ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คาลาสเมนเนล

    ลำดับตอนที่ #1 : การเดินทางสู่คาลาสเมนเนล

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 20
      0
      7 ก.ย. 46

                    ภายใต้เหล่าหลังคาบ้านอันอบอุ่นในซอยชาปเตอร์ ครอบครัวหลายๆ ครอบครัวกำลังดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมีความสุข โดยที่ไม่มีใครรู้หรือสังเกตเลยแม้แต่น้อยว่า ขณะนี้ได้เกิดสิ่งผิดปกติขึ้นกับซอยนี้ และหากมีบางคนลองสังเกตออกไปนอกหน้าต่าง เขาคงอาจสังเกตเห็นว่าท้องฟ้าได้กลายเป็นสีแดงอมม่วง และมีบางสิ่งที่คล้ายนกบินว่อนอยู่ในอากาศเต็มไปหมด

        จวบจนเวลาล่วงเลยมาจนถึงเกือบสี่ทุ่ม ซอยทั้งซอยก็โดนปกคลุมด้วยความมืด คงจะเหลือเพียงแสงสว่างจากหน้าต่างห้องนอนของแอนนา นักเรียนชั้นปีที่ 6 ของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในเมืองนี้ สาวน้อยกำลังนั่งจัดเตรียมหนังสือเรียนเพื่อไปเรียนในวันพรุ่งนี้ แต่แล้ว

        โครมมมม!

        เสียงหนึ่งดังขึ้นฝ่าความเงียบขึ้นมา เป็นเสียงที่เหมือนวัตถุบางอย่างตกหรือชนเข้ากับพื้นอย่างแรง แอนนารีบวิ่งออกมาดูที่ระเบียงห้องนอน และสิ่งที่ทำให้เธอต้องแปลกใจคือไม่มีบ้านหรือหน้าต่างบานไหนเปิดไฟ หรือมีใครวิ่งออกมาดูกันเลยสักคน

        ‘อะไรจะหลับเป็นตายกันขนาดนั้นเนี่ย ไม่มีใครได้ยินอะไรกันบ้างเลยหรือไงนะ’  

        แต่เธอก็ทำอะไรได้ไม่มากไปกว่ายืนมองไปยังทิศที่เธอได้ยินเสียง และคิดว่าเช้าวันรุ่งขึ้นเธอคงได้ยินข่าวหรือคงมีใครไปเจอกับสิ่งนั้น เธอจึงเลิกสนใจแล้วเข้านอน

        อีกด้านหนึ่งของเมือง เด็กชายคนหนึ่งก็ได้ยินเสียงดังกล่าวเช่นกัน อเล็กซ์เองก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าด้วยเช่นกัน เขาเกือบจะได้ออกไปดูด้วยตาตัวเองแล้วหากแม่ของเขาไม่คะยั้นคะยอให้เขาเข้านอนเสียที เขาจึงเก็บความสงสัยไว้เพียงลำพัง และคิดว่าพรุ่งนี้เช้าคงจะมีเพื่อนสักคนที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา

        เช้าวันรุ่งขึ้นทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างปกติ ไม่มีข่าวอย่างที่แอนนาคิด ไม่มีใครพูดถึงเสียงที่ได้ยินเมื่อคืน เมื่อเธอถามเพื่อนถึงเรื่องเสียงนี้ ทุกคนต่างงงงวยกับสิ่งที่เธอพูด ไม่มีใครรู้หรือได้ยินเลยแม้แต่คนเดียว คงจะมีเพียงอเล็กซ์เพื่อนร่วมห้องของเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ดูจะเหมือนเจอเหตุการณ์แบบเดียวกับเธอ

        “เธอเองก็ได้ยินเสียงนั่นเหมือนกันหรืออเล็กซ์” แอนนาถามอย่างกระตือรือร้น

        “ใช่ เธอคิดว่ามันแปลกมั๊ยแอนนา ฉันว่ามีนคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกนะที่เราจะได้ยินเสียงนั่นแค่ 2 คนในเมืองนี้น่ะ” อเล็กซ์ตั้งข้อสังเกต ดังนั้นทั้งคู่จึงตกลงกันว่าจะหาต้นตอของเสียงที่ว่านั่นให้ได้

        กำหนดการณ์คือเที่ยงคืนของคืนนี้ ทั้งสองจะมาเจอกันที่สวนสาธารณะกลางเมือง ซึ่งอยู่ห่างจากซอยชาปเตอร์ไปราว 2 กิโลเมตร แอนนารีบเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อให้พ่อกันแม่ของเธอเข้าใจว่าเธอนอนหลับไปนานแล้ว เมื่อถึงเวลาห้าทุ่มครึ่งเธอจึงปีนระเบียงห้องแล้วเดินไปตามถนนของซอย ซึ่งมีเพียงไฟถนนส่องแสงสลัวๆ 2-3 ดวงเท่านั้น แอนนาไม่เคยออกมาข้างนอกในยามวิกาลแบบนี้ บรรยากาศในซอยจึงชวนขนลุกอยู่ไม่น้อย

        หลังจากที่เดินมาได้สักพัก แอนนาจึงมีความรู้สึกว่ามีเสียงฝีเท้าของใครเดินตามหลังเธอมา เธอจึงรีบเร่งฝีเท้าโดยที่ไม่หันไปมองเลยแม้แต่น้อย เมื่อเธอเดินเลี้ยวไปในทางเข้าของสวนสาธารณะแล้วเสียงนั้นจึงเงียบหายไป แอนนาพบว่าอเล็กซ์มารอเธออยู่ก่อนแล้ว เธอจึงรีบเดินเข้าไปหาพร้อมกับเล่าเรื่องเสียงฝีเท้าที่ได้ยินให้เขาฟัง

        “ฉันเองก็มีเสียงฝีเท้าเดินตามหลังมาเหมือนกัน เราคงต้องระวังตัวกันมากกว่านี้แล้วล่ะ”

        จากนั้นทั้งสองจึงรีบเดินไปยังทิศที่ได้ยินเสียง ซึ่งเป็นบริเวณป่าหลังสวนสาธารณะ เมื่อทั้งสองเดินมาถึงก็ไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด แต่เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่ยังคงดึงดูดความสนใจของทั้งสองคนไว้ อเล็กซ์จึงเดินนำแอนนาเข้าไปในป่ารกทึบที่ปกคลุมไปด้วยความมืดและเงียบ และยังคงไม่มีร่องรอยของสิ่งใด เมื่อทั้งสองกำลังจะล้มเลิกความพยายามบางสิ่งบางอย่างก็เกิดขึ้น

        เฟี้ยวววว!

        มีบางอย่างลอยผ่านศีรษะของทั้งคู่ไป มันมีลักษณะคล้ายนก เพียงแต่มันมีหัวและอุ้งเท้าคล้ายกับสิงโต ปีกที่ใหญ่โตของมันทำเอาต้นหญ้าบริเวณนั้นปลิวว่อนไปตามๆ กัน มันหันหน้ามาทางทั้งสองและจ้องมองด้วยแววตาวาวโรจน์ แล้วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำๆ ที่ฟังแล้วขนลุกว่า

        “ข้าชื่อทีมีดัส ได้รับคำสั่งมาให้รับพวกเจ้าทั้งสองไปพบท่านอาร์คีเมียส ซึ่งรอพวกเจ้าทั้งสองอยู่ จงตามข้ามา”

        “ตามเจ้าไปอย่างนั้นหรือ เราจะไปได้ยังไงกันล่ะ ในเมื่อเราไม่มีปีกแล้วเราคงเดินเท้าตามเจ้าไม่ทันน่ะ” อเล็กซ์พูดอย่างไว้ท่าที ถึงแม้จะงงงวยกับสิ่งที่เขาเห็นและเพิ่งได้ยิน แต่สติของเขาก็ยังคงตั้งมั่น แอนนาตัวสั่นน้อยๆ อยู่ข้างหลังของเขา

        “ดูเหมือนพวกเจ้ายังคงไม่รู้เรื่องอะไรสินะ ถ้าเช่นนั้นข้าอนุญาตให้พวกเจ้าขี่หลังของข้า แต่จงอย่าซักถามใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อพวกเจ้าได้พบท่านอาร์คีเมียสพวกเจ้าก็จะรู้เอง” สัตว์ประหลาดกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงและแววตาเช่นเดิม หากแต่คราวนี้บ่งบอกได้ถึงความรำคาญเล็กน้อย

        หลังจากที่ทั้งสองลองชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจขึ้นขี่หลังของทีมีดัส โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าจะต้องไปเจอกับสิ่งใดบ้าง แต่เหมือนมีบางสิ่งในใจของทั้งสองบอกให้พวกเขาทำเช่นนั้น เมื่อเดินทางมากับพาหนะประหลาดได้ครู่หนึ่ง ก็พบกับบึงน้ำหลังหุบเขา ผืนน้ำเมื่อต้องกับแสงจันทร์ช่างงามระยิบระยับจับตาเหลือเกิน แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของทั้งคู่ไปไม่ใช่บึงน้ำ แต่เป็นลานกว้างใจกลางบึงน้ำต่างหาก ทีมีดัสร่อนลงยืนบนพื้นอย่างนิ่มนวล ทั้งสองจึงพบว่าลานกว้างดังที่เข้าใจนั้นเป็นเพียงน้ำแข็งที่ก่อตัวขึ้นกลางบึงเท่านั้น เมื่อทีมีดัสเห็นว่าท่าทางของทั้งคู่คงไม่ได้เข้าใจอะไรไปมากกว่าที่เห็น จึงบอกให้ทั้งสองเดินตามเขาไปเงียบๆ

        ทีมีดัสพาทั้งคู่เดินไปตามลานน้ำแข็งจนทั้งสองสังเกตเห็นว่ามันมีช่องโหว่บนพื้นน้ำแข็ง ซึ่งใหญ่พอที่จะให้ทั้งสามลงไปอย่างง่ายดาย ตอนแรกอเล็กซ์และแอนนาต่างเข้าใจว่าทั้งสองจะต้องว่ายน้ำไป แต่เมื่อก้าวลงไปในช่องนั้นกลับรู้สึกอุ่นอย่างประหลาด แล้วทั้คู่ก็ถูกดูดเข้าไปในช่องโหว่นั้น  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×