ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Soul Master ตอน ผู้พิชิตแห่ง เอฟิเรีย

    ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบทแห่งการเดินทาง (The starting point of the voyage)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 131
      0
      16 ก.พ. 47



        เมื่อพูดถึง แวน กีออส โซล่า แล้ว ผู้คนในหมู่บ้าน โฮลสตาร์ ต่างรู้จักเขาดีในฐานะหัวหน้ากลุ่มเด็กแสบประจำหมู่บ้าน ที่ชอบสร้างความวุ่นวายให้กับผู้คนที่สัญจรไปมาอยู่เป็นประจำ แต่พวกเขาก็ไม่เคยทำให้ใครต้องเลือดตกยางออกหรอกนะ อย่างมากคุณก็แค่กลับถึงบ้านโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่า ถุงใส่เงินสุดที่รักโดนมือดีฉกไปแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอกเพราะเช้าวันรุ่งขึ้นเด็กหนุ่มจอมป่วนผู้นี้ก็จะมาเคาะประตูหน้าบ้านคุณตั้งแต่เช้าตรู่และทิ้งถุงเงินดังกล่าวเอาไว้ตรงนั้น และเชื่อได้เลยว่าคุณไม่มีทางโกรธเขาแน่ ในเมื่อเงินในถุงยังอยู่ครบทุกกริปทุกเซเดีย แถมยังมีจำนวนมากกว่าเดิมถึง 2 เท่าเสียอีก โดยทิ้งเป็นปริศนาเอาไว้ให้ชาวบ้านงงกันเล่นๆว่าเขาเอาเงินเหล่านั้นมาจากไหนกันแน่



        มาถึงตรงนี้คุณคงอยากรู้แล้วสิว่าหมอนี่มีประวัติความเป็นมาอย่างไร เท่าที่สอบถามจากเพื่อนบ้านในละแวกนั้น ทุกคนต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า โซล่า เป็นเด็กกำพร้าที่ ฮูลิโอ เด ลา ครูซ ช่างตีเหล็กในร้านอันซอมซ่อแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมทางเข้าหมู่บ้าน เก็บมาเลี้ยงเมื่อ 14 ปีก่อน โดยตอนนั้น ครูซ บอกกับทุกคนว่าระหว่างที่เขาออกไปตัดฟืนในป่าวิญญาณ ก็พบทารกน้อยคนหนึ่งอยู่ในอ้อมกอดของทหารที่บาดเจ็บปางตาย และก่อนที่ชายคนนั้นจะสิ้นใจก็พูดออกมาได้แค่คำเดียวเท่านั้นว่า “ท่าน ทรีอานุส”



        แม้ว่า ครูซ จะเป็นเพียงแค่ช่างตีเหล็กธรรมดาๆที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร แถมยังมีบุตรสาวต้องเลี้ยงดูอยู่แล้ว 1 คน แต่เขาก็ไม่ใช่คนใจยักษ์ใจมารพอที่จะทอดทิ้งเด็กน้อยตาดำๆคนหนึ่งให้เผชิญชะตากรรมเอาเองกลางป่าอันวิปลิตแห่งนี้เป็นแน่ เลยต้องทำหน้าที่พ่อบุญธรรมอุปการะทารกน้อยที่มีหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่รายนี้เสียเอง ผมลืมบอกไปว่าหมู่บ้าน โฮลสตาร์ น่ะเป็นที่อยู่ของชนเผ่า วินด์ฟรีด ที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ผู้คนส่วนใหญ่ของที่นี่จึงมีหน้าตางดงามราวกับเทพก็ไม่ปาน ดังนั้นถ้าผมจะบอกว่า โซล่า หน้าตาขี้เหร่ก็คงไม่ผิดสักเท่าไรหรอก



                      วันเวลาผ่านไปทารกน้อย โซล่า เติบโตและใช้ชีวิตเหมือนกับเด็กทั่วๆไปในหมู่บ้านอันแสบเงียบสงบแห่งนี้ เขาเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์สูงในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้อย่างรวดเร็วจนแม้แต่ผู้ใหญ่หลายๆคนยังต้องทึ่ง แต่กระนั้นก็มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เขาทำให้พ่อบุญธรรมอย่าง ครูซ ต้องปวดหัว นั่นคือ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยปริปากพูดอะไรให้ใครได้ยินมาก่อนเลยแม้แต่คำเดียว และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมหมู่บ้านนี้ถึงได้บัญญัติสำนวนเปรียบเทียบใหม่ๆขึ้นมาประโยคหนึ่งที่ว่า “ให้ไปตัดเขาของตัว ฟอเทรัส ยังง่ายกว่ารอให้ โซล่า พูด”



                      บางคนอาจจะสงสัยว่า “อ้าว! ถ้าหมอนี่ผิดประหลาดไปจากชาวบ้านชาวช่อง แถมยังเป็นใบ้ตั้งแต่เกิดแล้วจะมาเป็นหัวโจกของบรรดาเด็กแสบประจำหมู่บ้านได้ยังไง?” อย่าลืมที่ผมบอกเมื่อข้างต้นสิครับว่า โซล่า เป็นเด็กที่มีพัฒนาการเป็นเลิศ และที่สำคัญผมยังไม่ได้พูดสักคำเลยว่ามือของเขาพิการ!! สมัย 3 ขวบ โซล่า ใช้เวลาเพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้นในการเรียนรู้ภาษา ลูเซแนนท์ อันเป็นภาษาทางการที่ใช้กันทั่วโลกในยุคนั้น ขณะที่เด็กทั่วไปที่มีอายุไล่เลี่ยกันกับเขาต้องใช้เวลาเป็นปีๆเลยทีเดียวในจดจำภาษา ลูเซแนนท์ ให้ขึ้นใจ



                      มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยสักนิดถ้าหากเขาจะมีชุดเครื่องเขียนพกติดตัวอยู่ในกระเป๋าเสื้อคลุมสีเงินอันซอมซ่อตลอดเวลาทั้ง ปากกาขนนกที่ไม่ต้องอาศัยหมึกสักหยดก็เขียนได้ (วางขายในร้านค้าของแปลกที่หมู่บ้านราคาด้ามละ 12 เซเดีย) และกระดาษเวทมนต์ที่สามารถใช้แล้วใช้ได้อีกโดยมันจะลบข้อความที่เราไม่ต้องการแล้วออกให้เอง เพียงแค่คุณเขีดเส้นใต้ข้อความดังกล่าว แล้วเขียนอาคมกำกับลงไปอีกทีว่า “อีเรเซร่า” เท่านั้นก็เป็นอันเรียบร้อย ส่วนเรื่องที่เขากลายมาเป็นหัวหน้ากลุ่มเด็กแสบได้ก็เพราะอัธยาศัยไมตรีอันจริงใจยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือนนั่นเอง ความจริงใจของ โซล่า นั้นกล่าวกันว่า หลังจากที่เขาตายไปแล้วอีกหลายร้อยหลายปีทุกคนในหมู่บ้าน โฮลสตาร์ ก็ยังคงสั่งสอนลูกหลานของตนให้เอาแบบอย่างเด็กหนุ่มผู้นี้กันถ้วนหน้า     



        โอ๊ะโอ!!ดูเหมือนว่าเราจะพูดกันถึงแต่นาย โซล่า คนนี้จนลืมเอ่ยถึงบุตรสาวอีกคนหนึ่ง ครูซ เสียสนิทเลย เด็กสาวคนนี้มีอายุมากกว่าพ่อหนุ่มหัวโจกของเราเพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น เธอมีชื่อว่า มิเรนเซีย เทดาร์ ลูน่าร์ ถ้าผมบอกว่า โซล่า เป็นตัวป่วนที่แสนน่ารักประจำหมู่บ้าน เธอคนนี้ก็คงเปรียบเสมือนกับพระแม่มาเรียของชาวบ้านไม่มีผิด ลูน่า ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของ อุลลิช ดิ คาร์มิเน่ หมอเทวดาที่ได้รับการขนานนามว่า “เทพรักษาแห่ง บิวาออน” ตั้งแต่ยังเด็ก จนทำให้เธอเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในเรื่องอาคมแห่งการรักษา และการใช้ยาสมุนไพรต่างๆไม่ด้อยไปกว่าผู้เป็นอาจารย์เลยสักนิด ทุกวัน ลูน่า จะต้องตื่นตั้งแต่ตีเช้าตรู่เพื่อทำอาหารเช้าให้กับผู้ชายทั้งสองคนในบ้าน เพราะมีแต่เธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้หญิง เนื่องจากแม่ของเธอป่วยตายไปหลังจากที่เธอลืมตาดูโลกได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้น และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ ลูน่า อยากเป็นหมอที่เก่งที่สุดในโลก



        หลังจากเสร็จสิ้นงานในครัวที่แสนจะเหนื่อยยากแล้ว ลูน่า ยังต้องออกเดินทางไปยังเมือง บิวาออน เพื่อเรียนวิชากับอาจารย์ของเธอทุกวันๆ การเดินทางไปยังเมือง บิวาออน ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรเพราะมันอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน โฮลสตาร์ นัก เพียงแต่คุณต้องเสี่ยงเดินผ่านป่าวิญญาณอย่างไม่มีทางเลี่ยง สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งอาศัยของเหล่ามอนสเตอร์ที่ดุร้ายและวิญญาณที่ไปผุดไปเกิดไม่ได้เป็นจำนวนมาก ทำให้ตามปกติแล้วไม่ค่อยมีใครกล้าใช้เส้นทางดังกล่าวนอกจากจำเป็นจริงๆ แน่นอนว่า ลูน่า ที่เป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆแถมยังไม่รู้จักวิชาการป้องกันตัวเลยสักนิดย่อมไม่มีทางผ่านป่าพรรค์นี้ไปได้ตามลำพัง โดยทุกวันเธอจะมี โซล่า คอยตามไปเป็นบอดี้การ์ดให้ด้วย



        อันที่จริงเด็กหนุ่มอายุแค่ 14 ปีอย่างเขาไม่มีปัญญาไปสู้รบปรบมืออะไรกับมอนสเตอร์หรอก ลำพังแค่หอยทากกินคนตัวเล็กๆที่แสนจะอ่อนแอ เขายังเอาชนะไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ก็อย่างว่าหมอนี่ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่เราคิดกัน ดูเหมือนว่าจะไม่มีมอนสเตอร์หรือวิญญาณร้ายตนใดเคยทำร้ายเขาเลยแม้แต่ปลายเล็บ โดยที่ไม่มีใครรู้อีกเช่นกันว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่แถมพวกมันยังชอบเข้ามาคลอเคลียกับเขาบ่อยๆราวกับแมวเชื่องๆเลยทีเดียว ดังนั้นป่าแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนสถานที่วิ่งเล่นของเขามาตั้งแต่ยังเด็กและทุกครั้งที่โดนใครไล่กวดมาเขาก็มักจะเผ่นแนบมาซ่อนตัวที่นี่เป็นประจำ แน่ล่ะว่าไม่มีใครกล้าเสี่ยงตามมาหรอก (นอกจาก ครูซ พ่อของเขา)



        วันนี้ก็เช่นกันที่ โซล่า ต้องเดินทางไปส่งพี่สาวบุญธรรมของเขาที่เมือง บิวาออน โดยขี่ฝูง ฟอเทรัส ไปจนถึงชายป่าอีกฟากหนึ่ง ด้วยฝีเท้าที่รวดเร็วสุดๆของมอนสเตอร์กินเนื้อชนิดนี้เพียงแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้นเด็กทั้งสองก็เดินทางมาถึงเมือง บิวาออน อันที่จริงการขี่ตัว ฟอเทรัส นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ก่อนอื่นจะต้องทำให้มันเชื่องเสียก่อนโดยนำเนื้อสดๆของวัว บิทูรอส มาเป็นเหยื่อล่อมิฉะนั้นคุณจะกลายเป็นเหยื่อของมันไปเสียเอง เมื่อมันอิ่มหนำสำราญเต็มที่มันก็จะยอมทำตามที่คุณขอร้องหนึ่งอย่าง คราวนี้แหละที่คุณสามารถขึ้นขี่หลังให้มันพาไปส่งยังจุดหมายที่ต้องการได้ทันที อ้อ! แล้วอย่าลืมล่ะว่าหลังของตัว ฟอเทรัส ไม่ใช่เก้าอี้นวมนุ่มๆอย่างที่คุณคิดหรอกคุณจะต้องทำใจเอาไว้ก่อนเลยว่าจะต้องทนนั่งบนเก้าอี้ที่แข็ง, เป็นตะปุ่มตะป่ำและกระเทือนที่สุดในโลก (แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่ในเมื่อมันเป็นพาหนะมีชีวิตที่เร็วที่สุดแล้วในยุคนั้น)



                       ทั้งคู่เดินไปด้วยกันจนถึงหน้าวิหารพยาบาลของ อุลลิช ดิ คาร์มิเน่ ก่อนที่ ลูน่า จะปลีกตัวเข้าไปหาอาจารย์ข้างในตัววิหาร โดยปล่อยให้น้องชายบุญธรรมของเธออยู่ตามลำพัง เพราะที่นี่มีกฏอยู่ว่านอกจากผู้ป่วยและคนของทางวิหารแล้ว ห้ามใครก็ตามที่ไม่มีกิจธุระเข้าไปยุ่งย่ามเป็นอันขาด ตอนนั้นยังเป็นเวลาเช้าอยู่ โซล่า มีเวลาว่างอีกเพียบจนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องมารับ ลูน่า กลับหมู่บ้าน ปกติเขามักอาศัยเวลาช่วงดังกล่าวเที่ยวหาความรู้แปลกๆใหม่ๆใส่ตัวอยู่เสมอตามประสาคนช่างอยากรู้อยากเห็น จากบรรดานักเดินทางหลากหน้าหลายตาที่แวะเวียนกันมาหาเสบียงเพิ่มที่เมืองนี้ก่อนออกเดินทางไปยังเมืองอื่นๆต่อไป



                       บรรยากาศภายในตัวเมืองค่อนข้างครึกครื้นซึ่งก็เป็นปกติอยู่แล้วสำหรับเมืองแห่งนักเดินทางอย่าง บิวาออน เพียงแต่ โซล่า รู้สึกว่าวันนี้ผู้คนค่อนข้างเยอะกว่าปกติราวกับกำลังจะมีการจัดงานเทศกาลอะไรขึ้นสักอย่าง เขาหันซ้ายหันขวามองดูเหล่านักเดินทางที่แต่งตัวในชุดแปลกๆซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลนราวกับบ้านนอกเข้ากรุงไม่มีผิด จนเผลอสะดุดก้อนหินล้มหน้าคะมำกลางถนน โซล่า รีบลุกขึ้นมาและเผ่นไปจากบริเวณนั้นทันทีด้วยความเขินอายในความซุ่มซ่ามของตัวเอง ระหว่างทางเขาเห็นชายคนหนึ่งกำลังแจกใบปลิวให้กับนักเดินทาง ด้วยความอยากรู้ว่าเป็นอะไรจึงไปขอมาแผ่นหนึ่งและก้มหน้าก้มตาอ่าน แต่แล้วก็ต้องตกใจที่มันเขียนด้วยภาษาที่เขาไม่เคยได้เห็นมาก่อนเลยสักครั้ง    



                                                “Aaabashilyh Ellvieriiai Nmu XVIIIII”







    Aweirbdle

    - Zvorldnamsetr    - Kwsate

    - Dblcka Mgnaic    - Cwarlkueatl

    - Btocer    - Nmucis Tarz



    Eotnm: Tehor Aweirlabdle peasler tecno htiv Ellivieriiai rofv spzeialcr.



    Caplaintac’e Qouilfvitoni

    - Elmai ouv vielmai XIV Ysarz otto XVIII Ysarz

    - Zsic Basa Eni Vantde Veidlf

    - Hoveng Bralnd Vfom Yruol Prenta

        

    Ruour Vore Ayrlae

    - Mnstur Ttearz III Vore Veidlf

    - Veryieno horve otto ebry Ttearz enlyr III Tomnes

    - Ilo Ryaol Vamailyr exrmpet vfrmno Ttearz

    - Acplincae ono otto pyari vofi Ttearz



    Byliar: Estudientes Belze Arthor



        โซล่า พยายามตีความข้อความปริศนาในใบปลิวดังกล่าวโดยเทียบกับภาษา ลูเซแนนท์ ที่เขาคุ้นเคยแต่คิดจนหัวระเบิดก็รู้ได้แค่ว่ามันน่าจะเป็นอักขระในสมัยโบราณ เผอิญตอนนั้นเขายืนอยู่ตรงข้ามบาร์ Axelz ของ ฟอเทียร์ ลา พัลลิสม่า ซึ่งเป็นคนที่สนิทกับเขาที่สุดเพียงคนเดียวที่เมืองนี้ แถมยังชื่นชอบในเรื่องของภาษาและอักขระโบราณเป็นชีวิตจิตใจอีกด้วย เขาจึงไม่รอช้าที่จะเข้าไปขอความช่วยเหลือจากชายเจ้าของร้าน โชคร้ายนิดหน่อยที่วันนั้นในร้านมีลูกค้ามาใช้บริการกันแน่นไปหมด พัลลิสม่า จึงวุ่นอยู่กับการทำงานจนแทบไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าสหายตัวน้อยของเขาแวะมาเยี่ยม



        เมื่อเห็นว่าสหายวัยกลางคนของเขากำลังวุ่นอยู่ โซล่า จึงได้แต่นั่งรออยู่เงียบๆที่ริมเคาน์เตอร์ ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดวิสัยมนุษย์จอมป่วนอย่างเขาเป็นอย่างยิ่ง เพราะตามปกติบาร์แห่งนี้จะต้องโดนก่อกวนจนวุ่นวายไปแล้ว เหมือนกับเมื่อครั้งที่เขามาถึงเมืองนี้เป็นครั้งแรกก็เล่นงานร้านขายขนมปังด้วยการเอาผงสุดเผ็ดที่ทำจากผลของต้น คูราเซา ไปใส่ไว้ในขนมปังที่เพิ่งอบสุกใหม่ๆตอนที่เจ้าของร้านเผลอ ทำเอาลูกค้าต้องกลับมาต่อว่าร้านนี้อยู่บ่อยๆ นานวันเข้าเจ้าของร้านนึกสงสัยจึงแอบดูอยู่และก็จับ โซล่า ได้คาหนังคาเขาพอดี ซึ่งก็เป็น พัลลิสม่า นั่นแหละที่บังเอิญผ่านมาห้ามทัพได้ทันเสียก่อนที่จอมแสบของเราจะโดนเล่นงาน



        พัลลิสม่า เป็นคนมีอัธยาศัยดีและยังชอบทำอะไรห่ามๆมาตั้งแต่สมัยเด็กเหมือนกับ โซล่า ไม่มีผิดด้วยเหตุนี้คนทั้งคู่จึงเข้ากันได้ดีอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยทีเดียว โซล่า มักจะรบเร้าให้ชายวัยกลางคนผู้นี้เล่าเรื่องการเดินทางไปยังดินแดนต่างๆที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อนให้ฟังอยู่เสมอ และนั่นก็เป็นการจุดประกายให้เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าอยากจะออกไปผจญภัยในโลกกว้างสักวันหนึ่ง แทนที่จะทำงานเป็นช่างตีเหล็กใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไปวันๆเหมือนกับพ่อบุญธรรม ซึ่งมันไม่เหมาะกับคนอย่างเขาเลยสักนิด



        “อ้าว โซล่า มาตั้งแต่เมื่อไรกันเนี่ย!!” พัลลิสม่า ส่งเสียงทักทายสหายตัวน้อย หลังจากเหลือบมาเห็นเข้าพอดีในตอนที่เริ่มว่างเว้นจากการบริการลูกค้า



        <เมื่อตะกี้นี้เองฮะ เผอิญมีเรื่องอยากให้คุณ พัลลิสม่า ช่วยสักหน่อย> โซล่า เขียนตอบอย่างรวดเร็วบนกระดาษเวทย์มนต์ด้วยปากกาขนนกคู่ใจ



                   “ว่ามาสิ ไม่ต้องเกรงใจหรอก ตอนนี้ฉันว่างแล้วล่ะ” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างยิ้มแย้ม



                   <คุณพอจะช่วยแปลข้อความบนใบปลิวนี่ให้ผมฟังหน่อยได้มั้ย> เด็กหนุ่มเขียนถามต่อทันทีอย่างไม่รอช้าพร้อมทั้งยื่นใบปลิวแผ่นนั้นให้กับ พัลลิสม่า ด้วย



                     ชายเจ้าของบาร์อ่านใบปลิวแผ่นดังกล่าวอย่างตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษ และทำท่าทีราวกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรสักอย่างอยู่ในใจ เขายืนนิ่งไปนานมากจน โซล่า ต้องเอามือไปแตะถึงจะรู้สึกตัว



                     “มันเป็นภาษา ฟิเรียนเซ่ น่ะ เป็นอักขระโบราณที่ยังใช้กันอยู่เฉพาะแถบอาณาจักร เบลเวเดีย เท่านั้น ส่งกระดาษมาสิเดี๋ยวฉันจะแปลให้เอง เอาแบบคำต่อคำเลย ดีมั้ย“ พัลลิสม่า กล่าว



                     เด็กหนุ่มพยักหน้ารับพร้อมทั้งส่งกระดาษเวทมนต์และปากกาขนนกให้กับสหายต่างวัย ก่อนที่ พัลลิสม่า จะก้มหน้าก้มตาแปลข้อความดังกล่าวด้วยความเชี่ยวชาญ โดยใช้เวลาราวๆ 5 นาทีเท่านั้นก็แล้วเสร็จ



                                 “พิธีคัดเลือกแห่ง เอลฟิเรีย ครั้งที่ 173”



    (ตั้งแต่วันที่ 1-36 เดือน กัสเปล ปี ซิริอุส ที่ 65)



    สาขาวิชาที่เปิดรับสมัคร

    - วิชาอาวุธ    - การต่อสู้

    - เวทย์มนต์คาถา    - คำนวณ

    - การแพทย์    - ดนตรีและศิลปะ



    หมายเหตุ: สาขาวิชาอื่นๆนอกเหนือจากนี้ให้ติดต่อกับทาง เอลฟิเรีย เป็นกรณีพิเศษ



    คุณสมบัติเบื้องต้นของผู้สมัคร

    - ชายหรือหญิง อายุ 14 ปี ขึ้นไปจนถึง 18 ปี

    - มีความรู้ความสามารถเบื้องต้นในสาขาที่จะสมัคร

    - มีใบอนุญาตจากผู้ปกครอง



    เงื่อนไขในการเข้าเรียน

    - ต้องผ่านการทดสอบ 3 ประการของแต่ละสาขาวิชาก่อน

    - ทุกคนมีสิทธิเข้ารับการทดสอบได้แค่ 3 ครั้งเท่านั้น

    - ลูกหลานของเชื้อพระวงศ์จากอาณาจักรต่างๆได้รับการยกเว้นเป็นพิเศษไม่ต้องทำการทดสอบ

    - ผู้สมัครไม่จำเป็นต้องเสียเงินค่าสมัครแต่อย่างใด



    ลงชื่อ: เอสตูดิเอนเตส เบลเซ่ อาเธอร์ (จอมปราชญ์แห่ง เอลฟิเรีย)





        <เอลฟิเรีย คืออะไรครับ?> โซล่า รีบคว้าเอากระดาษกลับมาเขียนถาม พัลลิสม่า ต่ออย่างรวดเร็วด้วยความกระตือรือร้น



        “มันเป็นชื่อของวิหารสารพัดศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้ยังไงล่ะ” พัลลิสม่า ตอบ



                     \"เด็กๆทุกคนต่างใฝ่ฝันที่จะเข้าไปเรียนที่นั่นกันทั้งนั้นเพราะมันสามารถช่วยให้พวกเขาก้าวกระโดดไปสู้จุดมุ่งหมายที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว ฉันเองก็เคยเรียนที่นั่นเหมือนกันสาขาภาษาศาสตร์น่ะ เพราะอยากจะออกเดินทางไปท่องโลกกะเค้าบ้าง แต่สุดท้าย…” ชายเจ้าของบาร์หยุดพูดแค่นั้น ขณะที่ โซล่า ได้แต่อ้าปากค้างด้วยความทึ่งว่าทำไม พัลลิสม่า ถึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังมาก่อนเลย



                     “สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องมาเป็นเจ้าของบาร์อย่างที่เธอเห็นนั่นแหละ ทำได้ดีที่สุดก็แค่คอยรับฟังข่าวสารโลกภายนอกจากเหล่านักเดินทางที่แวะเวียนมายังเมืองนี้” พัลลิสม่า กล่าวไปพลางถอนหายใจไปด้วย ทำให้ โซล่า รู้สึกได้ว่าในอดีตจะต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับสหายผู้นี้แน่



                    “ว่าแต่เธอล่ะไม่สนใจจะลองเข้าทดสอบดูบ้างรึ” ชายเจ้าของบาร์เริ่มเปลี่ยนเรื่องพูด “เท่าที่ฉันดูมา คนอย่างเธอมันก็เป็นประเภทเดียวกับฉันนั่นแหละ ไม่ใช่คนที่จะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไปวันๆในหมู่บ้านที่แสนจะเงียบเหงาใช่มั้ยล่ะ บางทีการไปใช้ชีวิตที่ เอลฟิเรีย สักระยะอาจจะเหมาะสมกับเธอที่สุดก็เป็นได้นะ” พัลลิสม่า กล่าวให้คำแนะนำสหายน้อยของเขา โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าคำพูดประโยคดังกล่าว จะก่อให้เกิดเรื่องราวอีกมากมายหลังจากนี้ที่จะกลายเป็นตำนานเล่าขานกันไปทั่วทุกแว่นแคว้นนานนับพันๆปี





    ******************************************************************************************************



    ตอนที่ 14 แหวนจ้าววิญญาณ (Soul Eater)



        [ แสงสว่างขจัดความมืด แต่เมื่อรัตติกาลมาเยือนแสงสว่างย่อมถูกกลืนกิน สิ่งใดที่นำมาซึ่งแสงสว่างก็เป็นแหล่งก่อกำเนิดความมืดมิดได้เช่นกัน ผู้ใดได้ครอบครองสิ่งดังกล่าวแล้วไซร้ ผู้นั้นย่อมเป็นนายแห่งแสงสว่างและความมืดมิดทั้วปวง มีหรือที่แสงสว่างอันน้อยนิดแห่ง ซิริอุส และความมืดมนอันน่าสะพรึงกลัวแห่ง แม็กซิม จะหลีกพ้นนายของมัน ]



        \"นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่ ? \" ซิลเวีย เอ่ยถามขึ้น หลังจากได้เห็นข้อความประหลาดดังกล่าว สลักเอาไว้บนแผ่นศิลาหินขนาดใหญ่ ที่มีรูปร่างเหมือนกับบานประตู พวกเธอเดินมาตามทางสายนี้ได้นานพอสมควรแล้ว โดยไม่มีทีท่าว่าจะพบอุปสรรคใดๆเลย



        \"มันคือคำทำนายที่เทพพยากรณ์ลึกลับผู้หนึ่ง ได้เล่าขานให้ผู้คนใน เอลฟิเรีย ฟัง ภายหลังจากที่ ลอร์ด ซิริอุส กับ บารอน แม็กซิม สร้างหอพัก บลู ลอร์ด กับ เร้ด บารอน ขึ้นมาได้ไม่นานนัก\" เลวิน อธิบาย อย่างคล่องแคล่ว ราวกับเคยพบเห็นได้ยินได้ฟังเรื่องราวพวกนี้มาก่อน \"พวกท่านได้สลักคำทำนายนั่นเอาไว้บนแผ่นหินสองแผ่น วางมันเอาไว้ข้างๆป้ายชื่อหอพักทั้งสอง แต่ดูเหมือนภายหลังจะตระหนักขึ้นมาได้ว่า ความหมายที่แท้จริงในคำทำนายเหล่านี้คืออะไร และคิดว่ามันอาจจะเป็นอันตรายต่อผู้คนใน เอลฟิเรีย สุดท้ายจึงเอาแผ่นหินพวกนั้นมาเก็บซ่อนเอาไว้ในห้องลับส่วนตัว ซึ่งก็คือแผ่นหินที่พวกเธอกำลังอ่านอยู่นี่ยังไงล่ะ\"



        \"นายรู้เรื่องแบบนี้ได้ยังไง?\" อิชูตัล ถามด้วยท่าทีหวาดระแวง ดูเหมือนเธอจะไม่ไว้วางใจในตัวของสหายใหม่รายนี้เท่าที่ควร โดยเฉพาะหลังจากได้เห็นหมอนี่ร่ายอาคมเปิดประตูเวทย์มนต์หน้าตาเฉย ทั้งที่ไม่ใช่จอมเวทย์



        เด็กหนุ่มนักดนตรีเพิกเฉยกับท่าทีของสาวน้อยผู้ใช้มนต์ดำ \"บางครั้งคนเรามันก็ต้องเรียนรู้ในสิ่งที่อยู่นอกเหนือความสนใจหลักกันบ้าง แต่ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพวกท่านตีความคำทำนายออกมาว่าอย่างไร รู้แต่ว่าตอนนี้เราไม่มีเวลามาเอ้อระเหยอยู่ที่นี่นานนัก\" พูดจบเขาก็เลื่อนแผ่นหินคำทำนายที่ขวางทางอยู่ออกอย่างไม่แยแส ก่อนจะเดินจ้ำพรวดนำหน้าสาวๆ ไปตามทางอันคับแคบนั้นต่อ แต่ไปได้แค่ไม่กี่ก้าวทุกคนก็ต้องหยุดกึกพร้อมๆกัน



        บัดนี้เบื้องหน้าของพวกเขาเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ แสงสว่างจากหินแสงอาทิตย์ที่มีอยู่รอบด้าน ทำให้เด็กๆมองเห็นสภาพภายในห้องนั้นได้อย่างชัดเจน ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆสไตล์ขุนนางชั้นสูง ถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป้นระเบียบเรียบร้อย หากแต่มีฝุ่นเกาะอยู่เต็มไปหมด ราวกับไม่มีใครเข้ามาใช้งานนานเป็นสิบๆปี พวกเขาแยกย้ายกันไปสำรวจดูรอบๆห้อง ก่อนที่ ซิลเวีย จะส่งเสียงกรี๊ดดังลั่น หลังจากที่เธอเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเข้า จนทุกคนต้องรีบหันมามองตื่นตระหนก



        บันกาเร่ ผอมกะหร่องตัวหนึ่งนอนเอกเขนกอย่างสบายอารมณ์อยู่บนเตียง มือของมันกำซากแมงมุมที่ยังไม่ไม่หมดเอาไว้แน่นทั้งที่ยังหลับอยู่ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องน่าตกใจเท่ากับ การที่มันกำลังหนุนอยู่บนโครงกระดูกมนุษย์ ซึ่งทุกคนคาดเดาเอาเองว่าน่าจะเป็นของ ลอร์ด ซิริอุส



        \"ไม่ผิดแน่!! ที่นี่ล่ะห้องลับของลอร์ด ซิริอุส\" เลวิน กล่าวอย่างลิงโลด แล้วจึงรี่เข้าไปยังศพของท่านลอร์ด ก่อนจะก้มหน้าก้มตาควานหาอะไรบางอย่างบนเตียงนั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย และเผลอเอามือไปปัดถูกเจ้า บันกาเร่ น้อยตัวนั้นเข้าจนตกเตียง มันลืมตาตื่นขึ้นมามองแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วยความหงุดหงิด แต่เมื่อคู่ต่อกรมีขนาดใหญ่กว่ามาก จึงทำได้ดีที่สุดแค่ วิ่งหนีออกไปจากห้องเท่านั้น



        \"เจอแล้ว!!\" เด็กหนุ่มอุทานด้วยสีหน้าแช่มชื่น หลังจากพบหีบเหล็กขนาดย่อมใบหนึ่งเข้าที่ใต้หมอน แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนเขาก็เปิดมันไม่ออก



        \" [ แสงสว่างแห่ง ซิริอุส สำหรับเจ้าของที่แท้จริง ] มันหมายความว่ายังไงกัน ? \" ซิลเวีย อ่านข้อความในกระดาษที่แปะเอาไว้บนหีบใบนั้นด้วยความสงสัย แต่คราวนี้ไม่มีใครสามารถให้คำตอบแก่เธอได้อีก แม้กระทั่งคนที่น่าจะรู้ไปเสียหมดทุกเรื่องอย่าง เลวิน สุดท้ายพวกเขาจึงตัดสินใจนำหีบดังกล่าวไปให้พวก โซล่า ที่อยู่ข้างบนช่วยกันหาทางเปิด



    <><><><><><><><><><><><><><><><><>



        \"โอ้ย!!\" คาเรน ส่งเสียงครางด้วยความเจ็บปวด หลังจากศีรษะของเธอไปกระแทกเข้ากับเพดาน ที่ยิ่งเดินเข้าไปลึกก็ยิ่งลดระดับลงเรื่อยๆเข้าอย่างจัง เส้นทางลับในหอพัก เร้ด บารอน นั้นค่อนข้างกว้างก็จริง แต่กลับมืดสนิทไร้ซึ่งสิ่งให้แสงสว่าง ทำให้ ไกอา ต้องแปลงร่างเป็นค้างคาวคอยนำทางให้เธอ แต่ก็ไม่วายเดินชนโน่นชนนี่อยู่เรื่อย



        \"รู้มั้ยว่านายเป็นค้างคาว ที่ห่วยแตกที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาเลยล่ะ\" คาเรน กล่าวตำหนิ จน ไกอา รู้สึกฉุนขึ้นมา แต่ก็พูดโต้ตอบอะไรไม่ได้ เพราะยังอยู่ในร่างของค้างคาวดูดเลือด (ก็ฉันเป็นคนนี่เฟ้ย ไม่ใช่ค้างคาวจริงๆสักหน่อย!!) เขาคิดในใจ



        ทั้งคู่เดินไปตามทางลับที่ทั้งมืดทั้งอับชื้น แถมยังมีหินงอกหินย้อยเพียบไปหมด จนเรียกว่าถ้ำก็ยังได้เลยด้วยซ้ำ ในสภาวะเช่นนี้คนธรรมดาคงหลงทางไปแล้ว เพราะไม่มีสิ่งใดช่วยชี้นำทิศทางได้เลย แต่ด้วยความสามารถของค้างคาวน้อย ไกอา ในที่สุดพวกเขาก็ควานหาประตูทางเข้าสู่ห้องลับเจอจนได้



        \"แผ่นหินนี่ต้องเป็นประตูแน่ แต่ดูเหมือนจะมีตัวหนังสืออะไรสลักเอาไว้ด้วยนะ ไกอา ขอไฟหน่อยสิ\" คาเรน ออกคำสั่งเหมือนกับเด็กหนุ่มเผ่า ฟารีย่า เป็นสมุนของเธอก็มิปาน ไกอา ยอมทำตามคำขอโดยไม่ว่าอะไรเพราะขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงด้วย เขาแปลงกายกลับมาเป็นมนุษย์ตามเดิม แต่มีติ่งยาวๆซึ่งเรืองแสงได้ยื่นออกมาจากหน้าผาก



        \"นั่นอะไรน่ะ น่าขยะแขยงจัง!?\" สาวน้อยนักสู้ทำหน้าเบ้ เมื่อได้เห็นติ่งประหลาดนั่น



        \"ฉันลองเลียนแบบปลาประหลาดชนิดหนึ่งดูน่ะ มันอาศัยอยู่ในทะเลลึกมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าเคยมีคนพบเห็นหรือรู้จักชื่อมันมาก่อนรึเปล่า เมื่อหลายปีก่อนฉันอยากรู้ว่าก้นทะเลมันลึกแค่ไหน ก็เลยแปลงร่างเป็นปลา ดำลงไปสำรวจดู ที่นั่นมืดมากแต่ก็มีดวงไฟลางๆให้เห็น ฉันเลยลองว่ายเข้าไปใกล้ดู แล้วจู่ๆเจ้าปลานั่นก็โผล่พรวดเข้ามาจู่โจมฉัน บนหัวของมันมีติ่งเรืองแสงได้แบบนี้ด้วยล่ะ ถ้าตอนนั้นฉันแปลงร่างเป็นเม่นทะเลไม่ทัน มีหวังโดนมันเขมือบไปแล้ว\" ไกอา ตอบ พลางแกว่งติ่งเรืองแสงไปมา จนดูเหมือนกับหนอนหรือไส้เดือน



        \"ช่างเถอะ อย่างน้อยมันก็ช่วยให้แสงสว่างได้ ว่าแต่....ทำไมนายถึงไม่เอาออกมาใช้เสียแต่แรกเล่า!?\" ว่าแล้วเธอก็เอามือทุบหัวเด็กหนุ่มจนทรุด เป็นการแก้แค้นที่ทำให้ตัวเอง ต้องเดินชนสิ่งกีดขวางอยู่เสียนาน (ฉันเข้าใจความรู้สึกของนายแล้วล่ะ ออร์เตก้า...) ไกอา คิด พลางเอามือกุมศีรษะที่ระบมไปหมด ส่วน คาเรน ก็เริ่มอ่านข้อความบนแผ่นหิน



        [ แสงสว่างขจัดความมืด แต่เมื่อรัตติกาลมาเยือนแสงสว่างย่อมถูกกลืนกิน สิ่งใดที่นำมาซึ่งแสงสว่างก็เป็นแหล่งก่อกำเนิดความมืดมิดได้เช่นกัน ผู้ใดได้ครอบครองสิ่งดังกล่าวแล้วไซร้ ผู้นั้นย่อมเป็นนายแห่งแสงสว่างและความมืดมิดทั้วปวง มีหรือที่แสงสว่างอันน้อยนิดแห่ง ซิริอุส และความมืดมนอันน่าสะพรึงกลัวแห่ง แม็กซิม จะหลีกพ้นนายของมัน ]



        \"อะไรเนี่ย ? ไม่เห็นจะเข้าใจเลย!?\" คาเรน ทำหน้างงพอๆกับ ไกอา ที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอลองออกแรงผลักมันดู แผ่นหินลึกลับเลื่อนออกอย่างง่ายดาย เผยให้เห็นห้องโถงใหญ่ ที่มีตุ๊กตาหินรูปคน ตั้งอยู่อย่างระเกะระกะทั่วทั้งห้อง บางตัวอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดี บางตัวก็อยู่ในสภาพแตกหัก แต่ทุกตัวล้วนทำออกมาได้สมจริงมาก



        ทั้งสองก้าวพรวดเข้าไปในห้องโดยไม่รอช้า ทิ้งแผ่นหินปริศนาเอาไว้ยังเบื้องหลัง เพราะบรรยากาศในห้องนี้ ดูมีมนต์สเน่ห์อย่างน่าประหลาดนั่นเอง พวกเขาสำรวจดูรอบๆห้องด้วยความสนอกสนใจ

        \"บางทีมันอาจจะเป็นห้องลับที่พิลึกพิลั่นที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้\" ไกอา ลงความเห็น โดยประเมินคร่าวๆเอาจากสิ่งของต่างๆภายในห้องนี้ มันไม่มีแม้กระทั่งข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นอย่าง โต๊ะ, เตียง, เก้าอี้ หรือแม้กระทั่งสิ่งให้แสงสว่าง \"ไม่รู้ว่า บารอน แม็กซิม อยู่เข้าไปได้ยังไง ที่นี่มันห่วยกว่าห้องหมายเลข 309 ของฉันตั้งหลายเท่า...\"



        คาเรน ส่งเสียงหัวเราะคิกคัก เธอเห็นด้วยกับเด็กหนุ่มเจ้าของนิ้วโป้งสีน้ำเงินอย่างเต็มที่ แต่แล้วจู่ๆก็มีลำแสงประหลาด ที่ไม่ได้ส่องมาจากติ่งบนหน้าผากของ ไกอา พุ่งเข้ามาหาพวกเขาจากทางด้านหลังอย่างมิให้ตั้งตัว ตอนนี้ในห้องสว่างจ้าไปหมด ราวกับมีดวงอาทิตย์ฉายแสงอยู่ ก่อนที่มันจะค่อยๆมืดลง พร้อมกับสติสัมปชัญญะของเด็กน้อยทั้งสอง



    <><><><><><><><><><><><><><><><><>



        \"เหนื่อยจังเลย!!\" ซิลเวีย นั่งหอบแฮ่กๆอยู่บริเวณริมสนามหญ้า ใกล้กับทางเข้าสู่ห้องลับของลอร์ด ซิริอุส เช่นเดียวกันกับพี่สาวของเธอ และเจ้าหนุ่มนักดนตรีที่ชื่อ เลวิน ทั้งสามคนออกแรงกันจนแทบจะหน้ามืด เพื่อหอบหิ้วเอาหีบสมบัติลับ ที่ค้นพบมาให้พวก โซล่า ซึ่งรออยู่บริเวณปากทางเข้า ช่วยกันหาวิธีเปิด



        \"ของที่พวกนายเจอข้างในนั้นมีอยู่แค่นี้เองรึ!? โธ่ อุตส่าห์รอนานเป็นชั่วโมงๆ\" อาเซล ทำหน้าผิดหวังกับสมบัติอันน้อยนิด แต่หนักสุดๆที่พวกสาวๆช่วยกันหอบหิ้วมาด้วยความยากลำบาก



        \"ในนั้นยังมีแผ่นหินหนักๆกับเตียงนอนอย่างดี รวมทั้งโครงกระดูกของลอร์ด ซิริอุส ด้วย ถ้านายอยากได้ก็เชิญลงไปขนเอาเองตามใจชอบเลย\" เลวิน กล่าวตัดพ้อ พลางเอามือปาดเหงื่อที่หน้าผาก เขาเหนื่อยเกินกว่าจะตอบรับ ถ้อยคำกวนอารมณ์ของเด็กหนุ่มสวมแว่นตา ด้วยรอยยิ้มอย่างที่เคย



        \"ไม่รู้ว่าเจ้าหีบบ้านี่ มันทำด้วยอะไร ถึงได้หนักโคตรๆแบบนี้ ทั้งที่ดูจากภายนอกแล้ว มันน่าจะเบากว่า ไวโอลิน หรือ เชลโล่ ตัวโปรดของฉันเสียอีก คอยดูนะถ้าหากข้างในเป็นของไร้สาระล่ะก็ ฉันจะถล่มห้องลับของ ลอร์ด ซิริอุส ให้พังจนราบเลย\"



        ทุกคนในที่นั้นถึงกับอึ้งในอาการฉุนขาดของ เลวิน ผู้แสนจะเยือกเย็นคนนั้น ไม่เว้นกระทั่ง อิชูตัล ที่มีอุปนิสัยเย็นชาพอๆกัน แต่เธอก็รีบดึงเพื่อนๆกลับมายังประเด็นสำคัญโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เสียเวลามากจนเกินไป



        \"ช่วยกันหาวิธีเปิดก่อนเถอะ ตอนที่อยู่ข้างล่าง เลวิน เขาลองเปิดดูทุกวิถีทางแล้ว แต่ไม่สำเร็จเราก็เลยต้องแบกมันขึ้นมาทั้งอย่างนี้\"



        \"ปล่อยให้ฉันจัดการเอง!!\" อาเซล รีบเสนอตัวเหมือนกับจะมีความคิดดีๆ เขาเดินเข้ามาใกล้หีบ ก่อนจะควักเอากุญแจดอกเล็กๆออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้านใน \"นี่คือกุญแจมายารุ่นต้นแบบ หนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่ฉันสุดแสนจะภาคภูมิใจ มันสามารถปลดล็อคทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ได้ถึง 75%เลยทีเดียว รับรองว่าหีบเล็กๆแค่นี้ไม่เกินความสามารถของมันแน่!!\"



        เด็กหนุ่มสวมแว่นตากระหยิ่มยิ้มย่องในใจ พลางคิดไปเองว่าทุกคนจะต้องทึ่งกับผลงานชิ้นโบว์แดงของเขา เหมือนกับคราวก่อนๆ แต่กลับกลายเป็นว่าสหายแต่ละคน ต่างทำหน้าเอือมระอาไปตามๆกัน จนเขาอดนึกสงสัยมิได้



        \"ฉันพูดอะไรผิดไปรึเพื่อน ?\" เขาหันมาถาม เลวิน



        \"นายช่วยให้คำตอบหมอนี่ทีเถอะ โซล่า ฉันพูดไม่ออกจริงๆ...\"



        โซล่า พยักหน้าอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก แล้วจึงก้มหน้าก้มตาเขียนข้อความให้ อาเซล อ่าน    



        <พวกเราไม่ได้ข้องใจในสิ่งประดิษฐ์ของนายหรอก แต่นายน่าจะลองมองดูให้ดีเสียก่อนว่า หีบใบนี้ไม่มีรูกุญแจ!>



        เพียงเท่านี้ก็เหลือเฟือแล้ว ที่จะทำให้ยอดนักประดิษฐ์จอมเปิ่น อายม้วนจนไม่กล้าเสนอความคิดเห็นอะไรอีก ระหว่างที่ทุกคนปรึกษากันอยู่ โซล่า ก็ลองเอามือลูบคลำฝาหีบใบดังกล่าวดู ทันใดนั้นหีบก็เปิดออกเอง พร้อมกับมีวัตถุลึกลับพุ่งออกมาจากข้างใน มันร่อนไปร่อนมาท่ามกลางความตกใจของพวกเด็กๆ ก่อนจะหยุดอยู่นิ่งๆกลางอากาศ โดยมีประกายแสงเจิดจรัสครอบคลุมอยู่ แต่ก็พอจะเดาจากรูปร่างได้ว่ามันน่าจะเป็นดาบ

        

        \"นายทำอะไรของนายน่ะ?\" อาเซล ถามเด็กหนุ่มใบ้ แต่เขาก็ไม่ได้รับคำอธิบายใดๆ เนื่องจาก โซล่า เอาแต่ส่ายหน้าลูกเดียว



        ดาบลึกลับพุ่งลงปักกับพื้นดินเบื้องหน้าพวกเขา พลันปรากฏร่างของวิญญาณดวงหนึ่งขึ้น ซึ่งไม่ว่าใครก็คงรู้ได้ทันทีว่า นี่คือท่านลอร์ด ซิริอุส ผู้โด่งดังนั่นเอง ดวงวิญญาณเจ้าของหอพัก บลูลอร์ด ดูโปร่งใสและซีดเซียว แต่ใบหน้ายังฉายแววของความเป็นชายแก่ใจดี ให้พวกเขาใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง



        \"นานกี่ปีแล้วนะที่ข้าสิงสู่อยู่ในดาบเล่มนี้ เพื่อรอคอยเจ้าของที่แท้จริงของมัน....\" ท่านลอร์ด เริ่มกล่าว พลางส่งสายตาปลื้มปิติไปยัง โซล่า ทำเอาเจ้าตัวถึงกับกลืนน้ำลายดังเอื้อก \"เจ้าหนูผู้เป็นนายแห่งแสงสว่างและความมืดมิดเอ๋ย จงมาเถิด...มารับเอาแสงสว่างอันน้อยนิดนี่ไปเสีย เพื่อที่ข้าจะได้ยุติบทบาทของตัวเองลงเสียที\"



        ถึงตอนนี้ทุกคนต่างหันมามอง โซล่า อย่างพร้อมพรียง จนเขาทำอะไรไม่ถูก ต้องเขียนข้อความถามวิญญาณดวงนั้น



        <แล้วท่านจะให้เราทำอย่างไรกันแน่ ผมงงไปหมดแล้ว>



        \"เพียงแค่ดึงดาบเล่มนี้ขึ้นมาเท่านั้น มันก็จะเป็นของเจ้าโดยสมบูรณ์\" ลอร์ด ซิริอุส อธิบาย แล้วจึงกวักมือเรียกเขาอีกครั้ง \"เร็วเข้าสิ ผู้เป็นนายแห่งแสงสว่างและความมืดมิด\"



        (นี่มันอะไรกันว้อย!!) โซล่า รู้สึกหัวเสียกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จู่ๆก็มีวิญญาณขุนนางมาบอกให้เขาทำโน่นทำนี่ โดยไม่ยอมอธิบายอะไรให้กระจ่างเลยสักนิด แต่เขาก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย เพราะอยากรู้เหลือเกินว่า เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป และที่สำคัญดาบเล่มนี้ดูท่าว่าจะขายได้ราคาดีเสียด้วย



        เด็กหนุ่มใบ้ดึงดาบออกมาจากพื้นดินอย่างง่ายดาย ราวกับมันเสียบอยู่บนเต้าหู้ ไม่ใช่พื้นหินอัคนีอย่างที่เห็นอยู่ ความรู้สึกแรกที่เขานึกออกเมื่อยามที่กวัดแกว่งมันก็คือ (ช่างเบาหวิวอะไรเช่นนี้ นี่น่ะรึของสุดหนักที่อยู่ในหีบใบนั้น?)

        

        ดวงวิญญาณของลอร์ด ซิริอุส หัวเราะเบาๆอย่างพออกพอใจ \"ในที่สุดหน้าที่อันใหญ่หลวงของข้าก็ลุล่วงด้วยดีแล้ว แม็กซิม เอ๋ย ข้าจะไปรอเจ้าอยู่ที่ภพโน้นก่อนก็แล้วกัน...\" ว่าแล้ววิญญาณที่สิงสู่ในดาบ ก็หายวับไปอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เหมือนกับตอนที่โผล่มา ทิ้งให้พวกเด็กๆคิดหาคำตอบในเรื่องที่เกิดขึ้นกันเอาเอง



        \"สรุปแล้วใครพอจะอธิบายให้ฉันฟังได้บ้างว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่!?\" อาเซล เอ่ยขึ้นก่อนเป็นคนแรก ท่ามกลางความเงียบกริบนั้น แต่เพื่อนๆของเขาต่างหันมามองกันเอง เพราะไม่มีใครให้คำตอบแก่เด็กหนุ่มสวมแว่นตาได้เลย



        \"ขอดูดาบนั่นหน่อยได้มั้ย โซล่า?\" เลวิน เอื้อมมือไปคว้าดาบผีสิงเล่มนั้นจากมือของ โซล่า ซึ่งตอนนี้ก็ยังคงดูมึนๆอยู่ แต่แล้วเด็กหนุ่มนักดนตรีก็ทรุดฮวบลงกับพื้น ทันทีที่ โซล่า ปล่อยมือจากดาบ น้ำหนักของมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเกินกำลังที่เขาจะถือไหว จึงต้องทิ้งลงกับพื้น แต่มันก็ทำเอาพื้นดินบริเวณนั้นแตกเป็นรอยร้าว เหมือนกับถูกทุบด้วยค้อนยักษ์ของพวก ไซคล็อป คนอื่นๆลองเข้ามายกกันดูบ้างแต่ก็ไม่มีใครทำสำเร็จ ยกเว้นเด็กหนุ่มตัวแสบผู้ได้รับความไว้วางใจจากดวงวิญญาณของลอร์ด ซิริอุส  โซล่า ยกมันขึ้นมาควงเล่นได้อย่างคล่องแคล่ว เหมือนกับมันทำมาจากแผ่นไม้บาง\"



        \"ฉันไม่รู้เหมือนกันว่านายทำได้ยังไง แต่ที่แน่ๆตอนนี้มันเลือกนายเป็นเจ้าของแล้วล่ะ\" อิชูตัล กล่าวตัดบท ท่ามกลางความเห็นพ้องต้องกันของทุกๆคน \"ฉันคิดว่าตอนนี้เราน่าจะรีบไปดูสถานการณ์ที่หอพัก เร้ด บารอน กันโดยเร็วจะดีกว่านะ\" ทันทีที่สาวน้อยมนต์ดำเสนอความเห็นจบ พวกเด็กๆก็รีบช่วยกันปิดซ่อนทางลับเอาไว้ตามเดิม แล้วจึงมุ่งหน้าไปสมทบกับพวก ออร์เตก้า ที่หอพัก เร้ด บารอน



    <><><><><><><><><><><><><><><><>



        \"เหลือเชื่อชะมัดเลย!!นี่มันดาบ ไลท์ บริงเกอร์ ไม่ผิดแน่!? ให้ตายสิ ทำไมมันถึงเลือกคนที่ไม่ใช่นักดาบหรืออัศวินอย่างนายเป็นเจ้าของกันนะ\" ออร์เตก้า ออกอาการตื่นเต้นอย่างเต็มที่กับเรื่องราวที่พวก โซล่า เล่าให้เขาฟัง ขณะที่ เซลโซ่ นั้นยังพยายามสงวนท่าทีแบบลูกผู้ดีเอาไว้ ทั้งที่ในใจก็อยากจะลองสัมผัส หนึ่งในสิบสองดาบในตำนานดูบ้างสักครั้งในชีวิตเหมือนกัน



        \"ว่าแต่พวก คาเรน ยังไม่ออกมาเลยนี่จ๊ะ?ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า น่าเป็นห่วงจัง....\" ซิลเวีย เริ่มรู้สึกกังวลที่เพื่อนสาวคนสนิท หายเข้าไปในทางลับนานกว่าพวกเธอ แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับออกมาเสียที



        \"โอ้ย เชื่อฉันเถอะ ไม่มีใครทำอะไรยัยเสือดาวนั่นได้แน่ ต่อให้เจ้า ไกอา เกิดหน้ามืดคิดจะใช้กำลังปลุกปล้ำขึ้นมา ก็คงไม่มีปัญญาทำได้หรอก ฉันขอเอาหัวเป็นประกันเลย!!\" ออร์เตก้า นินทาคู่กัดของตนเสียยกใหญ่ หลังจากสงบปากสงบคำมานานพอสมควรแล้ว แทบทุกครั้งที่ต้องมาอยู่รวมกลุ่มกับ คาเรน



        \"ฉันรู้ว่า คาเรน เป็นคนเก่ง แต่ยังไงฉันก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี พี่คะเราจะตามเข้าไปดูกันสักหน่อยมั้ย?\" เด็กสาวหันไปถาม อิชูตัล ที่ยืนรออยู่ตรงปากทางเข้าสู่ห้องลับของหอพัก เร้ด บารอน ซึ่งพี่สาวของเธอก็พยักหน้าให้เป็นเชิงว่าเห็นชอบด้วย



        \"ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปพร้อมกันหมดนี่แหละ\" ออร์เตก้า เสนอแนะ \"ทิ้งให้เจ้า เซลโซ่ กับ อาเซล ยืนดูต้นทางด้วยกันตรงนี้ก็เหลือเฟือ\"



        \"เฮ้ เดี๋ยวสิ นายจะมาสั่งฉันไม่ได้นะเฟ้ย!!ฉันเองก็อยากตามลงไปด้วยเหมือนกัน\" อาเซล ค้าน สุดตัว



        \"ใช่เลย ฉันเองก็เหมือนกัน ใครมันจะบ้ายืนตบยุงอยู่แถวนี้คนเดียวได้เป็นชั่วโมงๆ\" เซลโซ่ กล่าวเสริม



        \"พวกนายสองคนน่ะหยุดพูดได้แล้ว!!มาใกล้ๆนี่สิ ฉันมีอะไรจะคุยด้วย\" เด็กหนุ่มนักดาบเรียกให้ อาเซล กับ เซลโซ่ เข้าไปหา ก่อนที่ทั้งสามคนจะเริ่มพูดคุยซุบซิบกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเรื่องทั้งหมดก็ลงเอยด้วยดี



        \"เป็นอันว่าตกลงตามนี้ก็ได้ แต่นายห้ามผิดสัญญานะ\" เด็กหนุ่มมาดผู้ดีทำทีเห็นด้วยอย่างมีเลศนัย เช่นเดียวกับ อาเซล ที่ออกอาการเหม่อลอยไปแล้ว เหมือนกำลังสร้างโลกส่วนตัวอยู่ในใจ จากนั้นคนอื่นๆจึงลงไปตามทางลับนั้น ตามแผนการณ์ที่ตกลงกันเอาไว้



        ระหว่างทาง โซล่า เขียนข้อความถาม ออร์เตก้า เกี่ยวกับวิธีที่เขาใช้ เพื่อทำให้ อาเซล กับ เซลโซ่ ยอมทำหน้าที่ดูต้นทางแต่โดยดี



        <นายทำได้ยังไงน่ะ เมื่อตะกี้สองคนนั่นยังโหวกเหวกโวยวายอยู่เลย?>



        เด็กหนุ่มนักดาบแค่นหัวเราะออกมา ก่อนจะให้คำตอบแก่สหายสนิท \"ไม่เห็นยากเลย เจ้าสองคนนั่นลามกจะตายไป ฉันแค่บอกว่าจะแนะนำสาวสวยให้เป็นการตอบแทนเท่านั้นแหละ พูดอะไรไปก็เออออห่อหมกอย่างว่าง่ายเลย\" แล้วทุกคนในกลุ่มก็ส่งเสียงหัวเราะกันครืน (นอกจาก อิชูตัล ที่ดูไม่ใส่ใจใยดีอะไรนัก) กับความเจ้าเล่ห์ของ ออร์เตก้า เพราะต่างรู้ดีอยู่แล้วว่า หมอนี่ไม่มีทางทำตามสัญญาได้แน่ ลำพังแค่ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลยด้วยซ้ำ



        \"ไบรท์ เดย์ ไลท์!!\" ซิลเวีย ร่ายอาคมช่วยให้ทางเดินทั้งหมดสว่างจ้า พวกเขาจึงรุดหน้าไปได้อย่างง่ายดาย ไม่นานนักก็มาถึงทางเข้าสู่ห้องลับ ซึ่งมีแผ่นหินบานประตู ถูกเปิดค้างเอาไว้อยู่



        \"นี่มันเหมือนกับที่ห้องลับของลอร์ด ซิริอุส เลยนี่นา!?\" เลวิน จำได้ทันที เมื่อได้เห็นแผ่นหินสลักคำทำนายเป็นครั้งที่สอง เช่นเดียวกับ ซิลเวีย และ อิชูตัล แต่พวกเขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับบานประตูดังกล่าว มากเท่ากับตุ๊กตาหินในห้อง โดยเฉพาะตุ๊กตาสองตัวที่ตั้งอยู่ใกล้กับประตูทางเข้ามากที่สุด



        \"ไกอา!!คาเรน!!นี่มันอะไรน่ะ!?\" ซิลเวีย ตกใจสุดขีดกับสภาพที่เพื่อนทั้งสองของเธอเป็นอยู่ ร่างของทั้งคู่กลายเป็นหินโดยสิ้นเชิง สีหน้าบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า กำลังตื่นตระหนกกับการถูกลอบทำร้าย



        อิชูตัล เหลียวมองดูรอบด้าน พร้อมกับหยิบเอาคฑาคู่มือออกมาเตรียมเอาไว้ \"ระวังตัวด้วยนะทุกคน ที่นี่ไม่ปลอดภัยแน่...\" แต่พูดยังไม่ทันขาดคำก็มีลำแสงประหลาดพุ่งเข้ามาหา ออร์เตก้า ที่ไม่ทันระวังโดนเข้าเต็มเปา พลันบังเกิดกลุ่มควันสีเขียวขึ้น และเมื่อมันจางลง เด็กหนุ่มนักดาบก็กลายเป็นหินไปอีกคนหนึ่งเสียแล้ว



        (ออร์เตก้า!?) โซล่า ตะลึงกับภาพที่เห็นต่อหน้า ก่อนจะหันขวับไปในทิศทางที่ลำแสงนั่นพุ่งเข้ามา เขาเห็นสิ่งของชิ้นเล็กๆบางอย่าง ส่องประกายแสงสีแดงวาววับ อยู่บนแท่นหินอ่อน



        \"แหวนนี่นา!?\" ซิลเวีย อุทาน หลังจากได้เห็นสิ่งที่อยู่บนแท่น เธอพยายามจะเข้าไปดูใกล้ๆกว่านี้ให้แน่ใจ แต่ก็ถูก อิชูตัล คว้าหมับเอาไว้เสียก่อน



        \"จะเข้าไปทำไม เดี๋ยวก็ได้กลายเป็นหินไปอีกคนหรอก!\"



        เมื่อได้รับคำเตือนแบบนี้ พวกเขาจึงเริ่มระมัดระวังตัวกันมากขึ้น สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องอยู่ที่แหวนอาถรรพ์วงดังกล่าว ตอนแรก โซล่า คิดว่าเป็นฝีมือของพวก กอร์กอน หรือไม่ก็ ค็อคคาทริซ เสียอีก แต่เมื่อพบว่ามันน่าจะเป็นแค่กับดักเวทย์มนต์ จึงเริ่มคลายความหวาดกลัวไปได้บ้าง แม้จะยังกังวลกับการที่เพื่อนๆถูกสาปให้เป็นหินก็ตาม



        \"แล้วจะทำยังไงดีล่ะคะพี่?\" ซิลเวีย ถามผู้เป็นพี่สาว



        \"ไม่เห็นต้องถามเลย\" ว่าแล้ว อิชูตัล ก็เริ่มร่ายเวทย์ พร้อมกับเล็งปลายคฑาของเธอไปยังแหวนวงนั้น \"เอเมอรัลด์ สปาร์ค!!\" สายฟ้าสีเขียวมรกตพุ่งออกจากคฑาเข้าสู่เป้าหมาย ด้วยความเร็วสูงและแม่นยำ ทำเอาแท่นหินอ่อนระเบิดกระจุยกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เกิดควันขโมงไปทั่วห้อง



        (ยัยบ้าเอ๊ย!!) โซล่า ตาเหลือก เมื่อได้เห็นผลงานของสาวน้อยเจ้าอารมณ์ พลางนึกเคืองในใจไปด้วย เพราะเวทย์สายฟ้าที่ อิชูตัล ใช้ อาจทำให้ร่างของเพื่อนๆที่กลายเป็นหินอยู่ แตกหักเสียหายจนคืนร่างเดิมไม่ได้ แถมตอนนี้ยังมีฝุ่นควันคลุ้งไปหมด จนมองไม่เห็นอะไรเลย เขารีบฉุดให้ ซิลเวีย กับ อิชูตัล หมอบลงกับพื้น จนกว่าทุกอย่างจะเป็นปกติ เด็กหนุ่มกุมมือสองสาวพี่น้องเอาไว้แน่น จนพวกเธอหน้าแดงเป็นมะเขือเทศสุก



        ไม่นานนักควันก็จางหายไป คงเหลือเอาไว้แค่ร่างที่กลายเป็นหินของ เลวิน ทำเอา โซล่า ตกใจยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มนักดนตรี จะถูกลำแสงประหลาดนั่นเข้า ตอนที่มองอะไรไม่เห็น เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ยังยืนอยู่ในขณะนั้น



        \"ฮ่าๆๆ เยี่ยมจริงๆ!! ไม่มีเหยื่อมาให้ข้าเล่นสนุก นานกี่ปีกันแล้วนะเนี่ย\" เสียงลึกลับเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ท่ามกลางความเงียบกริบ และเจ้าของเสียงก็อยู่ต่อหน้าพวกเขานั่นเอง มันเป็นอสูรกายที่มีรูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกับมนุษย์มาก แตกต่างกันตรงที่ มันมีปีกงอกออกมาถึงสองคู่ โดยคู่หนึ่งอยู่บริเวณด้านหลัง มองดูคล้ายกับปีกของมังกร ขณะที่อีกคู่หนึ่งอยู่บริเวณใบหูทั้งสองข้างมีลักษณะคล้ายครีบปลา เสื้อสีดำที่สวมใส่อยู่มีตราสัญลักษณ์รูปแมงมุมยักษ์ พร้อมกับตัวอักษรภาษาลูเซแนนท์ที่เขียนว่า \"Anello\"



        \"แกสินะ ที่ทำให้เพื่อนๆของฉันกลายเป็นหิน รีบทำให้พวกเขากลับเป็นปกติเดี๋ยวนี้นะ!!\" อิชูตัล พูดขู่ แต่กลับทำให้เจ้าอสูรกายลึกลับ หัวร่อจนตัวงอ



        \"....ขำอะไรมิทราบ!?ฉันเอาจริงนะ!!\"



        \"สาวน้อย เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?ถึงได้กล้าเอ่ยปากสั่งอสูรกายจ้าววิญญาณอย่างท่าน อาเนลโล่ ผู้นี้\" ว่าแล้วมันก็ปล่อยลำแสงคำสาปเข้าใส่พวกของ โซล่า อย่างต่อเนื่อง ทำเอาพวกเด็กๆต้องหลบกันอุตลุต จนดูเหมือนกับกำลังเต้นระบำบูชายัญแบบเผ่า ฟารีย่า ทันใดนั้นเอง ซิลเวีย ก็สะดุดล้มจนข้อเท้าแพลง เจ้าอสูรกายได้ทีจึงหันมายิงลำแสงใส่เป้านิ่งอย่างเธอก่อน



        กลุ่มควันสีเขียวพวยพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนกับตอนที่ ออร์เตก้า กลายเป็นหินไม่มีผิด นั่นแสดงให้เห็นว่าลำแสงของ อาเนลโล่ ถูกเป้าหมายเข้าอย่างจัง หากแต่คราวนี้เมื่อควันจางลง ปรากฏว่า ซิลเวีย ยังคงปกติดีทุกอย่าง กลับเป็น โซล่า ที่ยืนแข็งทื่อเหมือนกับถูกแช่แข็งในหิมะ



        \"โซล่า!!\" สาวน้อยมนต์ขาว เรียกชื่อของเด็กหนุ่มใบ้ ที่ช่วยปกป้องเธอจากการจู่โจมของเจ้าอสูรร้ายนั่น โดยเอาตัวเองเข้ามาเป็นโล่ห์มนุษย์



        \"ทีนี้ก็เหลืออีกแค่สองคน\" อาเนลโล่ แลบลิ้นแผลบๆ ด้วยลีลายียวนกวนประสาท พร้อมกับโยนวัตถุทรงกลมเรืองแสงได้เล่นอย่างสบายใจ อิชูตัล เพ่งดูสิ่งนั้น และพบว่ามันคือดวงวิญญาณของพวก โซล่า นั่นเอง



        \"แก เอาวิญญาณของทุกคนคืนมานะ!!\" อิชูตัล เงื้อคฑาคู่ใจวิ่งเข้าใส่อสูรกายจ้าววิญญาณ ก่อนจะร่ายเวทย์อัคคีโจมตีในระยะประชิด แต่ก็ไม่มีทีท่าว่า มันจะได้รับบาดเจ็บอะไรเลย และในที่สุดเธอก็ถูกดึงเอาวิญญาณไปอีกคน ตอนนี้เหลือเพียงแค่ ซิลเวีย เท่านั้น ที่ยังไม่ถูกสาปให้กลายเป็นหิน เธอพยายามใช้อาคมรักษาข้อเท้าที่ได้รับบาดเจ็บ แต่มันกลับไม่ได้ผลเท่าที่ควร อาเนลโล่ ยืนดูเหยื่อรายสุดท้ายของมันดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์ก่อนจะเอ่ยขึ้น



        \"เปล่าประโยชน์น่าสาวน้อย ตราบใจที่พวกเจ้าอยู่ในเขตแดนของข้า พลังของเจ้าก็จะเหลือแค่หนึ่งในสี่ส่วนเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อาคมรักษาของเจ้าจะไม่ค่อยได้ผล แน่ล่ะว่ารวมทั้งเวทย์จู่โจมของแม่สาวคนนี้ด้วย\" มันชูดวงวิญญาณของ อิชูตัล ที่เพิ่งได้มาให้เด็กสาวปวดใจเล่น ตอนนี้เธอรู้สึกหมดหวังที่จะดิ้นรนต่อไปแล้ว จึงนั่งนิ่งอยู่ข้างๆร่างของ โซล่า ที่กลายเป็นหิน เพื่อรอรับชะตากรรมแบบเดียวกัน



        \"ดีมาก ว่าง่ายๆอย่างนั้นแหละดีแล้ว ข้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อย\" อาเนลโล่ ยิงลำแสงคำสาปเข้าใส่ ซิลเวีย แต่คราวนี้ลำแสงถูกสะท้อนกลับไปหาตัวมันเอง จนกระเด็นไปกระแทกกับฝาผนังดังโครม เด็กสาวมองดูเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างตื่นเต้น ตอนนี้เบื้องหน้าของเธอมีคนผู้หนึ่ง กำลังยืนตั้งท่าเตรียมต่อสู้กับอสูรกายตัวนั้น ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก โซล่า แต่เป็น โซล่า อีกคนหนึ่ง ที่เคยทำให้เธออกสั่นขวัญแขวนมาแล้ว



        \"อะไรกัน ทำไมแกถึง...!?ก็แกถูกข้าเอาวิญญาณมาแล้วนี่!!\" อาเนลโล่ เริ่มรู้สึกงง เมื่อพบว่าคนที่ซัดมันจนกระเด็นเมื่อครู่ก็คือ เด็กหนุ่มใบ้ที่ถูกมันชิงเอาดวงวิญญาณไปแล้ว



        \"เจ้าโง่!!นั่นมันใช่วิญญาณข้าเสียเมื่อไรกันเล่า วิญญาณของตัวข้าอีกคนหนึ่งต่างหาก\" โซล่า ในร่างของมนุษย์อสูรเต็มขั้น แสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วจึงกระโจนเข้าใส่คู่ต่อสู้ ใช้มือเปล่าเล่นงาน อาเนลโล่ เป็นชุดๆทั้งเตะทั้งต่อย จนมันตกอยู่ในสภาพสะบักสะบอมสุดขีดแทบจะยืนไม่ขึ้น และในที่สุดมันก็หมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้ ล้มตึงลงกับพื้น



        \"แฮ่กๆ...ทำไมกัน...ทำไมเขตอาคมของข้าถึงใช้กับแกไม่ได้ผล!?\" อาเนลโล่ คร่ำครวญ มันไม่เคยนึกมาก่อนเลยสักครั้ง ว่าจะมีศัตรูหน้าไหนทำกับมันได้ถึงขนาดนี้



        \"เขตอาคมของแก ไม่ได้ผิดพลาดอะไรหรอก\" โซล่า ภาคอสูรอธิบาย \"เพียงแต่พลังของข้ามันมากเกินไปก็เท่านั้นเอง เอาล่ะรีบบอกมาว่าจะยอมปลดปล่อยดวงวิญญาณทั้งหมดให้เป็นอิสระ แล้วหันมารับใช้ข้าอย่างซื่อสัตย์ หรือต้องการให้ข้าลงมือทรมานแกให้หนักกว่านี้?\" เขาขู่สำทับ แต่คราวนี้กลับได้ผลชะงัด อาเนลโล่ รับรู้ได้ด้วยสัญชาติญาณว่า ศัตรูที่อยู่ต่อหน้าเป็นพวกพูดจริงทำจริง มันจึงรีบแปลงกายกลับมาเป็นแหวนตามเดิม แล้วลอยมาสวมที่นิ้วชี้ข้างซ้ายของ โซล่า



        จากนั้นดวงวิญญาณทั้งหมดที่เจ้าอสูรกายสะสมไว้ ก็ถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ บ้างก็กลับคืนสู่ร่างเดิม แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ต้องไปเกิดใหม่ เพราะร่างกายแตกหักไปหมดแล้ว ซึ่งในจำนวนนี้มีดวงวิญญาณของขุนนางชั้นสูง ซึ่งน่าจะเป็น บารอน แม็กซิม รวมอยู่ด้วย วิญญาณดวงนั้นมองดู โซล่า จิตมาร อย่างไม่แยแส ก่อนจะหายไปอย่างเงียบๆ



        \"เฮ้อ นี่ข้าจะต้องเหนื่อยอย่างไร้ประโยชน์แบบนี้อีกสักกี่ครั้งกันล่ะเนี่ย เจ้าพวกนี้ชอบหาเรื่องใส่ตัวกันเสียจริง\" โซล่า จิตมาร หันไปมองหน้า ซิลเวียบ่นกระปอดกระแปด ก่อนจะเข้าสู่ภวังค์นิทราอีกครั้ง ปล่อยให้ โซล่า เจ้าของร่างกลับฟื้นคืนสติดังเดิม เช่นเดียวกับคนอื่นๆที่เริ่มรู้สึกตัวกันแล้ว



        ซิลเวีย โผเข้าไปสวมกอดพี่สาวของเธอที่กลับเป็นปกติแล้ว โดยลืมไปว่าข้อเท้ายังเจ็บอยู่ จึงร้องโอดโอยเป็นการใหญ่ ออร์เตก้า หันซ้ายหันขวาด้วยอาการงงๆ เพราะเขาไม่รู้เลยสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น ในช่วงที่ถูกทำให้กลายเป็นหิน เลวิน จึงช่วยอธิบายให้ฟังคร่าวๆ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องให้ ซิลเวีย ช่วยเล่าต่อจากตอนที่เขาถูกสาปไปแล้ว ทุกคนจึงรู้สึกทึ่งในตัว โซล่า มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่เจ้าตัวไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลยสักนิด ระหว่างนั้น กลุ่มคนซึ่งได้รับการคลายคำสาปแล้วก็เดินเข้ามารุมล้อมพวกเด็กๆ



        \"พวกเธอเป็นคนจัดการกับเจ้าอสูรนั่นสินะ?\" สาวน้อยคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมาก่อน เมื่อดูจากชุดที่เธอสวมใส่แล้ว ออร์เตก้า ประเมินได้แทบจะทันทีว่า เจ้าหล่อนน่าจะเป็นนักเรียนสาขาพลังจิตชั้นปี 5 \"ฉันชื่อ แชสซี ซาฮาริน ไอร่า เป็นนักเรียนปี 5 จากสาขาพลังจิต ส่วนหมอนี่...\"



        เธอชี้ไปยังเด็กหนุ่มร่างท้วม สวมหมวกทรงสูงแบบพ่อครัว ที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆอย่างอารมณ์ดี \"เขาชื่อ เนลสัน อาร์มันโด้ อเล็กซ์ เป็นเพื่อนสนิทของฉัน แต่เรียนอยู่ในสาขาการทำอาหาร เราเป็นหนี้บุญคุณพวกเธอจริงๆต่อไป ถ้ามีอะไรเดือดร้อนก็มาขอให้พวกเราช่วยได้ทุกเมื่อเลยนะ\"



        \"ผม วิเนก้า มาร์โซ ออร์เตก้า!!\" ออร์เตก้า รีบชิงแนะนำตัวทันทีต่อหน้าสาวสวย \"ถึงผมจะเป็นเด็กปี 1 แต่เราก็น่าจะสนิทกันได้ใช่มั้ยครับคุณ ไอร่า?\" ว่าแล้วเด็กหนุ่มขี้หลีก็ก้มลงส่งสายตาเจ้าชู้ให้เธอ ไอร่า ยิ้มแหยๆแต่ก็ยอมจับมือทักทายด้วยแต่โดยดี



        \"ว่าแต่ตอนนี้มันวันเดือนปีอะไรกันอ่ะ?\" เด็กหนุ่มร่างท้วมที่ชื่อ อเล็กซ์ เอ่ยถาม โซล่า



        \"วันที่ 24 เดือน ซิกูรูโซ่ ปี ซิริอุส ที่ 65\" อิชูตัล ตอบแทนให้อย่างเสร็จสรรพ เพราะเธอรำคาญที่ โซล่า มัวแต่เลิกลั่กกับการนั่งนับนิ้ว และควานหากระดาษปากกาเพื่อเขียนคำตอบให้คู่สนทนาอ่าน



        \"หา!?\" อเล็กซ์ และบรรดาคนแปลกหน้าทั้งหลายต่างอุทานออกมาพร้อมกัน นัยน์ตานั้นเบิกโพลงจนแทบจะถลนออกมาจากเบ้า พวกเขาพูดคุยปรึกษาหารือกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด ซึ่งพวก โซล่า ไม่เข้าใจเลยว่าคนเหล่านี้ตกอกตกใจอะไรกันนักกันหนา



        ไอร่า หันกลับมาคุยกับพวก อิชูตัล อีกครั้ง \"ขอโทษที่ทำให้พวกเธอสงสัยคือเรื่องมันมีอยู่ว่า พวกเราแต่ละคนล้วนถูกเจ้า อาเนลโล่ ทำให้เป็นหิน และเอาวิญญาณไปเก็บไว้ในแหวนลึกลับนานเป็นสิบๆปีแล้ว พูดง่ายๆก็คือ ในยุคนี้ฉันจะต้องเป็นคุณป้าอายุเกือบ 50 ปี ไม่ใช่เด็กสาวอายุ 18 อย่างที่พวกเธอเห็นอยู่ ตอนนี้เราก็เลยกังวลกันอยู่ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี\" สาวน้อยแสนสวยที่อ้างว่าตัวเองอายุกว่า 50 ปีแล้วอธิบาย



        โซล่า พยายามใช้สิตปัญญาที่มีอยู่ทั้งหมดนึกหาทางออกให้กับเจ้าหล่อน แต่แล้วเขาก็ช็อคจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นกับภาพที่ได้เห็น ไกอา กับ คาเรน ที่น่าจะพ้นจากคำสาปแล้ว ยังคงแน่นิ่งเป็นรูปปั้นหินเหมือนเดิม เขาจึงมองดู แหวนที่นิ้วและนึกถามมันในใจ <เฮ้ อาเนลโล่ ทำไมเพื่อนฉันสองคนนี้ ไม่ยอมคืนสภาพเดิมเล่า?>



        <เรียนนายท่าน ข้าจำไม่ได้เลยสักนิดว่าเคยสาปสองคนนี้ให้เป็นหินตั้งแต่เมื่อไร?> อสูรกายแห่งแหวนพูดตอบ ราวกับมันไม่รู้เรื่องอะไรเลย



        <นายอย่ามาพูดตลกเลยดีกว่าน่า ถ้าไม่ใช่ฝีมือนายยังจะมีใครทำให้พวกเขากลายเป็นหินแบบนี้ได้อีก!?> โซล่า เริ่มเคือง



        <จริงนะขอรับนายท่าน สองคนนี้ถูกทำให้เป็นหินที่นี่ก็จริง แต่ข้าไม่ใช่คนลงมือนะขอรับ>



        <หมายความว่า...!?> เด็กหนุ่มใบ้เริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี



        <มีใครบางคนที่มีพลังอาคมแกร่งกล้ามากเข้ามาที่นี่ แล้วจัดการกับพวกเขาก่อนที่ข้าจะรู้ตัวเสียอีก> เมื่อ อาเนลโล่ พูดถึงตรงนี้ โซล่า ก็พลันนึกไปถึงบุรุษลึกลับผู้ที่เคยซัด ออร์เตก้า กับ เซลโซ่ จนหมอบมาแล้วในคลังอาวุธลับแห่ง เอลฟิเรีย



        <นายไม่ทันเห็นเจ้านั่นเลยจริงๆรึ...?> เขาถามต่อทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า อสูรรับใช้ตัวใหม่ไม่มีทางเห็นใบหน้าของคนร้ายแน่



        <ข้าเห็นมันแค่แว่บเดียวเท่านั้น จำได้ลางๆว่าเจ้านั่นไว้ผมยาว และใช้ดาบประกายสีม่วงเล่มหนึ่งเป็นอาวุธ นอกนั้นข้าก็ไม่รู้อะไรอีกแล้ว ถ้าหากนายท่านยังต้องการทราบอะไรอีก ก็ขอให้เรียกถามข้าได้ตามประสงค์>



        <ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ขอบใจเจ้ามาก> เด็กหนุ่มกล่าวขอบใจเจ้า อาเนลโล่ แล้วจึงหันมามองเพื่อนๆด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ก่อนจะลงมือเขียนข้อความอย่างหนึ่งให้พวกเขาอ่าน



        <ไกอา กับ คาเรน ถูกคนอื่นที่ไม่ใช่ อาเนลโล่ สาปให้เป็นหิน เห็นทีพวกเราคงจะต้องปรึกษากันยาวเสียแล้วล่ะคราวนี้....>



    <><><><><><><><><><><><><><><><><><><>

    ภาคผนวก 8 : ว่าด้วยเกม-กีฬายอดฮิตใน เอลฟิเรีย

        

        เกมการละเล่นและกีฬาประเภทต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งที่มีให้เห็นกันได้ในสังคมมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ถ้าหากที่ เอลฟิเรีย จะนิยมเล่นเกม, กีฬา ประเภทต่างๆกันอย่างแพร่หลาย แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงแค่ 3 ประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเท่านั้น



    1. ลาคาริออน (หมากกระดาน) : ถือเป็นสุดยอดเกมที่โด่งดังสุดๆในสมัยนั้นเลยก็ว่าได้ ลาคาริออน หรือหมากกระดานในสมัยก่อนมีให้เล่นกันทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่ ลาลูริน่า (หมากล้อม), ลาสเตลล่า (หมากฮอส) และ อิลิโซเล่ (หมากรุก) แต่ในจำนวนนี้ อิลิโซเล่ หรือ หมากรุกได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีกฏกติกาที่เข้าใจได้ง่าย, ใช้เวลาเล่นไม่นานจนเกินไป และที่สำคัญที่สุดก็คือตัวหมากกับกระดานมีหลากหลายรูปแบบ จึงเป็นที่นิยมของเหล่านักสะสมอย่างยิ่ง กล่าวกันว่า ริชาร์ด ริอาซอร์ วาร์กมุส เซียน ลาคาริออน เฒ่าอายุเกือบร้อยปี มีกระดานและตัวหมากรุกที่หายากสุดๆในครอบครองกว่า 2,000 ชุดเลยทีเดียว



    2. ดูเอเล่ เดลเล มาโฮ คาร์เต้ (ประลองการ์ดอาคม) : มาโฮ คาร์เต้ (การ์ดอาคม) ไม่ได้เป็นเพียงแค่อุปกรณ์เก็บรักษาสิ่งของต่างๆเท่านั้น หากแต่มันยังถูกนำมาใช้ในเกมการต่อสู้ด้วยการ์ดหรือ ดูเอเล่ เดลเล มาโฮ คาร์เต้ อีกด้วย ซึ่งปกติจะเป็นการดวลกันตัวต่อตัวระหว่างผู้เล่นสองคน (ฟูตารี่ ดูเอเล่) แต่บางครั้งก็มีการดวลกันทีเดียวหลายๆคู่เหมือนกัน (เซนิโน่ ดูเอเล่)  กฏกติกาเบื้องต้นมีอยู่ว่า แต่ละคนสามารถใช้ มาโฮ คาร์เต้ ในการดวลกันได้แค่ 12 ใบเท่านั้น ส่วนการตัดสินผลแพ้ชนะนั้น หากมีผู้เล่นคนใดคนหนึ่งแย่งเอาเข็มกลัดคริสตัลที่ติดอยู่บนหน้าอกของคู่แข่งมาได้ หรือจัดการกับมอนสเตอร์ของฝ่ายตรงข้ามได้ ตั้งแต่ 3 ตัวขึ้นไปให้ถือว่าเป็นฝ่ายชนะทันที การประลองการ์ดอาคมนั้นถือเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมความนิยมไม่ด้อยไปกว่าหมากกระดานเลย แต่ผู้เล่นส่วนใหญ่มักจะเป็นจอมเวทย์แทบทั้งสิ้น และแชมป์แห่ง เอลฟิเรีย คนปัจจุบันก็คือ โซลมาสเตอร์ ที่ชื่อ โรด้า เดซีเร่ มิลานิเอลโล่ ซึ่งกล่าวกันว่า เขามีการ์ดมอนสเตอร์และอาคมระดับสูงในครอบครองเป็นจำนวนมาก จนต้องแบ่งส่วนหนึ่งไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ รูเซนดาห์ล เพื่อความปลอดภัย



    3. เทรโชร่า ฮาเตโมเรก้า (ล่าขุมทรัพย์) : เป็นเกมการแข่งขันที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆในแต่ละปี ส่วนใหญ่มักจัดการแข่งขันกันในช่วงเทศกาลสำคัญต่างๆ กติกาพื้นฐานมีอยู่ว่า ผู้เข้าร่วมแข่งขัน (ไม่จำกัดจำนวนใน 1 กลุ่ม) จะต้องค้นหา เทรโชร่า (สมบัติ) ที่เป็นเงื่อนไขของการแข่งขันให้พบ แล้วนำมันกลับไปให้ถึงเส้นชัยเป็นทีมแรกให้ได้ ซึ่งผู้ชนะเลิศจะได้รับรางวัลเป็นแก้วแหวนเงินทอง, สิ่งของหายากต่างๆ หรือไม่ก็ตำแหน่งขุนนางในอาณาจักรต่างๆ แต่การจะเป็นผู้ชนะก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะกติกาได้ระบุเอาไว้ด้วยว่า ผู้เข่าแข่งขันสามารถใช้วิธีการใดก็ได้ในการยับยั้งคู่แข่งและแย่งสมบัติมาเป็นของตน ด้วยเหตุนี้ในการแข่งแต่ละครั้งจึงมักจะนำมาซึ่ง การต่อสู้อันดุเดือดเข้มข้นอยู่เสมอ บ่อยครั้งที่เราอาจพบเห็นการเดิมพันได้เช่นเดียวกับที่ลานมรณะ



    < โปรดติดตามต่อตอนที่ 15 การดวลที่สวนหย่อม (Duel in the garden) คิดว่าวันจันทร์นี้จะเริ่มทยอยพิมพ์ได้แล้ว จะอยู่ในท้ายตอนที่ 2 นะครับ>

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×