ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อินทรีย์เลือด

    ลำดับตอนที่ #2 : พบพาน

    • อัปเดตล่าสุด 29 ส.ค. 46


        โถงที่ประชุมของสำนักจงคุนมิได้ใหญ่โตหรูหรา หากแต่มีเพียงเก้าอี้ไม้ไผ่ทำเองเพียงสองสามตัวที่ตั้งอยู่ตรงสุดปลายห้อง นอกจากที่นั้นก็เป็นที่โล่ง พอให้ศิษย์น้อยใหญ่ได้ยืนได้นั่งฟังเจ้าสำนักได้ตามสะดวก หากยามใดมีผู้มาเยือนอันสูงศักดิ์ เก้าอี้ไม้ไผ่อีกสี่ห้าตัวข้างหลังจึงจะถูกยกมาวางไว้รับรองตามอัตภาพ ณ ที่นั้นบัดนี้ได้กลายเป็นที่หย่อนใจชั่วคราวของเจ้าสำนัก ชายวัยกลางคนร่างยักษ์ผู้หนึ่งนั่งอยู่เพียงผู้เดียว กับกระดานหมากล้อมที่ไร้วี่แววคู่ต่อสู้อีกด้านถูกวางด้วยตัวหมากขาวดำตัวแล้วตัวเล่า คาดคะเนเวลาตามจำนวนหมาก ชายคนนี้คงนั่งมานานกว่าสองชั่วยามเห็นจะได้

        เจิ้นเซิงย่างเท้าเงียบกริบมาถึงหน้าโถงราวกับจะตระหนักแล้วว่าชายที่อยู่ในห้องนั้นมิใคร่จะได้รับการรบกวนอันใด เขายืนนิ่งหลบมุมประตู สบโอกาสเมื่อใดค่อยเข้าไปพูดจา

        “แอบอยู่ตรงนั้นทำไม…..เจิ้นเซิง….” ชายวัยกลางคนกล่าวขึ้นลอยๆ แม้สายตายังมิได้กระดิกออกจากกระดานสักเพียงนิด “เข้ามาสิ…”

        “อาจารย์….” เจิ้นเซิงกล่าวทัก เหลือบซ้ายแลขวาไม่มีวี่แววแม่นางน้อยจอมซนผู้นั้นเลย “หว่านหยี….ไม่ได้มาที่นี่รึขอรับ….”

        “ไม่ได้มา….”  ชายร่างยักษ์กล่าว สายตามากอายุที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ขันขยับยิ้มพราย หนวดเคราและผมเริ่มมีสีดอกเลาขึ้นแซมบ้างแล้ว แต่ก็ไม่เคยทำให้อารมณ์สดใสของเจ้าตัวต้องเศร้าหมอง

        “แล้วนางจะไปไหนได้เล่า…..สำนักก็มีอยู่แค่นี้….” เจิ้นเซิงกล่าวอย่างวิตก

        “อย่าตามหานางเลย……” เจ้าสำนักทิ้งตัวหมากขาวลงในโถ “เสียแรงเปล่า….พอพลบค่ำเมื่อใด นางก็กลับมาเอง ….วันนี้ข้ามีเรื่องประชุมในสำนัก…นางก็รู้….”

        “เหตุใดต้องรอพลบค่ำล่ะ…อาจารย์…”

        “เจ้าเดาไม่ออกหรอกรึ…….” ชายกลางคนขยับแย้มยิ้มอีกหนราวกับจะขบขันเสียนักเมื่อคิดถึงลูกสาวคนเล็กในยามนี้

        เจิ้นเซิงเองก็คิดแบบเดียวกัน แต่หาขบขันกับความคิดนั้นด้วยไม่….

        ……………………………………………………………………………………………..

        ภายในตัวตำบลที่ผู้คนผ่านไปมาพลุกพล่าน มีร้านรวงหลากหลายร้องเชิญชวนลูกค้าลั่นทางเท้า ร้านแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมเก่าแก่ ด้านล่างขายข้าวปลาอาหารรสชาติพอกลืนลงลำคอได้ ชั้นสองตีกระดานในนอกมิดชิด เปิดเป็นบ่อนสูบเงินชาวบ้านร้านตลาด แต่วันนี้กลับปรากฏแม่นางน้อยผิวพรรณงดงามมาขอเสี่ยงดวง เจ้ามือยิ้มกริ่ม แม่นางน้อยผู้นี่คงอ่อนเชิงพนันเหมือนที่หน้าตาบ่งบอก ครึ่งชั่วยามต่อมา ทั้งบ่อนจึงได้ประจักษ์….

        “เอาน่า….เปิดเหอะ….สูง…เชื่อข้าสิ….” แม่นางน้อยหว่านหยีเอ่ย รอยยิ้มเยื้อนที่มุมปากนางราวกับจะรับรู้แล้วว่าเต๋าที่อยู่ในแก้วนั่นจะเปิดออกมาในรูปใด

        เจ้ามือฉวยผ้าที่พาดบ่าอยู่มาซับเหงื่อ แม่นางผู้นี้เป็นเทพธิดาแห่งการพนันขันต่อหรือไร สิบสองตาผ่านมาแล้ว นางแทงถูกทั้งหมด แต่ในเมื่อเขย่าเต๋าแล้วก็ไม่อาจถอนแก้วออกโดยไม่พนันได้ มีแต่ทางที่จะต้องเสี่ยงดูเท่านั้น

        “สิบเอ็ดแต้ม …ออกสูง….” เจ้ามือเอ่ยด้วยเสียงราวกับวิญญาณจะหลุดจากร่าง ทรุดลงไปกองใต้โต๊ะอย่างหมดเรี่ยวแรง หว่านหยียิ้มกว้างรวบเอาตั๋วแลกเงินปึกเดิมคืนกลับมา

        “…..ครั้งสุดท้ายถือว่าข้าไม่ได้พนันก็แล้วกัน…”

           หว่านหยีย่างเท้าออกมาจากบ่อนอย่างผู้ชนะ มิได้ตั้งใจจริงจังที่จะกลั่นแกล้งเจ้าของบ่อน หากแต่โชคลาภใดที่เกี่ยวกับการพนันมักเข้าข้างนางเสมอ

        หลังจากที่ซื้อขนมกุ้ยฮัวฝากศิษย์พี่ใหญ่แล้ว หว่านหยีก็ไม่ได้ตั้งใจจะเหลวไหลที่ใดต่อ หากแต่นางกลับไปสะดุดตากับยาจกชราคนหนึ่งที่นั่งดื่มสุราเพียงลำพังอยู่หน้าโรงเตี๊ยม สองมือขมักเขม้นสานเงื่อนผูกห้อยกระบี่อย่างละเอียดลออ หากมือว่างครั้งใดเป็นต้องหยิบน้ำเต้าใส่สุราข้างตัวขึ้นมาดื่ม

        หว่านหยีขยับไปดูใกล้ๆ เงื่อนห้อยกระบี่ลวดลายนี่แปลกนัก บิดผันพลิกไปมาราวกับจะไม่ใช่เอ็นสายเดียวกัน แต่รวมกันตรงกลางราวกับน้ำตก

        “ท่านลุงยาจก….” นางเอ่ยทัก “เงื่อนผูกกระบี่นั่นเค้าเรียกว่าอะไรคะ…..”

        ชายชราเงยหน้าจากงานในมือมองเด็กสาวด้วยสายตาฉงน

        “เงื่อนรวมใจ….” เสียงแหบพร่าฟังแทบมิได้ใจความ

        “อื๋อ……..สวยจัง…..ถ้าทำด้วยเอ็นตกปลาคงสวยน่าดู…..กระบี่ศิษย์พี่ใหญ่ไม่มีเงื่อนห้อย ลองทำไปฝากดีมั้ยน้า…”

        “เกรงว่าคงยาก….เงื่อนนี่มิใช่ใครทำก็ได้…..ต้องชำนาญ….”

        “จะยากเพียงไหนกันเชียว…….” หว่านหยีย่นจมูก ดวงตากลมโตแวววาวเป็นประกาย ในยามนี้ ผู้ใดก็มิอาจหยุดนางได้ “ข้าขอลองทำมั่งนะ….” นางทรุดตัวนั่งที่ข้างๆยาจกผู้นั้นอย่างมิได้นึกรังเกียจ

        ชายชราส่งเอ็นให้นางเส้นหนึ่ง พลางบอกวิธีการสานอย่างละเอียด เสียแต่หว่านหยีไร้สามารถด้านศิลป์ และเงื่อนรวมใจนั้นพลิกแพลงกลับผันซับซ้อนยิ่งนัก แม้สอดทับผิดเพียงเส้นเดียวเป็นต้องเริ่มใหม่หมด ครึ่งชั่วยามผ่านไปนางยังสานไม่ได้สักชั้น  

        “จะถอดใจเมื่อใดก็บอกนะ…” ชายชราค่อนขอด แม่นางน้อยที่อยู่ข้างๆมิได้หวั่นไหว นางตั้งใจทำสิ่งใด นางต้องทำสิ่งนั้นให้จงได้ เช่นกัน หากมิต้องการทำสิ่งใด ผู้ใดก็อย่าได้บังคับขู่เข็ญเสียให้ลำบากปาก

        แม้หว่านหยีจะอ่อนทักษะศิลป์ แต่ความจำนั้นดีเลิศ ผ่านไปหนึ่งชั่วยามนางก็สานชั้นแรกสำเร็จ ถึงฝีมือจะหยาบโย้เย้ไปบ้าง ไม่ปรานีตเหมือนกับชายชรา นางขยี้ตาอย่างอ่อนล้า ทอดถอนใจกับผลงานของตน แม้แต่ยาจกชรายังพลอยยิ้มอย่างพึงใจ

        “อีกสิบสามชั้น…ทำเช่นเดิม….เจ้าจำได้หรือไม่….”

        “ฮื่อ…..จำได้แล้ว….” นางกล่าว ยาจกชรายิ่งยิ้มอย่างชอบใจ ดูเสื้อผ้าอาภรณ์ของแม่นางน้อยก็ใช่ว่าจะเป็นลูกชาวนาชาวไร่ แม้แต่ผิวพรรณก็ละเอียดขาวอมชมพู กลับมิได้ถือศักดิ์ศรี นั่งคุยสนิทสนมกับยาจก แล้วยังเรียกขานเป็นลุงเป็นป้าได้ไม่กระดากปาก แปลกแท้…..

        ไม่ทันไรก็จวนค่ำ ร้านรวงต่างๆเก็บข้าวของจากไป ผู้คนบางตาลงทุกขณะ หว่านหยียังไม่ได้ออกเดินจากตรงนั้นสักก้าว เงื่อนรวมใจสานเสร็จไปสี่ชั้นแล้ว ชายชรายังนั่งดื่มสุราอยู่ข้างๆไม่ห่าง

        “พลบค่ำเมื่อใด….เจ้าจะกลับบ้านลำบากนา….” ยาจกชรากล่าว

        “ไม่กล้าให้ท่านลุงยาจกเป็นห่วงหรอก……ข้าเดินถอยหลังหลับตาขึ้นเขายังเคยเล้ย….”

        ชายชราหัวเราะขัน เสียดายนักที่ไม่มีโอกาสนั่งดื่มสุราข้างแม่นางน้อยช่างเจรจาต่อ เสียงฝีเท้าผู้หนึ่งกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ คนผู้นั้นมิใช่คนธรรมดา ใกล้ขนาดนี้แต่เสียงฝีเท้ายังแผ่วเบาเยี่ยงสายลม ผู้เยี่ยมยุทธเป็นแน่…..

        “กลับเถิด….แม่หนู…ที่เหลือไปทำต่อที่บ้านก็ได้…..” ยาจกชายชรายันตัวขึ้น จ้องมองไปทางหลังคาโรงเตี๊ยม เงาร่างเจ้าของฝีเท้าแผ่วเบายืนตระหง่านในความมืดสลัวๆ

        ฉับพลันเงาร่างนั้นก็กระโดดลงจากหลังคาหายลับไปอีกด้าน ชายชราสะท้าน รังสีอำมหิตกำลังแผ่ซ่านทั่วบรรยากาศรอบๆ

        “แม่หนู….หนีเร็ว….” ชายชรากระซิบ หว่านหยีได้เพียงเงยหน้าขึ้นมามองเท่านั้น แรงมหาศาลถาโถมกระแทกร่างยาจกชราจนกระเด็นไปไกล หากแต่ชายชราไหวทันใช้ฝ่ามือยันตนไว้ได้ไม่บาดเจ็บนัก

        ร่างหว่านหยีแม้สัมผัสแค่ปลายๆแรงนั่น ก็กระเด็นทะลุประตูโรงเตี๊ยมดังอั่ก ร่างจมอยู่ในกองโต๊ะเก้าอี้ สิ้นเรี่ยวแรงจะลุกยืน แต่ยังไม่สิ้นสติ

        เงาร่างเลือนลางในความสลัวย่างเท้าเข้ามาใกล้ ….

        “เจ้า…..เป็นใคร” ชายชราเอ่ยถาม

        ร่างนั้นก้าวเข้ามาใกล้ในระยะที่เห็นหน้า เป็นชายในชุดขาวสะอาดตา ผมสีดอกเลาขึ้นแซมผมจริงล้วนถูกรวบไว้ข้างหลัง แววตาสุขุมนัก หากแต่เย็นชาจับใจ คะเนอายุคงราวๆสามสิบเศษ เพียงดูภูมิฐาน สะอาดสะอ้านกว่าบุคคลในรุ่นราวเดียวกันยิ่งนัก

        “ข้าชื่อ..ลู่โหย่วเหวิน……ฑูตซ้ายแห่งสำนักอินทรีย์เลือด….” เสียงเย็นก้องกังวาน สีหน้าและกระแสเสียงยังเรียบเฉยแม้ในยามกล่าวถึงเรื่องแค้นเคือง “เจ้าเข่นฆ่าลูกน้องในอาณัติของข้า….วันนี้ข้าจะมาเอาชีวิตเจ้า….”

        หว่านหยีพยายามดิ้นรนขยับกายหนีห่าง แต่ราวกับชายผู้นั้นจะไม่เห็นว่านางดูอยู่ด้วย….

         “ข้า รองหัวหน้าสาขาพรรคกระยาจก คิดว่าจะยอมง่ายๆรึ……….ฝันไปเถอะ!”

        สิ้นคำชายชราก็ซัดฝ่ามือเข้าใส่ชายชุดขาว อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบ ฉวยพัดที่เหน็บเอวมาใช้รุกรับต่างอาวุธ แม้ชายชราจะใช้กระบวนท่าต่างๆ แต่ก็มิได้ทำให้ชายชุดขาวนั้นถอยออกจากที่ยืนแม้สักก้าว

        แม้หว่านหยีจะด้อยวรยุทธ แต่ก้เห็นความแตกต่างทางเชิงทักษะยุทธชัดเจน ไม่นานชายชราก็อ่อนแรงเผลอเปิดช่องว่าง เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ชายชุดขาวพลันซัดฝ่ามือเข้าที่อกจังๆ ชายชราถอยกรูด กระอักเลือด

        “ลุงยาจก….” นางพึมพำเรียก เป็นห่วงเหลือเกิน แต่บาดเจ็บและจมกองเก้าอี้จนขยับไปไหนไม่ได้….

        ลู่โหย่วเหวินย่างสามขุมเข้าใกล้ร่างชายชราช้าๆอย่างผู้ที่มั่นใจแล้วว่าจะได้ชัย ก่อนที่จะซัดอีกฝ่ามือซ้ำตรงหน้าอกที่เดิม ชายชราสิ้นใจตายทั้งที่ยังมิได้ร่ำลาสั่งเสีย….

        แม่นางน้อยที่ดูอยู่หนาวสะท้าน ปั่นป่วนในท้อง ครานี้เองเพิ่งเห็นคนฆ่ากันเป็นหนแรก น่ากลัวเหลือเกิน ศิษย์พี่ใหญ่…..ช่วยข้าด้วย…..

        โต๊ะที่ต่อตั้งขึ้นไปอย่างมีได้จงใจพลันขยับกึก ตัวที่อยู่สูงขึ้นไปหล่นลงมาทำเสียงดังโครมคราม แม้นลู่โหย่วเหวินมิใช่จอมยุทธก็สังเกตได้อยู่วันยังค่ำ แม่นางน้อยอีกผู้กำลังซ่อนอยู่ใต้นั้น นางเห็นเหตุการณ์โดยตลอดครบถ้วน

           โหย่วเหวินสาวเท้าไปทางที่ซ่อนของหว่านหยี ฉวยเอาโต๊ะเก้าอี้ที่กำบังอยู่ทิ้งไป สิ้นที่ซ่อนเสียแล้วก็ป่วยการจะหนี แม่นางน้อยกำเงื่อนรวมใจที่ยังผูกไม่สำเร็จเสียแน่น จำใจบ่ายหน้าขึ้นมองชายชุดขาวตรงๆ

        สายตาเย็นชาจับจ้องนางนิ่ง ไร้คำพูดใดๆอธิบาย หัวใจนางเต้นเร็วราวกับกลองศึก มิได้ละไปจากสายตาเย็นชานั่นเพียงสักนิด ด้วยกลัวว่าหากละไปชั่วพริบตาใดอาจต้องถูกฆ่าแน่

        “ท่านพ่อ!!” ไร้คำอธิบายใดๆ หว่านหยีมองไปเบื้องหลังโหย่วเหวินพลางตะโกนสุดเสียง มิใช่ว่าร่างบุพการีจะปรากฎมาช่วย แต่เพียงพริบตาที่โหย่วเหวินลังเล แม่นางน้อยออกวิ่งสุดฝีเท้า…

        ท่ามกลางความมืด นางวิ่งได้ไม่สับสนทางตามที่เคยโอ้อวดไว้ หากแต่โหย่วเหวินมีวิชาตัวเบาล้ำลึกนัก นางก็มิอาจแน่ใจได้ว่าจะหนีทันหากยังอยู่ในตัวเมืองเช่นนี้ แต่หากถึงเขตป่าทึบ…..นางที่ชำนาญทางกว่าจะได้เปรียบ

        ชายชุดขาวใช้วิชาตัวเบากระโจนถลาหมายจะจับตัวนาง แต่หว่านหยีก็เร็วนักพลิกตัวหลบหลีกได้ว่องไว หายจากเงื้อมมือของเขาได้ราวหายตัว เป็นแบบนี้อยู่สามครา โหย่วเหวินจึงเลิกตาม ปล่อยให้แม่นางน้อยผลุบหายเข้าไปในป่าทึบ

        มิใช่เพราะเขาท้อถอย แต่เพราะกำลังตระหนกตกใจยิ่งนัก แน่แล้ว….ท่วงท่าแบบนั้น ทั้งยังใช้ทั้งสามหน….เหตุใดแม่นางน้อยผู้นั้น ถึงรู้วิชาย่างเท้าที่สูญหายไปเสียหลายชั่วอายุคน…..

        เทวะเคลื่อนเงา……..

        …………………………………………………………………………………………







        

          





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×