ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โครงการเรื่องสั้นช่วงปิดเทอม หัวข้อ "เรื่องหมา ๆ"

    ลำดับตอนที่ #4 : เรื่องสั้น - เรื่องหมา ๆ - r@kia

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ย. 53


    เรื่องหมา ๆ

     

                    ใคร ๆ ก็พูดกันว่า เกตน์เป็นเด็กที่โชคดีที่ได้อยู่ในครอบครัวดี

                    ครอบครัวของเกตน์อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งแถบชานเมือง ทั้งหมู่บ้านมีเพียงสิบกว่าหลังคาเรือนเท่านั้นผู้คนในหมู่บ้านจึงค่อนข้างสนิทสนมคุ้นเคยกันดี

                    หลังเลิกเรียน เกตน์และเพื่อน ๆ มักจะไปรวมตัวกันที่ลานหมู่บ้าน พวกผู้หญิงบ้างจับกลุ่มคุยกัน บ้างเล่นกระโดดยางส่งเสียงคิกคักเป็นที่สนุกสนาน เกตน์และกลุ่มเพื่อนผู้ชายเองก็เล่นฟุตบอลส่งเสียงดังไม่แพ้กัน จนฟ้าเริ่มมืดนั่นแหละถึงแยกย้ายกันกลับบ้าน

                    บ้านของเกตน์เป็นบ้านไม้สองชั้นอยู่ไม่ไกลจากลานหมู่บ้านนัก ฝีเท้าเด็กประถมอย่างเกตน์วิ่งไม่เกินห้านาทีก็ถึงแต่เกตน์ไม่เคยต้องวิ่งเลย เกตน์คอยดูเวลาไม่ให้กลับบ้านช้าเกินไปเสมอเพราะกลัวพี่เมษจะเป็นห่วง

                    พี่เมษเป็นพี่สาวของเกตน์ พ่อแม่ของเกตน์ทำงานอยู่ที่อื่นเกตน์จึงไม่ได้พบพวกท่านบ่อยนักนอกจากช่วงวันหยุดเทศกาล พี่เมษจึงทำหน้าที่คอยดูแลเกตน์มาตลอด และด้วยความที่อายุห่างกันมากจึงทำให้คนเข้าใจผิดว่าพี่เมษเป็นแม่ของเกตน์อยู่เสมอ เมื่อเจอใครทักเช่นนี้พี่เมษมักจะตอบยิ้ม ๆ กลับไปว่า ถ้ามีลูกน่ารักอย่างเกตน์ก็คงดีแต่ยังหาพ่อให้ไม่ได้

                    เป็นคำตอบที่ทำให้เกตน์ทั้งดีใจและกังวลใจในเวลาเดียวกัน  ดีใจที่พี่เมษบอกว่าเกตน์เป็นเด็กน่ารัก แต่ก็กังวลใจว่า พี่เมษจะต้องหาพ่อให้ทำไมในเมื่อเกตน์ก็มีพ่ออยู่แล้ว

                    เมื่อกลับถึงบ้านเกตน์จะเริ่มรดน้ำต้นไม้ที่อยู่ในบริเวณบ้าน ทั้งสวนครัวของพี่เมษและไม้ประดับของพี่มีนที่แขวนเรียงรายไปตามแนวรั้ว พี่มีนเคยบอกว่า “คนใจเย็นจะปลูกต้นไม้ได้งอกงามดี หากคนใจร้อนมาจับจะทำให้ต้นไม้เหี่ยวเฉา” ซึ่งเกตน์ไม่ค่อยจะเชื่อนักเพราะพี่มีนเป็นคนใจร้อนจนขึ้นชื่อแต่ก็เห็นต้นไม้ของพี่มีนสวยดีทุกต้น

                    พี่มีนเป็นพี่ชายอีกคนของเกตน์ เป็นฝาแฝดของพี่เมษที่เหมือนกันเฉพาะหน้าตากับวันเกิดเท่านั้น นอกนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง พี่เมษเป็นคนอ่อนหวานใจเย็นจะทำอะไรมักใช้เวลาคิดนานจนติดจะเชื่องช้า ส่วนพี่มีนเป็นคนใจร้อนทำอะไรรวดเร็วจนเกตน์ตามไม่ทัน

                    แต่ถึงจะต่างกันขนาดนั้น แต่พี่เมษกับพี่มีนก็ไม่เคยทะเลาะกันเลยสักครั้งเดียว

                    หลังจากรดน้ำต้นไม้เสร็จแล้วเกตน์จึงเริ่มทำการบ้านรอพี่มีนกลับจากงานเพื่อจะทานอาหารเย็นพร้อมกันทั้งครอบครัว พี่มีนเองก็ไม่เคยกลับบ้านช้าเพราะรู้ว่า น้อง ๆ จะอยู่รอ “เวลาอาหารเย็นเป็นเวลาของครอบครัว” พี่เมษพูดไว้อย่างนั้น

                    ด้วยความที่อยู่ด้วยกันแค่สามคนพี่น้องและยึดคติ “ครอบครัวมาเป็นอันดับแรก” ครอบครัวเล็ก ๆ ของเกตน์จึงอบอุ่นจนน่าอิจฉา

                    วันนี้ก็เหมือนกับทุกวัน หลังอาหารเย็นทั้งสามคนจะมาอยู่รวมกันในห้องนั่งเล่น ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ พูดคุยตามประสาพี่น้อง พี่มีนมักจะดูข่าวในโทรทัศน์และแสดงความคิดเห็นส่วนตัวให้พี่เมษฟัง นาน ๆ ครั้งพี่เมษจึงจะเงยหน้าขึ้นจากหนังสือมาตอบพี่มีนบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเพียงพยักหน้าเท่านั้น

                    เกตน์กำลังนั่งอ่านการ์ตูนเพลิน ๆ เมื่อจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังแทรกขึ้นมา  เกตน์พยายามฟังหลายครั้งจนแน่ใจว่า ไม่ใช่เสียงจากโทรทัศน์เขาจึงหันไปหาพี่เมษที่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือพอดี สายตาของเกตน์คงจะมีคำถามเพราะพี่เมษตอบกลับมาว่า “เสียงหมาหอนน่ะเกตน์”

                    จริง ๆ แล้วเกตน์ก็พอจะรู้ว่า เป็นเสียงอะไร แต่ที่แปลกใจเพราะปกติในหมู่บ้านนี้ไม่มีหมา ยิ่งเสียงหมาหอนยามค่ำคืนยิ่งไม่เคยมีมาก่อน “หมาจากที่ไหนครับพี่เมษ”

                    “จากบ้านหัวหน้ามั้ง พี่เห็นเมื่อตอนเย็น” พี่มีนลดเสียงโทรทัศน์ลงก่อนจะหันมาตอบ  หัวหน้าที่พี่มีนเรียกหมายถึงลุงสินที่อยู่บ้านถัดไปอีกสามหลัง ลุงสินเป็นข้าราชการบำนาญ ในแต่ละวันลุงแกจะเดินดูความเรียบร้อยรอบ ๆ หมู่บ้าน และคอยให้คำปรึกษาในเรื่องงานไม้งานช่าง ชาวบ้านจึงพากันเรียกแกว่า หัวหน้า

                    “หมาเลี้ยงหรือหมาหลง” พี่เมษถามขำ ๆ เป็นที่รู้กันดีว่าลุงสินชอบเก็บสารพัดสัตว์มาเลี้ยง ไม่ว่า แกจะไปเจอลูกนกปีกหักหรือแมวบาดเจ็บเป็นต้องเก็บมาเลี้ยงทั้งนั้น ที่น่าประหลาดคือไม่มีตัวไหนอยู่กับแกได้นาน พอแข็งแรงแล้วมักจะหนีไปทำให้แกบ่นไปหลายวัน

                    “คงหลงแหละ อยากรู้เหมือนกันว่าคราวนี้จะอยู่กับแกกี่วัน” พี่มีนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

                    เกตน์เองก็พลอยขำไปด้วย ข่าวลุงสินมีหมาตัวใหม่คงเป็นหัวข้อสนทนาที่น่าสนใจของกลุ่มเขาในวันพรุ่งนี้ และบางทีตอนเย็นเกตน์จะชวนเพื่อน ๆ ไปเล่นกับมันดูบ้าง คงต้องรีบไปพรุ่งนี้เลยก่อนที่มันจะแข็งแรงแล้วหนีลุงสินไปอีก

     

                     ที่โรงเรียน ข่าวเรื่องหมาตัวใหม่ของลุงสินเป็นหัวข้อใหม่ของวงสนทนาดังคาด เกตน์เองก็ได้ข้อมูลเพิ่มจากเดชที่เป็นหลานลุงสินว่า หมาตัวนี้หลงทางมาจากไหนไม่รู้ ตอนที่ลุงสินไปเห็นนั้นมันหมอบอยู่แถว ๆ ข้างถนน ผอมอย่างอดอยากมานานแต่ไม่กลัวคน คาดว่า จะเป็นหมาที่เจ้าของเอาไปปล่อยแล้วหาทางกลับบ้านไม่เจอ

                    เย็นนั้น ที่บ้านลุงสินมีคนเยอะตามคาด เด็ก ๆ แทบทั้งหมู่บ้านแห่กันมาดูหมาตัวใหม่ของแกซึ่งแกก็ไม่ว่าอะไรกลับจะยินดีด้วยซ้ำที่ใคร ๆ พากันสนใจมากขนาดนี้

                    หมาตัวใหม่ของลุงสินก็รับแขกเป็นอย่างดี มันเดินกระดิกหางให้ทุกคนอย่างเป็นมิตรและไม่มีทีท่าว่าจะถอยหนีเมื่อมีใครยื่นมือไปจับ ทุกคนต่างก็ชมว่า มันเป็นหมาพันธุ์ดี ขนสวย เกตน์เองก็ได้ลูบหัวมันครั้งหนึ่งแต่กลับไม่รู้สึกชอบใจนัก ขนของมันหยาบกระด้างไม่เหมือนที่ใคร ๆ พากันชมนักหนา

                    แต่เมื่อเห็นเพื่อน ๆ กำลังเห่อเต็มที่เกตน์จึงไม่พูดอะไร

                    เย็นนั้นหมาตัวใหม่ของลุงสินกลายเป็นหัวข้อสนทนาหลักของบ้านเกตน์  พี่เมษเล่าให้ฟังว่า มันเดินตามลุงสินไปรอบ ๆ หมู่บ้านทำตัวเหมือนเป็นสุนัขตำรวจ  พี่มีนก็ชอบที่มันเห่าไล่บุรุษไปรษณีย์ที่เป็นคนแปลกถิ่นมาจนกระทั่งลุงสินบอกให้มันหยุดมันก็หยุดอย่างว่าง่าย

                    “หมาตัวนี้ท่าทางจะอยู่นาน” พี่ทั้งสองของเกตน์สรุปเช่นนั้น

     

                    ผ่านไปหลายเดือน หมาตัวใหม่ของลุงสินที่ตอนนี้ใคร ๆ ในหมู่บ้านเรียกมันว่า เจ้าอ้วน ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหนีไปไหน มันทำตัวเป็นหมาประจำหมู่บ้านอย่างเต็มที่ เมื่อมีใครแปลกถิ่นผ่านเข้ามามันจะเห่าไล่อย่างไม่ปรานีจนกว่าจะมีชาวบ้านสักคนบอกให้มันหยุด แต่ทุกคนก็ชอบใจที่มีมันอยู่ในหมู่บ้านและมักจะเอาของกินให้มันอยู่เสมอจนมันอ้วนสมชื่อ

                    แรก ๆ เกตน์เคยพยายามจะเล่นกับมัน แต่ก็ได้ไม่นาน เมื่อมันเห็นว่าเกตน์ไม่มีอะไรให้กินมันก็จะวิ่งไปหาเด็กคนอื่นโดยเฉพาะเดชที่มีขนมติดมือมาให้มันเสมอ

                    เกตน์ไม่ชอบกินขนม และไม่เห็นความจำเป็นที่จะซื้อขนมมาให้เจ้าอ้วนกินทั้งที่มันก็กินทั้งวันอยู่แล้ว  นานวันเข้าเจ้าอ้วนก็ไม่เฉียดเข้าใกล้เกตน์อีกเลย

                    เกตน์เองก็ไม่ได้สนใจมัน เพราะหากต้องเอาขนมมาซื้อความเป็นเพื่อนแล้วมิตรภาพนั้นก็ไร้ค่า

     

                    วันหนึ่งเดชเอาข่าวที่น่าตื่นเต้นมาเล่าให้เพื่อนฟังที่โรงเรียน

                    เจ้าอ้วนจับขโมยได้!

                    เดชเล่าให้เพื่อนฟังว่า เจ้าอ้วนจับขโมยที่ย่องเข้าบ้านลุงสินได้เมื่อคืนนี้ มันย่องเงียบ ๆ โดยไม่ส่งเสียงก่อนกระโจนเข้างับเต็มแรงและไม่ยอมปล่อยจนกระทั่งลุงสินออกมาจับแยก  โจรคนนั้นเลือดไหลโชกไปทั้งขา – เดชบอกว่าอย่างนั้น

                    เช่นเคย คืนนั้นเกตน์ได้ยินพี่เมษกับพี่มีนคุยกันเรื่องนี้ พี่มีนออกจะสะใจและดีใจที่มีเจ้าอ้วนอยู่ในหมู่บ้าน “จากนี้ไปจะไม่มีขโมยหน้าไหนกล้าเข้ามาอีก”

                    แต่พี่เมษไม่เห็นด้วย พี่เมษมองว่า เจ้าอ้วนดุเกินไป และหากชายคนนั้นไม่ใช่ขโมยแต่เป็นคนรู้จักของลุงสินที่มากลางดึกจะไม่แย่หรือ และบอกว่าลุงสินควรจะฝึกเจ้าอ้วนให้ดีกว่านี้ เพราะวันนี้พี่เมษก็เห็นเจ้าอ้วนวิ่งไล่รถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งผ่านหมู่บ้านเฉย ๆ ตอนกลางวัน

                    เกตน์เองก็เห็นเหตุการณ์นี้เช่นกัน แต่ไม่ใช่มีเจ้าอ้วนเพียงตัวเดียว เกตน์เห็นมีหมาตัวอื่นวิ่งตามเจ้าอ้วนด้วยอีกสองสามตัว แต่เมื่อรถคันนั้นไปพ้นหมู่บ้าน เจ้าอ้วนก็วิ่งกลับมาตามลำพัง

                    เกตน์ไม่ได้เรื่องนี้ให้ใครฟังเพราะไม่คิดว่ามันจะสำคัญ   แต่เขาคาดผิด

                    วันต่อมามีข่าวใหม่จากเดช  เดชบอกว่า เข้าอ้วนพาหมาอีกสองตัวมาที่บ้านและพวกมันดุมาก เดชเดินเข้าบ้านไปโดยไม่คิดอะไรกลับโดนทั้งสองตัวกระโดดแยกเขี้ยวเข้าใส่  โชคดีลุงสินมาเห็นทันเดชจึงไม่โดนกัด

                    แต่ก็น่าแปลก ลุงสินตัดสินใจเลี้ยงไว้ทั้งสามตัว  อาจเพราะไม่เคยมีสัตว์ตัวไหนอยู่กับแกนานเท่าเจ้าอ้วนก็เป็นได้ แกจึงเอาใจมันทุกอย่าง

                    เย็นนั้นเกตน์แวะไปที่บ้านลุงสินก่อนกลับบ้านเพื่อจะดูหมาตัวใหม่ ลุงสินกับเดชคงไม่อยู่บ้านเพราะประตูถูกคล้องแม่กุญแจอยู่ เกตน์ยืนเกาะรั้วมองหามันไปรอบ ๆ บริเวณบ้านแต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อมีหมาสองตัวกระโจนเข้าหา โชคดีที่ประตูรั้วปิดอยู่พวกมันจึงออกมาไม่ได้

                    เจ้าอ้วนนั่งนิ่งอยู่ด้านในเหมือนเป็นจ่าฝูง ไม่ร่วมเห่าไล่เกตน์แต่ก็ไม่ได้ห้ามลูกน้องอีกสองตัว

                    จากวันนั้นเกตน์พยายามเลี่ยงไม่ไปแถวบ้านลุงสินอีก

     

                    เย็นนั้นพี่เมษเล่าให้พี่มีนฟังว่า ป้าใจที่เป็นแม่ค้าบ่นเรื่องตู้กับข้าวโดนรื้อ ป้าใจสงสัยหมาของเจ้าอ้วนแต่ไม่มีหลักฐาน จะไปพูดกับลุงสินตรง ๆ ก็ไม่ได้เพราะช่วงหลังลุงสินจะไม่พอใจเอาง่าย ๆ ถ้ามีใครไปว่าหมาแก

                    พี่มีนไม่คิดว่าเป็นฝีมือเจ้าอ้วน  “ป้าแกคิดไปเองละสิ หมาลุงสินนิสัยดีจะตายไปเด็ก ๆ ก็ชอบมันทั้งนั้น จริงไหมเกตน์”

                    เกตน์ไม่เคยเล่าเรื่องที่เกือบโดนกัดให้ใครฟังและก็คิดว่า ไม่ควรเล่าเพราะพี่มีนต้องไปเอาเรื่องลุงสินแน่นอน แต่ก็จะกลายเป็นไม่มีหลักฐานอีกเพราะเกตน์ก็ไม่ได้บาดเจ็บ เกตน์ไม่อยากให้พี่มีนทะเลาะกับลุงสิน เกตน์จึงพยักหน้าไปอย่างนั้น อย่างน้อยเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนก็ชอบมัน

                    “นี่ป้าใจแกบอกว่า โดนหลายครั้งแล้ว แกจะไปหาหมามาเฝ้าบ้านบ้างไม่รู้จะเป็นเรื่องรึเปล่า” พี่เมษยังคงกังวล

                    “ปล่อยป้าแกไปเถอะเมษ มีหมาเพิ่มมาอีกก็ดี จะได้ช่วยกันเฝ้าบ้าน” พี่มีนยักไหล่อย่างไม่สนใจ

                    “ถ้าไม่กัดกันก็ดีหรอก”

                    เกตน์คิดว่า ที่พี่เมษหวังคงจะยากเพราะพวกของเจ้าอ้วนไม่ใช่หมานิสัยดีนักแต่ก็ไม่อยากพูดทำลายความหวังของพี่เมษ และอีกอย่าง เกตน์ก็ไม่แน่ใจว่า ระหว่างหมากัดกันกับเจ้าอ้วนได้ลูกสมุนเพิ่มอีกตัวอย่างไหนจะแย่กว่ากัน

     

                    ไม่ใช่แค่หนึ่งตัว แต่ป้าใจเอาหมามาทีเดียวสามตัว!

                    ชาวบ้านพูดกันว่า ป้าใจทำเพื่อประชดลุงสินที่เลี้ยงหมาทีละหลาย ๆ ตัว บ้างก็แซวว่าป้าใจจะเอาหมามายึดหมู่บ้านคืนจากพวกของเจ้าอ้วนเห็นเป็นเรื่องตลกขบขัน

                    ป้าใจแกจะขำด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่พวกเด็ก ๆ ชอบใจที่มีหมาตัวใหม่มาให้เล่นอีก

                    เกตน์เองก็ตามเพื่อน ๆ ไปดูเช่นกัน แต่ไม่กล้าเข้าใกล้นัก เขาไม่แน่ใจว่าเจ้าสามตัวนี้จะต่างจากพวกของเจ้าอ้วนไหม ถึงมันจะเดินกระดิกหางมาหาเขาก็ตาม

                    มีเพื่อนบ้านถามป้าใจว่า ถ้ามันจะกัดกับพวกเจ้าอ้วนป้าใจจะทำอย่างไร เพราะยังไงเจ้าอ้วนก็อยู่มาก่อน ป้าใจตอบไปหัวเราะไปว่า ก็ให้มันกัดกันเลยซี จะได้ดูหมาหมู่กัดกันให้สนุกไปเลย ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากวงสนทนาได้โดยไม่มีใครเฉลียวใจเลย

                    แต่เกตน์เห็นสายตาของป้าใจแล้ว ป้าใจเอาจริงแน่นอน

                    เย็นนั้นพี่มีนเล่าให้พี่เมษฟังว่า ระหว่างทางที่พี่มีนเดินกลับบ้าน เห็นหมาของป้าใจกับพวกของเจ้าอ้วนแยกเขี้ยวขู่กันที่ถนน  แล้วก็ปลอบพี่เมษไม่ให้กังวลเพราะ “หมามันก็แค่ทำความรู้จักกัน”

                    พี่เมษมีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง  ส่วนเกตน์เชื่อโดยสนิทใจ  สักวันพวกมันต้องกัดกันแน่นอน

                    ตอนนั้นเกตน์ยังมองเรื่องหมาในหมู่บ้านเป็นเรื่องไกลตัว

                    จนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้น

     

                    วันที่เกิดเรื่องเป็นวันหยุดแต่ไม่ใช่วันเสาร์ – อาทิตย์เพราะพี่มีนไม่อยู่บ้าน เกตน์ไม่ได้ไปโรงเรียนแต่ออกไปเล่นกับเพื่อนตั้งแต่เช้าจนกระทั่งเที่ยงจึงกลับไปกินข้าวที่บ้าน

                    เกตน์เห็นเจ้าอ้วนและลูกสมุนอีกสองตัววิ่งหน้าตื่นสวนทางไปจึงออกจะแปลกใจที่มันไม่หยุดแยกเขี้ยวขู่เกตน์เหมือนอย่างเคย  เมื่อใกล้ถึงบ้านเกตน์ก็ต้องตกใจที่เจอพี่เมษถือไม้กวาดวิ่งสวนมา  พี่เมษบอกว่า พวกเจ้าอ้วนเข้าไปรื้อตู้กับข้าวตอนที่พี่เมษขึ้นไปทำความสะอาดชั้นสองและไม่ได้ปิดประตูบ้านเนื่องจากคิดว่า ไม่มีอะไร

                    ห้องครัวที่เคยเป็นระเบียบของพี่เมษบัดนี้สกปรกเลอะเทอะข้าวของหล่นกระจายเกลื่อนเต็มพื้นบ่งบอกว่า พวกมันคงเข้ามารื้นค้นอยู่นานแล้ว

                    “พี่ก็ได้ยินเสียงนะ แต่พี่คิดว่า เกตน์กลับมาเลยไม่ได้คิดอะไร ตอนที่ลงมาเห็นพี่ตกใจมาก คว้าได้แต่ไม้กวาดอันเดียวก็วิ่งไล่พวกมันเลย”

                    เกตน์ไม่เคยเห็นพี่เมษโมโห แต่ดูจากสภาพห้องที่พวกเจ้าอ้วนเหลือทิ้งไว้แล้วพี่เมษคงทนไม่ได้จริง ๆ

                    ตอนบ่ายเกตน์เลยอยู่ช่วยพี่เมษเก็บกวาดแทนออกไปเล่นกับเพื่อน ถึงพี่เมษจะบอกให้เกตน์ไปได้แต่ยังไงช่วยกันสองคนก็เร็วกว่า

                    เย็นนั้นเกตน์ได้เห็นพี่เมษกับพี่มีนทะเลาะกันเป็นครั้งแรก

                    พี่มีนโทษพี่เมษว่า เป็นความผิดของพี่เมษที่ไม่ปิดประตูให้ดี ส่วนพวกเจ้าอ้วนนั้นอาจจะเกเรไปบ้างแต่ยังไงพวกมันก็ช่วยเฝ้าบ้านให้เรา ถ้าไม่เปิดโอกาสพวกมันก็คงไม่ทำ

                    พี่เมษยืนยันว่า สภาพข้าวของที่กระจายขนาดนั้นไม่ใช่แค่เปิดโอกาส แต่เป็นเพราะหมามันนิสัยเสียอยู่แล้ว และเปรียบเทียบกับหมาของป้าใจที่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลย

                    พี่มีนยังคงยืนยันว่า ถ้าเปิดโอกาสให้หมาของป้าใจก็ทำ

                    คืนนั้น เกตน์นอนฟังเสียงพี่สองคนเถียงกันจนหลับไป

     

                    ตลอดทั้งสัปดาห์ต่อมาเกตน์ได้ยินเพื่อน ๆ เริ่มบ่นเรื่องที่บ้านให้กันฟัง ดูเหมือนว่า แทบทุกบ้านจะมีคนทะเลาะถกเถียงกันเรื่องหมาของลุงสินกับป้าใจ บ้างก็ถกกันเรื่องหมาของใครเลวกว่า  บ้างก็เรื่องหมากลุ่มไหนจับโจรได้เยอะกว่า ทว่าท้ายที่สุดก็ลงเอยด้วยการทะเลาะไปซะทุกบ้าน

                    เกตน์เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า เรื่องหมา ๆ พวกนี้เป็นเรื่องไกลตัวหรือเปล่า

                    เย็นนั้น เกตน์กลับบ้านมาเจอพี่เมษนั่งร้องไห้อยู่ในห้อง เกตน์รู้ตั้งแต่เห็นสวนครัวของพี่เมษกระจุยกระจายไม่เหลือดี มีรอยตะกุยเศษดินกระจายไปทั่ว พี่เมษรักสวนนี้มาก

                    คืนนั้นพี่เมษกับพี่มีนทะเลาะกันอีก

     

                    วันต่อมาพี่เมษไม่ยอมให้เกตน์ออกจากบ้าน พี่เมษไปจ่ายตลาดตอนเช้าแล้วพบว่า พวกหมาทั้งสองกลุ่มเดินขู่กันอยู่ที่ถนนกลางหมู่บ้าน พี่เมษบอกว่า พี่ไม่ไว้ใจพวกมัน

                    พี่มีนกลับคิดต่างออกไป พี่มีนบอกว่า ตราบใดที่เราไม่ไปขวางทางพวกมัน เราก็จะไม่เดือดร้อน พี่มีนยืนยันจะพาเกตน์ไปโรงเรียนแต่พี่เมษไม่ยอมปล่อยมือจากเกตน์ พี่เมษบอกว่า พี่มีนจะออกไปเสี่ยงก็ให้ไปคนเดียว เกตน์ต้องอยู่ที่บ้าน

                    ทั้งสองคนเริ่มมีปากเสียงกันอีก

                    ท้ายที่สุด เกตน์เล่าให้พี่มีนฟังเรื่องที่เคยเกือบโดนกลุ่มเจ้าอ้วนกัด เกตน์ตั้งใจจะบอกพี่มีนว่า ให้ระวัง แต่พี่มีนกลับโกรธเพราะคิดว่าเกตน์เข้าข้างพี่เมษ

                    เย็นนั้นพี่มีนทานอาหารเย็นมาจากข้างนอก

     

                    เช้าวันต่อมาพี่เมษยอมให้เกตน์ไปโรงเรียน

                    ที่โรงเรียนเกตน์ได้ยินคุณครูคุยกันเรื่องนี้ ครูหลายคนเริ่มไม่สบายใจกับเหตุการณ์ที่พวกหมาขู่กันเมื่อวาน มีชาวบ้านหลายคนมาขอพบครูใหญ่เพื่อให้ไปเจรจากับลุงสินและป้าใจเพื่อขอให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมนำหมาออกไปจากหมู่บ้าน

                    เดชบอกเพื่อน ๆ ว่า ยังไงลุงสินก็ไม่ไล่พวกเจ้าอ้วนไปแน่นอนเพราะ “พวกเจ้าอ้วนจับขโมยได้”

                    แต่ก็มีคนแย้งว่า หมาของป้าใจก็ไม่ต้องออกไปเหมือนกันเพราะ “หมาของป้าใจไม่เคยขโมยของใคร”

                    “รู้ได้ไงว่า ไม่ได้ขโมย ขโมยแต่จับไม่ได้หรือเปล่า” เดชเยาะ

                    “แล้วรู้ได้ไงว่า หมาป้าใจจับขโมยไม่ได้ พวกมันอาจจะไล่ไปโดยไม่ต้องมีใครบาดเจ็บก็ได้ ไม่เหมือนพวกเจ้าอ้วนหรอก พวกมันกะเอาตาย” แตงหลานสาวของป้าใจสวนกลับ

                    “พวกโจรสมควรตาย” เดชว่า

                    ก่อนที่วงสนทนาจะกลายเป็นสนามรบ เสียงระฆังเลิกเรียนก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน เพื่อน ๆ จึงรีบดึงคู่กรณีทั้งสองแยกกันไปคนละทาง

                    เกตน์ไม่มีอารมณ์จะไปเตะบอลจึงตรงกลับบ้านทันที ระหว่างทางเกตน์เจอกลุ่มของครูใหญ่ที่ออกไปเจรจากับลุงสิน – ป้าใจ ดูจากสีหน้าที่กลัดกลุ้มของครูใหญ่แล้ว การเจรจาคงไม่สำเร็จ

                    ไม่เพียงแค่ที่โรงเรียน เกตน์ได้ยินชาวบ้านหลายคนทะเลาะกันเพียงเพราะชอบหมาคนละฝ่าย บางคนทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นขว้างปาข้าวของจนคนอื่นต้องมาจับแยก  นอกจากหมามันกัดกันแล้ว คนยังตีกันด้วยหรือ

     

                    วันถัดมาเหตุการณ์ก็ซ้ำรอยเดิม

                    พวกของเจ้าอ้วนกับพวกหมาของป้าใจเริ่มขู่ทำร้ายกันอย่างรุนแรง ไม่เพียงเฉพาะหมาด้วยกันแต่รวมถึงชาวบ้านที่บังเอิญผ่านเข้าไปใกล้พวกมันด้วย

                    พี่เมษกับพี่มีนแม้จะยังคงมึนตึงใส่กันแต่พี่มีนก็ยอมไปจ่ายตลาดแทนพี่เมษเพราะ “ข้างนอกอันตราย”

                    เกตน์แอบนึกดีใจที่พี่ทั้งสองคนจะกลับมาคืนดีกันแล้ว เกตน์ไม่คิดอะไรกับเรื่องที่หมากัดกันเพราะพรุ่งนี้ก็คงไปโรงเรียนได้เหมือนเดิม

                    แต่เกตน์คิดผิด

                    วันต่อมามีหมามาเพิ่มมากขึ้น ทั้งทางฝั่งของเจ้าอ้วนและหมาของป้าใจ จนพี่เมษไม่ยอมให้พี่มีนออกจากบ้านอีก หมาทั้งสองกลุ่มรวมกันเกือบครึ่งร้อยราวกับว่า หมาทั้งตำบลมารวมตัวกันอยู่ในหมู่บ้านเดียว  พวกมันเดินวนไปรอบ ๆ หมู่บ้านอย่างคุมเชิงซึ่งกันและกัน และบ้างก็เข้ากัดกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

                    ไม่มีใครกล้าออกมาเดินบนถนนอีก  บ้านทุกหลังปิดประตูรั้วแน่นหนา ทั้งหมู่บ้านราวกับเป็นสมรภูมิเข้าห้ำหั่นกันของหมาสองพวกเพื่อชิงสิทธิในการครองหมู่บ้าน

                    พี่เมษกับพี่มีนเริ่มอารมณ์เสียใส่กัน  พี่เมษโทษว่า เป็นความผิดของพี่มีนที่ปล่อยให้พวกเจ้าอ้วนทำตัวเป็นเจ้าของหมู่บ้านทั้งที่ควรจะดัดนิสัยมันตั้งนานแล้ว  ข้างพี่มีนก็โทษว่า มีพวกเจ้าอ้วนพวกเดียวก็ดีอยู่แล้วป้าใจไม่ควรเอาหมาตัวใหม่มา

                    ทั้งสองคนต่างก็โทษว่า เป็นความผิดของอีกฝ่ายทั้งหมด

                    เกตน์นั่งฟังเงียบ ๆ อยู่ในห้องของตัวเอง  บางทีเกตน์คงจะเด็กเกินไปจึงไม่เข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่าง

                    ทำไมพี่มีนจึงคิดว่า หมาที่ขโมยกินบ้างก็ไม่เป็นไรขอแค่จับโจรได้ช่วยเฝ้าบ้านให้ได้บ้างก็พอ

                    ทำไมพี่เมษจึงคิดว่า ต่อให้หมาไม่มีผลงานจับโจรให้เห็น แต่พวกมันไม่ขโมยกินก็ดีกว่า

                    ทำไมพี่มีนมองว่า หมาที่ไม่กัดโจรให้เห็นเลือดเป็นหมาที่ไม่ดีเพราะมันทำอะไรโจรไม่ได้ – พวกมันทำอย่างที่แตงว่าไม่ได้หรือ ไล่ไปเฉย ๆ ไม่ได้กัด

                    ทำไมพี่เมษมองว่า หมาที่ไม่เคยเห็นขโมยของจะไม่ได้ขโมยเลย – พวกมันทำอย่างที่เดชว่าได้ไหม แอบขโมยไม่ให้ใครเห็น

                    เกตน์ไม่รู้หรอกว่า ฝ่ายไหนถูก ในเมื่อสร้างความเดือดร้อนทั้งสองฝ่ายแบบนี้ผิดทั้งคู่ได้ไหม ทำไมต้องโทษกันไปมา และทำไมเรื่องหมา ๆ แค่นี้จึงทำให้ครอบครัวที่เคยอบอุ่นของเกตน์ต้องแตกแยกจนพี่ทั้งสองคนไม่มองหน้ากันอีก

                    เกตน์อยากให้พวกหมาหายไปให้หมดหมู่บ้านจริง ๆ

     

                    คืนนั้น

                    เกตน์เห็นชายคนหนึ่งเดินเข้าไปกลางฝูงหมาที่กำลังกัดกัน  เกตน์มองเห็นไม่ชัดว่า ชายคนนั้นทำอะไรแต่พวกหมาที่กำลังบ้าคลั่งได้สงบลง พวกมันหยุดกัด หยุดขู่คำราม ทุกตัวหยุดนิ่งเหมือนกำลังฟังบางอย่างที่สำคัญ

                    แล้วพวกมันก็ไป

                    ชายคนนั้นพาหมาทั้งหมดไปจากหมู่บ้าน ไม่มีเหลือเลยแม้สักตัว  ชาวบ้านค่อย ๆ เปิดประตูบ้านออกมา มีเสียงพูดคุยกันอย่างรื่นเริงเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน

                    บ้านที่เคยผิดใจกันกลับมาคืนดีกัน ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันเหมือนเคย

                    เกตน์มองลงไปที่สวนบ้านตัวเอง  พี่มีนอยู่ตรงนั้น กำลังพยายามทำสวนครัวใหม่ให้พี่เมษ ส่วนพี่เมษก็กำลังยิ้มหัวเราะร่าพลางรดน้ำไม้ประดับให้พี่มีน

                    พี่ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นมาเห็นเกตน์กำลังมองอยู่ ทั้งคู่ต่างกวักมือเรียกเกตน์ให้ลงไปสนุกด้วยกัน – เหมือนเช่นที่ผ่านมา  เกตน์ผลักหน้าต่างออกจนสุดแล้วรีบกระโดดลงไป...

     

                    แล้วเขาก็ตื่นขึ้น

                    เช้าวันใหม่อากาศสดใส เกตน์ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งจึงนึกออกว่า สิ่งที่เขาเห็นเป็นเพียงความฝัน เมื่อคืนพี่เมษและพี่มีนยังคงทะเลาะกัน เสียงหมาไล่กัดกันยังคง ...

                    หายไป?

                    เกตน์เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ  ใช่แล้ว! ไม่มีเสียงหมาไล่กัด เสียงขู่ หรือเสียงหอน  ที่จริงแล้ว มีแต่เสียงนกร้องและเสียงพูดคุยหยอกล้อดังมาจากด้านล่าง 

                    ไม่ต้องคิดอะไรอีก เด็กชายกระโดดลงจากเตียงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างว่องไว เกตน์กระโดดข้ามบันไดทีละสองขั้น เสียงหัวเราะที่ได้ยินมาเป็นระยะยิ่งทำให้เด็กชายเร่งความเร็วมากขึ้นไปอีก

                    เกตน์หวังจะเจออะไรที่ด้านล่าง 

                    ความฝันหรือความจริง 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×