ตอนที่ 11 : คู่กัดรอบที่สิบ : การตอบแทนของคนปากปีจอ
นอกจากปัญหาวันที่ไฟหอดับจะส่งผลให้ต้องออกมาจากไปร้านเกมเพื่อทำงานต่อแล้ว มันยังส่งผลเฮงซวยในอีกรูปแบบหนึ่งที่ผมต้องเสียเงินซ่อมมันแบบไม่จำเป็นด้วย ก็คือ การเปิดคอมพิวเตอร์ไม่ติด
“สัด” ผมสบถออกมาในขณะที่ฝืนเปิดมันขึ้นมาในระหว่างวัน
เมื่อวานหลังจากกลับมาจากร้านเกมผมก็ไม่ได้เปิดคอมอีก เพราะทำงานเสร็จหมดแล้วเหลือแต่ส่ง แต่พอมาวันนี้มันจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ดันมีปัญหาซะได้ คอมตั้งโต๊ะแม่งไม่เหมาะกับหอฉิบหาย
เสียเงินซ่อมน่ะไม่เท่าไหร่ แต่เสียเวลาขนไปส่งที่ร้านนี่สิ
“ลม งานอาจารย์สมเกียรตินี่ส่งวันไหน” ผมยกมือขึ้นเท้าสะเอวหนึ่งข้าง ส่วนอีกข้างก็กดโทรศัพท์โทรออกแล้วเอามาแนบหู
( กำหนดส่งวันนี้ก่อนสองทุ่มอ่ะ มีลิงค์ส่งอยู่ในกลุ่ม )
“เออ” ซวยฉิบหาย นี่ผมต้องออกไปร้านเกมอีกแล้วเหรอ
( มึงทำเสร็จแล้วเหรอ?! ) ไอ้ลมถามด้วยความตกใจ
“กูจะทำเสร็จอะไรล่ะ เขาเพิ่งสั่งเมื่อเช้า” ผมเหลือบตามองเวลาที่กำลังเดินเกือบหกโมงเย็น “เดี๋ยวกูไปหา ตอนนี้มึงอยู่ไหน”
( อยู่หอพี่มังกรอ่ะ มึงจะมาเหรอ )
สัด ไกลอีก
ผมถอนหายใจหน่าย อีกหน่อยกูว่าพี่มังกรต้องเคลมไอ้ลมย้ายไปอยู่หอด้วยกันแน่ ๆ วุ่นวายกูต้องขี่รถไปอย่างไกลอีก
“งั้นกูไม่ไปละ พรุ่งนี้เจอกัน”
( อ้าว โอเค เจอกัน )
ผมกดวางสายไปก่อน ก่อนจะหยิบกุญแจรถพร้อมกับชีทงานแล้วเปิดประตูออกไป สายตาเหลือบเห็นประตูห้องของไอ้คนเมื่อวานที่ไปร้านเน็ตด้วยกัน ก่อนที่มันจะเป็นคนขับรถผมเข้ามาที่หอตามเดิมก่อนจะคืนกุญแจให้แล้วแยกทางใครทางมัน
เดี๋ยวก่อนนะ มันก็ใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเหมือนผมนี่หว่า
หรือผมควรจะขอยืมมันใช้แป๊บนึงดีวะ ใจนึงก็ไม่อยากยืมเพราะกลัวเสียฟอร์ม แต่...ช่างมันเถอะ
ผมตัดใจเดินลงมาจากบันไดจนลงมาถึงชั้นล่างสุดของหอพัก เดินออกมาจากตัวหอพักได้สักพักก็เจอกับใครบางคนกำลังยืนคุยกันอย่างสนิทสนมในชุดเสื้อช็อปสีเลือดหมูเหมือนกัน
ผมอยากจะทำเป็นไม่เห็นอยู่หรอก แต่หนึ่งในนั้นดันเป็นคนที่ผมรู้จักดีแถมตอนนี้ยังสังเกตเห็นผมแล้วด้วย
“ไอ้เบส!” พี่นายยกมือโบกทักทายผมเหมือนไม่ได้เจอกันเสียนาน
“ว่าไงพี่” ผมเลยจำเป็นต้องเดินเข้ามาหาอย่างช่วยไม่ได้ สบสายตากับไอ้คนด้านข้างที่กำลังเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย
“ไม่ได้เจอกันนาน หน้าตาดูไม่ค่อยสดชื่นเลยนะ งานหนักเหรอ”
“ก็หลาย ๆ เรื่องว่ะพี่...แล้วพี่นายมาทำอะไร”
“กูเหรอ? เอาของที่ไม่ใช้มาให้ชนินว่ะ ปีกูมันไม่ได้ใช้แล้ว เสียดายเลยว่าจะส่งต่อ” พี่นายพูดยิ้ม ๆ ผมว่าพี่นายเป็นรุ่นพี่คนนึงที่ดีมากเลยนะ ช่วยเหลือรุ่นน้องขนาดนี้
“แล้วของผมล่ะ” ผมพูดหยอกเป็นเชิง
“กูว่าจะเอาไวน์นอกมาฝาก แต่กูลืมไว้ที่บ้านว่ะ เดี๋ยวว่างจะเอามาให้ใหม่”
“ผมหยอกเล่นพี่”
“แล้วนี่มึงจะออกไปไหนล่ะ”
“ไปร้านเกม...”
พี่นายทำหน้าสงสัย “ไปทำไม ปกติไม่ชอบไปนี่”
“ทำงาน เมื่อวานไฟดับคอมผมเลยเปิดไม่ติด” ผมว่าอย่างหน่าย ๆ ก็ชินอยู่หรอกที่หอไฟดับแต่เป็นแบบนี้ก็เบื่ออยู่เหมือนกัน
“อ้าวเวร ยังไม่เลิกไฟดับอีกเหรอ” พี่นายหัวเราะออกมาชอบใจ “ถ้างั้นเจอกันเว้ย”
ผมไม่ได้ตอบ แค่พยักหน้าไปหนึ่งทีแล้วเดินต่อแต่ดันมีมือยื่นมารั้งเอาไว้ที่ต้นแขนเสียก่อนจนต้องหยุดชะงัก หันไปมองตัวการที่กำลังยืนยิ้มบางส่งมาให้
ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
“เดี๋ยวให้ยืมใช้”
“อ้าว นี่พวกมึงสนิทกันแล้วเหรอ ไวกว่าที่กูคิดไว้อีกนะ” ผมฟังที่พี่นายพูดพลางสะบัดแขนออกจากมือมันจนหลุด
“พี่นายจะกลับไปทำธุระต่อใช่ไหมครับ แล้วเจอกันนะครับ” ไอ้ชนินเป็นคนพูดเชิงถามพร้อมเชิงไล่ จนพี่นายมีสีหน้าแปลกใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย
“เออ จริง งั้นเจอกันแล้วกัน เดี๋ยวกูจะไปสาย” พี่นายโบกมือลาก่อนจะหมุนตัวเดินไปที่รถของตัวเองแล้วสตาร์ทรถออกไป ผมมองจนสุดสายตาพอพี่นายพ้นออกไปจากตัวหอพักแล้วผมก็หันกลับมา
“เพื่ออะไรของมึง”
“จะใช้คอมไม่ใช่เหรอ”
“ใครบอกว่าจะใช้”
“ไปร้านเน็ตเปลืองนะ เสียเวลาขับรถอีก”
ผมหรี่ตามองมันที่พูดโน้มน้าวให้ผมใช้คอมมันให้ได้ ที่พูดมาผมก็เห็นด้วยเพราะไม่ได้อยากจะไปใช้คอมที่ร้านเกมอยู่แล้ว กลัวไวรัสจะเข้าแฟรชไดรฟ์เพราะมีคนใช้หลายคน ถ้าเป็นคนอื่นผมคงตัดสินใจขอยืมใช้ไปนานแล้ว แต่คนตรงหน้าผมดันเป็นไอ้ชนินไง มันเป็นคนเดียวที่ทำให้ผมตัดสินใจลำบากที่สุด
“แค่นี้ก็คิดเยอะเหรอ”
x
“เดินนำไปสิ มึงเจ้าของห้องมีกุญแจไม่ใช่เหรอ ให้กูทะลุเข้าไปรึไง”
พอผมพูดแบบนั้นออกไปมันก็ยิ้มมุมปากแล้วเดินนำผมขึ้นไปที่ห้อง ไขกุญแจห้องแล้วเปิดประตูเข้าไปคนแรก มันเดินไปเปิดคอมให้ด้วยความเคยชิน
“ใช้ตามสบายเลยนะ”
ผมฟังแล้วรู้สึกขัดใจ แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไรมันมากก่อนจะเดินเข้ามานั่งลงที่เก้าอี้ เพิ่งสังเกตว่ามันแต่งคอมเองน่าจะแพงใช้ได้ นี่มันเอาเงินมาจากไหนแต่งรถแต่งของพวกนี้นัก
รอไปสักพักหน้าจอก็สว่างจ้า ผมลอบสังเกตมองว่ามีอะไรบนเดสก์ท็อปของมันบ้าง แต่ที่ทำให้แปลกใจคือมันก็เล่นเกมเหมือนกับผมนี่สิ
“ลืมไปว่าถ้าจะใช้เวิร์ดต้องเปิดในนี้” เสียงทุ้มดังอยู่ใกล้หู พร้อมกับสัมผัสเหมือนคนกำลังคร่อมตัวอยู่ด้านบน ยื่นมือมาจับเมาส์ด้วยทั้งที่มือของผมยังวางอยู่บนเมาส์นั้น กลายเป็นว่ามันบังคับเลื่อนเมาส์ไปไหน คลิกอะไร มือของผมก็ทำตามไปด้วย
“กูไม่ได้จะใช้เวิร์ด กูจะใช้พาวเวอร์พ้อย” ผมดักมัน
“เหรอ...” มันเลื่อนใหม่ก่อนจะกดคลิกเข้าไปอีกที่หนึ่งแล้วโปรแกรมสีส้มก็เด้งขึ้น
จากนั้นมันก็ผละตัวออกจากผม ผมเลยหันไปจิกตาใส่มันที่เพิ่งจะเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อกล้ามสีขาวกางเกงขาสั้นธรรมดา ไอ้ชนินเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัยว่าผมมองมันทำไม ผมไม่อยากพูดมากเลยหันกลับมาเริ่มทำงานของตัวเอง
...
เวลาผ่านไปไม่นานเท่าไหร่แต่ผมก็ทำงานใกล้จะเสร็จแล้ว เหลืออีกแค่ไม่กี่อย่างที่ต้องใส่เพิ่มเข้าไป งานที่ผมต้องส่งอาจารย์ก็จะสมบูรณ์ แต่ในระหว่างนั้นเสียงกีตาร์ก็ดังขึ้นเบา ๆ ผมเลยต้องเอี้ยวหน้าตัวเองเพื่อมอง
ชนินมันกำลังพิงผนังห้องดีดกีตาร์อยู่บนเตียง
ไม่อยากจะพูดเหมือนตัวเองรู้ดีเกินไป แต่...แม่งดีดไม่เป็นเพลง
“บอด”
ผมเผลอพูดออกไปทั้งที่ไม่ได้หันไปมองมันเล่น สายตาจ้องอยู่กับงานของตัวเองแต่ก็ได้ยินเสียงว่ามันพักนิ้วไปสักพักก่อนจะเริ่มดีดใหม่ แต่ผมก็เผลอขำออกมาเพราะว่ามัน...
“เพี้ยน”
มันหยุดเล่นทันที
“ถ้าเพี้ยนก็มาสอนสิ”
“ทำไมกูต้องสอน” ผมหมุนเก้าอี้กลับไปถามมันด้วยความสงสัย เลิกคิ้วเหมือนคนอยู่เหนือกว่ามันที่อยู่ในท่านั่งกอดกีตาร์เอาไว้
“ก็ถ้าเก่งจริงก็คงจะสอนได้ จริงไหม”
หืม...พูดเข้าหูดีนี่
“พูดได้ดี” ผมยกยิ้มมุมปาก ลุกขึ้นเดินมาหามันแล้วนั่งลงข้าง ๆ กระดิกนิ้วเอากีตาร์มันมา “เอามานี่”
ไอ้ชนินยื่นกีตาร์มาให้ผม ผมยกกีตาร์มาวางไว้บนตักแล้วสอนจับอย่างชำนาญ “มึงจับแบบนี้”
“เอฟได้ไหม” ผมหันไปถามมัน
“ไม่ค่อยได้ ส่วนใหญ่ได้แต่เกรดบีกับซี”
ไอ้สัด
“...กูหมายถึงคอร์ดเอฟ” ผมถลึงตาใส่มัน แต่มันกลับยิ้มชอบอย่างคนพอใจ
“ชอบบอด”
เห็นมันตอบไม่กวนตีนอีกผมเลยยอมสอนมันดี ๆ มีการช่วยมันจับบ้าง บอกมันเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้มันลองดีดเป็นเพลง ผมพอใจอยู่นิดหน่อยที่มันสอนแล้วเข้าใจได้เร็ว บางคนผมสอนกว่าจะจับเป็น บอกแล้วบอกอีก
“ใกล้ละ”
“ใกล้?” มันเลิกคิ้วถาม
“ใกล้จะเป็นเพลงละ ลองใหม่”
มันหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะเริ่มดีดใหม่ คราวนี้พอฟังได้แต่ก็ไม่ถึงกับเรียกว่าเพราะ ก็ธรรมดานั่นแหละ “เริ่มดี พอเข้าวัดได้ แต่อย่าไปดีดหน้าหอล่ะ เดี๋ยวหมาหอน สงสารตัวเองเปล่า ๆ”
“งั้นเล่นให้ฟังหน่อย” มันยื่นกีตาร์มาให้ผม ผมเลยรับมา
“เพลงอะไร มึงว่ามา”
ไอ้ชนินเปิดหน้าหนังสือเพลงไปที่เพลงเพลงหนึ่ง ผมมองอยู่สักพักก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมามองมัน
“เดี๋ยวร้องให้ เริ่มท่อนฮุกเลย”
เห็นมันพูดแบบนั้นผมเลยอยากจะรู้เหมือนกันว่ามันร้องเพราะไหม คงจะดาษดื่นทั่ว ๆ ไป ก่อนจะยกกีตาร์ขึ้นมาจับแล้วเริ่มดีดเป็นเพลงตามที่มันบอก...
แต่มันก็ดันทำดีกว่าที่ผมคาดไว้
“...ฉันเองไม่มีเลิศเลออย่างคนอื่นเขา แต่มีฉันเอาไว้ไม่เหงาฉันรับรอง”
เสียงของมันทำให้ผมเคลิ้มไปกับเพลง
“อาจไม่หล่อพอ ให้เธอเหลียว แต่ว่าฉันคนเดียวรักใครแล้วรักปักหัวใจ ไม่ชอบไม่เป็นไร แต่ขอให้ฉันได้โฆษณาตัวเองสักหน่อย...”
“อาจดูไม่ดีนัก แต่ร้องเพลงเพราะ พร้อมทำให้เธอหัวเราะยิ้มได้ทั้งวัน...”
ชนินหันมาสบตากับผมในขณะที่ผมกำลังดีดกีตาร์ให้กับมัน
“...ดูแลก็ได้ เอาใจก็ได้ อาจไม่หล่อเท่าไหร่ แต่หัวใจฉันหล่อ...เลย”
เสียงของมันเงียบไปแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก เพราะตรงหน้าที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้คือดวงตาของมันที่กำลังสบตาอยู่กับผม
ความเงียบเข้ามาแทนที่ ผมปล่อยให้จิตใจผมล่องลอยไป นึกคิดไปกับความหมายของเพลงรวมไปถึงสายตาของมันที่กำลังวูบไหว...
“...เพลงจบแล้วนะ”
ผมเบิกตากว้างตกใจเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับทำให้มันผิดสังเกต มันยกยิ้มบาง ผมเลยตั้งสติก่อนจะแค่นหัวเราะเหมือนคนดูถูก
“อย่างกับหมาหอน...เอาคืนไป”
ผมยื่นกีตาร์คืนมันไปก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินไปที่คอมของมัน เซฟไฟล์ลงแฟรชไดร์ฟกดเข้าไปส่งงานที่ลิงค์ที่อาจารย์โพสต์ไว้ให้แล้วล็อกเอาท์ออกจากเฟสบุคของตัวเอง ถอนแฟรชไดร์ฟออกมาแล้วหลังจากนั้น...
“พรุ่งนี้มึงว่างไหม”
“ว่าง”
“...สองทุ่มไปดูหนัง หรือถ้ามึงไม่อยากไปก็เรื่องของมึง”
มันเงียบไปสักพักก่อนจะแย้มยิ้มออกมา มือทั้งสองข้างจับกีตาร์เอาไว้ “ตอบแทนเรื่องคอมเหรอ”
“...” ผมไม่ได้ตอบอะไรมัน ทำเพียงแค่จ้องมอง
“อืม...”
“...เจอกันที่หน้าโรงหนังนะ”
หึ ก็ตามนั้น
…
เหมือนการชวนไอ้ชนินไปดูหนังคืนนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำเท่าไหร่ เพราะหลังจากส่งงานที่ห้องมันเสร็จพอกลับเข้ามาที่ห้องของตัวเองยังไม่ทันถึงสิบนาที พี่แรมก็โทรมาขอให้เข้าไปช่วยงานหน่อย เลยต้องละงานที่ตั้งไว้ว่าจะทำแล้วต้องลุกขึ้นบึ่งรถไปที่ร้านของพี่แรม ร้องเพลงเสร็จกว่าจะกลับก็เกือบตีสาม ไม่พอยังต้องตื่นเช้ามาเรียนตอนเจ็ดโมงครึ่งอีก ปวดหัวยิ่งกว่าเมาค้างซะอีก
ยังไงคืนนี้ตอนสองทุ่มผมก็ต้องไปให้ได้ ไม่อยากกลายเป็นไอ้หน้าโง่ผิดนัดให้มันล้อกันเล่นหรอก
แต่การที่คนเรานอนไม่พอแล้วซ้ำยังต้องมาเจอเรื่องน่ารำคาญมันก็ยิ่งทำให้อารมณ์หงุดหงิดเพิ่มขึ้นไปทวีคูณ โดยเฉพาะตัวการอย่างไอ้ลมที่วันนี้มันดูสอดรู้เป็นพิเศษจนผมปวดหัวไปซีกหนึ่งแล้ว
“เบส กูอยากถาม” มันโพล่งขึ้นมาหลังจากที่อาจารย์เดินออกไปจากห้องแล้ว
“กูไม่ตอบ”
“ทำไมไม่ตอบอ่ะ!” มันพูดเสียงดังมากกว่าเดิม ผมขมวดคิ้วแน่นไปกับเสียงของมัน
“กูรู้ว่ามึงจะถามเรื่องอะไร”
“งั้นแปลว่ามึงกับชนิน...!” ไอ้ลมยกนิ้วขึ้นมา ตาเบิกกว้างตกใจสุดขีด แต่ผมก็ยกมือขึ้นปิดปากมันได้ทันก่อนที่มันจะพูดออกมา
“อย่าพูดชื่อมันให้กูได้ยิน”
“กูไปละ เจอกัน” ผมละมือออกจากปากของมันก่อนจะลุกขึ้นยืน หยิบเอากระเป๋าขึ้นมาสะพายแล้วเดินออกไปจากห้อง
“เฮ้ยยย กลับมาก่อนดิ มึงอย่าเดินหนีไปแบบนี้ดิ! ทีเรื่องกูมึงอยากรู้จังเลย ไอ้เบส!” เสียงของไอ้ลมตะโกนไล่หลังมา แต่ผมหาสนใจไม่นอกจากเดินตรงดิ่งลงบันไดไปที่รถของตัวเองแล้วขับหนีมันออกมา
ถึงจะง่วงแค่ไหนสุดท้ายผมก็ยังมาตามที่นัดมันเอาไว้ ก็อย่างที่มันเคยบอกว่าผมมาเลี้ยงมันตอบแทนเรื่องที่มันให้ผมใช้คอมทำงาน จะเลี้ยงข้าวน่ะมันก็ได้อยู่หรอก แต่ไม่รู้ทำไมตัวเองถึงได้พูดชวนมาดูหนังแบบนี้ซะได้
ถือว่าเลี้ยงเด็กตาตี่ ๆ ไปแล้วกัน
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้สองทุ่มกับอีกสิบกว่านาที สายไปสิบนาทีมันสมควรตบกะบาลให้แยกเป็นสองทางจริง ๆ
แต่ยังไม่ทันที่จะสาปแช่งมันในใจได้สิบประโยค ตัวการมาสายก็วิ่งหอบแฮ่กเข้ามาที่หน้าโรงหนังในเซนทรัลอย่างเหนื่อยอ่อน มันใส่ชุดช็อปสไตล์มันตามนิสัยไม่ได้เปลี่ยนชุดมาเหมือนกับผม เหนื่อย ๆ มาแบบนี้ดูท่าคงเพิ่งจะกลับมาจากที่ไหนสักแห่ง
“ขอโทษ เพิ่งเลิกงาน” มันพูดออกมาท่าทางหอบ ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างยันเข้าที่ข้อเข่าของตัวเองแต่ก็ยังเงยหน้าขึ้นมายิ้มรู้สึกผิดให้
“นี่มึงทำงานด้วย” ผมถามออกไป เอามือล้วงกระเป๋ากางเกง
“ที่ร้านนั่นแหละ”
มันไม่ได้ขยายความว่าที่ร้านนั่นแหละคือที่ไหน แต่ผมก็พอจะตีความหมายออกอยู่บ้างว่ามันคงหมายถึงร้านที่ผมเคยไปเลี้ยงฉลองวันเกิดพี่เพลงครั้งก่อน อยากจะถามอยู่เหมือนกันว่าพี่เอาตาข้างไหนเลือกจ้างมัน
“...อยากดูอะไรก็ไปซื้อ” ผมถอนหายใจหน่าย พยักพเยิดหน้าไปทางตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ ก่อนจะหยิบยื่นบัตรสมาชิกให้
“แล้วอยากดูอะไร”
“ย้อนถามกูทำเพื่อ”
“ก็ชวนมาจะเลี้ยงตอบแทนไม่ใช่เหรอ”
ผมสบตากับมันที่ดูสงสัยกันเป็นพิเศษ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกอย่างแรง ยกมือขึ้นสะบัดไปมาแบบปัด ๆ
“ไปจิ้ม ๆ ซื้อมาไป”
“แน่ใจนะ?”
“...กูประชดไหมล่ะ”
“ก็หยอกเล่นเหมือนกัน” มันยิ้มมุมปากก่อนจะหมุนตัวเดินไปต่อแถวซื้อบัตรที่ตู้ พอเห็นว่ามันไม่ได้มายืนต่อปากต่อคำอะไรอีก ผมเลยหันไปสอดส่องสายตามองคนที่กำลังเดินเข้ามาซื้อตั๋วหนังแบบประปราย
“กินอะไรไหม” เสียงของไอ้ชนินดังขึ้นมาอีกรอบพร้อมทั้งมือที่ยื่นส่งเงินทอนกับตั๋วหนังมาให้ ผมรับมาดูไม่รู้ว่ามันเลือกซื้ออะไรไป เพราะผมก็ยังไม่ได้ดูโปรแกรมหนังเลยด้วยซ้ำ
“ไม่”
ไอ้สัด แม่งฟังคำว่าไม่เป็นใช่หรือไง
ผมอยากจะสบถออกมาเพราะมันเดินหมุนตัวไปอีกทางทันทีหลังจากที่ผมปฏิเสธออกไป ก่อนจะเดินกลับมาส่งขวดน้ำเปล่ามาให้
“น้ำเปล่าเนี่ยนะ?” ผมทำเพียงหรี่ตามองขวดเปล่านั้นไม่ได้ยื่นมือไปรับ
“กินเป๊บซี่มากไปไม่ดีต่อสุขภาพ น้ำเปล่าน่ะดีแล้ว”
ผมแค่นเสียงออกมา เดินนำมันไปนั่งบนโซฟาของทางโรงหนังเพื่อรอเข้าโรง ไม่ได้นึกอยากจะออกไปเดินดูอะไรที่ไหน ไอ้ชนินเองก็เดินมานั่งลงอยู่ข้าง ๆ
“อีกสามสิบนาทีเข้าโรง ไปไหนก่อนไหม”
“นั่งรอตรงนี้จะเป็นอะไรไปล่ะ” ผมกอดอกพลางตอบมัน อยากเข้าโรงหนังไปดูให้จบ ๆ แล้วกลับห้องเต็มแก่
จากนั้นผมกับมันก็นั่งเงียบกันไปสักพัก ที่เงียบไม่ใช่อะไรเพราะผมไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่ มัวแต่ตอบข้อความของคนที่พากันทักเข้ามาในเฟสบุคไม่ขาดสาย มีคนรู้จักและคนที่เพิ่งรู้จักบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้ไม่ดี...
“...มาดูหนังด้วยแบบนี้ แฟนไม่มาด้วยเหรอ” ไอ้ชนินถามขึ้นมา น้ำเสียงดูบางเบาเหมือนคนถามขึ้นมาแบบลอย ๆ ผมหันไปมองมันที่เบี่ยงเสี้ยวหน้ามาถาม ผมนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป
“กูเลิกกันแล้ว มึงจะทำไม”
ไอ้ชนินทำเพียงจ้องตาผมกลับ มันไม่ได้รู้สึกแปลกใจหรือตกใจเลยสักนิด แค่เล่นจ้องตา...กับผมเท่านั้น
“มองอะไร” ผมอดไม่ได้ที่จะพูดขัดมันออกไป แต่มันทำแค่ส่ายหน้าช้า ๆ ไปมาเบา ๆ
“เปล่า”
“ใกล้เวลาแล้ว เข้าโรงกันเถอะ”
มันยิ้มบางแล้วลุกขึ้นยืนเดินนำผมไปที่ทางเข้าโรงหนัง ผมมองมันพลางใช้ความคิดแน่ใจแล้วว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาแล้วลุกขึ้นเดินตามมันไปบ้าง
ไอ้ชนินเลือกที่นั่งอยู่ไกลหน้าจอโรงหนังพอสมควร ไม่รู้มันสายตายาวหรือห่าอะไรแต่ก็ถือว่าเป็นส่วนตัว ไม่รู้มันจะเอาแบบส่วนตัวทำไม ในโรงก็มีคนดูอยู่แค่ไม่กี่คน อยากจะด่ามันนักแต่ก็ได้แต่นั่งตรงตามหมายเลขที่มันบอก แล้วกอดอกดูหนังไปเงียบ ๆ
แต่ดูกันไปสักพัก...ผมก็รู้สึกง่วงขึ้นมา
มันไม่ได้แปลว่าหนังไม่สนุก แต่วันนี้ผมเพลียมาทั้งวัน รู้สึกอยากจะนอนเต็มแก่ จนสุดท้ายผมก็ไม่อาจฝืนเปลือกตาอันหนักอึ้งของตัวเองก่อนจะปล่อยให้มันเป็นไป
...
แรงสัมผัสหนัก ๆ อยู่ทางด้านไหล่ขวาทำให้ผมรู้สึกแปลกอยู่นิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังหันไปมองด้วยความสงสัย ก่อนจะพบว่า...เบสหลับไปแล้ว
“...นี่” ผมยกตัวเองขึ้น ใช้ไหล่สะกิดเบา ๆ แล้วเรียกเสียงกระซิบ
แต่ใบหน้าที่ชอบทำสีหน้ากวนตีนอยู่ตลอดเวลาตอนนี้มีร่องรอยของคนอ่อนเพลียอยู่เล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิทรวมไปถึงปากปีจอที่มักจะชอบพูดจารุนแรงอยู่ตลอดเวลาก็ปิดแน่นสนิทไม่มีการพูดคุยไปด้วย ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอเป็นหลักฐานอย่างดีที่ผมรับรู้ได้ว่า เจ้าตัวกำลังหลับลึกแถมยังใช้ไหล่ของผมเป็นหมอนอิงไปเรียบร้อยแล้ว
ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวเองก็เลิกงานเกือบจะตีสามแท้ ๆ แถมยังต้องตื่นเช้าไปเรียนอีก ไม่เหนื่อยก็แปลก
ผมยิ้มบาง มองความดื้อด้านของอีกฝ่ายที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ดูน่ารักไปเสียหมด
ส่วนเรื่องที่ทำไมผมถึงรู้ว่าอีกฝ่ายทำงานเลิกดึกก็เพราะก่อนหน้านั้นผมเคยถามพี่นายไปแล้วว่าเบสทำอะไรมาถึงได้เปิดประตูเข้าห้องเกือบจะตีสองตีสามเวลาที่ผมยังเล่นเกมอยู่ เพราะอย่างนั้นผมถึงได้รู้คำตอบ
“...”
ผมค่อย ๆ ขยับตัวอย่างเบา ๆ และเชื่องช้าพอที่จะไม่ปลุกอีกฝ่ายขึ้นมาจากการนอนพัก ค่อย ๆ ถอดเสื้อช็อปของตัวเองออกมาก่อนจะห่มเข้าที่ร่างของปากปีจอที่กำลังสั่นไหวเพราะความหนาว
ก่อนที่ร่างกายของเบสจะสงบลงไปอีกครั้ง ลมหายใจยังคงหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอและแผ่วเบา
ผมยิ้มบาง ปัดเส้นผมที่ปรกหน้าให้ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับหนังต่อ
เอาไว้รอตื่นมาผมจะเล่าช่วงแรกของหนังให้ฟังแล้วกัน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เขารอเธอเลิกกับแฟนทุกวันเลยไม่ตกใจไงคะ รอเคลมตลอดเวลา
มันคือ..ความห่วงใย.งัยยยยย????
อ่านไปนั่งย้ิมไป