ตอนที่ 21 : คู่รักรอบที่ยี่สิบ : ความหมายมีแค่อย่างเดียว
ผมรุดตัวลุกขึ้นนั่งหลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้นมาจากการหลับไปไม่กี่ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น สายตาทอดมองเหม่อลอยไป เพราะในหัวกำลังประเมินเหตุการณ์ของเมื่อคืนอยู่
บางครั้งความจริงกับความฝันมันก็เหมือนกับมีเส้นบาง ๆ กั้นอยู่
คงไม่ได้ฝันไปใช่ไหม...
เสียงกุกกักภายในครัวดังขึ้นเหมือนคนกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ ผมหันไปจ้องมองได้สักพัก ก่อนที่พิชิตจะเดินออกมาพร้อมกับแก้วโอวัลตินใบโปรดของผม เจ้าตัวมองมาทางผม ส่วนผมเองก็มองอยู่เหมือนกัน
“ไงมึง...สักแก้วไหม”
พิชิตยื่นแก้วของตัวเองมาให้ผม ผมมองเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ เปล่งเสียงของคนเพิ่งตื่นนอนออกไป
“ไม่...กี่โมงแล้ว”
“เกือบเที่ยง คนอื่นกลับไปกันหมดละ”
“อืม” ผมครางในลำคอก่อนจะรีบคว้าหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองที่นอนแอ้งแม้งอยู่ไม่ไกล แบตโทรศัพท์ร้องเตือนว่าใกล้จะหมดเพราะผมไม่ได้ชาร์จทิ้งเอาไว้ก่อนนอน ผมเลื่อนนิ้วดูเวลาก่อนที่จะกดเข้าไปในไลน์เพื่อดูข้อความของใครบางคน...
“ตื่นมาเป็นต้องจับโทรศัพท์ก่อนเลยดิ”
“...แค่หยิบมาดูเวลา” ผมวางโทรศัพท์ลงก่อนจะล้มตัวลงนอนต่อ โดยที่มีพิชิตยืนอยู่ไม่ห่าง
“อย่ามาล้อหลอกกู กูเห็นเถอะว่าเมื่อกี้มึงเปิดดูแชทใคร”
พิชิตว่าเสียงห้าวเดินหายเข้าไปในครัวผมอีกรอบ ผมได้แต่นอนใช้สายตามองตาม ก่อนจะฉุกคิดขึ้นได้ว่าเมื่อคืนมีบางอย่างแปลก ๆ เกิดขึ้นระหว่างที่ผมกำลังจูบกับเบสอยู่ ส่วนตัวการก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
“พิชิต...”
“ว่า” พิชิตตะโกนร้องออกมาจากข้างในครัว
“เมื่อคืนนี้มึงไม่ได้หลับใช่ไหม”
เสียงพิชิตเงียบไปแล้ว ส่วนตัวผมเองก็นอนเอามือเท้าหน้าของตัวเองมองไปทางห้องครัว ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกมา...พร้อมกับขนมปังในมือ
“มันพูดยากว่ะ เอางี้...” พิชิตยกขนมปังขึ้นกัดหนึ่งคำโต
“กูก็หลับอยู่นั่นแหละแต่กูตื่นเพราะปวดฉี่ พอกูจะลุกก็เห็นอะไรไม่รู้เงาตะคุ่ม ๆ อยู่ใต้ตีน เป็นคนอื่นเขาก็คงคิดว่าเป็นผีแบบกู”
“ตอนแรกกูก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นมึง กูก็ข่มตานอนหวังให้รีบหลับต่อเร็ว ๆ แต่พอได้ยินเสียงมึงพูดเท่านั้นแหละ” พิชิตกลืนขนมปังลงคอ “กูใช้ตีนถีบแบบไม่คิดเลย”
“แค่นี้เหรอ”
“เออสิ ข้อหาทำกูกลัว ไม่ฉี่แตกใส่เตียงมึงก็ดีแค่ไหน”
“อีกอย่าง...ถีบเรียกสติมึงด้วย”
ผมพยักหน้ารับเข้าไป ถ้าไม่มีพิชิตผมคิดว่าผมกับเบสเราคงไปต่อกันได้มากกว่านั้น เพราะเบสเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรผม แต่มันก็จะดูไม่ดีหน่อยเพราะเพื่อนผมก็พากันนอนอยู่ในห้องกันสองสามคน ปกติแทบทุกครั้งที่กินของมึนเมาในกลุ่มเพื่อน จะมีแค่ผมคนเดียวที่คุมสติได้ แต่เมื่อคืนนี้...ผมเมามากจนหัวมึนไปหมด
แต่สาเหตุหลักบางส่วนน่าจะมาจากเบสด้วยนั่นแหละ เพราะไม่อย่างนั้นผมคงไม่เป็นคนเอ่ยปากถึงขั้นนั้นหรอก
ความเมาทำให้เรามีความกล้าสินะ
“ขอบใจ”
“เออ คราวหน้าจะทำอะไรก็ยับยั้งชั่งใจให้ดี ขืนเพื่อนมึงตื่นมาเห็นประธานรุ่นกำลังวู้ฮูกับบ่าวอยู่ สงสัยได้พากันช็อคตาตั้งแน่ หนังสดหนังเปื่อยหนังไฟไหม้กันฉิบหาย”
ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ ให้กับคำพูดของพิชิตที่ชอบพูดอะไรแปลก ๆ ให้เพื่อนในกลุ่มหัวเราะได้อยู่เสมอ
“แล้วไม่ได้เห็นอะไรมากกว่านี้ใช่ไหม”
“ไม่ กูจะเห็นอะไร๊”
“...” ผมเลิกคิ้วข้างหนึ่งมองพิชิตที่ทำเสียงสูง ก่อนจะค่อย ๆ พ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงแล้วพูดออกมา
“เออ เห็นนิดหน่อย สามวิ”
“กูไม่บอกใครหรอก รู้กันสามคนพอ”
“ต้องรวมมึงด้วยเหรอ” ผมพูดออกไปพลางหัวเราะ
“รวมสิ กูนอนเป็นสักขีพยานให้มึงตั้งหลายนาที นับตอนมึงเข้าห้องน้ำไปปิ๊ดปิ้วด้วย”
“พิชิต” ผมส่ายหน้าระอา
“เออน่า ไม่พูดกับใครหรอก ของเคย ๆ ทำเป็นอาย” พิชิตหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดดู ทำตาโต ก่อนจะรีบเก็บโทรศัพท์ วางทุกอย่างลงด้วยความรีบร้อนเหมือนคนมีธุระที่ต้องไป
“กูกลับละ ขอบใจที่ให้นอน”
“กลับดี ๆ”
พิชิตรีบเดินไปเปิดประตูห้องเพื่อออกไป ผมเองก็กะว่าจะล้มตัวลงนอนสักหน่อย แต่ก็ต้องลุกขึ้นนั่งอีกรอบพร้อมกับพิชิตที่เปิดประตูเข้ามาอีกครั้ง
“เออ ลืมบอก...เมื่อคืนพวกมึงโซฮอตมาก เกือบทำน้องกูตื่นเลยว่ะ”
ผมฉีกยิ้มมุมปาก ก่อนเจ้าตัวจะรีบปิดประตูแล้วเงียบหายไปพอให้รู้แน่ชัดว่าไปจริง ๆ แล้ว ผมก็หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดโทรไปหาคนที่ผมยอมรับว่าเป็นคนของใจ
รออยู่สักพักอีกฝ่ายก็กดรับสาย
( ว่า )
ไม่รู้ทำไม แต่ผมดันตื่นเต้นเล็กน้อย รู้สึกประหม่า แต่พยายามที่จะทำตัวเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“กินข้าวยัง”
( ยังไม่พัก...เพิ่งตื่นหรือไง )
“ใช่” ผมยกมือขึ้นเกาแก้มของตัวเองเล็กน้อย ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วออกมาจากปลายสาย คงกำลังเรียนกันอยู่แน่ ๆ
( แดกกันเก่ง ไม่เมาค้างก็บุญหัว )
“ไม่ขนาดนั้น...พักกี่โมง”
( อีกสักพัก ถามเหมือนมึงจะมากินข้าวด้วย )
“อืม ให้ไปกินด้วยไหม” ผมถามออกไป เอาเข้าจริงผมรู้มาได้สักพักแล้วล่ะว่าเบสตามใจผม เหมือนที่เจ้าตัวชอบตามใจเพื่อนหรือไม่ก็แฟนของตัวเอง ถ้าเป็นแต่ก่อนที่เกลียดหน้ากันคงจะเถียงผมคอเป็นเอ็นไม่ยอมฟังกันไปข้าง เพราะแบบนั้นผมเลยยิ่งชอบใจขอนู่นขอนี่บ่อย
แต่มันไม่ใช่วันนี้...ที่ผมกำลังกลัวคำตอบของอีกฝ่ายว่าไม่ใช่อย่างที่ผมคาดหวัง
( สงสัยมึงไม่มีเพื่อนคบจริง ๆ แล้วล่ะกูว่า ) เบสว่าพลางติดตลก
“สงสัยเมื่อคืนที่นั่ง ๆ กันอยู่คงเป็นหมาหมด” ผมเองก็พูดยิ้ม ๆ ไม่ได้นึกโกรธอะไร
( ฝูงหมานี่หว่า )
“ใช่ ที่พูดอยู่นี่ก็จ่าฝูงเลยล่ะ”
“...”
จู่ ๆ พวกผมก็ต่างคนต่างเงียบกันไปเกือบห้านาที ตัวผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เพราะเรื่องเมื่อคืนที่ทำให้ผมแทบจะไม่สามารถทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้
แต่ในใจลึก ๆ ของผมกำลังคิดว่าการที่เบสจูบผมตอบมันกำลังเป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่ง และเรื่องที่ดีเรื่องนั้นกำลังจะเป็นจริงในไม่ช้า
ก่อนอื่นก็ขอให้ได้ไปกินข้าวด้วยกันก็ดีนะ
“ตกลงให้ไปกินข้าวด้วยได้ใช่ไหม”
( ตกลงมึงจะมากินข้าวด้วยใช่ไหม )
ผมชะงักเมื่อเราทั้งสองคนต่างพูดขึ้นมาพร้อม ๆ กัน แน่นอนว่าเบสเองก็เงียบไปแล้วด้วย ซึ่งคำถามของเบสทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยเขาก็ยอมให้ผมไปกินข้าวด้วย
“กินร้านเดิมไหม ที่เคยพาไป”
( เออ )
“เดี๋ยวออกไปรอ”
( ได้ พักแล้วเดี๋ยวกูบอก )
“โอเค”
ผมพูดไว้แค่นั้นก่อนที่นั่งดูหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองที่ถือสายค้างไว้ ดูว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายถึงจะวางสายไป จากนั้นผมก็นั่งยิ้มอย่างกับคนบ้าเสร็จถึงยอมลุกขึ้นไปอาบน้ำเพื่อออกไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน
และหวังไว้ว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดีที่สุดอีกหนึ่งวันของผมด้วยเช่นเดียวกัน
…
“จะไปรดน้ำต้นไม้ที่ไหนล่ะสัด สบายเกินไปไหม”
นี่เป็นประโยคแรกของเบสที่พูดให้กับผมตอนที่เรามาเจอหน้ากันอยู่ด้านหน้าร้านอาหาร เจ้าตัวมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า หน้าตาดูเอือมเล็กน้อยเพราะการแต่งกายของผมที่ออกแนวไปทางคนเพิ่งตื่นนอนที่ใส่แค่เสื้อยืดสีขาวตราห่านกับกางเกงขาสั้นคีบรองเท้าแตะเท่านั้น
ผมยิ้มรับที่รู้สึกโล่งใจอยู่นิดหน่อยที่เบสไม่ได้ทำตัวแปลกไป ก่อนที่ผมจะตอบกลับในเชิงกวน ๆ อย่างที่เคยทำ
“ร้านนี้ก็เหมือนบ้าน”
“เออ กูพอจะรู้อยู่ว่ามึงมาบ่อย พนักงานมองมึงเคลิ้มขนาดนั้น” เราทั้งสองคนเดินเข้ามาในระหว่างที่เบสกำลังพูด ทำให้ผมหันไปมองหน้าพนักงานร้านสาวสวยก่อนจะส่งยิ้มให้พอเป็นพิธี
“หึงก็บอกกันดี ๆ”
“หึ พูดออกมาแบบนี้คิดดีแล้วเหรอ”
ผมไม่ได้ตอบกลับ แต่เดินไปหาโต๊ะนั่ง พร้อมกับหยิบเอารายการอาหารขึ้นมาดู เบสเองก็ทำตัวเคยชินด้วยการเดินมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“รับอะไรดีคะ”
“ข้าวเซ็ตบีครับ...เหมือนกันไหม” ผมเงยหน้าขึ้นถาม เบสกระดิกขอเมนูไปดูบ้าง
“กูเอาเซ็ตเอ เพิ่มสปาเก็ตตี้แล้วก็เซ็ตไก่ทอดอันนี้ด้วยครับ” เบสจิ้มไปที่รูปก่อนจะวางเมนูลง เบสเป็นคนที่กินง่ายครับ ขอแค่ในจานข้าวไม่มีกระเทียมเจ้าตัวก็กินได้หมดเลย แถมยังกินเก่งด้วย
“สั่งเก่ง”
“อย่าให้กูเห็นว่ามึงแดก”
ปากร้ายแต่กลับสั่งมาเผื่อผมด้วย
จากนั้นเราก็ต่างคนต่างนั่งเงียบโดยที่ผมนั่งมองเบสในระหว่างที่รออาหาร ส่วนเบสเองก็นั่งกดโทรศัพท์ด้วยท่าทีซังกะตายอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ ก่อนที่สายตาของผมจะเลื่อนดูตั้งแต่ช่วงไรผม ใบหู ตาขวาง ๆ ทั้งสองข้าง ทรงจมูกสวยที่ไม่จำเป็นต้องไปรับเอามีดหมอ หน้าใสเนียนที่แทบจะมองไม่เห็นสิวก่อนจะเลยมามองที่...ริมฝีปาก
ภาพของเมื่อคืนฉายชัดเข้ามา ความนุ่มลิ้น อุ่นร้อนที่ผสมอยู่ในห้วงความละมุนละไมและความร้อนแรงที่ได้สัมผัสไปเพียงไม่กี่นาทีกลับทำให้ผมแทบจะคุมสติไว้ไม่อยู่ และมันไม่ใช่แค่ริมฝีปากแต่ทุกอย่างของเบสกำลังทำให้ผม...
“ชนิน”
“...หืม” ผมหลุดจากห้วงความคิด เลื่อนกลับมาสบตากับเบสเพียงไม่กี่นาที ก่อนเจ้าตัวที่เป็นเอ่ยเรียกชื่อผมจะจ้องตาเขม็งพร้อมกับพูดเสียงแข็ง
“เลิกจ้องปากกูเดี๋ยวนี้”
ผมสะดุ้ง เบิกตากว้างเล็กน้อยก่อนจะนั่งนิ่งค้างไปหลายวิ “...ไม่พูดอ้อมหน่อยเหรอ”
“มึงทำให้กูอึดอัด”
ประโยคถัดมาหลุดออกมาจากปากเบสอีกรอบ ผมหน้าเสียเล็กน้อย
“ขอโทษ”
ผมเอ่ยขอโทษ นึกเสียใจที่เมื่อคืนไม่หักห้ามใจตัวเองเลยสักนิด แต่พอเงยหน้ามองเบส สายตาของเจ้าตัวกำลังเสมองไปทางอื่น มือข้างหนึ่งยกขึ้นเกาเข้าที่หน้าผากของตัวเองเหมือนกับกำลังพยายามปกปิดใบหน้าของตัวเองที่กำลังขึ้นสีแดงระเรื่อ ถ้าหากไม่สังเกตให้ดีผมก็คงมองไม่เห็น...
เบสกำลังเขินผมอยู่ใช่ไหม
“เรื่องเมื่อคืนนี้...”
“มันทำไม”
“...เปล่า”
“ขอโทษที่ให้รอนะคะ...” เสียงของพนักงานพูดขัดทำให้บรรยากาศที่แปลกไปกลับมาเริ่มดีอีกครั้ง “...รับประทานให้อร่อยนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีกนอกจากตักข้าวของตัวเองเข้าปาก ผมเองก็ตักข้าวกินไปพลางมองเบสไปพลาง มันอาจจะดูเหมือนเสียมารยาท แต่ผมก็ยังอยากจะมองแบบนี้ไปตลอดจนเรากินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“เดี๋ยวอีกยี่สิบนาทีกูเข้าเรียนละ”
เบสพูดโพล่งขึ้นมาในระหว่างที่เรานั่งพักกันเมื่อกินข้าวเสร็จ ผมพยักหน้ารับ หยิบเอาใบชำระเงินค่าอาหารขึ้นมาดู ราคาค่าอาหารไม่แพงมากเท่าไหร่ เหมาะกับนักศึกษาหรือคนวัยทำงานทั่วไป
“มึงจะเลี้ยง?”
ผมเงยหน้ามองเบสที่กำลังนั่งเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงของตัวเองอยู่
“เปล่า...ไม่ได้เลี้ยง” ปฏิเสธพร้อมกับส่ายหน้าเบา ๆ
“แล้วจะเอาบิลไปดูคนเดียวทำห่า เอามานี่” เบสทำท่าจะดึงกลับไป ถ้าหากเป็นปกติผมคงจะให้ดี ๆ แต่...
“สัดชนิน เอามาให้กูดู”
ผมดึงมือของตัวเองกลับโดยที่ยังถือบิลอยู่ในมือ แล้วพูดต่อ “ไม่ชอบเลี้ยงคนอื่นนอกจากแฟนตัวเอง”
“แล้วไง”
“แต่วันนี้อยากจะเลี้ยง”
“มึงเอาไงแน่ มึงเป็นห่าอะไร มึงจะหารไหม” เบสออกอาการหัวเสีย ถามผมด้วยน้ำเสียงหาเรื่องพอตัว แต่ผมก็ทำเพียงแค่ส่ายหน้า
“ไม่ได้เป็นห่า...” ผมเลื่อนสายตาขึ้นมองเบส พูดบางอย่างออกไปที่ผมไม่รู้ว่าทิศทางของคำตอบมันจะเป็นไปในทางไหน เพราะผมคิดเอาไว้ก่อนหน้าที่จะมากินข้าวกับเบสแล้วว่าผมต้องได้ถามคำถามนี้ออกไป “...แต่เป็นแฟนกันนะ”
“เราเป็นแฟนกันไหมเบส”
“...”
บรรยากาศของผมระหว่างเบสอึดอัดอย่างกับคนกำลังกลั้นหายใจ และมันก็ไม่ใช่ใครนอกจากผมที่กำลังรอคอยคำตอบ ผมกำลังพึ่งดวงของตัวเอง ผมยอมรับว่าผมเกิดอาการเฟลอยู่เล็กน้อยในช่วงเวลาที่ก่อนหน้านั้นผมเคยถามเบสว่าเราสามารถเป็นมากกว่านั้นได้ไหม และเบสกลับไม่มีทีท่าปฏิเสธและยอมรับ มันเหมือนกับว่าเราเป็นมากกว่านั้นก็ได้หรือไม่ได้ในเวลาเดียวกัน แต่การแสดงออกของเบสที่มันดูเหมือนจะไม่พิเศษแต่ก็พิเศษทำให้ผมยังเชื่ออยู่ว่าตัวเบสเองก็มีใจให้กับผม ไม่อย่างนั้นคงไม่ปล่อยให้ตัวผมมาคอยวนเวียนอยู่แบบนี้
และเพราะอาการหลาย ๆ อย่างที่เบสทำมันก็ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะไปต่อ แต่หากที่ผ่านมามีแค่ผมคิดไปเองก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยผมก็เคยได้ลองเสี่ยงไปกับมันแล้ว
แต่ถ้าผมถูกปฏิเสธมันก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะเลิกยุ่งกับเบสไปเสียทีเดียว เรายังคงอยู่อย่างนี้แต่แค่ผมไม่ได้ไปต่อมันก็แค่นั้น
“...”
หรือผมจะหมดหวังแล้ว เพระเบสไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย
ผมถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ระบายยิ้มบางเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะเลื่อนมือวางบิลค่าอาหารลงบนโต๊ะ แล้วคิดค่าอาหารสำหรับสองคนในใจ...
“...จ่าย”
“...”
เบสพูดขัดขึ้นมาทำให้ผมนั่งนิ่งเงียบเพื่อรอฟังเจ้าตัวที่โคลงหัวตัวเอง จ้องมองมาทางผม...
“...ไปจ่ายสิ”
“ตกลงมึงจะเลี้ยงกูเองหรือจะให้กูเลี้ยง ยังไม่ลุกไปอีก”
ผมเหมือนคนกำลังประมวลผลไม่ทัน พยายามคิดตามคำพูดของเบส ซึ่งประโยคที่เขาพูดออกมาถ้าหากคิดให้ดีแล้ว...ฉับพลันหัวใจพองโตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มุมปากระบายยิ้มกว้างออกมา
“หรือมึงอยากจะหาร?”
ให้ตาย...ผมอยากลุกขึ้นวิ่งรอบร้านสักสามรอบชะมัดแล้วค่อยวนมากอดเบสอีกที
“ลุกแล้วครับ” ผมคว้าเอาบิลขึ้นมาไว้ในมือก่อนจะรีบลุกขึ้นเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงิน แต่ในระหว่างนั้นผมก็หันหน้าไปมองทางเบสที่กำลังนั่งรอผมอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม...
ไม่ผมก็เบสที่เลี้ยง...ความหมายมันก็มีอยู่แค่อย่างเดียว
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ดี! ดีมาก ขอบคุณนะคะ
อ้อมในอ้อมในอ้อมในอ้อม
คนแมนๆทีเรื่องแบบนี้พูดตงๆกันไม่ได้เรยนะคะ!5555555