ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Memories

    ลำดับตอนที่ #1 : Dreams

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 24
      0
      11 ก.ย. 46

    “บางครั้งผมก็แยกไม่ออกว่าความจริงกับความฝันนั้นแตกต่างกันอย่างไร…. เพราะในบางครั้งความฝันช่างดูเหมือนจริงเสียเหลือเกิน”



    ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังนอนอยู่กลางทุ่งหญ้าที่มีสายลมแรงพัดผ่านระลอกแล้วระลอกเล่าและมีกลิ่นหอมของน้ำค้างตลบอบอวลไปทั่ว การได้นอนอยู่ในที่แห่งนี้มันช่างเป็นความรู้สึกที่วิเศษ – วิเศษจนผมไม่อยากที่จะลืมตาขึ้นมาเลย



    แต่แล้วบางอย่างในตัวผมบอกให้ผมรู้ว่าอันตรายกำลังจะคืบคลานเข้ามาในไม่ช้านี้



    ผมจึงค่อยๆลืมตาที่หลับสนิทขึ้นอย่างช้าๆ และสิ่งที่ปรากฎต่อหน้าผมคือดวงดาวน้อยใหญ่ที่ส่องแสงสว่างสดใสกว่าที่ใดๆที่ผมเคยเห็นมา แต่เมื่อผมขยับตัว ความเจ็บปวดก็โลดแล่นเข้ามาสู่ทุกอณูของร่างกายผมทันที



    “นี่เรา… เป็นอะไรไป” ผมคิด



    แต่ในวินาทีนั้นเอง ความเจ็บปวดทั้งหมดก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง โดยที่ผมเองก็ไม่รู้สาเหตุ ผมจึงลุกขึ้นยืนทันทีและมองสำรวจไปรอบๆ



    สิ่งที่ผมเห็นคือทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่และมืดมิด ไม่มีต้นกำเนิดแสงอื่นใดเลยนอกจากแสงดาวเท่านั้นที่ส่องให้เห็นต้นหญ้าที่พริ้วไปตามแรงลม เกิดเป็นเสียงเพียงเสียงเดียวเท่านั้นที่ผมได้ยิน เมื่อมองลงไปที่พื้นผมก็พบกับวัตถุชิ้นหนึ่ง เมื่อเก็บขึ้นมาดูจึงรู้ว่ามันเป็นปืนขนาดเล็กที่มีรูปร่างสวยงามและดูล้ำยุค แม้ว่าส่วนที่เป็นไกปืนจะหลุดหายไป แต่ด้วยน้ำหนักที่เบามาก ผมจึงเก็บมันไว้เผื่อจะมีประโยชน์



    ถึงตอนนี้ผมเริ่มสงสัยว่าเหตุใดผมจึงมานอนอยู่ในที่แห่งนี้ ผมเริ่มนึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้า ทว่า… ไม่มีความทรงจำใดๆหลงเหลืออยู่ในสมองของผมเลย ผมรู้เพียงอย่างเดียวว่าผมต้องออกไปจากทุ่งหญ้าแห่งนี่ให้ได้

    แต่ในขณะที่ผมกำลังก้าวเท้าออกไปนั้นผมก็ได้ยินเสียงของคนๆหนึ่ง มันเป็นเสียงที่แผ่วเบาแต่ช่างคุ้นหูเหลือเกิน “หนีไป….วิ่งหนีไป”



    ทันใดนั้นเอง มันเหมือนกับมีกระแสไฟฟ้าพุ่งเข้ามาสู่สมอง ความทรงจำบางอย่างถูกเรียกให้กลับคืนมา ผมหันกลับไปตะโกนสุดเสียง “พ่อ…...”



    ผมรีบวิ่งไปยังต้นกำเนิดเสียงนั้นซึ่งอยู่ห่างออกไปจากจุดที่ผมนอนอยู่หลายสิบเมตร ที่นั่นผมได้พบกับร่างที่บาดเจ็บของชายชราคนหนึ่งนอนแผ่อยู่บนพื้นหญ้า เสื้อที่ดูเหมือนกับเสื้อของนักวิทยาศาสตร์นั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยเลือด

    ผมย่อตัวลงคุกเข่าอยู่ข้างๆแล้วจึงค่อยๆพยุงลำตัวของเขาขึ้นมา “พ่อ พ่อเป็นอะไร”



    พ่อค่อยๆลืมตาขึ้นมา เขานำมือขึ้นมาลูบที่หน้าของผมพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงอิดโรย “พ่อขอโทษกับสิ่งที่พ่อทำลงไป พ่อ… พ่อชดใช้ให้ลูกได้เพียงเท่านี้ ตอนนี้นักฆ่ากลุ่มแรกตายหมดแล้ว แต่อีกไม่นานพวกเขาต้องส่งอีกกลุ่มมาตามจับลูกแน่“



    แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำที่พ่อพูดนัก แต่ผมก็กุมมือชายชราไว้แน่น มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นอย่างที่สุด



    ทันใดนั้น ก็มีเสียงๆหนึ่งที่ดังขึ้นมาทำลายความเงียบสงบของที่นี่ มันคือเสียงของใบพัดเฮลิคอปเตอร์ที่ดังขึ้นมาจากที่ๆห่างออกไปหลายกิโลเมตร ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะมุ่งไปยังที่ใด และคงอีกไม่นานหรอกที่มันจะมาถึงที่ๆมันต้องการ



    “ไป วิ่งหนีไปทางทิศเหนือ แล้วลูกจะปลอดภัย” แล้วพ่อก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายชี้นิ้วไปยังที่ที่ผมต้องไป “รีบไปเดี๋ยวนี้ จำไว้ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรห้ามให้พวกเขาจับตัวลูกได้” พ่อบีบมือผมแน่นขึ้นไปอีก “พ่อ….รัก….ลูก” และนั่นคือคำสุดท้ายที่ผมได้ยินจากพ่อ ตอนนี้มือของเขาค่อยๆคลายออก น้ำตาไหลออกมาอาบทั้งสองแก้ม พ่อจากผมไปแล้ว ทิ้งให้ผมต้องเผชิญกับความสับสนเพียงคนเดียว ผมควรจะทำอย่างไรดี….



    เมื่อเสียงจากเฮลิคอปเตอร์ค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งเศร้าอยู่ ผมต้องรีบหนี ผมลุกขึ้นยืนทันทีแล้วรีบก้าวเท้าออกไป เพื่อวิ่งไปทางที่พ่อบอกอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้



    ระหว่างทางที่วิ่งไป ผมก็ต้องประหลาดใจที่เห็นร่างของคนนับสิบนอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น คนพวกนี้คือนักฆ่าที่พ่อพูดถึงรึเปล่านะ พวกเขาตายแล้วหรือ ใครเป็นคนฆ่า แต่ผมก็ไม่มีเวลาสนใจ ผมยังคงวิ่งต่อไป และผมก็ต้องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อคิดว่าผมสามารถวิ่งได้เร็วขนาดนี้โดยที่ไม่เหน็ดเหนื่อยเลยได้อย่างไร ถึงอย่างไรก็ตามทางข้างหน้านั้นไม่ที่ทีท่าว่าจะไปสิ้นสุดลงที่ใดเลย



    แต่ถึงผมจะวิ่งเร็วแค่ไหนผมก็คงไม่สามารถที่จะวิ่งได้เร็วกว่าเฮลิคอปเตอร์อย่างแน่นอน เสียงของมันดังขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อผ่านไปสิบนาทีพวกเขาก็ตามผมทันจนได้



    เมื่อรู้สึกว่าเสียงของมันช่างดังเกินกว่าที่จะเป็นเพียงเฮลิคอปเตอร์เพียงลำเดียวได้ ผมจึงหันกลับไป เพียงเพื่อจะตกใจที่เห็นเฮลิคอปเตอร์ถึงสี่ลำแต่ละลำมีทหารอยู่เต็มลำและมีปืนกลติดอยู่ด้านข้างของห้องเครื่อง พวกมันกำลังสาดส่องสปอทไลท์เพื่อตามล่าตัวผม



    “ตามจับเราคนเดียวทำไมต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธถึงสี่ลำด้วยนะ” ผมคิด



    ในขณะที่ผมวิ่งหนีอยู่นั้น จู่ๆผมก็รู้สึกว่าพื้นที่รอบๆตัวผมก็สว่างขึ้น พวกเขาเจอผมแล้ว จากนั้นก็มีเสียงดังมาจากเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่ง “หยุดอยู่กับที่เดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นเราจะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด”



    เมื่อผมหันกลับไปผมก็เห็นแต่แสงสว่างขาวโพลนที่ส่องเข้าตาจนรู้สึกแสบ แต่ผมก็ยังคงวิ่งต่อไปเรื่อยๆ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางวิ่งหนีไปไหนได้อีกแล้ว



    เมื่อพวกเขาเห็นว่าผมคงไม่ยอมหยุดวิ่งแน่ เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งจึงบินไปดักข้างหน้า ส่วนอีกสองลำบินออกข้างๆในขณะที่ลำสุดท้ายยังคงไล่ตามข้างหลังผมอยู่ ตอนนี้เฮลิคอปเตอร์ทั้งสี่ลำบินล้อมรอบตัวผมและหันลำแสงสปอทไลท์มายังจุดเดียวกัน ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยุดอยู่กับที่



    เชือกถูกปล่อยลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ทั้งสี่ลำ ตามด้วยทหารหลายสิบนายที่โรยตัวลงมาจากเฮลิคอปเตอร์แต่ละลำ พวกเขาล้อมผมไว้พร้อมทั้งเล็งปืนสั้นเป็นสิบๆกระบอกมาที่ผม มีทหารคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าพูดด้วยเสียงดังว่า “หยุดอยู่กับที่ ยกมือขึ้นแล้วเอาพาดไว้บนหัว”



    “เอาทหารมามากมายอย่างนี้ พวกเขาทำอย่างกับผมเป็นตัวอันตรายหยั่งงั้นแหละ กะอีแค่เด็กอายุ 16 คนหนึ่งที่ไม่อาวุธ...” เมื่อคิดถึงอาวุธ ผมก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าผมมีปืนอยู่กระบอกนึง และถึงแม้จะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์แต่ในเมื่อมันเป็นทางเลือกสุดท้าย ผมจึงตัดสินใจนำปืนที่เก็บได้ขึ้นมาและเล็งไปที่หัวหน้าทหารซึ่งกำลังพูดเกลี้ยกล่อมผมอยู่



    ผมไม่ได้หวังว่าปืนที่ไม่มีไกนี้จะช่วยให้ตัวผมพ้นจากสถาณการณ์อันเลวร้ายนี้ไปได้ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ผมประหลาดใจมากทีเดียว แวปหนึ่งผมสังเกตเห็นสีหน้าตกใจของทหารหลายๆคน และมันก็ยิ่งทำให้ผมประหลาดใจมากขึ้นไปอีก เมื่อหัวหน้าทหารประกาศให้ทุกคนได้ยินว่า “เป้าหมายยังมีอาวุธอยู่ในมือ ย้ำ เป้าหมายยังมีอาวุธอยู่ในมือ ทุกหน่วยอย่าพึ่งลงมือ รอคำสั่งจากศูนย์บัญชาการก่อน”



    ช่วงเวลาที่ทหารทุกคนกำลังรอคำสั่งจากหัวหน้านั้นกินเวลาไม่เกินสองนาที แต่สำหรับผมแล้วช่วงเวลานี้ช่างยาวนานเหลือเกิน ผมพร่ำคิดแต่ว่า “พวกเขาจะรู้ไหมนะว่า ปืนเล็กๆอันนี้ไม่มีแม้แต่ไก” แต่ในที่สุดก็มีเสียงออกมาจากเฮลิคอปเตอร์ลำที่อยู่ข้างหน้าผม “ทหารทุกคนถอยออกมา เราจำเป็นต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดแล้ว เฮลิคอปเตอร์ทุกลำเตรียมปืนกลให้พร้อม”



    ไม่นานนักปืนกลทุกกระบอกก็เล็งมาที่ตัวผม จากสถาณการณ์ที่ดูเหมือนจะดีขึ้นตอนนี้ผมกลับตกอยู่ในสถาณการณ์ที่เลวร้ายกว่าเดิมหลายเท่า



    แม้ผมจะยังคงเล็งปืนไปที่หัวหน้าทหารคนนั้นแต่ด้วยความกลัว มือที่ถือปืนก็เริ่มหมดแรงลง ผมจ้องไปที่ปืนของผมแล้วก็คิดว่า ”ถ้าปืนอันนี้มันน่ากลัวอย่างที่ทหารเข้าใจกันก็ดีสิ ถ้าเพียงแค่มันยิงได้….”



    ในทันทีที่สมองของผมคิดคำว่ายิงเท่านั้น กระสุนก็พุ่งออกไปโดนหัวหน้าทหารล้มลง



    เสียงปืนกลดังขึ้นทันที ห่ากระสุนนับร้อยพุ่งตรงมายังตัวผม และในขณะที่ผมกำลังคิดว่าตัวเองคงจะต้องตายแล้วแน่ๆ ทันใดนั้นหัวของผมก็เจ็บปวดทนจนแทบจะระเบิดแล้วภาพทุกอย่างก็ดับวูบลง



    “ไม่……….” ผมตะโกนสุดเสียง



    แต่แล้วผมก็รู้สึกว่ามีมืออุ่นๆมาจับที่หน้าของผม



    “เป็นอะไรไปจ๊ะ ฝันร้ายอีกแล้วหรือ” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้น… มันเป็นเสียงของแม่ผมนั่นเอง เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าผมกำลังนอนอยู่ในห้องนอนของตัวเอง นี่เรายังไม่ตายหรือนี่



    “ผมฝันว่าผมอยู่กลางทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง แล้วผมก็ได้พบกับพ่อด้วยฮะ” ผมตอบ



    แม่เคยเล่าว่าพ่อตายไปเมื่อ 5 ปีก่อนด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์



    ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่าแต่ผมรู้สึกว่าสีหน้าของแม่ดูซีดลงไปและเสียงก็ดูสั่นๆเมื่อแม่ตอบกลับมาว่า “มันเป็นเพียงแค่ฝันเท่านั้นน่ะลูก จำได้ไหมว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันเปิดเทอมวันแรกดังนั้นลูกต้องพักผ่อนมากๆ เอาล่ะแม่จะดับไฟให้นะ” เมื่อพูดเสร็จแม่ก็ก้มลงมาจูบที่หน้าผากของผมพร้อมทั้งกล่าวคำราตรีสวัสดิ์แล้วจึงดับไฟและเดินออกนอกห้องไป



    มันเป็นเพียงฝันเท่านั้นหรือ? ถ้ามันเป็นเช่นนั้นทำไมผมถึงรู้สึกถึงแรงลมที่พัดมากระทบตัว รู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส และที่สำคัญรู้สึกถึงสัมผัสอันอบอุ่นเมื่อได้จับมือของพ่อ ตอนนี้ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่ในมือของผมเลย ผมมองมือตัวเองอีกครั้ง แล้วจึงค่อยๆนอนหลับไป
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×