ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ทุ่งนิริสเธอรานที่ไม่มีวันหวนกลับ
ตุบๆๆๆ
เสียงฝีเท้าเล็กๆดังขึ้นถี่ๆท่ามกลางที่โล่งกว้างแห่งหนึ่ง ไม่มีสิ่งมีชีวิตให้เห็น ไม่มีสีเขียวของต้นหญ้า ไม่มีแม้กระทั่งแมลง มีแต่ความว่างเปล่าและแสงแดดที่แผดเผาพื้นดินที่แห้งแล้งให้แล้งมากขึ้นไปอีก เจ้าของฝีเท้าตัวน้อยนั้นหยุดลงกลางที่โล่งเตียนแห่งนั้น เขาหลับตา ผมสีเทาและเสื้อคลุมสีครีมหลวมโพลกพริ้วไปตามกระแสลมที่พัดผ่าน ริมฝีปากของเขาเริ่มขยับช้าๆ แค่ต้นไม้ต้นเดียว...แค่ต้นเดียว...ข้าก็จะได้เห็นมันแล้ว
“ข้าแด่เทพแห่งการ...”
“หยุดนะโครมาเนีย! เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เสียงๆหนึ่งดังมาจากข้างหลัง เด็กชายรีบหันหลังไปมองด้วยความตกใจสุดขีด ร่างของผู้หญิงใส่กระโปรงอยู่ใต้เสื้อคลุมสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เด็กชายตัวสั่นด้วยความเกรงกลัว ร่างกายของเขาดูเหมือนจะหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มนั้นส่องประกายเจิดจ้า ผมยาวสีดำสนิทของหล่อนนั้นพลิ้วไสว ริมฝีปากสีแดงธรรมชาติขับกับใบหน้าที่เนียนเรียบนั้นทำให้หล่อนดูอ่อนวัย แต่ทว่าสายตาคู่นั้นกำลังจับจ้องที่เด็กชายตัวน้อยอย่างตำหนิและห่วงใย
“ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เสียงอันไพเราะแต่น่าเกรงขามนั้นก้องกังวานอยู่ในหัวของเด็กชาย
“ข...ข้า...ข้าอธิบายได้ท่านมีเลีย ข้า...” มันยากนักที่เด็กชายจะสามารถปริปากพูดอะไรออกมาได้ในเมื่อสายตาสีน้ำเงินเข้มนั้นจ้องมองเขาอยู่ เด็กชายกลืนน้ำลายช้าๆอย่างยากลำบาก พยายามหลบสายตาอันน่าเกรงขามคู่นั้น
“เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้วตอนนี้ กลับมากับข้าเดี๋ยวนี้” ผู้หญิงคนนั้นจับมือของเด็กชายที่กำลังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวแล้วเริ่มพาเดินกลับไปยังทางที่เขาวิ่งมา ตลอดทางที่เดินกลับ ทั้งคู่ไม่พูดอะไรกันเลย เด็กชายไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าของผู้ที่กำลังบีบมือของเขาด้วยความห่วงใย บรรยากาศรอบๆตัวนั้นยากที่จะอธิบาย มันวังเวงและเงียบเหงา ถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะเป็นสีครามไร้เมฆหมอก มีแต่แสงอาทิตย์ที่แผดเผาก็ตาม มันก็ไม่ได้ช่วยให้สถานที่นี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นเลยแม้แต่น้อย ไม่นานนัก ทั้งสองก็มาถึงประตูเมืองบานใหญ่มหึมาทำจากอิฐที่แข็งแกร่งทนทาน เสาสองต้นที่อยู่ตรงนั้นดูสวยงามด้วยแก้วหลากสีประดับประดาเป็นเรื่องราวชีวิตประจำวันของชาวเมือง ยามเฝ้าสวมกางเกงหลวมๆอยู่ใต้เสื้อคลุมสีเทาถือไม้เท้าแปลกๆ 2 คนยืนอยู่ที่หน้าประตูเมืองนั้น ใบหน้าของทั้งสองคนเหมือนกันอย่างกับแกะ ผมสั้นสีแดงเพลิงใต้หมวกของเสื้อคลุมของทั้งสองนั้นสุดตาใครต่อใครที่ผ่านเข้าออกเมืองเสมอ คนทางซ้ายมือเดินมาหาพวกเขาทันที
“ยินดีต้อนรับกลับสู่นิริสเธอริลครับท่านมีเลีย หาเจ้าตัวปัญหาเจอแล้วหรือครับ” เขายิ้มน้อยๆให้กันเด็กชายที่ตอนนี้ก้มมองพื้นอย่างสำนึกผิด มีเลียฝืนยิ้มเล็กน้อยแล้วหยักหน้าให้ชายเฝ้าประตูทางขวามือเปิดประตูเมือง ชายผมแดงผู้นั้นชูไม้เท้าขึ้นช้าๆ ลำแสงสีทองอ่อนๆจากไม้เท้าทำให้ประตูอิฐที่หนักอึ้งเลื่อนออกไปอย่าง่ายดาย
“ขอบใจมากแฝดโทราล” มีเลียพูดสั้นๆตามประเพณีของเมืองนิริสเธอริลแล้วจูงมือเด็กชายตัวน้อยเข้าไปข้างในเมือง แฝดโทราลก้มหัวให้แล้วประตูก็ปิดลงอย่างนุ่มนวล ทั้งคู่เดินเข้าไปในถนนที่มีผู้คนสวมเสื้อคลุมอยู่พลุกพล่าน พวกผู้หญิงก็จับจ่ายซื้อของตามร้านค้าริมทาง พวกผู้ชายก็จับกลุ่มคุยกันให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ร้านค้าส่วนใหญ่เป็นแผงลอย ผ้าที่ประดับตกแต่งนั้นมีสีฉูดฉาดดูสดใส ถนนเส้นนั้นเต็มไปด้วยละอองเวทมนต์ ทำให้ผู้คนที่สรรจรไปมารู้สึกสดชื่นและสุขใจอย่างน่าประหลาด แต่แน่ล่ะ มันไม่ช่วยให้ความโกรธที่มีเลียมีให้โครมาเนียนั้นบรรเทาลงได้เลย ทั้งคู่เดินฝ่าฝูงชนที่แน่นขนัดไปเรื่อยๆจนถึงบ่อน้ำพุกลางเมือง รูปปั้นที่บ่อน้ำพุนั้นเป็นรูปผู้หญิงผมยาวสยายทำมือเหมือนกับกำลังร่ายเวทมนต์อะไรบางอย่าง มีแสงสีฟ้าอ่อนๆลอยอยู่ที่มือนั่นด้วย ถ้าสังเกตดูดีๆ ที่เท้าของเธอกำลังเหยียบดาบที่ดูเก่าและขึ้นสนิมกับไม้เท้าที่หักเป็นสองท่อน ใครๆในเมืองก็รู้และเข้าใจความหมายของมัน ทั้งคู่เดินผ่านบ่อน้ำพุนั่นแล้วตรงไปที่ตึกหลังใหญ่หลังหนึ่ง ประตูรั้วนั้นเป็นสีทองอร่ามแลดูสวยงาม ไม่มีประตูรั้ว มีแต่แผ่นสีน้ำเงินเล็กๆกลมๆอยู่ตรงกลางรั้วสีทองนั้น มีเลียเดินไปที่แผ่นกลมๆนั้นแล้วเสกลูกไฟสีแดงดวงเล็กๆให้ลอยเข้าไปในแผ่นสีน้ำเงินนั้น ทันใดนั้นเอง พวกเขาทั้งสองก็หายไปในพริบตา ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาที่เห็นเหตุการณ์ก็ไม่ได้แคลงใจอะไร เนื่องจากนี่เป็นสิ่งที่ปกติแล้วในเมืองนิริสเธอริลแห่งนี้
พวกเขามาปรากฏตัวอีกทีในห้องโถงโล่งกว้างที่สวยงาม พื้นที่พวกเขายืนอยู่เป็นพื้นหินอ่อนสีครีมสวย เสาเป็นสีทองเหลืองอร่าม มีเลียเริ่มพาโครมาเนียออกเดินอีกครั้งโดยไม่สนใจความโอ่อ่าหรูหราของสถานที่ เสียงฝีเท้าหนักๆของหล่อนดังไปทั่วโถงทางเดินเล็กๆที่สว่างไสวไปเต็มไปด้วยสีครีมและทอง พวกเขาเดินตรงไปที่ประตูสีเขียนมรกตที่สุดทางเดินโดยไม่ชะลอความเร็ว ในไม่ช้าพวกเขาก็เดินหายเข้าไปในประตูสีเขียวมรกตบานนั้น
ห้องที่พวกเขาทั้งสองยืนอยู่ในขณะนี้เป็นห้องทรงกลมสีเทาออกเงิน สีนั้นทำให้บรรยากาศรอบๆห้องแลดูอึมครึม ตรงกลางห้องมีชายชราอายุราวๆ 80 นั่งกุมขมับอยู่บนโต๊ะสีดำด้วยสีหน้าตึงเครียด มีเลียหยุดอยู่ตรงหน้าชายชราผู้นั้น ทั้งเธอและโครมาเนียค่อยๆก้มหัวอย่านอบน้อม ชายชราเงยหน้าขึ้น ดาวตาสีเทาอ่อนแสดงความห่วงใยอยู่ใต้แว่นตาสี่เหลี่ยมผืนผ้าบางๆนั้นส่องประกาย
“โครมาเนีย เจ้าไปทำอะไรที่ทุ่งนิริสเธอราน?” น้ำเสียงอันแหบพร่าของชายชราฟังดูน่าเกรงขาม เด็กชายมองพื้นอย่าละอายใจ
“ข้า...ข้าอยากจะลองปลูกต้นไม้...ถึงข้ารู้ว่านักเวทย์ที่มีฝีมือหลายท่านทำไม่ได้ แต่ข้าอยากลอง...”
“เจ้ารู้ดีว่ามันอันตรายแค่ไหนโครมาเนีย!! เจ้าอาจจะโดนมนต์แห่งทุ่งนิริสเธอรานดึงเอาไว้ก็ได้!! มันสามารถฆ่าเจ้าได้!! เรื่องนี้เจ้ารู้ดีที่สุด!! ทำไมเจ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของข้า!!”ชายชราลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนถ้อยคำเหล่านั้นด้วยโทสะ ใบหน้าอันเหี่ยวย่นของเขากลายเป็นสีแดงก่ำ รัศมีเวทมนต์ของเขาแผ่กว้างขึ้นเล็กน้อยทำให้มีเลียและโครมาเนียสามารถรู้สึกได้ถึงไออุ่นๆที่มาสัมผัสผิวหนัง โครมาเนียอึกอัก ทุกๆคำแก้ตัวของเขาถูกลบออกไปจากหัวสมอง
“เจ้าถูกกักบริเวณอีก 2 อาทิตย์โครมาเนีย อย่าคิดแม้แต่จะหนี ไม่งั้นข้าจะทำให้เจ้าไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงเดือนแสงตะวันในโรงเรียนดัดสันดานรีโอต้า ไปให้พ้นหน้าข้าได้แล้ว” น้ำเสียงของเขายังคงเต็มไปด้วยโทสะ โครมีเนียรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องทันที โรงเรียนรีโอต้า...เขาจะไม่มีวันยอมไปที่โรงเรียนเวทมนต์ที่โหดที่สุดในนิริสเธอริลหรอก ไม่มีทาง
“เขายังต้องเรียนรู้อีกมากค่ะท่านลุง” มีเลียพูดช้าๆ เธอชินกับเหตุการณ์แบบนี้ซะแล้ว มีเด็กมากมายหลายคนในเมืองมินิสเธอรินแห่งนี้ที่ใฝ่ฝันอยากเห็นทุ่งมินิสเธอรานอย่างที่มันเคยเป็นตามที่พวกพ่อแม่ของพวกเขาเล่าให้ฟัง ทุ่งหญ้าที่มีแสงแดดอ่อนๆทอแสงอยู่ตลอดเวลา มีหญ้าสีเขียวสลับกับกับเหลืองทองดูสดใส มีดอกไม้หลากสีแลดูสวยงาม มีต้นไม้อยู่ประปราย แต่ละต้นนั้นสูงใหญ่และเขียวชอุ่ม มีนกน้อยหลากหลายชนิดบินไปบินมา ใครที่สรรจรไปมาจะรู้สึกเหมือนในสวรรค์ทีเดียว กลิ่นหอมหวานของเวทย์มนต์ที่บริสุทธิ์ ไร้มลทินยิ่งทำให้บรรยากาศดูสดชื่นมีชีวิตชีวา เธอเองก็อยากสัมผัสมันซักครั้ง แค่ครั้งเดียว แม้ในฝันก็ยังดี...
“มีจดหมายมาจากพวกเหล่านักรบแห่งเมืองเรดรีมิสต้า ขอร้องให้เราจัดส่งกองหนุนไปช่วยพวกเขารบกับเมืองเนโครพรีสโต เมืองเนโครพรีสโตประสานกำลังนักรบและนักเวทย์เข้าด้วยกัน ตอนนี้กำลังมุ่งสู่เมืองเรดรีมิสต้า” ชายชรานั่งลงแล้วกุมขมับอีกครั้ง เขาไม่ใช่คนที่สามารถตัดสินใจได้ เขาต้องส่งจดหมายฉบับนี้ให้เบื้องบน เรื่องเมื่อ 50 ปีที่แล้วทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป มีกฎออกมาว่าห้ามส่งคนไปช่วยเมืองที่มีนักรบ ถึงมันจะฟังดูไร้เหตุผลแต่ทุกคนก็เห็นด้วย
“เมืองเนโครพรีสโตชักจะเหลิงมากขึ้นทุกทีแล้ว! ตอนนี้มันอยากจะได้อะไรอีก มันพรากเอาผืนดินแห่งสวรรค์ของเราไป! มันยังจะอยากได้อะไรอีกอย่างนั้นหรือ?!” มีเลียตะโกนอย่างเหลืออด ดวงตาสีนำเงินเข้มของหล่อนค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ ชายชรายังนั่งนิ่ง เขามองไปที่ผ้าม่านสีเทาที่อยู่ด้านหลังของเขา เขาค่อยๆใช้เวทย์มนต์เปิดมันออก วิวที่เขาเห็นผ่านหน้าต่างบานนั้นเต็มไปด้วยบ้านเมืองที่มีสีสันสดใส ผู้คนที่มีสีหน้ายิ้มแย้ม ท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าใส เมืองที่เขาเห็นในตอนนี้เป็นเมืองที่สงบสุข เขาไม่อยากให้สงความมาทำลายรูปภาพบ้านเมืองที่สวยงามนี้ ไม่เอาอีกแล้ว...
“เราทำอะไรไม่ได้หรอกมีเลีย กฎคือกฎ เราไม่ใช่ผู้ที่สามารถเปลี่ยนมันได้ เจ้าจะเอาจดหมายฉบับนี้ไปให้เบื้องบนได้ไหม?” ชาราถามพลางยื่นซองจดหมายสีน้ำตาลอ่อนให้กับมีเลีย เธอโค้งแล้วรับจดหมายมาถือไว้
“สวัสดีค่ะท่าน” เธอกล่าว
“ขอบใจมากมีเลีย” ชายชราขอบคุณตามธรรมเนียมแล้วมีเลียก็เดินออกไปจากห้องๆนั้น ชายชราหลับตา เขากำลังจินตนาการภาพของทุ่งหญ้าที่สวยงาม...ซึ่งมันจะไม่มีวันให้ใครได้เห็นอีกเลย
เสียงฝีเท้าเล็กๆดังขึ้นถี่ๆท่ามกลางที่โล่งกว้างแห่งหนึ่ง ไม่มีสิ่งมีชีวิตให้เห็น ไม่มีสีเขียวของต้นหญ้า ไม่มีแม้กระทั่งแมลง มีแต่ความว่างเปล่าและแสงแดดที่แผดเผาพื้นดินที่แห้งแล้งให้แล้งมากขึ้นไปอีก เจ้าของฝีเท้าตัวน้อยนั้นหยุดลงกลางที่โล่งเตียนแห่งนั้น เขาหลับตา ผมสีเทาและเสื้อคลุมสีครีมหลวมโพลกพริ้วไปตามกระแสลมที่พัดผ่าน ริมฝีปากของเขาเริ่มขยับช้าๆ แค่ต้นไม้ต้นเดียว...แค่ต้นเดียว...ข้าก็จะได้เห็นมันแล้ว
“ข้าแด่เทพแห่งการ...”
“หยุดนะโครมาเนีย! เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เสียงๆหนึ่งดังมาจากข้างหลัง เด็กชายรีบหันหลังไปมองด้วยความตกใจสุดขีด ร่างของผู้หญิงใส่กระโปรงอยู่ใต้เสื้อคลุมสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เด็กชายตัวสั่นด้วยความเกรงกลัว ร่างกายของเขาดูเหมือนจะหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มนั้นส่องประกายเจิดจ้า ผมยาวสีดำสนิทของหล่อนนั้นพลิ้วไสว ริมฝีปากสีแดงธรรมชาติขับกับใบหน้าที่เนียนเรียบนั้นทำให้หล่อนดูอ่อนวัย แต่ทว่าสายตาคู่นั้นกำลังจับจ้องที่เด็กชายตัวน้อยอย่างตำหนิและห่วงใย
“ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เสียงอันไพเราะแต่น่าเกรงขามนั้นก้องกังวานอยู่ในหัวของเด็กชาย
“ข...ข้า...ข้าอธิบายได้ท่านมีเลีย ข้า...” มันยากนักที่เด็กชายจะสามารถปริปากพูดอะไรออกมาได้ในเมื่อสายตาสีน้ำเงินเข้มนั้นจ้องมองเขาอยู่ เด็กชายกลืนน้ำลายช้าๆอย่างยากลำบาก พยายามหลบสายตาอันน่าเกรงขามคู่นั้น
“เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้วตอนนี้ กลับมากับข้าเดี๋ยวนี้” ผู้หญิงคนนั้นจับมือของเด็กชายที่กำลังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวแล้วเริ่มพาเดินกลับไปยังทางที่เขาวิ่งมา ตลอดทางที่เดินกลับ ทั้งคู่ไม่พูดอะไรกันเลย เด็กชายไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าของผู้ที่กำลังบีบมือของเขาด้วยความห่วงใย บรรยากาศรอบๆตัวนั้นยากที่จะอธิบาย มันวังเวงและเงียบเหงา ถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะเป็นสีครามไร้เมฆหมอก มีแต่แสงอาทิตย์ที่แผดเผาก็ตาม มันก็ไม่ได้ช่วยให้สถานที่นี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นเลยแม้แต่น้อย ไม่นานนัก ทั้งสองก็มาถึงประตูเมืองบานใหญ่มหึมาทำจากอิฐที่แข็งแกร่งทนทาน เสาสองต้นที่อยู่ตรงนั้นดูสวยงามด้วยแก้วหลากสีประดับประดาเป็นเรื่องราวชีวิตประจำวันของชาวเมือง ยามเฝ้าสวมกางเกงหลวมๆอยู่ใต้เสื้อคลุมสีเทาถือไม้เท้าแปลกๆ 2 คนยืนอยู่ที่หน้าประตูเมืองนั้น ใบหน้าของทั้งสองคนเหมือนกันอย่างกับแกะ ผมสั้นสีแดงเพลิงใต้หมวกของเสื้อคลุมของทั้งสองนั้นสุดตาใครต่อใครที่ผ่านเข้าออกเมืองเสมอ คนทางซ้ายมือเดินมาหาพวกเขาทันที
“ยินดีต้อนรับกลับสู่นิริสเธอริลครับท่านมีเลีย หาเจ้าตัวปัญหาเจอแล้วหรือครับ” เขายิ้มน้อยๆให้กันเด็กชายที่ตอนนี้ก้มมองพื้นอย่างสำนึกผิด มีเลียฝืนยิ้มเล็กน้อยแล้วหยักหน้าให้ชายเฝ้าประตูทางขวามือเปิดประตูเมือง ชายผมแดงผู้นั้นชูไม้เท้าขึ้นช้าๆ ลำแสงสีทองอ่อนๆจากไม้เท้าทำให้ประตูอิฐที่หนักอึ้งเลื่อนออกไปอย่าง่ายดาย
“ขอบใจมากแฝดโทราล” มีเลียพูดสั้นๆตามประเพณีของเมืองนิริสเธอริลแล้วจูงมือเด็กชายตัวน้อยเข้าไปข้างในเมือง แฝดโทราลก้มหัวให้แล้วประตูก็ปิดลงอย่างนุ่มนวล ทั้งคู่เดินเข้าไปในถนนที่มีผู้คนสวมเสื้อคลุมอยู่พลุกพล่าน พวกผู้หญิงก็จับจ่ายซื้อของตามร้านค้าริมทาง พวกผู้ชายก็จับกลุ่มคุยกันให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ร้านค้าส่วนใหญ่เป็นแผงลอย ผ้าที่ประดับตกแต่งนั้นมีสีฉูดฉาดดูสดใส ถนนเส้นนั้นเต็มไปด้วยละอองเวทมนต์ ทำให้ผู้คนที่สรรจรไปมารู้สึกสดชื่นและสุขใจอย่างน่าประหลาด แต่แน่ล่ะ มันไม่ช่วยให้ความโกรธที่มีเลียมีให้โครมาเนียนั้นบรรเทาลงได้เลย ทั้งคู่เดินฝ่าฝูงชนที่แน่นขนัดไปเรื่อยๆจนถึงบ่อน้ำพุกลางเมือง รูปปั้นที่บ่อน้ำพุนั้นเป็นรูปผู้หญิงผมยาวสยายทำมือเหมือนกับกำลังร่ายเวทมนต์อะไรบางอย่าง มีแสงสีฟ้าอ่อนๆลอยอยู่ที่มือนั่นด้วย ถ้าสังเกตดูดีๆ ที่เท้าของเธอกำลังเหยียบดาบที่ดูเก่าและขึ้นสนิมกับไม้เท้าที่หักเป็นสองท่อน ใครๆในเมืองก็รู้และเข้าใจความหมายของมัน ทั้งคู่เดินผ่านบ่อน้ำพุนั่นแล้วตรงไปที่ตึกหลังใหญ่หลังหนึ่ง ประตูรั้วนั้นเป็นสีทองอร่ามแลดูสวยงาม ไม่มีประตูรั้ว มีแต่แผ่นสีน้ำเงินเล็กๆกลมๆอยู่ตรงกลางรั้วสีทองนั้น มีเลียเดินไปที่แผ่นกลมๆนั้นแล้วเสกลูกไฟสีแดงดวงเล็กๆให้ลอยเข้าไปในแผ่นสีน้ำเงินนั้น ทันใดนั้นเอง พวกเขาทั้งสองก็หายไปในพริบตา ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาที่เห็นเหตุการณ์ก็ไม่ได้แคลงใจอะไร เนื่องจากนี่เป็นสิ่งที่ปกติแล้วในเมืองนิริสเธอริลแห่งนี้
พวกเขามาปรากฏตัวอีกทีในห้องโถงโล่งกว้างที่สวยงาม พื้นที่พวกเขายืนอยู่เป็นพื้นหินอ่อนสีครีมสวย เสาเป็นสีทองเหลืองอร่าม มีเลียเริ่มพาโครมาเนียออกเดินอีกครั้งโดยไม่สนใจความโอ่อ่าหรูหราของสถานที่ เสียงฝีเท้าหนักๆของหล่อนดังไปทั่วโถงทางเดินเล็กๆที่สว่างไสวไปเต็มไปด้วยสีครีมและทอง พวกเขาเดินตรงไปที่ประตูสีเขียนมรกตที่สุดทางเดินโดยไม่ชะลอความเร็ว ในไม่ช้าพวกเขาก็เดินหายเข้าไปในประตูสีเขียวมรกตบานนั้น
ห้องที่พวกเขาทั้งสองยืนอยู่ในขณะนี้เป็นห้องทรงกลมสีเทาออกเงิน สีนั้นทำให้บรรยากาศรอบๆห้องแลดูอึมครึม ตรงกลางห้องมีชายชราอายุราวๆ 80 นั่งกุมขมับอยู่บนโต๊ะสีดำด้วยสีหน้าตึงเครียด มีเลียหยุดอยู่ตรงหน้าชายชราผู้นั้น ทั้งเธอและโครมาเนียค่อยๆก้มหัวอย่านอบน้อม ชายชราเงยหน้าขึ้น ดาวตาสีเทาอ่อนแสดงความห่วงใยอยู่ใต้แว่นตาสี่เหลี่ยมผืนผ้าบางๆนั้นส่องประกาย
“โครมาเนีย เจ้าไปทำอะไรที่ทุ่งนิริสเธอราน?” น้ำเสียงอันแหบพร่าของชายชราฟังดูน่าเกรงขาม เด็กชายมองพื้นอย่าละอายใจ
“ข้า...ข้าอยากจะลองปลูกต้นไม้...ถึงข้ารู้ว่านักเวทย์ที่มีฝีมือหลายท่านทำไม่ได้ แต่ข้าอยากลอง...”
“เจ้ารู้ดีว่ามันอันตรายแค่ไหนโครมาเนีย!! เจ้าอาจจะโดนมนต์แห่งทุ่งนิริสเธอรานดึงเอาไว้ก็ได้!! มันสามารถฆ่าเจ้าได้!! เรื่องนี้เจ้ารู้ดีที่สุด!! ทำไมเจ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของข้า!!”ชายชราลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนถ้อยคำเหล่านั้นด้วยโทสะ ใบหน้าอันเหี่ยวย่นของเขากลายเป็นสีแดงก่ำ รัศมีเวทมนต์ของเขาแผ่กว้างขึ้นเล็กน้อยทำให้มีเลียและโครมาเนียสามารถรู้สึกได้ถึงไออุ่นๆที่มาสัมผัสผิวหนัง โครมาเนียอึกอัก ทุกๆคำแก้ตัวของเขาถูกลบออกไปจากหัวสมอง
“เจ้าถูกกักบริเวณอีก 2 อาทิตย์โครมาเนีย อย่าคิดแม้แต่จะหนี ไม่งั้นข้าจะทำให้เจ้าไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงเดือนแสงตะวันในโรงเรียนดัดสันดานรีโอต้า ไปให้พ้นหน้าข้าได้แล้ว” น้ำเสียงของเขายังคงเต็มไปด้วยโทสะ โครมีเนียรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องทันที โรงเรียนรีโอต้า...เขาจะไม่มีวันยอมไปที่โรงเรียนเวทมนต์ที่โหดที่สุดในนิริสเธอริลหรอก ไม่มีทาง
“เขายังต้องเรียนรู้อีกมากค่ะท่านลุง” มีเลียพูดช้าๆ เธอชินกับเหตุการณ์แบบนี้ซะแล้ว มีเด็กมากมายหลายคนในเมืองมินิสเธอรินแห่งนี้ที่ใฝ่ฝันอยากเห็นทุ่งมินิสเธอรานอย่างที่มันเคยเป็นตามที่พวกพ่อแม่ของพวกเขาเล่าให้ฟัง ทุ่งหญ้าที่มีแสงแดดอ่อนๆทอแสงอยู่ตลอดเวลา มีหญ้าสีเขียวสลับกับกับเหลืองทองดูสดใส มีดอกไม้หลากสีแลดูสวยงาม มีต้นไม้อยู่ประปราย แต่ละต้นนั้นสูงใหญ่และเขียวชอุ่ม มีนกน้อยหลากหลายชนิดบินไปบินมา ใครที่สรรจรไปมาจะรู้สึกเหมือนในสวรรค์ทีเดียว กลิ่นหอมหวานของเวทย์มนต์ที่บริสุทธิ์ ไร้มลทินยิ่งทำให้บรรยากาศดูสดชื่นมีชีวิตชีวา เธอเองก็อยากสัมผัสมันซักครั้ง แค่ครั้งเดียว แม้ในฝันก็ยังดี...
“มีจดหมายมาจากพวกเหล่านักรบแห่งเมืองเรดรีมิสต้า ขอร้องให้เราจัดส่งกองหนุนไปช่วยพวกเขารบกับเมืองเนโครพรีสโต เมืองเนโครพรีสโตประสานกำลังนักรบและนักเวทย์เข้าด้วยกัน ตอนนี้กำลังมุ่งสู่เมืองเรดรีมิสต้า” ชายชรานั่งลงแล้วกุมขมับอีกครั้ง เขาไม่ใช่คนที่สามารถตัดสินใจได้ เขาต้องส่งจดหมายฉบับนี้ให้เบื้องบน เรื่องเมื่อ 50 ปีที่แล้วทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป มีกฎออกมาว่าห้ามส่งคนไปช่วยเมืองที่มีนักรบ ถึงมันจะฟังดูไร้เหตุผลแต่ทุกคนก็เห็นด้วย
“เมืองเนโครพรีสโตชักจะเหลิงมากขึ้นทุกทีแล้ว! ตอนนี้มันอยากจะได้อะไรอีก มันพรากเอาผืนดินแห่งสวรรค์ของเราไป! มันยังจะอยากได้อะไรอีกอย่างนั้นหรือ?!” มีเลียตะโกนอย่างเหลืออด ดวงตาสีนำเงินเข้มของหล่อนค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ ชายชรายังนั่งนิ่ง เขามองไปที่ผ้าม่านสีเทาที่อยู่ด้านหลังของเขา เขาค่อยๆใช้เวทย์มนต์เปิดมันออก วิวที่เขาเห็นผ่านหน้าต่างบานนั้นเต็มไปด้วยบ้านเมืองที่มีสีสันสดใส ผู้คนที่มีสีหน้ายิ้มแย้ม ท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าใส เมืองที่เขาเห็นในตอนนี้เป็นเมืองที่สงบสุข เขาไม่อยากให้สงความมาทำลายรูปภาพบ้านเมืองที่สวยงามนี้ ไม่เอาอีกแล้ว...
“เราทำอะไรไม่ได้หรอกมีเลีย กฎคือกฎ เราไม่ใช่ผู้ที่สามารถเปลี่ยนมันได้ เจ้าจะเอาจดหมายฉบับนี้ไปให้เบื้องบนได้ไหม?” ชาราถามพลางยื่นซองจดหมายสีน้ำตาลอ่อนให้กับมีเลีย เธอโค้งแล้วรับจดหมายมาถือไว้
“สวัสดีค่ะท่าน” เธอกล่าว
“ขอบใจมากมีเลีย” ชายชราขอบคุณตามธรรมเนียมแล้วมีเลียก็เดินออกไปจากห้องๆนั้น ชายชราหลับตา เขากำลังจินตนาการภาพของทุ่งหญ้าที่สวยงาม...ซึ่งมันจะไม่มีวันให้ใครได้เห็นอีกเลย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น