปแล้ว แต่การที่เอาแต่อยู่บนรถเกือบสิบสองชั่วโมงมันก็มีเมื่อยกันบ้าง
“ตั้งนาฬิกาปลุกไว้นะ”
เสียงของไอ้ชนินดังอยู่ทางข้างหลัง เสียงเหมือนคนวางโทรศัพท์ไว้ข้างเตียงเองก็ดังขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่แขนของมันจะรวบเข้าที่ช่วงเอวของผม...
“มึงเอาอีกแล้วเหรอ” ผมยกคอเอี้ยวหน้าหันไปถามมัน
“กอดกันอุ่นจะตาย”
ไอ้ชนินซบหน้าเข้าที่ช่วงหลังของผม ผมเพิ่งจับสังเกตได้อีกอย่างว่าเวลาที่มันมานอนกับผม มันชอบกอดแล้วชอบเอาหน้าซบเข้าที่หลังผมประจำเหมือนคนเวลากอดหมอนข้างนอนอะไรแบบนั้น
“แล้วมึงจะหัวเราะทำเหี้ยอะไรข้างหูกู” มันคันนะไอ้สัด
“คนมีความสุขต้องให้ร้องไห้เหรอ”
“ปากดี”
“นอนสิ ถ้าไม่นอนจะทำอย่างอื่นนะ”
“กลัวตายล่ะสัด เดี๋ยวได้มีคนร้องไห้แทนกูน่ะสิไม่ว่า”
ไอ้ชนินหัวเราะติดตลกจนผมเผลอหัวเราะตาม ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายหลับไปก่อนโดยที่ไม่รู้ว่าไอ้ชนินมันจะหลับไปตอนไหน
...
ผมงัวเงียลืมตาขึ้นมาภายในห้องของโรงแรมที่มีแสงไฟส่องสว่างออกมาจากทางหน้าต่างโดยมีผ้าม่านกั้นไว้เพราะก่อนหน้านั้นผมเป็นคนดึงผ้าม่านลงเลยทำให้แสงจากข้างนอกไม่ได้เข้ามาเท่าไหร่
“กี่โมงแล้ว...” ผมพูดกับตัวเองเบา ๆ ลุกขึ้นนั่งก่อนจะหันหน้าไปมองไอ้ชนินที่นอนหันไปอีกทาง มันยังไม่ตื่น เพราะงั้นผมเลยลุกเดินมาดูเวลาในโทรศัพท์ที่ตอนนี้เกือบจะห้าโมงแล้ว หลับเป็นตายฉิบหาย
ไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยมาปลุกไอ้ชนินน่าจะดีที่สุด
พอคิดได้แบบนั้นผมก็เดินไปหยิบผ้าขนหนูก่อนจะเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ ทำตัวเองให้สะอาดที่สุดก่อนจะเดินออกมา
“ชนิน ตื่นได้แล้ว” ผมพูดเสียงดังในขณะที่ใส่เสื้ออยู่
ผมยืนดูมันอยู่สักพักว่ามันจะตื่นขึ้นมาไหม จากที่มันนอนนิ่ง ๆ อยู่ มือข้างหนึ่งของมันก็ควานหาคว้าเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดดูเวลาจากหัวเตียง
“อืม...ห้าโมงแล้วเหรอ” เสียงไอ้ชนินเปล่งออกมาด้วยความแหบแห้ง โชคยังดีที่มันเป็นคนตื่นง่าย ผมเลยไม่ต้องเสียเวลาปลุกหลายรอบ นอกจากซะว่ามันจะกวนตีนผมหลังจากตื่นนอนแล้วนะ อันนั้นจะยันไข่ให้
“เออ ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว”
“ครับท่านประธาน...” เสียงไอ้ชนินขาดห้วงไปเหมือนคนหลับต่อ
ไอ้นี่...
“นี่มึงหลับต่อเหรอ ชนิน...”
“...”
“ถ้าไม่ลุกกูจะถีบมึงแล้วนะ” ผมเดินอ้อมไปยืนอยู่ข้างเตียง กะว่าถ้ารออีกห้านาทีแล้วมันไม่ลุกผมจะเป็นคนถีบมันตกเตียงเอง
จุ๊บ!
แต่ไอ้ชนินก็ลุกพรวดขึ้นมาดึงตัวผมไปจูบเข้าที่ปากแรง ๆ หนึ่งทีแล้วลุกเดินไปหยิบเอาผ้าขนหนูเดินเข้าไปในห้องน้ำหน้าตาเฉย ไอ้สัด หลอกจูบกูอีกแล้ว
“ชนิน ตลาดที่มึงว่ามันตั้งอยู่ไหน”
หลังจากที่มันอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็เอ่ยถามมัน ไอ้ชนินหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดดูอะไรสักอย่างถึงได้ค่อยตอบกลับมา
“เดี๋ยวนะ...มันตั้งอยู่ใกล้ ๆ โรงแรม”
“อืม งั้นก็เดินไป”
ผมพยักหน้ารับ เดินออกมาข้างนอกห้องปล่อยให้ไอ้ชนินมันเป็นคนปิดห้องแทนเพราะมันออกมาเป็นคนสุดท้าย จากนั้นเราถึงออกมาจากตัวโรงแรม เดินไปตามทางถนนที่มีคนกำลังเดินไปมาพลุกพล่าน ยิ่งใกล้ถนนคนเดินมากเท่าไหร่คนก็ยิ่งเยอะ
“บรรยากาศดีนะ คิดว่างั้นไหม” ไอ้ชนินเอ่ยถามขึ้นมาในขณะที่เราสองคนกำลังเดินอยู่ในถนนคนเดิน
“เออ ลมเย็นดี”
เป็นอย่างที่ไอ้ชนินว่าเพราะถนนคนเดินมันใกล้กับทะเล เลยมีลมเย็น ๆ จากฝั่งทะเลลอยมาพอให้บรรยากาศมันน่าเดินสักหน่อย ยิ่งคนเยอะ ๆ แบบนี้มันก็ยิ่งช่วยอยู่พอสมควร
ถนนคนเดินที่นี่ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับแถวมหาลัยกับแถวบ้านผมหรอก แค่มันต่างจังหวัดเฉย ๆ แต่ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่ากูมาเที่ยวอะไรไกลตัวบ้านตัวเองขนาดนี้
“กินน้ำไหม น่าอร่อย”
ผมหันไปมองหน้าไอ้ชนินที่มันยืนยิ้มอยู่หน้าร้านน้ำ ความอยากกินอยากลองของมันแสดงออกมาให้เห็นอยู่พอสมควร แต่มันเป็นคนที่ชอบถามความเห็นผมก่อนที่จะซื้ออยู่เสมอ ให้อารมณ์ประมาณว่าผมต้องได้กินด้วย ไม่งั้นมันไม่กิน
“ซื้อสิ”
“ไม่กินเหรอ”
“กินกับมึงนั่นแหละ”
ไอ้ชนินยิ้มน้อย ก่อนจะหันกลับไปซื้อน้ำมาแก้วหนึ่ง มันยื่นมาให้ผมดูดเป็นคนแรก เลยดูดให้มันไปอึกหนึ่ง รสชาติปะแล่มใช้ได้แต่ไอ้ชนินมันคงชอบของมันแบบนี้นั่นแหละ ผมไม่ว่าหรอก
“ดูอะไร” แต่พอเดินไปได้สักพักไอ้ชนินก็หยุดอยู่กับที่อีก ผมเลยต้องหันไปถามมันอีกรอบ แต่คราวนี้ตาแม่งเป็นประกายหนักกว่าเก่าอีก เพราะตรงหน้าของมันเป็นต่างหูสีเงินสไตล์ของผู้ชายที่ผมเองก็ชอบซื้อ
“ต่างหู”
“จะซื้ออีกเหรอ...เออ กูจะถามอยู่เหมือนกันว่าทำไมมึงใส่แค่ข้างเดียววะ จิวหูมึงเนี่ย” ผมว่าพลางมองไปทางต่างหูรูปกางเขนสีดำอันเล็ก ๆ ของมันที่มันชอบใส่อยู่เป็นประจำ แล้วแค่ข้างเดียวด้วย ไม่รู้แม่งเท่ตรงไหน
“อีกข้างมันตันไปนานแล้ว...”
“กูก็นึกว่าเป็นเทรนด์ ไม่ไปเจาะซ้ำล่ะ”
“ตันเหมือนเดิม...เท่ไหม” มันหยิบเอาจิวหูรูปแม่กุญแจเล็ก ๆ ขึ้นโชว์ผม ไอ้ห่ารสนิยมแต่ละอย่าง
“ไม่ อันนี้ดีกว่า”
ผมหยิบเอาจิวหูแบบห่วงสีดำขึ้นมาให้มันดู มันรับไปแล้วยื่นให้เจ้าของร้านทันทีพร้อมกับควักเงินออกมาแบบไม่รีรออะไรทั้งนั้น
“เอาอันนี้ครับ”
หลังจากจ่ายเงินเสร็จมันก็ถอดไอ้ที่มันใส่เอาไว้อยู่ออกมาแล้วเอาอันที่เพิ่งซื้อมาใส่เข้าไปแทน แต่ก็ใส่ได้แค่ข้างเดียวเพราะอีกข้างมันตันอย่างที่มันพูด
“แล้วมึงก็ใส่แค่ข้างเดียวอะนะ”
“อืม ส่วนอีกข้างก็...” ไอ้ชนินยื่นมือมาจับเข้าที่หูผมข้างหนึ่งจนผมสะดุ้งเอียงหัวหนีมัน แล้วจับมือมันเอาไว้
“ทำอะไร”
“ถอดออกหน่อย”
ถอด?
“มึงจะให้กูใส่...ลงทุนนะ” ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมถอดต่างหูของตัวเองออกมาข้างหนึ่งแล้วหยิบอีกข้างของมันมาเปลี่ยนใส่ ขัด ๆ หน่อยเพราะมันเพิ่งซื้อมา
“เหมาะเลย”
“เขาจะหาว่ากูบ้าน่ะสิ ใส่ต่างหูคนละอย่าง”
“ไม่บ้าหรอก”
ไอ้ชนินยิ้มรับ ยกมือขึ้นคลึงหูของผมเบา ๆ จากนั้นมันก็เอ่ยเสียงกระซิบ สบตากับผมด้วยแววตาที่อ่อนโยน “อย่างน้อยก็คู่กัน”
“เออ”
พอเห็นมันยิ้มแบบนั้นแล้ว...เอาเหอะ ให้มันสักวันแล้วกัน
...
ผมกับไอ้ชนินกลับมาจากถนนคนเดินเกือบสี่ทุ่มกว่า เรานั่งกินคุยกันอยู่ภายในห้องสักพักก็พากันเข้านอนเพราะไม่ได้คิดจะออกไปเที่ยวกลางคืนที่ไหนอีก มันเป็นที่ต่างถิ่นแล้วเรากันแค่สองคนผมเลยไม่อยากเสี่ยงเท่าไหร่ และพอตื่นเช้าขึ้นมาเกือบหกโมงหลังจากที่ลงมากินข้าวที่โรงแรมแล้ว...
“เราไปทะเลกันเลยไหม”
ผมเงยหน้าจากถ้วยข้าวต้มของตัวเองเพื่อมองไอ้ชนินที่มันกำลังทำตายิ้มแพรวพราวในเวลาเจ็ดโมงเช้า
“เล่นน้ำเวลานี้เนี่ยนะ?” ผมถามออกไป ถ้ามันคิดจะไปเล่นจริง ๆ ก็ปล่อยให้มันไปเถอะ
“ไปเดินเล่นกันเฉย ๆ”
“อะไรเข้าสิงมึงอีกล่ะ”
“ตกลงไปไหม”
“ลุกสิ”
พอผมพูดจบ ไอ้ชนินก็ลุกพรวดเดินออกไปจากโรงแรม ผมเลยลุกตามมันไป ไอ้ชนินเดินเลี้ยวไปทางหนึ่งที่ทางโรงแรมทำทางเอาไว้เพื่อสามารถลงไปเล่นน้ำทะเลได้ง่าย
“ระวังเดินเหยียบเปลือกหอย”
ไอ้ชนินหันมาบอกผมในขณะที่ผมกำลังเดินลงบันไดเหยียบเข้าพื้นทราย ผมก้มลงไปหยิบเปลือกหอยขึ้นมาที่มันแหลมโผล่น่ากลัว ถ้าเมื่อกี้ไอ้ชนินไม่เตือนผมว่าแทนที่จะได้เดินเล่นเดี๋ยวได้ไปนอนโรงพยาบาลแทน
“แหลมใช้ได้ อาวุธอย่างดีเลยสัด”
“ถึงได้บอกว่าให้ระวัง”
มันหัวเราะ ขยับตัวเดินไปเรื่อย ๆ สายตามองไปยังฝั่งทะเล สายลมจากทะเลปะทะเข้าที่ตัวผมจนต้องยกมือขึ้นเสยผมที่ปรกหน้าตัวเองไว้ตลอด ผมหยุดยืนมองภาพทะเลตรงหน้าที่นาน ๆ ทีจะเห็นถ้าไม่ได้วางแผนจะมาเที่ยวแบบนี้
“หยิบไม้ให้หน่อย” เสียงของไอ้ชนินดังอยู่ใกล้ ๆ ผมเลยหันไปมองเห็นมันกำลังนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้นทราย เหมือนรอไม้จากผม
“เอาไปทำอะไร”
“น่า”
ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรของมัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ก้มตัวลงหยิบไม้แท่งยาวส่งไปให้มัน มันรับไปขีดเขียนอะไรอยู่บนพื้นทรายสักอย่าง รออยู่สักพักมันก็ลุกขึ้นยืนมองดูผลงานของตัวเอง...ชื่อเฟสบุคของตัวเองเนี่ยนะ
“อย่างกับเด็ก”
“เปลี่ยนปกหน้าโปรไฟล์” ไอ้ชนินหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูปไปสามครั้งเพื่อกันภาพเสีย ก่อนจะเปิดดู
“มึงคิดอะไรแบบนี้ได้ด้วยเหรอ”
“ไม่เคยทำเหรอ”
“เออ กูเคยทำ”
ไอ้ชนินหัวเราะทันทีที่ผมยอมรับสารภาพว่าสมัยก่อนผมเองก็เคยทำ จากนั้นมันก็หันไปถ่ายรูปของตัวเองโดยที่พื้นหลังเป็นภาพทะเล ผมยืนมือล้วงกระเป๋ากางเกงของตัวเองทั้งสองข้างมองภาพตรงหน้าที่มีผู้ชายคนหนึ่งรูปร่างเท่า ๆ กับผม แต่นิสัยต่างกันราวกับฟ้ากับเหว มันที่แต่ก่อนผมทั้งเกลียดขี้หน้าทั้งไม่อยากเสวนาด้วย ซ้ำยังเคยต่อยมันหน้าแหกไปครั้งหนึ่ง แต่มาถึงวันนี้ ทุกอย่างที่ผมคิดเอาไว้กลับตาลปัตรไปหมด
ไม่เคยคิดจะถามว่ามันรักผมเพราะอะไร ไม่เคยถามถึงเหตุผลของตัวเองว่ารักมันเพราะอะไรด้วย เพราะการมีอยู่ของมันตอนนี้...มันก็ไม่เลวเลย
ไม่ได้หวังว่ามันจะอยู่กับผมตลอดไป แต่ถ้าให้อยู่แบบนี้ไปกับมัน...
ผมก็ยินดี
“...เห็นแก่ตัวจังสัด” ผมว่ามันออกมาเสียงราบเรียบ ไอ้ชนินหันมามองผมด้วยความสงสัย
“หมายถึงอะไร”
“ไหนบอกว่าภาพที่ดีต้องมีดีที่สุดไม่ใช่หรือไง”
“...”
มันเอียงคอสงสัยในคำพูดของผมอย่างกับคนติดสตั๊น จากนั้นผ่านไปถึงนาทีมันก็เพิ่งนึกออกก่อนจะยิ้มกว้างออกมาแล้วขยับตัวเข้ามาชิดผม
“นั่นสิ”
“นอกจากมีดีที่สุดแล้วก็ต้องมีก่อสร้างด้วย”
โทรศัพท์ของไอ้ชนินถูกยกขึ้นสูงตรงหน้าผม ตัวหน้าจอปรากฏใบหน้าของผมและใบหน้าของมันที่อยู่ใกล้กันและในเฟรมเดียวกัน จากนั้นมันก็บอกให้ผมยิ้มและกดชัตเตอร์ไปหนึ่งครั้ง มันเปิดรูปที่ถ่ายไปเมื่อครู่ดูแล้วถึงทำอะไรสักอย่างกับมันในช่วงเวลาไม่กี่นาที ผมชะโงกหน้าไปดูว่ามันทำอะไรอยู่ก็ถึงกับบางอ้อ
“...กูว่าภาพนี้เมสเซนเจอร์มึงค้างแน่นอน” ผมเอ็ดมัน
“ก็แค่ไม่อ่านก็พอ”
“ให้มันจริงเถอะ”
ไอ้ชนินหัวเราะ เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า จากนั้นก็ยกมือคว้าคอของผมไปกอดแล้วพาผมเดินต่อไปตามทางที่มีผืนทรายและผืนทะเลที่กำลังซัดสาดขึ้นมาเป็นภาพประกอบ
“ตอนเที่ยงลงมาเล่นกันไหม”
“มึงเล่นแล้วกูจะนั่งรออยู่แถวนี้”
“แผนสูง จะแอบมองสาวล่ะสิ”
“ตากู กูจะมองใครก็ได้”
“โหดจังครับ...”
และในระหว่างที่เดินผมกับมันเองก็พูดกันไปเรื่อยเปื่อย มีเสียงหัวเราะปะปนอยู่ในบทสนทนานั้นที่ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องไร้สาระอยู่ก็ตาม แต่อย่างน้อยในความสุขเล็ก ๆ นั้นก็ทำให้เผลออมยิ้มออกมาในตอนที่นึกถึงประโยคหนึ่งที่ไอ้ชนินโพสต์ไปพร้อมกับรูปภาพที่เราถ่ายเอาไว้ล่าสุดที่เข้ากับพวกผมในตอนนี้มากที่สุด...
‘คู่กัด คู่รัก คู่กัน’
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สลับกันรุกและรับแน่นอน อิอิ
เป็นอีกเรื่องที่ดีเลย เดาโพไม่ได้ตั้งแต่รูป
เนื้อเรื่อง จนถึงจบ มีอะไรให้ลุ้นดีค่ะ55555
ง่า~ ชอบนิยายเรื่องนี้มาก ขอบคุณไรท์ที่เเต่งนิยายดีๆเเบบนี้มาให้อ่านนะคะ เเละจะติดตามผลงานของไรท์ไปตลอดหวังว่าไรท์จะเเต่งเรื่องดีๆเเบบนี้ให้อ่านอีกนะค้าาาา // คริ คริ ??????’?????????????
อยากให้มี.เบส.ชนิน ภาค2
รักตัวละครคุ่นี้มากมาย????????????