ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ข่าวร้าย
    เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของครอบครัวเบอร์จแมน    
ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่ง ที่พำนักอยู่ ณ เซนต์หลุยส์  ในบ้านหลังหนึ่ง สองชั้นทาสีเขียวใบไม้สดใส บ้านหลังนี้ไม่ใหญ่โตมากนัก หากมองไปทางหน้าบ้านในตอนนี้ ซึ่งเป็นเวลาประมาณสองทุ่ม ก็จะเห็นสไตล์การตกแต่งสวนหน้าบ้านอย่างเรียบๆ ไม่มีอะไรมากนอกไปจาก เก้าอี้โยกหนึ่งตัว โคมไฟตั้งโต๊ะลายดอกไม้ที่ตอนนี้กำลังปิด บ้านสนุขหลังเล็กๆ ทำเอง ที่ทาสีด้วยสีขาว และมีป้ายติดไว้ว่า “โตโต้” ซึ่งขณะนี้ดูเหมือนเจ้าโตโต้กำลังหลับอยู่ และโคมไฟสูง ที่ติดอยู่บนเพดานที่กำลังเปิดอยู่ แต่ดูเหมือนมันจะเก่ามากแล้ว จึงมีแสงออกมาไม่เท่าที่ควร และประตูไม้หน้าบ้านที่ทาสีคราม ถึงจะจัดในสไตล์เรียบๆ ไม่หวือหวา แต่ก็ดูอบอุ่นมากทีเดียว
    ครอบครัวนี้อยู่ที่ไหนกันหรอ?
    ตอนนี้พวกเขาทุกคนอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าที่ห้องครัว ซึ่งกำลังรับประทานอาหารค่ำกันอยู่
    โต๊ะที่ใช้รับประทานอาหารสำหรับบ้านนี้นั้น เป็นโต๊ะยาวที่คลุมผ้าสีแดง มีเก้าอี้อยู่ตรงหัวโต๊ะตัวเดียว ซึ่งแน่นอนล่ะ ตามทำเนียมหัวหน้าครอบครัว คือผู้ที่เหมาะสมจะนั่งตรงนั้น และผู้ที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็คือชายผู้หนึ่งอายุประมาณสี่สิบห้าปี หน้าตาดูเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนจะไม่ค่อยยิ้มเสียด้วยสิ นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนที่ซ่อนอยู่หลังแว่นตาที่ดูหนามากๆ ค่อนข้างเหงา เขาคนนี้มีชื่อว่า “นายแฟรงค์ เบอร์จแมน” ทำงานเป็นทหารประจำราชกาล ณ เซนต์หลุยส์ ตั้งแต่ปี 1880 ซึ่งระยะเวลาที่เขาจากบ้านเกิดเขามาอยู่ที่เซนต์หลุยส์นี่ปาเข้าไปยี่สิบห้าปีแล้ว
    ผู้ที่นั่งอยู่ทางด้านขวามือของเขา ที่ขนาบโต๊ะยาวนั้น ก็คือคุณนายเบอร์จแมนนั่นเอง “นาตาลี เบอร์จแมน” เธอเป็นสาวแก่วัยสามสิบแปดปี ซึ่งอยู่ในชุดแม่บ้านเรียบๆ สีฟ้าอ่อน ปราศจากอาภรณ์หรูหรา ตระการตา เหมือนแม่บ้านคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ข้างเคียง ถึงแม้ใบหน้าเธอจะมีรอยตีนกาขึ้นประปรายแล้ว (แน่ล่ะ สามสิบแปดแล้วนี่ ) แต่เธอก็ยังดูสวย ด้วยใบหน้าที่เข้ารูป ในตาสีน้ำตาลที่แฝงไปด้วยความมั่นใจและริมฝีปากสีแดงเรื่อที่ปราศจากเครื่องสำอาง แม้จะไม่เท่าตอนที่เธอยังเอ๊าะอยู่ก็ตาม (ซึ่งเธอมักจะเล่าเรื่องราวสมัยสาวๆ ของเธอให้ลูกๆ ฟังด้วยความภูมิใจ ในผู้ชายทั้งหลายที่ผ่านมาในชีวิตเธอ) ปัจจุบันเธอไม่ได้ทำงาน แต่มักจะไปเข้าร่วมกลุ่มประท้วงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพของสตรี
    และที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับคุณนายเบอร์จแมนก็คือ ชายหนุ่มวัยยี่สิบปี อยู่ในชุดสูทลายสก็อตสลับสีแดงขาวทั้งเสื้อเชิ๊ต และกางเกง สวมหมวกสุภาพบุรุษสีขาว ใบหน้าดูเป็นกังวล และชอบใส่แว่นอยู่ตลอดเวลาเหมือนพ่อของเขา หน้าตาจัดว่าใช้ได้ มีคิ้วหนาดกดำ นัยน์ตาสีน้ำตาล เขาคือ”เคิร์ธ” ลูกชายคนโตของบ้านนี้ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเดินเตะฝุ่นหางานทำ เนื่องจากไม่ได้เรียนมหา’ลัยต่อ และตกงานมาได้ปีเศษแล้ว (เฮ้อ น่าเศร้า)
    ถัดมาจากเคิร์ธก็จะเป็นสาวน้อยวัยแรกแย้ม อายุสิบเจ็ดย่างสิบแปด ผู้ยังอ่อนโลก ด้วยใบหน้าที่สวยเข้ารูป ปากสีแดงเรื่อ ที่ปราศจากเครื่องสำอาง ทำให้เธอดูเหมือนแม่เธอตอนสาวๆ มาก เธอยังมีนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนสดใสที่ได้มาจากพ่อ ผมดำขลับที่แวววาวและหยักศกเล็กน้อย และรอยยิ้มที่กระชากใจชายหนุ่มได้ไม่ยาก เธอคือสาวน้อยที่สวยที่สุดในเซนต์หลุยส์ (จัดอันดับโดยชายเกือบร้อยคนในเซนต์หลุยส์ เธอคว้าตำแหน่งสาวน้อยที่สวยที่สุดมาครองได้ โดยที่เจ้าตัวยังไม่รู้ตัว ว่าได้ตำแหน่ง) เธอผู้นี้ชื่อว่า “บาร์บาร่า” เธอเป็นหญิงสาวมองโลกในแง่ดีเสมอ เป็นที่รักของทุกคน (ยกเว้นพวกที่ขี้อิจฉา) จึงไม่แปลกที่เธอจะมีเพื่อนมากเหลือเกิน
    ที่นั่งอยู่ตรงข้ามบาร์บาร่าก็คือ “ฮัมฟรีย์” น้องชายวัยสิบหกปีของเธอ เขาเป็นเด็กหนุ่มหน้าตากวนๆ แต่ก็หล่อไม่เบา นัยน์ตาสีเขียว (ที่ได้มาจากใครไม่รู้) และผมสีบลอนด์ไม่สนิทของเขามักจะถูกเสยให้ตั้งขึ้นเพื่อเสริมความเท่ห์ ฮัมฟรีย์เป็นเด็กที่อยู่ในจำพวกชอบก่อกวนชาวบ้าน เขาเป็นหัวหน้ากลุ่ม “วิหคเหินลม” ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งในเซนต์หลุยส์เลยทีเดียว เขาสามารถควบคุมพวกที่โตกว่าเขาได้อีกต่างหาก เขาเป็นพวกร่าเริงเสมอ มีเพื่อนมากมาย และเนื้อหอมไม่เบา
    ที่นั่งข้างๆ ฮัมฟรีย์ ก็จะเป็นน้องชายวัยสิบสี่ปีของเขา ชื่อ “เจโรม” เป็นเด็กหน้าตาน่ารัก น่าหยิก จุดเด่นอยู่ที่นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนสดใส ที่ดูเหงาๆ เหมือนลูกหมาหลงทาง เขามักจะปล่อยผมสีดำเกือบบลอนด์ไว้ไม่เป็นทรงให้รกอยู่บนหัว เพื่อให้ดูเหมือนว่าเขาไม่ค่อยสนใจตัวเองสักเท่าไหร่เขาเป็นเด็กที่ต่างจากพี่ชายคนที่สาม (ฮัมฟรีย์) อย่างลิบลับ เป็นเด็กที่ไม่มีเพื่อนเลยสักคน มักจะชอบขลุกตัวอยู่คนเดียวในห้องสมุด เพื่ออ่านหนังสือ  ในบางครั้งเขาก็กลายเป็นกระสอบทรายของเพื่อนๆ ด้วย
    และสุดท้าย ผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเจโรม เป็นเด็กสาวผมสีดำฟูและยักศกจนเรียกว่าหยิกได้เลย  หน้าตาน่ารักของเธอแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นยิ่งกว่าใครๆ ยามที่นัยน์ตาสีน้ำตาลของเธอหมายสิ่งใด เป็นต้องได้มา เธอผู้นี้มีชื่อว่า “โดโรธี” เด็กสาววัยสิบสองปี ที่แตกต่างกับทุกคนในครอบครัวโดยสิ้นเชิง (ยกเว้นจำนวนเพื่อน ที่พอๆ กับเจโรม) เธอเป็นจำพวกที่ประสงค์สิ่งใดจะต้องทำทุกวิถีทางให้ได้นำมาซึ่งสิ่งนั้น ชีวิตของเธอจริงจังทุกวินาที จึงไม่แปลกเลยที่เธอจะเป็นที่หนึ่งในชั้นเรียนเสมอ เธอเป็นจำพวกที่ว่าเก็บอารมณ์ไม่เคยอยู่ ต้องระเบิดออกมาเดี๋ยวนั้น เธอคนนี้อารมณ์ร้ายมากทีเดียว
    ขณะนี้ทุกคนกำลังรับประทานอาหารของตนเอง ที่มีแต่ไก่งวงตัวใหญ่ๆ สองตัว อย่างเคร่งเครียด (สังเกตได้จากที่ไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ)
    “อะ แฮ่ม ” เสียงกระแอมของนายเบอร์จแมนผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว ทำลายความเงียบ และเรียกให้ทุกคนหันมามอง
    “ทุกคน วันนี้พ่อมีข่าวร้ายจะมาบอก” ตอนนี้ตาของทุกคนจ้องไปที่นายเบอร์แมนไม่กระพริบ ทำให้เขาหันไปมองทุกคนด้วยความประหม่า
    “อีกหกเดือน ราชการจะส่งพ่อไปประจำการที่นิวยอร์ค” เขาพยายามทำน้ำเสียงให้ดูเหมือนปกติที่สุด “และเขาให้ครอบครัวไปด้วย”
    “เราจะไปเที่ยวกันหรอค่ะ? พ่อ” บาร์บาร่าตาโตเป็นประกายด้วยความไร้เดียงสา และหันไปยิ้มและหัวเราะคิกคักตามประสาให้ฮัมฟรีย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ “นิวยอร์คเชียวนะ ฮัมฟรีย์ ”
    “พ่อเกรงว่า อาจจะไม่ใช่แค่ไปเที่ยวน่ะสิ” นายเบอร์จแมนบอก สีหน้าของเขาดูเศร้าลง ตอนที่พูด “นี่ไปประจำราชาการนะลูก ดูอย่างพ่อสิ จากบ้านเกิดแคนซัสมานี่ตั้งยี่สิบห้าปีแล้ว ยังไม่เคยได้กลับไปเลย (สมัยก่อนการเดินทางลำบาก และแพงมาก ครอบครัวนี้ยังถือว่าห่างไกลมาก ที่จะไปท่องเที่ยวได้) บางทีเราอาจจะต้องอยู่ที่นั่น . ตลอดไป”
    สิ้นเสียงคำว่า “ตลอดไป” ของนายเบอร์จแมน ทุกคนส้อมและมีดของทุกคนหล่นจากมืออย่างพร้อมเพรียงกัน ทุกคนได้แต่อ้าปากค้าง และหันไปมองหน้ากัน
    “หมายความว่าเราจะไม่ได้กลับมานี่อีกหรอครับ ” ฮัมฟรีย์ถามเสียงอ่อย
    “ก็ไม่แน่นะ เราอาจจะได้กลับมานี่อีก ถ้า ” นายเบอร์จกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะทำให้มันดูร่าเริง
    “ยังไงครับ/ค่ะ” ลูกๆ ทั้งห้าคนและภรรยาของเขาถามเป็นเสียงเดียวกัน
    “ถ้าเราเก็บเงินพอที่จะเป็นค่าเดินทางกลับมา เอ่อ ” พวกลูกๆ ทั้งห้าคนของเขาไม่อยู่ฟังต่อ พากันลุกขึ้นและเดินออกไปทันที โดยทั้งพ่อกับแม่ และไก่งวงที่ยังกินไม่เสร็จอยู่เบื้องหลัง
    แน่นอนทุกคนเสียใจกับเรื่องนี้มากๆ เพราะพวกเขาโตมาที่นี้ พวกเขารักที่นี้ พวกเขารักเซนต์หลุยส์ และไม่อยากจากมันไป ถ้าพวกเขาไป พวกเขาก็คงไม่ได้เจอเพื่อน คนรัก ทุกคนที่พวกเขารู้จัก สถานที่ที่พวกเขาคุ้นเคยมา
    สี่คนซึ่งได้แก่ บาร์บาร่า ฮัมฟรีย์ เจโรม และ โดโรธี คนเดินออกไปนอกบ้าน และแยกย้ายกันไป หาเพื่อน หาที่ของตัวเองเพื่อสงบสติกับการมาเยือนของข่าวร้ายมากๆ ที่พวกเขาไม่เคยคิด ไม่เคยฝันมาก่อน ว่าจะต้องมาเผชิญกับอะไรเช่นนี้ ตอนแรกๆ ที่เขารับประทานอาหารกันอยู่ดีๆ แล้วจู่ๆ พ่อก็มาบอกข่าวร้ายนี้กับพวกเขา โดยที่ยังไม่ได้เตรียมใจ ส่วนเคิร์ธเดินขึ้นห้องของตัวเอง
    และสถานที่ที่พวกเขาคุ้นเคย (อาจจะเป็นทุกคนในเมือง) ที่สุด ก็คือ “หอนาฬิกาเซนต์หลุยส์” หอนาฬิกานี้ เป็นหอนาฬิกาที่ใหญ่ เก่าแก่ แต่ยังคงความสวยเอาไว้ ด้วยการสลักลายเป็นรูปสัตว์ต่างๆ รอบๆ ตัวนาฬิกา อย่างประณีต ซึ่งกลายเป็นจุดเด่นไป  หอนาฬิกานี้ ตั้งอยู่ใจกลางของสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในเมือง สวนสาธารณะนั้น มีทุกๆ อย่างในการพักผ่อนหย่อนใจอยู่ในนั้น จะเลือกรูปแบบการพักผ่อนแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่นของเด็กนานาชนิด น้ำพุกามเทพ ที่มีเป็นแห่งๆ โต๊ะที่มีเก้าอี้สองตัวสำหรับคู่รัก เก้าอี้ยาวสำหรับนอนเล่น มีต้นไม้ให้ร่มเงามากมาย และตอนกลางคืนก็จะมีแสงไฟให้ตลอด เป็นสวนสาธารณะ ที่สมบูรณ์มาก
    จริงๆ แล้ว สวนสาธารณะนี่ ไม่ใช่สวนสาธารณะจริงๆ หรอก เพราะมันมีเจ้าของที่อยู่ ซึ่งก็คือ “คุณนายกัลซ์” และเธอนั่นเองที่เป็นผู้ทำให้มันกลายเป็นสวนสาธารณะที่สะดวกสบาย (รวมทั้งสร้างหอนาฬิกาด้วย) อย่างมีความสุข โดยที่ไม่หวังผลตอบแทน เธอจึงกลายเป็นที่รักของทุกๆ คนในเซนต์หลุยส์ แม้ว่าเธอจะมีอายุเก้าสิบสองปีแล้ว
    เจโรมเลือกที่จะเดินเล่นตามลำพัง (เพราะไม่มีเพื่อนจะเดินด้วย) ท่ามกลางลมหนาวที่พัดผ่านมาอย่างเรื่อยๆ บ่งบอกถึงหน้าหนาวที่จะมาเยือนในไม่ช้า นัยน์ตาเขาเริ่มเย็น และพร่ามัวไปด้วยน้ำตาของเขา แม้ว่าเขาจะไม่เคยมีเพื่อนเลยสักคน แต่เขาก็รัก และผูกพันธ์กับที่นี่มาก เพราะมันเป็นบ้านของเขา ไม่มีที่ไหนเหมือนบ้านหรอก
    ทางบาร์บาร่าก็เลือกที่จะเดินเช่นกัน โดยเดินไปซับน้ำตาไป ด้วยผ้าเช็ดหน้าสีแดงของเธอ  แต่การที่ไปซับน้ำตาไปนี้ ทำให้มองเห็นสิ่งรอบข้างลำบากมาก ทันใดนั้นเอง มีชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาชนเธออย่างจัง จนทำให้ทั้งเธอและเขาล้มลงไปกับนั่งกับพื้นด้วยกันทั้งคู่
    “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” เสียงของชายหนุ่มที่เข้ามาชนกล่าวขึ้นอย่างสุภาพ ทำให้บาร์บาร่าเงยหน้าขึ้นมองดูเขา ปรากฏว่า เป็นชายหนุ่มในชุดหนังสีดำทั้งชุด รวมทั้งหมวกหนังสีดำของเขาด้วย หน้าตาหล่อเหลาเอาการ จุดเด่นคือนัยน์ตาสีม่วง ที่ดูสดใสยิ่งกว่าดวงตาทุกคู่
    ชายหนุ่มยื่นมือออกไป ให้บาร์บาร่า และเธอก็จับมือเขาเพื่อให้เขาดึงเธอขึ้นมา
    “ขอบคุณค่ะ ” เธอกล่าวขอบคุณ และพยายามจะเดินหนี เพราะดูจากลักษณะการแต่งตัวแล้ว คนๆ นี้เป็นคนจรจัดแน่ และแม่ของเธอสอนไว้ว่า “อย่าไปยุ่งกับคนจรจัด”
    “เดี๋ยวก่อนสิครับ” หนุ่มจรจัดรีบเดินไปขวางเธอไว้ “ชื่ออะไรหรอ?” เขาถามพลางยิ้มและส่งตาหวานให้
    “บาร์บาร่า เบอร์จแมน ” บาร์บาร่าให้ชื่อไป เพราะกลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาท หากไม่ให้
    “ผมเกอร์ริคนะ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เขากล่าวแนะนำตัวเอง ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และยื่นมือไป เพื่อให้เธอจับมือกับเขา
    “ค่ะ เช่นกันค่ะ” บาร์บาร่าเป็นจำพวกปฏิเสธใครไม่เป็น เลยยื่นมือไปจับกับเขา และใช้มืออีกข้างหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาอีกครั้ง
    “อ้าว ร้องไห้เลยหรอ เมื่อกี้ชนแรงไปหรอ” ชายหนุ่มถามอย่างซื่อบื้อ แต่ด้วยใจจริง  “งั้นขอโทษนะ คือ.. เมื่อกี้ผมไม่ได้ระวัง อย่างร้องไห้เลยนะ..”
    “ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่เรื่องนั้น” เสียงเธอฟังดูสะอื้นยิ่งกว่าเดิม
    “แล้วเรื่องอะไรหรอ เล่าให้ฟังได้มั๊ย ” ชายหนุ่มถาม พลางใช้มือเขากุมไหล่เธอและพาออกเดิน
    ในตอนแรกๆ เธอรู้สึกแปลกๆ ที่จะต้องมาเล่าเรื่องของตัวเองให้กับคนที่พึ่งรู้จักกันไม่ถึงนาทีฟัง และเขาก็เป็นคนจรจัดด้วย แต่ว่ามันก็ไม่เห็นแปลกนี่ ตอนนี้เธอก็ไม่มีเพื่อนคุยด้วย จะได้ระบายอารมณ์ออกไปบ้าง จึงตัดสินใจเล่าให้เขาฟัง
    “แย่จังเลยนะ..” เขาเอ่ยขึ้น หลังจากฟังจบ “เป็นผม ถ้าต้องจากที่นี่ไปผมก็เสียใจนะ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเห็นผมมีค่าก็ตาม”
    บาร์บาร่าพยายามจะปลอบเขาว่าเขาไม่ได้เป็นคนไร้ค่าหรอก แต่เธอก็คิดไม่ออก เพราะตอนแรกเธอยังรู้สึกรังเกียจนิดๆ ในตัวเขาอยู่เลย
    “คุณคงต้องไปเจอกับสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเลย” เขาเอ่ยขึ้นต่อ “แล้วก็คงใช้เวลาเป็นปีๆ เลยล่ะ ถึงจะคุ้นกับมัน เหมือนกับที่คุณคุ้นกับที่นี่ ”
    “และฉันก็คงไม่ได้เจอเพื่อนที่รักของฉันอีก” เธอกล่าวขึ้นอย่างเศร้าๆ “ฉันคงคิดถึงผู้คนในเซนต์หลุยส์ คิดถึงหอนาฬิกานี่ (เธอหันไปมองหอนาฬิกา ที่สูงตระหง่านอยู่ด้านหลัง) คิดถึงสวนสาธารณะแห่งนี้ คิดถึงโรงเรียน คิดถึงร้านขนมของคุณนายเพียซ ที่ฉันชอบไปบ่อยๆ ตอนฉันยังเด็ก แม้ตอนนี้จะไม่ค่อยได้ไปแล้ว คิดถึงงานบอล งานพรอม งานประจำปี ไม่รู้งานประจำปีที่นิวยอร์ค จะสนุกเหมือนที่เซนต์หลุยส์นี่หรือเปล่า”
    “คิดในแง่ดีไว้สิ มันอาจจะสนุกว่าก็ได้นะ”
    “แต่อาจจะไม่สำหรับฉัน เพราะฉันเป็นคนที่ซึ่งย้ายไปใหม่ ยังไม่รู้จักใครเลย จะไปสนุกได้ไงล่ะ”
    “นั่นสินะ ” เกอร์ริคก้มมองดูรองเท้า ก่อนที่จะหันไปทางบาร์บาร่า “บ้านคุณอยู่ไหนหรอ ให้ผมไปส่งมั๊ย”
    “ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ..” บาร์บาร่าพยายามส่งยิ้มอย่างเป็นมิตร และปฏิเสธอย่างสุภาพ ไม่ดีแน่ถ้าเธอเดินกลับบ้านกับคนจรจัด
    “อ้อ งั้นไม่เป็นไร โชคดีนะ” เขาหันมามองบาร์บาร่าเป็นครั้งสุดท้าย และเดินออกไป ทิ้งให้บาร์บาร่ายืนอยู่ตามลำพัง
    ตอนนี้บาร์บาร่ากำลังรู้สึกผิดมาก เพราะจริงๆ แล้วเกอร์ริคไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไรเลย ออกจะคุยสนุกด้วยซ้ำ เขาก็แค่มีน้ำใจ จะพาไปส่งบ้านเท่านั้นเอง จรจรจัดไม่ใช่คนหรือไง ทำไมทุกคนถึงไม่มีใครให้โอกาสคนพวกนี้บ้างนะ
ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่ง ที่พำนักอยู่ ณ เซนต์หลุยส์  ในบ้านหลังหนึ่ง สองชั้นทาสีเขียวใบไม้สดใส บ้านหลังนี้ไม่ใหญ่โตมากนัก หากมองไปทางหน้าบ้านในตอนนี้ ซึ่งเป็นเวลาประมาณสองทุ่ม ก็จะเห็นสไตล์การตกแต่งสวนหน้าบ้านอย่างเรียบๆ ไม่มีอะไรมากนอกไปจาก เก้าอี้โยกหนึ่งตัว โคมไฟตั้งโต๊ะลายดอกไม้ที่ตอนนี้กำลังปิด บ้านสนุขหลังเล็กๆ ทำเอง ที่ทาสีด้วยสีขาว และมีป้ายติดไว้ว่า “โตโต้” ซึ่งขณะนี้ดูเหมือนเจ้าโตโต้กำลังหลับอยู่ และโคมไฟสูง ที่ติดอยู่บนเพดานที่กำลังเปิดอยู่ แต่ดูเหมือนมันจะเก่ามากแล้ว จึงมีแสงออกมาไม่เท่าที่ควร และประตูไม้หน้าบ้านที่ทาสีคราม ถึงจะจัดในสไตล์เรียบๆ ไม่หวือหวา แต่ก็ดูอบอุ่นมากทีเดียว
    ครอบครัวนี้อยู่ที่ไหนกันหรอ?
    ตอนนี้พวกเขาทุกคนอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าที่ห้องครัว ซึ่งกำลังรับประทานอาหารค่ำกันอยู่
    โต๊ะที่ใช้รับประทานอาหารสำหรับบ้านนี้นั้น เป็นโต๊ะยาวที่คลุมผ้าสีแดง มีเก้าอี้อยู่ตรงหัวโต๊ะตัวเดียว ซึ่งแน่นอนล่ะ ตามทำเนียมหัวหน้าครอบครัว คือผู้ที่เหมาะสมจะนั่งตรงนั้น และผู้ที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็คือชายผู้หนึ่งอายุประมาณสี่สิบห้าปี หน้าตาดูเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนจะไม่ค่อยยิ้มเสียด้วยสิ นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนที่ซ่อนอยู่หลังแว่นตาที่ดูหนามากๆ ค่อนข้างเหงา เขาคนนี้มีชื่อว่า “นายแฟรงค์ เบอร์จแมน” ทำงานเป็นทหารประจำราชกาล ณ เซนต์หลุยส์ ตั้งแต่ปี 1880 ซึ่งระยะเวลาที่เขาจากบ้านเกิดเขามาอยู่ที่เซนต์หลุยส์นี่ปาเข้าไปยี่สิบห้าปีแล้ว
    ผู้ที่นั่งอยู่ทางด้านขวามือของเขา ที่ขนาบโต๊ะยาวนั้น ก็คือคุณนายเบอร์จแมนนั่นเอง “นาตาลี เบอร์จแมน” เธอเป็นสาวแก่วัยสามสิบแปดปี ซึ่งอยู่ในชุดแม่บ้านเรียบๆ สีฟ้าอ่อน ปราศจากอาภรณ์หรูหรา ตระการตา เหมือนแม่บ้านคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ข้างเคียง ถึงแม้ใบหน้าเธอจะมีรอยตีนกาขึ้นประปรายแล้ว (แน่ล่ะ สามสิบแปดแล้วนี่ ) แต่เธอก็ยังดูสวย ด้วยใบหน้าที่เข้ารูป ในตาสีน้ำตาลที่แฝงไปด้วยความมั่นใจและริมฝีปากสีแดงเรื่อที่ปราศจากเครื่องสำอาง แม้จะไม่เท่าตอนที่เธอยังเอ๊าะอยู่ก็ตาม (ซึ่งเธอมักจะเล่าเรื่องราวสมัยสาวๆ ของเธอให้ลูกๆ ฟังด้วยความภูมิใจ ในผู้ชายทั้งหลายที่ผ่านมาในชีวิตเธอ) ปัจจุบันเธอไม่ได้ทำงาน แต่มักจะไปเข้าร่วมกลุ่มประท้วงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพของสตรี
    และที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับคุณนายเบอร์จแมนก็คือ ชายหนุ่มวัยยี่สิบปี อยู่ในชุดสูทลายสก็อตสลับสีแดงขาวทั้งเสื้อเชิ๊ต และกางเกง สวมหมวกสุภาพบุรุษสีขาว ใบหน้าดูเป็นกังวล และชอบใส่แว่นอยู่ตลอดเวลาเหมือนพ่อของเขา หน้าตาจัดว่าใช้ได้ มีคิ้วหนาดกดำ นัยน์ตาสีน้ำตาล เขาคือ”เคิร์ธ” ลูกชายคนโตของบ้านนี้ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเดินเตะฝุ่นหางานทำ เนื่องจากไม่ได้เรียนมหา’ลัยต่อ และตกงานมาได้ปีเศษแล้ว (เฮ้อ น่าเศร้า)
    ถัดมาจากเคิร์ธก็จะเป็นสาวน้อยวัยแรกแย้ม อายุสิบเจ็ดย่างสิบแปด ผู้ยังอ่อนโลก ด้วยใบหน้าที่สวยเข้ารูป ปากสีแดงเรื่อ ที่ปราศจากเครื่องสำอาง ทำให้เธอดูเหมือนแม่เธอตอนสาวๆ มาก เธอยังมีนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนสดใสที่ได้มาจากพ่อ ผมดำขลับที่แวววาวและหยักศกเล็กน้อย และรอยยิ้มที่กระชากใจชายหนุ่มได้ไม่ยาก เธอคือสาวน้อยที่สวยที่สุดในเซนต์หลุยส์ (จัดอันดับโดยชายเกือบร้อยคนในเซนต์หลุยส์ เธอคว้าตำแหน่งสาวน้อยที่สวยที่สุดมาครองได้ โดยที่เจ้าตัวยังไม่รู้ตัว ว่าได้ตำแหน่ง) เธอผู้นี้ชื่อว่า “บาร์บาร่า” เธอเป็นหญิงสาวมองโลกในแง่ดีเสมอ เป็นที่รักของทุกคน (ยกเว้นพวกที่ขี้อิจฉา) จึงไม่แปลกที่เธอจะมีเพื่อนมากเหลือเกิน
    ที่นั่งอยู่ตรงข้ามบาร์บาร่าก็คือ “ฮัมฟรีย์” น้องชายวัยสิบหกปีของเธอ เขาเป็นเด็กหนุ่มหน้าตากวนๆ แต่ก็หล่อไม่เบา นัยน์ตาสีเขียว (ที่ได้มาจากใครไม่รู้) และผมสีบลอนด์ไม่สนิทของเขามักจะถูกเสยให้ตั้งขึ้นเพื่อเสริมความเท่ห์ ฮัมฟรีย์เป็นเด็กที่อยู่ในจำพวกชอบก่อกวนชาวบ้าน เขาเป็นหัวหน้ากลุ่ม “วิหคเหินลม” ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งในเซนต์หลุยส์เลยทีเดียว เขาสามารถควบคุมพวกที่โตกว่าเขาได้อีกต่างหาก เขาเป็นพวกร่าเริงเสมอ มีเพื่อนมากมาย และเนื้อหอมไม่เบา
    ที่นั่งข้างๆ ฮัมฟรีย์ ก็จะเป็นน้องชายวัยสิบสี่ปีของเขา ชื่อ “เจโรม” เป็นเด็กหน้าตาน่ารัก น่าหยิก จุดเด่นอยู่ที่นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนสดใส ที่ดูเหงาๆ เหมือนลูกหมาหลงทาง เขามักจะปล่อยผมสีดำเกือบบลอนด์ไว้ไม่เป็นทรงให้รกอยู่บนหัว เพื่อให้ดูเหมือนว่าเขาไม่ค่อยสนใจตัวเองสักเท่าไหร่เขาเป็นเด็กที่ต่างจากพี่ชายคนที่สาม (ฮัมฟรีย์) อย่างลิบลับ เป็นเด็กที่ไม่มีเพื่อนเลยสักคน มักจะชอบขลุกตัวอยู่คนเดียวในห้องสมุด เพื่ออ่านหนังสือ  ในบางครั้งเขาก็กลายเป็นกระสอบทรายของเพื่อนๆ ด้วย
    และสุดท้าย ผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเจโรม เป็นเด็กสาวผมสีดำฟูและยักศกจนเรียกว่าหยิกได้เลย  หน้าตาน่ารักของเธอแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นยิ่งกว่าใครๆ ยามที่นัยน์ตาสีน้ำตาลของเธอหมายสิ่งใด เป็นต้องได้มา เธอผู้นี้มีชื่อว่า “โดโรธี” เด็กสาววัยสิบสองปี ที่แตกต่างกับทุกคนในครอบครัวโดยสิ้นเชิง (ยกเว้นจำนวนเพื่อน ที่พอๆ กับเจโรม) เธอเป็นจำพวกที่ประสงค์สิ่งใดจะต้องทำทุกวิถีทางให้ได้นำมาซึ่งสิ่งนั้น ชีวิตของเธอจริงจังทุกวินาที จึงไม่แปลกเลยที่เธอจะเป็นที่หนึ่งในชั้นเรียนเสมอ เธอเป็นจำพวกที่ว่าเก็บอารมณ์ไม่เคยอยู่ ต้องระเบิดออกมาเดี๋ยวนั้น เธอคนนี้อารมณ์ร้ายมากทีเดียว
    ขณะนี้ทุกคนกำลังรับประทานอาหารของตนเอง ที่มีแต่ไก่งวงตัวใหญ่ๆ สองตัว อย่างเคร่งเครียด (สังเกตได้จากที่ไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ)
    “อะ แฮ่ม ” เสียงกระแอมของนายเบอร์จแมนผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว ทำลายความเงียบ และเรียกให้ทุกคนหันมามอง
    “ทุกคน วันนี้พ่อมีข่าวร้ายจะมาบอก” ตอนนี้ตาของทุกคนจ้องไปที่นายเบอร์แมนไม่กระพริบ ทำให้เขาหันไปมองทุกคนด้วยความประหม่า
    “อีกหกเดือน ราชการจะส่งพ่อไปประจำการที่นิวยอร์ค” เขาพยายามทำน้ำเสียงให้ดูเหมือนปกติที่สุด “และเขาให้ครอบครัวไปด้วย”
    “เราจะไปเที่ยวกันหรอค่ะ? พ่อ” บาร์บาร่าตาโตเป็นประกายด้วยความไร้เดียงสา และหันไปยิ้มและหัวเราะคิกคักตามประสาให้ฮัมฟรีย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ “นิวยอร์คเชียวนะ ฮัมฟรีย์ ”
    “พ่อเกรงว่า อาจจะไม่ใช่แค่ไปเที่ยวน่ะสิ” นายเบอร์จแมนบอก สีหน้าของเขาดูเศร้าลง ตอนที่พูด “นี่ไปประจำราชาการนะลูก ดูอย่างพ่อสิ จากบ้านเกิดแคนซัสมานี่ตั้งยี่สิบห้าปีแล้ว ยังไม่เคยได้กลับไปเลย (สมัยก่อนการเดินทางลำบาก และแพงมาก ครอบครัวนี้ยังถือว่าห่างไกลมาก ที่จะไปท่องเที่ยวได้) บางทีเราอาจจะต้องอยู่ที่นั่น . ตลอดไป”
    สิ้นเสียงคำว่า “ตลอดไป” ของนายเบอร์จแมน ทุกคนส้อมและมีดของทุกคนหล่นจากมืออย่างพร้อมเพรียงกัน ทุกคนได้แต่อ้าปากค้าง และหันไปมองหน้ากัน
    “หมายความว่าเราจะไม่ได้กลับมานี่อีกหรอครับ ” ฮัมฟรีย์ถามเสียงอ่อย
    “ก็ไม่แน่นะ เราอาจจะได้กลับมานี่อีก ถ้า ” นายเบอร์จกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะทำให้มันดูร่าเริง
    “ยังไงครับ/ค่ะ” ลูกๆ ทั้งห้าคนและภรรยาของเขาถามเป็นเสียงเดียวกัน
    “ถ้าเราเก็บเงินพอที่จะเป็นค่าเดินทางกลับมา เอ่อ ” พวกลูกๆ ทั้งห้าคนของเขาไม่อยู่ฟังต่อ พากันลุกขึ้นและเดินออกไปทันที โดยทั้งพ่อกับแม่ และไก่งวงที่ยังกินไม่เสร็จอยู่เบื้องหลัง
    แน่นอนทุกคนเสียใจกับเรื่องนี้มากๆ เพราะพวกเขาโตมาที่นี้ พวกเขารักที่นี้ พวกเขารักเซนต์หลุยส์ และไม่อยากจากมันไป ถ้าพวกเขาไป พวกเขาก็คงไม่ได้เจอเพื่อน คนรัก ทุกคนที่พวกเขารู้จัก สถานที่ที่พวกเขาคุ้นเคยมา
    สี่คนซึ่งได้แก่ บาร์บาร่า ฮัมฟรีย์ เจโรม และ โดโรธี คนเดินออกไปนอกบ้าน และแยกย้ายกันไป หาเพื่อน หาที่ของตัวเองเพื่อสงบสติกับการมาเยือนของข่าวร้ายมากๆ ที่พวกเขาไม่เคยคิด ไม่เคยฝันมาก่อน ว่าจะต้องมาเผชิญกับอะไรเช่นนี้ ตอนแรกๆ ที่เขารับประทานอาหารกันอยู่ดีๆ แล้วจู่ๆ พ่อก็มาบอกข่าวร้ายนี้กับพวกเขา โดยที่ยังไม่ได้เตรียมใจ ส่วนเคิร์ธเดินขึ้นห้องของตัวเอง
    และสถานที่ที่พวกเขาคุ้นเคย (อาจจะเป็นทุกคนในเมือง) ที่สุด ก็คือ “หอนาฬิกาเซนต์หลุยส์” หอนาฬิกานี้ เป็นหอนาฬิกาที่ใหญ่ เก่าแก่ แต่ยังคงความสวยเอาไว้ ด้วยการสลักลายเป็นรูปสัตว์ต่างๆ รอบๆ ตัวนาฬิกา อย่างประณีต ซึ่งกลายเป็นจุดเด่นไป  หอนาฬิกานี้ ตั้งอยู่ใจกลางของสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในเมือง สวนสาธารณะนั้น มีทุกๆ อย่างในการพักผ่อนหย่อนใจอยู่ในนั้น จะเลือกรูปแบบการพักผ่อนแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่นของเด็กนานาชนิด น้ำพุกามเทพ ที่มีเป็นแห่งๆ โต๊ะที่มีเก้าอี้สองตัวสำหรับคู่รัก เก้าอี้ยาวสำหรับนอนเล่น มีต้นไม้ให้ร่มเงามากมาย และตอนกลางคืนก็จะมีแสงไฟให้ตลอด เป็นสวนสาธารณะ ที่สมบูรณ์มาก
    จริงๆ แล้ว สวนสาธารณะนี่ ไม่ใช่สวนสาธารณะจริงๆ หรอก เพราะมันมีเจ้าของที่อยู่ ซึ่งก็คือ “คุณนายกัลซ์” และเธอนั่นเองที่เป็นผู้ทำให้มันกลายเป็นสวนสาธารณะที่สะดวกสบาย (รวมทั้งสร้างหอนาฬิกาด้วย) อย่างมีความสุข โดยที่ไม่หวังผลตอบแทน เธอจึงกลายเป็นที่รักของทุกๆ คนในเซนต์หลุยส์ แม้ว่าเธอจะมีอายุเก้าสิบสองปีแล้ว
    เจโรมเลือกที่จะเดินเล่นตามลำพัง (เพราะไม่มีเพื่อนจะเดินด้วย) ท่ามกลางลมหนาวที่พัดผ่านมาอย่างเรื่อยๆ บ่งบอกถึงหน้าหนาวที่จะมาเยือนในไม่ช้า นัยน์ตาเขาเริ่มเย็น และพร่ามัวไปด้วยน้ำตาของเขา แม้ว่าเขาจะไม่เคยมีเพื่อนเลยสักคน แต่เขาก็รัก และผูกพันธ์กับที่นี่มาก เพราะมันเป็นบ้านของเขา ไม่มีที่ไหนเหมือนบ้านหรอก
    ทางบาร์บาร่าก็เลือกที่จะเดินเช่นกัน โดยเดินไปซับน้ำตาไป ด้วยผ้าเช็ดหน้าสีแดงของเธอ  แต่การที่ไปซับน้ำตาไปนี้ ทำให้มองเห็นสิ่งรอบข้างลำบากมาก ทันใดนั้นเอง มีชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาชนเธออย่างจัง จนทำให้ทั้งเธอและเขาล้มลงไปกับนั่งกับพื้นด้วยกันทั้งคู่
    “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” เสียงของชายหนุ่มที่เข้ามาชนกล่าวขึ้นอย่างสุภาพ ทำให้บาร์บาร่าเงยหน้าขึ้นมองดูเขา ปรากฏว่า เป็นชายหนุ่มในชุดหนังสีดำทั้งชุด รวมทั้งหมวกหนังสีดำของเขาด้วย หน้าตาหล่อเหลาเอาการ จุดเด่นคือนัยน์ตาสีม่วง ที่ดูสดใสยิ่งกว่าดวงตาทุกคู่
    ชายหนุ่มยื่นมือออกไป ให้บาร์บาร่า และเธอก็จับมือเขาเพื่อให้เขาดึงเธอขึ้นมา
    “ขอบคุณค่ะ ” เธอกล่าวขอบคุณ และพยายามจะเดินหนี เพราะดูจากลักษณะการแต่งตัวแล้ว คนๆ นี้เป็นคนจรจัดแน่ และแม่ของเธอสอนไว้ว่า “อย่าไปยุ่งกับคนจรจัด”
    “เดี๋ยวก่อนสิครับ” หนุ่มจรจัดรีบเดินไปขวางเธอไว้ “ชื่ออะไรหรอ?” เขาถามพลางยิ้มและส่งตาหวานให้
    “บาร์บาร่า เบอร์จแมน ” บาร์บาร่าให้ชื่อไป เพราะกลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาท หากไม่ให้
    “ผมเกอร์ริคนะ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เขากล่าวแนะนำตัวเอง ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และยื่นมือไป เพื่อให้เธอจับมือกับเขา
    “ค่ะ เช่นกันค่ะ” บาร์บาร่าเป็นจำพวกปฏิเสธใครไม่เป็น เลยยื่นมือไปจับกับเขา และใช้มืออีกข้างหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาอีกครั้ง
    “อ้าว ร้องไห้เลยหรอ เมื่อกี้ชนแรงไปหรอ” ชายหนุ่มถามอย่างซื่อบื้อ แต่ด้วยใจจริง  “งั้นขอโทษนะ คือ.. เมื่อกี้ผมไม่ได้ระวัง อย่างร้องไห้เลยนะ..”
    “ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่เรื่องนั้น” เสียงเธอฟังดูสะอื้นยิ่งกว่าเดิม
    “แล้วเรื่องอะไรหรอ เล่าให้ฟังได้มั๊ย ” ชายหนุ่มถาม พลางใช้มือเขากุมไหล่เธอและพาออกเดิน
    ในตอนแรกๆ เธอรู้สึกแปลกๆ ที่จะต้องมาเล่าเรื่องของตัวเองให้กับคนที่พึ่งรู้จักกันไม่ถึงนาทีฟัง และเขาก็เป็นคนจรจัดด้วย แต่ว่ามันก็ไม่เห็นแปลกนี่ ตอนนี้เธอก็ไม่มีเพื่อนคุยด้วย จะได้ระบายอารมณ์ออกไปบ้าง จึงตัดสินใจเล่าให้เขาฟัง
    “แย่จังเลยนะ..” เขาเอ่ยขึ้น หลังจากฟังจบ “เป็นผม ถ้าต้องจากที่นี่ไปผมก็เสียใจนะ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเห็นผมมีค่าก็ตาม”
    บาร์บาร่าพยายามจะปลอบเขาว่าเขาไม่ได้เป็นคนไร้ค่าหรอก แต่เธอก็คิดไม่ออก เพราะตอนแรกเธอยังรู้สึกรังเกียจนิดๆ ในตัวเขาอยู่เลย
    “คุณคงต้องไปเจอกับสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเลย” เขาเอ่ยขึ้นต่อ “แล้วก็คงใช้เวลาเป็นปีๆ เลยล่ะ ถึงจะคุ้นกับมัน เหมือนกับที่คุณคุ้นกับที่นี่ ”
    “และฉันก็คงไม่ได้เจอเพื่อนที่รักของฉันอีก” เธอกล่าวขึ้นอย่างเศร้าๆ “ฉันคงคิดถึงผู้คนในเซนต์หลุยส์ คิดถึงหอนาฬิกานี่ (เธอหันไปมองหอนาฬิกา ที่สูงตระหง่านอยู่ด้านหลัง) คิดถึงสวนสาธารณะแห่งนี้ คิดถึงโรงเรียน คิดถึงร้านขนมของคุณนายเพียซ ที่ฉันชอบไปบ่อยๆ ตอนฉันยังเด็ก แม้ตอนนี้จะไม่ค่อยได้ไปแล้ว คิดถึงงานบอล งานพรอม งานประจำปี ไม่รู้งานประจำปีที่นิวยอร์ค จะสนุกเหมือนที่เซนต์หลุยส์นี่หรือเปล่า”
    “คิดในแง่ดีไว้สิ มันอาจจะสนุกว่าก็ได้นะ”
    “แต่อาจจะไม่สำหรับฉัน เพราะฉันเป็นคนที่ซึ่งย้ายไปใหม่ ยังไม่รู้จักใครเลย จะไปสนุกได้ไงล่ะ”
    “นั่นสินะ ” เกอร์ริคก้มมองดูรองเท้า ก่อนที่จะหันไปทางบาร์บาร่า “บ้านคุณอยู่ไหนหรอ ให้ผมไปส่งมั๊ย”
    “ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ..” บาร์บาร่าพยายามส่งยิ้มอย่างเป็นมิตร และปฏิเสธอย่างสุภาพ ไม่ดีแน่ถ้าเธอเดินกลับบ้านกับคนจรจัด
    “อ้อ งั้นไม่เป็นไร โชคดีนะ” เขาหันมามองบาร์บาร่าเป็นครั้งสุดท้าย และเดินออกไป ทิ้งให้บาร์บาร่ายืนอยู่ตามลำพัง
    ตอนนี้บาร์บาร่ากำลังรู้สึกผิดมาก เพราะจริงๆ แล้วเกอร์ริคไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไรเลย ออกจะคุยสนุกด้วยซ้ำ เขาก็แค่มีน้ำใจ จะพาไปส่งบ้านเท่านั้นเอง จรจรจัดไม่ใช่คนหรือไง ทำไมทุกคนถึงไม่มีใครให้โอกาสคนพวกนี้บ้างนะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น