ตอนที่ 25 : คู่รักรอบที่ยี่สิบสี่ : ดีที่สุด
สุดท้ายผมก็ต้องบอกไอ้ลมไปจนได้ เพราะยังไงมันก็ต้องรู้เรื่องนี้สักวันอยู่ดี แถมถ้าผมปิดเอาไว้คนที่จะน้อยใจก็มีอยู่แค่คนเดียวนั่นแหละ...ก็ไอ้ชนินนั่นไง
ส่วนไอ้ลมมันก็ทำท่าตกใจไปตามเสต็ปในช่วงที่ผมบอกมัน คงไม่ได้คิดเอาไว้ว่าคนอย่างผมจะไปคบกับไอ้ชนินได้ลงคอล่ะสิ แต่การบอกมันไปก็ดีอยู่อย่าง เพราะหลังจากนั้นมันก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ปล่อยให้ผมได้ทำงานส่งอาจารย์ด้วยความสงบสุขอย่างในวันนี้
“เฮ้ย พวกมึง”
ผมเงยหน้าจากการก้มลงเขียนงานของตัวเองเพื่อมองคนที่กำลังเดินมาเยือนอย่างไอ้กานพร้อมกับไอ้เจีย วันนี้ผมกะว่าจะทำงานส่งให้เสร็จที่โต๊ะหินอ่อนก่อนจะกลับเข้าหอ
“ไง กูเกือบจะจำหน้ามึงไม่ได้แล้วนะเจีย” ไอ้เจียวันนี้หน้าตาสดใสขึ้นมาอยู่หน่อยนึง หน้ามันดูดีขึ้นหรือเปล่า หรือผมคิดไปเอง
“ไม่เจอกันนานขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ทำนองนั้น”
“วันนี้คิดไงถึงมาหาล่ะ” ผมถามไม่ได้หวังให้เจียเล่าว่าที่ผ่านมามันไปทำอะไร เพราะงั้นไอ้กานเลยเป็นฝ่ายตอบแทน
ไอ้กานเหล่ตามองเพื่อนตัวเองเล็กน้อย “ก็ไม่เชิงว่ามาหาหรอก แต่คืนนี้ที่มหาลัยเรามีจัดงานลอยกระทง มีประกวดนางนพมาศมหาลัยด้วย ฝ้ายลงเป็นตัวแทนคณะ กูเลยชวนมันไปเชียร์”
“ถึงวันลอยกระทงแล้วเหรอ” ผมเลิกคิ้วถามเพราะจำไม่ได้ว่าจะถึงวันลอยกระทงตั้งแต่เมื่อไหร่
“มึงไม่รู้เหรอ”
“ไม่ได้จำ”
“เวรแท้ ๆ” ไอ้กานยกมือขึ้นยีหัวตัวเอง ทำหน้ารู้สึกระอาเล็กน้อย
“ลองไปดูได้นะ ฝ้ายบอกกูว่ามีประกวดขบวนกระทงด้วย ของกินก็เยอะ แต่ติดตรงลอยกระทงกับลอยโคมไม่ได้เฉย ๆ”
“ไปหาแค่ของแดกกินว่างั้นเถอะ”
“ใช่” มันขานรับพร้อมกับนั่งลงตรงหน้าผม ทำหน้ากวนส้นตีนใส่พอ ๆ กับคำพูดของตัวมันเอง
“ชวนแฟนมึงไปก็ได้นะ”
ผมสลับสายตามองไปทางไอ้กานกับพวกที่เหลือที่ต่างทำหน้าทำตาล้อเลียนไม่ต่างกัน เพราะแบบนี้ไงกูถึงไม่อยากบอกพวกมึงน่ะ
“เลิกล้อกูได้ละ เดี๋ยวพวกมึงได้ปากแตกแดกน้ำเกลือต่างข้าวหรอก” ว่าไม่พอผมยังช้อนสายตามองมันเชิงบังคับให้หยุดพูดถึงด้วย
“แหม ทีเรื่องตัวเองที่ปิดซะมิดเลยนะ เรื่องกูนี่แซะเอา ๆ” ไอ้ลมว่าขึ้นมาอย่างลอย ๆ พร้อมกับเบะปาก ผมเลยส่งเสียงในลำคอ
“แฟนกู กูจะเอาใครก็ได้”
“จะบอกว่า เอาคู่กัดตัวเองก็ไม่ผิดช้ะ?”
ไอ้ลมยิ้ม ยิ้มแบบกวนส้นตีนเหี้ย ๆ
“ยิ้มทำเหี้ยอะไร งานมึงเสร็จแล้วเหรอ”
“ทำเป็นเขินกลบเกลื่อนนน” มันลากเสียงยาว ทำหน้าทำตาใส่
“เดี๋ยวกูฟ้องพี่มังกรเลยไอ้สัด”
ผมยกมือตบหัวมันเบา ๆ ไปหนึ่งที ก่อนที่มันจะยอมจับปากกาแล้วเขียนงานต่อ ส่วนผมเองก็นั่งทำงานในส่วนของตัวเอง แต่ในหัว...ก็นึกถึงใครบางคนไปด้วย
...
หลังจากที่ส่งงานเสร็จ ผมก็บึ่งรถมาที่คณะเทคโนฯ ซึ่งไม่ใช่อะไร วันนี้ไอ้ชนินขอติดรถผมให้มาส่งมันที่คณะด้วย โดยเหตุผลที่ว่าขี้เกียจขับรถแล้ว อยากเป็นฝ่ายนั่งบ้าง ผมเองก็ด่ามันไปทีหนึ่งแล้วแต่สุดท้ายก็แพ้ลูกอ้อนมันจนต้องมาส่งที่ตึกตอนเช้าแล้วค่อยไปเรียนอีกที
ผมนั่งรออยู่ที่รถของตัวเอง สายตาสอดส่องมองว่าไอ้หน้าแป๊ะยิ้มมันจะลงมาจากตึกเมื่อไหร่ ซึ่งผมไม่ได้บอกมันหรอกว่าจะมารับ ส่วนมันเองก็ยังไม่ได้ส่งข้อความมาว่าให้ผมมารับด้วย
แต่คนมันอยากมารอ แล้วมันจะทำไม
รอเกือบไปสิบกว่านาที มันก็เดินลงมาพร้อมกับฝูงเพื่อนของมัน ผมนั่งมองอยู่ไม่ไกลเพื่อรอว่ามันจะสังเกตเห็นผมไหม...และมันก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง
ไอ้ชนินกำลังยกมือขอตัวจากเพื่อนแล้ววิ่งมาหาผม
“กำลังจะโทรไปบอกเลยว่าไม่ต้องมารับ”
“ทำไม” ผมถามพลางขมวดคิ้วใส่
“พอดีต้องไปช่วยเดินขบวนกระทงของคณะคืนนี้น่ะ”
เรื่องที่มันพูดออกมาทำให้ผมชะงักไปพอสมควร ก็เพราะก่อนหน้านั้นระหว่างทางผมกำลังคิดอยู่ว่าจะชวนมันไปเที่ยวงานคืนนี้ดีไหม แต่สุดท้ายมันก็ดันมีแพลนไปเสียก่อนที่ผมยังไม่ทันจะขึ้นต้นประโยคเลยด้วยซ้ำ
“...จะไปเลย?”
“อืม กับพิชิต ทำไมเหรอ?”
“เออ”
แล้วกูมาทำห่าอะไรถึงตึกเทคโนฯ วะ เสียดายเวลาจริง ๆ...
“คืนนี้มาไหม” ไอ้ชนินยื้อมาจับที่ข้อมือของผมเอาไว้ ในขณะที่ผมคิดว่าจะสตาร์ทรถเพื่อกลับห้องไปนอนแล้ว
“อะไร”
“งานจัดอยู่หน้าหอประชุมใหญ่ มารอดูขบวนได้นะ หลังเลิกประกวดเดี๋ยวแวะไปหา”
“มันเลิกเร็วขนาดนั้นเลย”
“แป๊บเดียวเอง แค่เดินจากหน้าประตูมหาลัยเข้ามาที่หน้าหอประชุมใหญ่”
ไอ้ชนินบีบข้อมือของผมเบา ๆ ก่อนที่มันจะเอ่ยประโยคถัดมา “มานะ”
“...เออ” ผมยกมือขึ้นเสยผมตัวเองเบา ๆ พร้อมกับหันหน้าไปอีกทาง
“ถ้าเสร็จแล้วเดี๋ยวโทรไปนะ”
ไอ้ชนินพูดไว้แค่นั้นก่อนจะขอตัวไปหาเพื่อนของตัวเอง ส่วนผม...ก็กลับไปนอนเอาแรงหน่อยแล้วกัน
...
พอถึงเกือบหกโมงเย็นผมก็เลือกที่จะมาเที่ยวกับพวกไอ้กานน่าจะดีกว่า อย่างน้อยผมก็มีเพื่อนไป ไม่ใช่ไปเดินเป็นลูกโทนหาใครไม่เจอ รอแต่ไอ้ชนินอย่างเดียว เพราะอย่างนั้นพอมาถึงหน้างาน ผมก็โดนพวกไอ้กานลากไปหาของกินอย่างไว
“ฝ้ายระวังปากเลอะนะคะ” ไม่พูดเปล่าไอ้กานยังยื่นทิชชู่ส่งให้แฟนตัวเองด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้ฝ้ายเองก็กำลังอยู่ในชุดนางนพมาศสีฟ้าอ่อนเปิดช่วงไหล่ เผยให้เห็นผิวขาวเนียนน่ามอง ยิ่งพอตกกลางคืนก็ยิ่งสวยจนคนที่อยู่ในงานต่างพากันมองกันยกใหญ่
แต่หน้านี่จัดเต็มอยู่นะ ไม่งั้นไอ้กานคงไม่บอกว่าให้ระวังเลอะหรอก
“ฮื้อออ มึง ปลาหมึกร้านนี้อร่อยว่ะ” ไอ้ลมจิ้มเอาเนื้อปลาหมึกเข้าปากพร้อมกับเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย วันนี้มันโชคดีได้มาคนเดียวเพราะพี่มังกรติดงานไม่ว่างมา ไม่งั้นผมคงไม่เห็นมันอยู่ในกลุ่มนี้หรอก
“เดี๋ยวน้ำจิ้มก็เลอะเสื้อหรอกไอ้สัด ถือดี ๆ”
ผมกระชับถุงให้มันเพราะกลัวมันจิ้มถุงแหกเดี๋ยวน้ำจิ้มได้เลอะแสบกันฉิบหายเอา
“ขอบใจ กินมะ” ไอ้ลมยื่นน้ำใจจิ้มปลาหมึกมาให้หนึ่งคำ
“มึงกินไปเถอะ”
“ฝ้ายจะขึ้นเวทียัง” ไอ้กานว่าพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู
“ใกล้แล้วล่ะ”
“ถ้างั้นเดี๋ยวกานไปส่ง”
ไอ้กานผงกหัวขอตัวกับพวกผม ก่อนจะรีบประคองฝ้ายไปส่งที่หลังเวทีการประกวดนางนพมาศ ปล่อยให้พวกผมสามคนยืนรออยู่ที่กลางถนน
“สวยนะ นางนพมาศแต่ละคน” ไอ้เจียว่า สายตามองไปทางนางนพมาศที่ทยอยเดินกันไปที่หลังเวที
“คณะเราส่งประกวดไหมวะ”
“ไม่รู้สิ”
ไอ้ลมเดินมาดึงเสื้อผมแล้วกระตุกยิก ๆ “เบส กูอยากเล่นปาโป่งอ่ะ”
ผมหันไปมองตามมือของมันที่ชี้ไป ร้านปาโป่งกำลังมีคนผลัดกันเล่นอยู่เยอะพอสมควร คงเป็นเพราะตุ๊กตาที่ทางนั้นเอามามีแต่ตัวสวย ๆ แต่อย่างลมมันคงไม่ได้อยากได้ตุ๊กตาหรอก มันแค่อยากเล่นเอาสนุกเฉย ๆ
“เล่นดิ แต่กูว่าคงหมดเป็นล้าน”
“ดูถูกกูไปอีก” มันว่า หยิบเอาเงินของตัวเองออกมาแล้วเดินไปที่ร้านปาโป่ง
ไลน์!
ผมชะงักเท้าของตัวเองที่กำลังเดินตามมันไป หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความของคนของตัวเองส่งมา...
C H A N I N : เสร็จแล้ว
C H A N I N : อยู่ไหน
ประกวดเสร็จแล้วเหรอ...
ผมพิมพ์ตอบกลับไปอยู่ไม่กี่ประโยคก่อนจะเก็บกลับลงกระเป๋ากางเกงของตัวเองไว้ตามเดิม จากนั้นก็เดินเข้าไปหาเจียเพื่อบอกจุดประสงค์
“เจีย มึงอยู่กับลมก่อนได้ไหม”
“ไปไหน”
“หาชนิน”
ผมกะไว้แล้วไอ้เจียมันต้องทำหน้าแปลก ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยอมรับคำ “อืม”
ก่อนที่จะไปผมเหลือบมองไอ้ลมนิดหน่อย เห็นมันยังให้ความสนใจกับการปาโป่งของมันอยู่ ผมก็รีบสาวเท้าเดินไปอีกทาง ผ่านกลุ่มคนที่กำลังทยอยเดินเข้ามาอย่างคับคั่งมาถึงหน้างาน สายตามองหาใครบางคนก่อนที่ผมจะเจอมันมายืนรออยู่ก่อนแล้ว...
“กางเกงมึงนี่สีแดงมาเชียวนะสัด” ผมว่าออกมาในขณะที่เลื่อนผ่านไปมองด้านล่างกางเกงขาก๊วยสีแดงของมันที่เด่นตาทุกครั้งเวลาอยู่ในฝูงคน
“หล่อไหม”
“งั้น ๆ” ผมเลิกคิ้ว คิดได้ยังไงว่าตัวเองใส่อะไรแล้วจะหล่อไปหมด
“กินอะไรยัง”
“ยัง มึงล่ะ”
“ยังเหมือนกัน” ไอ้ชนินส่ายหน้าไปมา ก่อนที่ผมกับมันจะเดินข้างกันเข้าไปในงาน แต่ยังไม่ทันพ้นหน้างานไอ้ชนินก็สะกิดเรียกก่อน “กินข้าวผัดไหม”
“อยากกินก็ไปซื้อ”
“กินด้วยกันนะ”
ไอ้ชนินว่าแค่นั้นก่อนจะเดินไปหยุดยืนที่หน้าร้านแล้วสั่งเอาข้าวผัดกุ้งมาพร้อมกับช้อนพลาสติกใสอีกสองอันมาถือไว้ในมือ ส่วนผมก็เป็นฝ่ายไปซื้อน้ำเปล่ามาให้ ก่อนจะพากันเดินหาที่นั่งซึ่งไม่มีสักที่ เพราะคนเยอะมาก
“ไม่มีที่ให้นั่งกินเลยว่ะ”
“สงสัยต้องยืนเอา” มันตักเอาข้าวผัดเข้าปาก “ลองไปดูขบวนอื่นกันไหม”
“ยังประกวดกันไม่เสร็จอีกเหรอวะ”
ไหนมันบอกว่าประกวดเสร็จแล้วถึงออกมาได้ อะไรของมัน
“ยังหรอก แต่ของเทคโนฯ จับคิวได้ต้น ๆ น่ะ เลยเสร็จเร็ว” มันพูดไปพลางเดินนำผมเพื่อไปดูที่ลานประกวดขบวนพลาง แต่ตรงนั้นคนมันก็อัดแน่นอยู่พอ ๆ กัน เพราะคนส่วนใหญ่ก็มายืนรอดูขบวนด้วย
“ยืนตรงนี้ก็ได้” มันขยับตัวเดินขึ้นมาหยุดยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ไกลหน่อยแต่ก็พอมองเห็น
ปั่ก!
จู่ ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งสวนมาคั่นกลางระหว่างผมกับไอ้ชนิน ช่วงไหล่ผมถูกชนไม่แรงเท่าไหร่ แต่ของไอ้ชนินนี่โดนอย่างจังจนตัวเซไปอีกทาง...คนก็ยิ่งเยอะอยู่แล้วจะวิ่งหาอะไรวะ
“ขอโทษค่ะ!” เจ้าตัวหันมาก้มหัวขอโทษขอโพยยกใหญ่
“ไม่เป็นไรครับ”
ไอ้ชนินยกมือขึ้นมาส่ายไปมาเพื่อบอกว่าตัวเองไม่เป็นไรพร้อมกับส่งยิ้มแห้ง ส่วนผู้หญิงเองก็ไม่รู้รีบไปไหนเพราะพอขอโทษเสร็จก็รีบวิ่งต่อ ผมมองตามไปเล็กน้อยก่อนจะหันมาสนใจ “เป็นไรไหมล่ะมึง”
“ช้อนหล่น เดี๋ยวไปเอามาใหม่”
มันแบมือให้ผมดูว่าทำช้อนอีกอันล่วงไปแล้ว ก่อนจะวานให้ผมถือจานข้าวผัดแล้วมันจะเดินไปเอาช้อนอีกอันเอง แต่คนเยอะขนาดนี้กว่าจะหากันเจอกูว่าพรุ่งนี้เช้านู่นแหละ
“ไม่ต้องไอ้สัด คนเยอะเดี๋ยวหากันไม่เจอ” ผมพูดรั้งมันไว้ หยิบช้อนของตัวเองขึ้นมาตักข้าวแล้วยกจ่อที่ปากมัน
“เอ้า”
ไอ้ชนินมันมองหน้าผมอย่างอึ้ง ๆ เหมือนผมกำลังทำอะไรแปลกไป...
“อึ้งอะไร มึงจะกินไหม”
พอผมพูดจบ ไอ้ชนินก็อ้าปากงับช้อนเอาข้าวเข้าปากแล้วเคี้ยวด้วยใบหน้าที่ดูแปลก ๆ เพราะมันกำลังกลั้นยิ้มอยู่อย่างสุดความสามารถ
“ทำหน้าอะไรของมึง”
“...แค่ไม่คิดว่าจะป้อน”
ผมกลอกตามองบน เรื่องแค่นี้มึงก็ดีใจเหรอ
แต่ยังไม่ทันพูดอะไร ขบวนของคณะไหนสักที่ก็พากันเดินมา ผมเลยหันไปให้ความสนใจ ก็สวยดี แต่ผมชอบอีกขบวนที่กำลังเดินมาจากทางด้านหลังมากกว่า สีเหลืองสว่างอย่างกับแสงสวรรค์ฉิบหาย...
“ของมึงสวยไหม” ผมหันไปพูดกับชนิน
“ก็สวยนะ เดี๋ยวเปิดให้ดู” ไอ้ชนินหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดรหัสเข้าเครื่องก่อนจะเปิดรูปที่มันถ่ายเอาไว้ให้ผมดู
“คอนเซ็ปสีแดงทั้งก๊กเลยสัด”
“สวยดีออก” มันยิ้มเล็กน้อย ทำท่าจะเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแต่ก็มีคนโทรเข้ามาพอดี
ชนินมองหน้าผมก่อนจะเลือกรับสายอย่างช่วยไม่ได้
“ฮัลโหล...เก็บของเหรอ”
“อืม เดี๋ยวไป...อยู่กับเบส...ไม่เป็นไร ไปได้...เจอกัน”
“อะไร” ผมถามมันหลังจากที่เห็นว่ามันวางสายไปแล้ว ไอ้ชนินทำหน้าเสียใจอยู่เล็กน้อยแต่มันก็ยังตอบผม
“ไปเก็บของที่ขบวนก่อนนะ”
“เออ” ผมตักข้าวผัดเข้าปาก ไม่ได้โมโหอะไรมัน เพราะยังไงเดี๋ยวก็ได้เจอมันอยู่ที่หออีกทีอยู่ดี แต่ไอ้ชนินกลับโน้มหน้าเข้ามาหามาพร้อมกับยื่นปาก
“ขออีกคำ”
“ตักเองไม่เป็นเหรอสัด แค่ทำช้อนล่วงแค่นี้” ผมบ่นออกมา แต่ก็ยังตักข้าวผัดขึ้นมาแล้วป้อนใส่ปากมันอีกรอบ ไอ้ชนินเคี้ยวแก้มตุ่ย รับน้ำไปดื่มแล้วรีบวิ่งไปอีกทาง
ผมเองก็มองตามมันไปก่อนจะรีบกินข้าวผัดให้หมดแล้วกลับไปหาเจียที่ผมทิ้งให้มันอยู่กับไอ้ลมสองคน
...
ผมเดินกลับมาหาเจียก็ตอนที่ไอ้ลมเล่นปาโป่งเสร็จพอดี แถมมันยังได้ตุ๊กตามาสองตัวใหญ่ สงสัยคงให้ไอ้เจียเล่นให้แน่ อย่างมันแค่ตีเส้นบรรทัดยังตาเขเลย นับประสาอะไรกับปาโป่งให้แตก
“ไปไหนมาอ่ะ”
“...แถว ๆ นี้” ผมตอบไปส่ง ๆ เอามือล้วงกระเป๋าทำเหมือนไม่ได้ไปที่ไหนสำคัญมา
“ตอนมึงไม่อยู่ พี่มังกรโทรมาบอกว่าจะกินเลี้ยงกันที่ร้านหมูกระทะอ่ะ กินไหม”
“เลี้ยงอะไร”
“เห็นบอกว่าอยากกิน”
...บางทีผมควรชินได้แล้วว่าสายรหัสตัวเองมันมีแต่คนมึน ๆ ร้าย ๆ ว่ะ โดยเฉพาะเวลาสองคนนั้นมันรวมหัวกันแกล้งผมน่ะ
“อันนี้คือชวนกูไปด้วย?”
“ช่าย ไปด้วยกันสิ”
“...เออ งั้นตามนั้น” ไหน ๆ ก็ของฟรีอยู่แล้ว ผมจะปฏิเสธไปเพื่ออะไร
“งั้นกูโทรบอกพี่มังกรนะ”
“เออ”
ไอ้ลมจัดการโทรหาพี่มังกรอยู่สักพัก จากนั้นก็พูดกันว่าจะชวนไอ้กานไปไหม แต่มันคงไม่ไปหรอกเพราะต้องอยู่รอฝ้าย เพราะงั้นตอนนี้ก็น่าจะมีผมกับไอ้เจียร่วมชะตากรรมด้วย
และพอขับรถมาถึงร้าน พี่มีนก็ปากกรรไกรใส่ผมแทบจะทันที
“กูนึกว่ามึงจะไม่มา”
“ลุงรหัสผมชวนทั้งที ผมจะไม่มาได้ไง” ผมว่าพร้อมกับนั่งลงอยู่ข้างพี่มีน เจ้าตัวเองก็ขยับที่ให้นั่งแต่ก็ปากยังจิกกัดผมอยู่ไม่เลิก พี่รหัสคนนี้นี่น่ารักจริง ๆ
“มาแดกฟรีนะสิ”
“พี่มีนอย่าทำตัวเหมือนรู้ทันผมสิพี่ ผมเขินนะ”
“ตีนเถอะเบส”
ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนที่พี่คนอื่นจะยื่นเอาจานพร้อมกับตะเกียบช้อนส่งมาให้ ผมถึงได้เริ่มคีบเนื้อเข้าปากบ้าง ตอนแรกผมก็นึกสงสัยอยู่หรอกว่าที่มาเลี้ยงกันที่ร้านนี้นี่มีอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า แต่ปรากฏว่าดันอยากจะมากินกันแค่นั้นจริง ๆ อะไรของพวกพี่เขาวะ
ครืดดด
โทรศัพท์ของผมที่ตั้งปิดเสียงไว้ก่อนหน้าเกิดสั่นขึ้นมาในขณะที่กำลังนั่งฟังพวกพี่เขาเล่าเรื่องอยู่ พอเห็นว่าไม่มีใครสนใจผมเลยหยิบมันขึ้นมาเปิดอ่านข้อความของไอ้ชนินที่เป็นคนส่งมา...
C H A N I N : หายไปไหน หาไม่เจอ
IamdaBestz : กูมากินหมูกระทะกับพวกรุ่นพี่แล้ว
C H A N I N : เหรอ
C H A N I N : *สติ๊กเกอร์ร้องไห้
IamdaBestz : อย่างอแง
อะไรของมัน ทำอย่างกับขาดกูไม่ได้ขนาดนั้นเลย
“ชวนแฟนมึงมาสิ จะยากอะไร”
ผมหันไปมองหน้าพี่มีนที่พูดโพล่งขึ้นเหมือนคนรู้ว่าผมคุยกับใคร เรื่องอะไรอยู่...ไอ้สัด นั่งถ่างตาดูเลยนี่หว่า
“...พี่มีน”
“มึงแอบดูไลน์กู”
“มึงเปิดให้กูเห็นทำไมล่ะ...ชวนมาสิ”
“ไม่” เอามาทำห่าอะไรล่ะ
“เขาก็รู้กันหมดแล้วว่าแฟนมึงเป็นใคร ชวนมาสิ ชวนมาเล้ย พวกกูไม่ทำอะไรสักหน่อย เห็นไปหามันที่ร้านเดือนตั้งสองรอบไม่ใช่เหรอ เดือนบอกมา” น้ำเสียงของพี่มีนฟังอย่างกับกำลังท้าทายผมอยู่
หึ คิดว่ากูไม่กล้าเรียกล่ะสิ
...
“สวัสดีครับ”
“นั่งเลย...ข้าง ๆ เบสนั่นแหละ” ไอ้ชนินนั่งลงข้าง ๆ ผมเพราะพี่มีนเป็นคนจัดที่ให้เป็นอย่างดี
“มึงควรปฏิเสธ” ผมหันไปกระซิบพูดกับมันเสียงเข้ม
“ก็ตัวเองบอกให้มา”
“ชนินเอาน้ำอะไร” พี่เดือนยิ้มกว้างถือเอาขวดเป๊บซี่กับขวดน้ำขึ้นโชว์
“น้ำเปล่าก็พอครับ”
มันรับแก้วของตัวเองมาถือไว้ในมือ สายตาสบเข้ากับคนนับสิ่บที่จ้องหน้ากันไม่ยอมละ มันทำหน้างงใส่ไม่พอยังกระซิบถามผมอีก
“เขา...จ้องกันทำไมเหรอ” มันป้องปากเอาไว้เพื่อกันคนอื่นได้ยิน
“ไม่ต้องถาม” มันคงจะอึดอัดของมันนั่นแหละ เพราะผมเองก็ไม่ต่างกับมัน
“เบสมันใช้เงินมึงเก่งไหม ชนิน”
“ก็ไม่นะครับ ปกติก็ออกใครออกมัน”
ผมหยิบจานมาวางไว้ตรงหน้าให้ในขณะที่มันกำลังนั่งตอบคำถามเหมือนสอบสัมภาษณ์งาน ไอ้ชนินมันก็หน้าซื่อตอบเอา ๆ
“เบสมันไม่ได้ขอเงินมึงใช้เหรอ” พี่มีนยังคงถามอยู่ที่หัวข้อเดิม เหมือนพี่แกจะเป็นเอามากกับเรื่องที่ผมขอให้เลี้ยงอยู่บ่อย ๆ ใช่ไหมเนี่ย
“ไม่ครับ...แต่ถ้าให้เลี้ยง ยังไงก็เลี้ยงไหวครับ”
“ระวังล้มละลายบ้างก็ดีนะชนิน” พี่มีนทำหน้าเอือมใส่ ก่อนจะหันกลับมาคีบหมูเข้าปากต่อ พอพี่วี่เห็นแบบนั้นเลยเป็นฝ่ายขอถามบ้าง
“แล้วชนินนี่...ชื่อเล่นเหรอ”
“ชื่อจริงครับ”
หืม?
ทั้งโต๊ะต่างแปลกใจเพราะไม่มีใครคิดว่าชื่อชนินเป็นแค่ชื่อจริง ขนาดผมเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน
นี่ที่ผ่านมาผมเรียกแค่ชื่อจริงมันเหรอ
“เห็นคนเรียกมานานนึกว่าชื่อเล่น...แล้วชื่อเล่นจริง ๆ ชื่ออะไร”
พี่วี่ถามด้วยความตื่นเต้น ทุกคนเองก็ตื่นเต้น ส่วนผมก็ไม่ได้ออกอาการอะไรขนาดนั้นแต่ก็รอฟังอยู่ ไอ้ชนินเองก็หันซ้ายทีหันขวาที ก่อนจะยกยิ้มกว้างแล้วบอกชื่อตัวเอง
“ไนซ์ครับ”
“หา? กลางคืนเหรอ”
“ไนซ์ที่แปลว่าดี”
“นี่มึงดีแล้วเหรอ” ผมสวนกลับไป เชิดหน้ายิ้มเยาะ
“ไม่ดีแล้วจะคบเหรอ” ไอ้สัดชนินพูดออกมาน้ำเสียงเนิบนาบ ซ้ำยังเลิกคิ้วให้กับผมจนคนอื่นแซวกันยกใหญ่ มั่นหน้ากว่ากูไปอีก
“แล้วทำไมส่วนใหญ่คนอื่นถึงเรียกแต่ชนินล่ะ”
พี่วี่พูดขัด มันเองก็ยิ้มหน้าระรื่นพร้อมกับตอบคำถามที่ทำเอาคนทั้งโต๊ะถึงกับไปไม่เป็นเพราะไม่กล้าเถียงอะไรออกมา
“ชื่อมันดูหล่อเข้ากับหน้าผมดี เขาเลยเรียกกันครับ”
...
เกือบห้าทุ่มพวกผมก็ขอตัวกลับเพราะกินไปก็เริ่มอิ่มกันแล้ว พวกที่อยู่กินต่อก็เป็นพวกขี้เมาทั้งนั้น แต่ผมขับรถมาเองเลยไม่ได้อยากจะเสพเอาความเมาเข้าตัวเยอะ เดี๋ยวจะกลับไปไม่ถึงห้องเอาเปล่า ๆ ไอ้ชนินเองพอเห็นผมลุกมันก็ขอตัวกลับบ้าง เลยกลายเป็นว่าผมกับมันเดินออกจากร้านมาพร้อมกัน
“อิ่ม คิดว่างั้นไหม”
“เดี๋ยวตอนดึก ๆ มึงก็หิวอยู่ดี” ผมว่าในขณะที่หยิบเอากุญแจรถออกมา ส่วนไอ้ชนินก็ยืนรอผม...
“มึงมาที่ร้านยังไง” เป็นคำถามที่ควรถามตั้งนานแล้วแต่ผมดันลืม
“พิชิต”
“มึงมีเพื่อนคนเดียวเหรอ เห็นพูดแต่ชื่อนี้...มึงจะขับหรือจะให้กูขับ”
“ขอนั่งดีกว่า” มันไม่พูดเปล่าแต่ขยับตัวขึ้นไปนั่งรอผมบนเบาะแบบหน้าด้าน ๆ นี่มึงออกอาการขี้เกียจขี่รถอะไรขนาดนั้นล่ะ
“ขายทิ้งเลยไหมรถมึงน่ะ” ผมว่าแต่ก็ยังขยับตัวขึ้นไปนั่งเป็นคนขับโดยมีมันนั่งกอดเอวผม
จากนั้นผมก็สตาร์ทรถขับออกไปบนถนนที่แทบจะไม่มีรถอยู่เลยเพราะมันเป็นช่วงห้าทุ่มและอยู่ในเขตมหาลัย ส่วนใหญ่ร้านข้าวก็ปิดหมดแล้ว นักศึกษาเองก็พากันกลับเข้าหอ จะมีเหลือก็แต่พวกตะลอนเที่ยวราตรีอย่างพวกผม
เสียงของไอ้ชนินดังที่ข้างหูในขณะที่ผมกำลังขับรถต้านลม และมันทำให้ไม่ได้ยินเลยต้องชะลอรถแล้วขอให้มันพูดอีกรอบ
“หลังปิดเทอม...เราไปเที่ยวกันไหม”
“ที่ไหน” ผมถามมันกลับ นึกยังไงอยากไปเที่ยววะ
“ทะเล อยากไปเที่ยวทะเล” มันกระชับอ้อมแขนของตัวเองแน่น และผมยังสัมผัสได้ว่ามันเอาหน้าซุกเข้าที่แผ่นหลังผม “ไปด้วยกันนะ”
“...ถ้าไม่ติดงาน ค่อยไป แต่ถ้ากูไม่ว่าง มึงอย่ามาว่ากูแล้วกัน”
“ไม่หรอก...ไม่ไปก็ได้ ได้ไปก็ดี แต่ถ้าได้ไปกับคนนี้...” เสียงของมันอู้อี้แข่งกับเสียงลม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังได้ยินมันอย่างชัดเจน ทั้งน้ำเสียงและความรู้สึก “...ก็ดีที่สุด”
ผมดันเผลอยิ้มออกมาจนได้
“เล่นคำเก่งนะไอ้สัด”
มันหัวเราะในลำคอออกมาเบา ๆ “เรื่องจริงทั้งนั้น”
มันพูดทิ้งไว้แค่นั้น ซึ่งผมก็ไม่ได้ตอบกลับอะไร นอกจากปล่อยให้สายลมเข้าปะทะหน้าเบา ๆ อากาศเย็น ๆ ของมันทำให้วันนี้เหมาะแก่การขับรถเล่นมากกว่าจะกลับเข้าห้องใครห้องมัน และพูดคุยกันแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนสุดปลายทาง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไนซ์ ตามใจเพราะเบสแพ้ทางอ้ะแงงง
แต่
เบสท์ = ดีที่สุด
ไนซ์เบสท์
เพราะไม่รู้ไปฝังใจจดจำอะไรมา
ว่าถ้าตกลงโพไม่ได้สุดท้ายก็ต้องเลิกกัน
เพราะเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของแฟนกันอะ
เนี่ยยยยย ชนินอบอุ่นมาก ชนินเบสจะดีที่สุด555555555555