ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บ่วงรักริษยา

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 49
      0
      31 มี.ค. 48

            สุภาพสตรีสูงวัยหน้าตาอิ่มเอิบ ซึ่งยังคงรูปลักษณ์ความงามแต่ครั้งยังเยาว์ นัยน์ตาทอแสงประกายอันบ่งบอกถึงความเป็นผู้มีอารมณ์แจ่มใสและเมตตาปราณี กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกหน้าชานเรือนเหม่อมองไปยังสายน้ำที่ไหลผ่านบริเวณหน้าบ้านซึ่งเป็นลักษณะเรือนไทยหมู่อันประกอบไปด้วย เรือนเอกหลังใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางของหมู่เรือนที่รายล้อมอยู่อีกสองฟากทั้งซ้ายและขวา ซึ่งประกอบไปด้วยเรือนหลังย่อมลงมาอีกฟากละสองหลังคู่กัน ส่วนตรงกลางซึ่งเป็นลานกว้างนั้น ถูกก่อขึ้นด้วยไม้เนื้อดีสีน้ำตาลเข้มเป็นยกพื้นสำหรับนั่งพักผ่อนและประกอบการงานและครอบคลุมไว้ด้วยศาลาทรงไทยรอบด้านโปร่ง ดูสะอาดตาน่านั่งน่านอนเล่น ในมือของสตรีผู้สูงวัยนั้นกำลังถือผ้าสีนวลซึ่งยังคงแสดงให้เห็นว่ากำลังปักผ้าค้างไว้ ข้างๆกันนั้นมีร่างของชายวัยกลางคนนั่งอยู่ด้วย ชายดังกล่าวมีลักษณะขาพิการลีบทั้งสองข้าง กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง สักครู่หนึ่งก็ปรากฏร่างของสาวน้อยหน้าตาดี คิ้วเรียวงาม นัยน์ตาดำขลับเป็นรูปเรียวรีราวกับตากวาง จมูกโด่งรั้นเล็กน้อยและริมฝีปากบางเป็นรูปกระจับกำลังเดินตรงเข้ามาหา และเมื่อเดินเข้ามาในระยะพอสมควร หญิงสาวดังกล่าวจึงได้ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นสะอาดนั้นด้วยกิริยาที่อ่อนน้อมและเรียบร้อย ทำให้สตรีสูงวัยผู้นั้นต้องหันมาส่งยิ้มให้ด้วยความเอ็นดูเป็นที่สุดก่อนที่จะเอ่ยถามเด็กสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดขาดอยู่ในที

            “มีเรื่องด่วนอันใดงั้นรึ แม่มณี ถึงได้เดินหน้าตาตื่นมาหาย่าอย่างนี้น่ะ แม่คุณ”

            “ค่ะคุณย่า ไม่ทราบว่าคุณย่าพอจะได้ทราบเรื่องของบ้านโน้นบ้างแล้วหรือยังคะ” หญิงสาวผู้มีชื่อเต็มว่า “มุกมณี”หรือที่ “คุณย่า” และคนอื่นๆเรียกกันสั้นๆว่า “มณี” ทำความเคารพผู้เป็นย่า และชายวัยกลางคน ก่อนที่จะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพอ่อนน้อมอย่างสูงต่อผู้เป็นย่าของตน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในนามของ “คุณหญิงนิติอักษร หรือ คุณหญิงมุก” จนผู้เป็นย่าต้องเอ่ยถามออกมาอีกครั้งอย่างอดประชดเล็กๆไม่ได้

            “เอ้า...ก็พูดไปสิจ้ะ มัวแต่อ้ำอึ้งอยู่อย่างนี้ แล้วย่าจะไปรู้เรื่องรู้ราวอะไรล่ะจ้ะ แม่มณี”

            “ก็เรื่อง...เรื่องของบ้านโน้นที่เกี่ยวกับ “คุณย่าเฟือง” กับลูกๆหลานๆอย่างไรเล่าคะ คุณย่า” เด็กสาวเล่าอย่างที่สะดุดไปในตอนแรกด้วยกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเอ่ยออกไปดีหรือไม่ เนื่องจากยังมีชายวัยกลางคนอีกผู้หนึ่งผู้มีศักดิ์เป็นลุงของตนนั่งอยู่ด้วย แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมิได้แสดงความรู้สึกใดๆออกมาทางสีหน้าจึงได้พูดออกไปแล้วก็ให้รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่ผู้ที่รับฟังทั้งสองนั้นกลับมีสีหน้าเข้มขึ้นไปเล็กน้อย ก่อนที่จะปรับสีหน้าได้ในเวลาต่อมาชนิดที่ผู้พูดอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ทันได้สังเกตเห็น ก่อนที่จะตอบคำถามผู้เป็นหลานสาวออกไปอีกครั้งหนึ่ง

            “ก็แล้วมันเรื่องอะไรเล่าแม่คุณ จะเล่าก็เล่าออกมา ไม่อย่างนั้นย่าจะปักผ้าต่อล่ะ ขี้เกียจรอฟังเรื่องสำคัญของหล่อนแล้วล่ะ” พูดพลางยกมือที่ถือผ้าบางนั้นขึ้นมาทำทีกับจะปักผ้าต่อ จนผู้เป็นหลานต้องรีบพูดขัดขึ้นมาอย่างกลัวว่าผู้เป็นย่าจะไม่ยอมรับฟังจริงๆ

            “อุ้ย...แหม...คุณย่าค่ะ แค่นี้ก็ต้องทำเป็นน้อยใจไปได้ มณีกำลังจะพูดอยู่แหละคะ คือว่ามณีได้รับฟังเรื่องมาจากพวกเด็กๆในบ้านว่า “คุณอาจอม” ท่านไปทำอีท่าไหนไม่ทราบค่ะ ถูกตำรวจจับขณะที่กำลังเล่นการพนันอยู่ในบ่อน ก็บ่อนที่ฝั่งพระนครนั่นแหละค่ะ ก็เลยถูกจับไปที่ทำการตำรวจ ก็เลยร้อนถึง “คุณย่าเฟือง” ท่านต้องไปประกันตัวออกมา แต่ทีนี้สิคะเกิดมีคนจำได้ว่า “คุณย่าเฟือง” กับ “คุณอาจอม” น่ะ เป็นภรรยากับลูกชายคนหนึ่งของ “เจ้าคุณปู่” ก็เลยโพทะนาไปทั่วว่า “ตำรวจจับลูกชาย “เจ้าคุณนิติอักษร” เข้าคุก เพราะกำลังเมามันกับการเล่น “ไฮโล” ที่บ่อนนะสิคะคุณย่า” หญิงสาวเล่าอย่างยืดยาว ก่อนที่จะถอนหายใจยาวเมื่อเล่าจบ และสังเกตเห็นว่า “ผู้เป็นลุง” ทำสีหน้าคล้ายกับมีความขมขื่นใจอะไรสักอย่าง

            “งั้นหรอกรึ แล้วนี่ตกลงว่าเป็นอย่างไรล่ะ ตำรวจเขาให้ประกันตัวไหม แม่มณี รีบบอกย่ามาที” คุณหญิงนิติอักษรเอ่ยอย่างร้อนใจเมื่อได้รับฟังหลานสาวเล่าเนื้อความให้ฟัง จน “มุกมณี” อดจะสงสัยไม่ได้ที่ผู้เป็นย่าแสดงอาการเช่นนั้น

            “โธ่...ทำไมตำรวจจะไม่ให้ประกันตัวเล่าค่ะ แต่ก็เห็นว่าเสียค่าปรับไปหลายสตางค์อยู่นะคะ คุณย่า ว่าแต่ทำไมคุณย่าต้องทำท่าตกอกตกใจอย่างนั้นด้วยคะ มณีไม่เห็นว่าจะต้องตระหนกตกใจไปเลย เพราะอย่างไรเสีย “คุณย่าเฟือง” ท่านคงไม่ปล่อยให้ลูกชายคนโปรดต้องติดคุกติดตะรางหรอกคะ คุณย่า” พูดไปแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าอาจจะทำให้ “คุณลุง” ของตนเสียใจจึงได้หันไปมอง และก็พบว่าชายวัยกลางคนดังกล่าวมีสีหน้าหมองไปเล็กน้อย หญิงสาวจึงทำหน้าไม่สู้ดีนัก

            “ทำไมหล่อนพูดอย่างนั้น แม่มณี รู้ไหมว่า ย่าฟังแล้วรู้สึกไม่ดีเลยน่ะ  ที่หล่อนทำราวกับว่า ไม่รักพวกรักพ้อง แล้วนี่น่ะ “พ่อจอม” ก็เป็นอาของหล่อน ถึงจะไม่ใช่น้องที่คลานตามกันมากับพ่อของหล่อน แต่ “พ่อจอม”ก็เป็นลูกชายของ “เจ้าคุณปู่” คนหนึ่งนะย่ะ แม่มณี”

            “แหม...แล้วที “คุณย่าเฟือง” กับลูกๆหลานๆล่ะค่ะ ไม่เห็นจะอยากนับญาติกับบ้านเราเลย เวลาที่มณีไปเจอตามงานต่างๆ มณีเข้าไปทักทายพวกบ้านโน้น เขายังไม่ตอบทักทายมณีสักคำ แถมเดินหนีเสียด้วย ทำราวกับว่า มณี เป็นตัวน่ารังเกียจอย่างไรอย่างนั้นแหละ ทั้งๆที่ก็เป็นลูกหลานเจ้าคุณปู่ด้วยกันทั้งนั้น”

            “เอาเถอะแม่มณี ที่บ้านนั้นเขาไม่ค่อยอยากจะคบค้าสมาคมกับเราน่ะ ก็เป็นเพราะเรื่องของการใช้อารมณ์ ไม่รู้จักใช้เหตุใช้ผล โดยเฉพาะกับ “ย่าเฟือง” ขานั้นน่ะ เอาแต่สุมไฟอิจฉาริษยาเข้าไว้ในจิตใจ แทนที่นานวันจะลดลง กับยิ่งเพิ่มพูน แล้วแม่มณีก็ดูเอาเถอะ จนบัดนี้บ้านโน้นก็ยังหาความสุขสงบไม่ได้ เพราะว่าความรู้สึกตัวนี้ มันคอยบั่นทอนความรู้สึกดีๆให้ค่อยๆสูญสลายไป จนเจ้าคุณปู่ท่านสิ้นไปหลายปีแล้ว ก็ยังไม่เลิกที่จะแก้แค้นท่าน แล้วผลน่ะ สุดท้ายมันก็ตกอยู่กับลูกหลานของตัว ส่วนย่าน่ะถึงบ้านโน้นเขาจะไม่นับญาติกับย่า แต่ย่าก็ถือว่า เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบต่อเจ้าคุณปู่ของหลาน ที่ท่านได้ขอย่าไว้ก่อนตาย ให้ย่าช่วยประคับประคองทางบ้านโน้นเอาไว้ ไม่ให้ตกต่ำจนเกินไป ทั้งนี้เพราะเจ้าคุณปู่ท่านโทษตัวเองว่า เป็นเพราะท่านใจอ่อนจนเกินไป ถ้าครั้งนั้นท่านยืนกรานจะไม่ยอมเสีย ก็คงไม่มีใครไปบังคับท่านได้ แต่ก็เพราะความที่ท่านเวทนาสงสาร “ตัวย่า” กับ “คุณหญิงทวด” ท่านมาก ผลกรรมมันก็เลยตกลงมาที่ลูกที่หลานอย่างไรเล่า แม่มณี” คุณหญิงนิติอักษร หรือ คุณหญิงมุก อธิบายความเป็นไปปนั้นให้หลานสาวได้รับรู้ด้วยสีหน้าสีตาที่แสดงความหดหู่ รันทดใจนัก โดยเฉพาะในยามที่เอ่ยถึง “พระยานิติอักษร” ผู้เป็นสามีของตน พลางหันไปมองชายกลางคนที่นั่งข้างๆ ผู้ที่แม้ไม่ใช่ “ลูกในไส้” หากแต่ “คุณหญิงมุก” ก็เป็นผู้ชุบเลี้ยงมากับมือจึงย่อมที่จะมีความรักความสงสารไม่น้อย ก่อนที่จะเอ่ยต่อไป

            “แต่จะว่าไป จะโทษเจ้าคุณท่านคนเดียวก็ไม่ได้ เพราะส่วนหนึ่งมันก็มาจากการที่ย่ารบเร้าและขอร้องท่าน ให้ท่านยอมรับยอมปฏิบัติอย่างนั้น ที่แม่พูดอย่างนี้ “พ่อเจิม” คงไม่ว่าอะไรแม่ดอกนะ” คุณหญิงมุกหันไปมองหน้าผู้ที่ตนเรียกว่า “เจิม” ผู้เป็นลูกชายคนโตของท่านเจ้าคุณผู้เป็นสามี แต่หาใช่ลูกที่เกิดกับตัวคุณหญิงเองไม่ แต่เป็นลูกที่เกิดกับ “คุณเฟือง” ผู้เป็นภรรยารองของท่านเจ้าคุณนั่นเอง แต่สาเหตุที่คุณหญิงต้องรับมาเลี้ยงดูก็เนื่องมาจาก “คุณเฟือง” มีความรังเกียจว่า ลูกผู้นี้น่ารังเกียจ เนื่องจากเกิดมาก็พิการแขนขาลีบ จึงได้ทิ้งๆขว้างให้นางข้าไทคอยดูแลไปตามมีตามเกิด ครั้นพอคุณหญิงกับท่านเจ้าคุณทราบเข้า ท่านเจ้าคุณจึงได้เข้ามาขอร้องกับคุณหญิงให้ช่วยดูแลเลี้ยงดูแทน กอปรกับคุณหญิงในขณะนั้นยังไม่มีบุตรเป็นของตนเอง และมีความรู้สึกสงสารในตัวเด็กน้อยผู้อาภัพ จึงได้รับมาเลี้ยงดูด้วยตนเอง โดยมี “นางส้มเช้ง” ต้นห้องคอยช่วยเหลือ นับแต่บัดนั้น “คุณเจิม” จึงตกอยู่ในความดูแลเลี้ยงดูของ “คุณหญิงมุก” ซึ่งคุณหญิงนั้นก็ได้ให้ความรักความเอ็นดูราวกับเลือดในอก เนื่องจากเด็กน้อยนั้นช่างเลี้ยงง่าย ไม่โยเยเหมือนเด็กอื่นๆ แม้ภายหลังคุณหญิงมุกเองจะมีบุตรธิดาอันเกิดแก่ตนเองอีกสองคนก็ตาม

            “ไม่ดอกขอรับ เชิญคุณแม่พูดต่อไปเถิดขอรับ” คุณเจิม ตอบรับด้วยน้ำเสียงไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมา ทำให้ “มุกมณี” ผู้เป็นหลานตั้งคำถามต่อไปอย่างสนใจใคร่รู้

            “แล้ว...เรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรหรือคะ คุณย่าพอจะเล่าให้มณีฟังบ้างได้ไหมค่ะ เผื่อมณีจะได้รู้ว่า สาเหตุน่ะมันเป็นเพราะอะไร” มุกมณีเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ จนผู้เป็นย่าหันกลับมามองอย่างเพ่งพินิจ ก่อนที่จะเอ่ยออกมาในที่สุด

            “เอาล่ะ แม่มณี ไหนๆย่าก็พูดก็เล่าอะไรมาขนาดนี้แล้ว ตกลง ย่าจะเล่าความเป็นมาทั้งหมดให้หลานได้รับฟังก็แล้วกัน” หลังจากพูดจบ “คุณหญิงนิติอักษร” จึงนั่งนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องราวแต่หนหลังออกมาให้หลานสาวได้รับฟังที่มาแห่งปมขัดแย้งนี้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×