ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : พบพาน
    โถงที่ประชุมของสำนักจงคุนมิได้ใหญ่โตหรูหรา หากแต่มีเพียงเก้าอี้ไม้ไผ่ทำเองเพียงสองสามตัวที่ตั้งอยู่ตรงสุดปลายห้อง นอกจากที่นั้นก็เป็นที่โล่ง พอให้ศิษย์น้อยใหญ่ได้ยืนได้นั่งฟังเจ้าสำนักได้ตามสะดวก หากยามใดมีผู้มาเยือนอันสูงศักดิ์ เก้าอี้ไม้ไผ่อีกสี่ห้าตัวข้างหลังจึงจะถูกยกมาวางไว้รับรองตามอัตภาพ ณ ที่นั้นบัดนี้ได้กลายเป็นที่หย่อนใจชั่วคราวของเจ้าสำนัก ชายวัยกลางคนร่างยักษ์ผู้หนึ่งนั่งอยู่เพียงผู้เดียว กับกระดานหมากล้อมที่ไร้วี่แววคู่ต่อสู้อีกด้านถูกวางด้วยตัวหมากขาวดำตัวแล้วตัวเล่า คาดคะเนเวลาตามจำนวนหมาก ชายคนนี้คงนั่งมานานกว่าสองชั่วยามเห็นจะได้
    เจิ้นเซิงย่างเท้าเงียบกริบมาถึงหน้าโถงราวกับจะตระหนักแล้วว่าชายที่อยู่ในห้องนั้นมิใคร่จะได้รับการรบกวนอันใด เขายืนนิ่งหลบมุมประตู สบโอกาสเมื่อใดค่อยเข้าไปพูดจา
    “แอบอยู่ตรงนั้นทำไม ..เจิ้นเซิง .” ชายวัยกลางคนกล่าวขึ้นลอยๆ แม้สายตายังมิได้กระดิกออกจากกระดานสักเพียงนิด “เข้ามาสิ ”
    “อาจารย์ .” เจิ้นเซิงกล่าวทัก เหลือบซ้ายแลขวาไม่มีวี่แววแม่นางน้อยจอมซนผู้นั้นเลย “หว่านหยี .ไม่ได้มาที่นี่รึขอรับ .”
    “ไม่ได้มา .”  ชายร่างยักษ์กล่าว สายตามากอายุที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ขันขยับยิ้มพราย หนวดเคราและผมเริ่มมีสีดอกเลาขึ้นแซมบ้างแล้ว แต่ก็ไม่เคยทำให้อารมณ์สดใสของเจ้าตัวต้องเศร้าหมอง
    “แล้วนางจะไปไหนได้เล่า ..สำนักก็มีอยู่แค่นี้ .” เจิ้นเซิงกล่าวอย่างวิตก
    “อย่าตามหานางเลย ” เจ้าสำนักทิ้งตัวหมากขาวลงในโถ “เสียแรงเปล่า .พอพลบค่ำเมื่อใด นางก็กลับมาเอง .วันนี้ข้ามีเรื่องประชุมในสำนัก นางก็รู้ .”
    “เหตุใดต้องรอพลบค่ำล่ะ อาจารย์ ”
    “เจ้าเดาไม่ออกหรอกรึ .” ชายกลางคนขยับแย้มยิ้มอีกหนราวกับจะขบขันเสียนักเมื่อคิดถึงลูกสาวคนเล็กในยามนี้
    เจิ้นเซิงเองก็คิดแบบเดียวกัน แต่หาขบขันกับความคิดนั้นด้วยไม่ .
    ..
    ภายในตัวตำบลที่ผู้คนผ่านไปมาพลุกพล่าน มีร้านรวงหลากหลายร้องเชิญชวนลูกค้าลั่นทางเท้า ร้านแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมเก่าแก่ ด้านล่างขายข้าวปลาอาหารรสชาติพอกลืนลงลำคอได้ ชั้นสองตีกระดานในนอกมิดชิด เปิดเป็นบ่อนสูบเงินชาวบ้านร้านตลาด แต่วันนี้กลับปรากฏแม่นางน้อยผิวพรรณงดงามมาขอเสี่ยงดวง เจ้ามือยิ้มกริ่ม แม่นางน้อยผู้นี่คงอ่อนเชิงพนันเหมือนที่หน้าตาบ่งบอก ครึ่งชั่วยามต่อมา ทั้งบ่อนจึงได้ประจักษ์ .
    “เอาน่า .เปิดเหอะ .สูง เชื่อข้าสิ .” แม่นางน้อยหว่านหยีเอ่ย รอยยิ้มเยื้อนที่มุมปากนางราวกับจะรับรู้แล้วว่าเต๋าที่อยู่ในแก้วนั่นจะเปิดออกมาในรูปใด
    เจ้ามือฉวยผ้าที่พาดบ่าอยู่มาซับเหงื่อ แม่นางผู้นี้เป็นเทพธิดาแห่งการพนันขันต่อหรือไร สิบสองตาผ่านมาแล้ว นางแทงถูกทั้งหมด แต่ในเมื่อเขย่าเต๋าแล้วก็ไม่อาจถอนแก้วออกโดยไม่พนันได้ มีแต่ทางที่จะต้องเสี่ยงดูเท่านั้น
    “สิบเอ็ดแต้ม ออกสูง .” เจ้ามือเอ่ยด้วยเสียงราวกับวิญญาณจะหลุดจากร่าง ทรุดลงไปกองใต้โต๊ะอย่างหมดเรี่ยวแรง หว่านหยียิ้มกว้างรวบเอาตั๋วแลกเงินปึกเดิมคืนกลับมา
    “ ..ครั้งสุดท้ายถือว่าข้าไม่ได้พนันก็แล้วกัน ”
      หว่านหยีย่างเท้าออกมาจากบ่อนอย่างผู้ชนะ มิได้ตั้งใจจริงจังที่จะกลั่นแกล้งเจ้าของบ่อน หากแต่โชคลาภใดที่เกี่ยวกับการพนันมักเข้าข้างนางเสมอ
    หลังจากที่ซื้อขนมกุ้ยฮัวฝากศิษย์พี่ใหญ่แล้ว หว่านหยีก็ไม่ได้ตั้งใจจะเหลวไหลที่ใดต่อ หากแต่นางกลับไปสะดุดตากับยาจกชราคนหนึ่งที่นั่งดื่มสุราเพียงลำพังอยู่หน้าโรงเตี๊ยม สองมือขมักเขม้นสานเงื่อนผูกห้อยกระบี่อย่างละเอียดลออ หากมือว่างครั้งใดเป็นต้องหยิบน้ำเต้าใส่สุราข้างตัวขึ้นมาดื่ม
    หว่านหยีขยับไปดูใกล้ๆ เงื่อนห้อยกระบี่ลวดลายนี่แปลกนัก บิดผันพลิกไปมาราวกับจะไม่ใช่เอ็นสายเดียวกัน แต่รวมกันตรงกลางราวกับน้ำตก
    “ท่านลุงยาจก .” นางเอ่ยทัก “เงื่อนผูกกระบี่นั่นเค้าเรียกว่าอะไรคะ ..”
    ชายชราเงยหน้าจากงานในมือมองเด็กสาวด้วยสายตาฉงน
    “เงื่อนรวมใจ .” เสียงแหบพร่าฟังแทบมิได้ใจความ
    “อื๋อ ..สวยจัง ..ถ้าทำด้วยเอ็นตกปลาคงสวยน่าดู ..กระบี่ศิษย์พี่ใหญ่ไม่มีเงื่อนห้อย ลองทำไปฝากดีมั้ยน้า ”
    “เกรงว่าคงยาก .เงื่อนนี่มิใช่ใครทำก็ได้ ..ต้องชำนาญ .”
    “จะยากเพียงไหนกันเชียว .” หว่านหยีย่นจมูก ดวงตากลมโตแวววาวเป็นประกาย ในยามนี้ ผู้ใดก็มิอาจหยุดนางได้ “ข้าขอลองทำมั่งนะ .” นางทรุดตัวนั่งที่ข้างๆยาจกผู้นั้นอย่างมิได้นึกรังเกียจ
    ชายชราส่งเอ็นให้นางเส้นหนึ่ง พลางบอกวิธีการสานอย่างละเอียด เสียแต่หว่านหยีไร้สามารถด้านศิลป์ และเงื่อนรวมใจนั้นพลิกแพลงกลับผันซับซ้อนยิ่งนัก แม้สอดทับผิดเพียงเส้นเดียวเป็นต้องเริ่มใหม่หมด ครึ่งชั่วยามผ่านไปนางยังสานไม่ได้สักชั้น 
    “จะถอดใจเมื่อใดก็บอกนะ ” ชายชราค่อนขอด แม่นางน้อยที่อยู่ข้างๆมิได้หวั่นไหว นางตั้งใจทำสิ่งใด นางต้องทำสิ่งนั้นให้จงได้ เช่นกัน หากมิต้องการทำสิ่งใด ผู้ใดก็อย่าได้บังคับขู่เข็ญเสียให้ลำบากปาก
    แม้หว่านหยีจะอ่อนทักษะศิลป์ แต่ความจำนั้นดีเลิศ ผ่านไปหนึ่งชั่วยามนางก็สานชั้นแรกสำเร็จ ถึงฝีมือจะหยาบโย้เย้ไปบ้าง ไม่ปรานีตเหมือนกับชายชรา นางขยี้ตาอย่างอ่อนล้า ทอดถอนใจกับผลงานของตน แม้แต่ยาจกชรายังพลอยยิ้มอย่างพึงใจ
    “อีกสิบสามชั้น ทำเช่นเดิม .เจ้าจำได้หรือไม่ .”
    “ฮื่อ ..จำได้แล้ว .” นางกล่าว ยาจกชรายิ่งยิ้มอย่างชอบใจ ดูเสื้อผ้าอาภรณ์ของแม่นางน้อยก็ใช่ว่าจะเป็นลูกชาวนาชาวไร่ แม้แต่ผิวพรรณก็ละเอียดขาวอมชมพู กลับมิได้ถือศักดิ์ศรี นั่งคุยสนิทสนมกับยาจก แล้วยังเรียกขานเป็นลุงเป็นป้าได้ไม่กระดากปาก แปลกแท้ ..
    ไม่ทันไรก็จวนค่ำ ร้านรวงต่างๆเก็บข้าวของจากไป ผู้คนบางตาลงทุกขณะ หว่านหยียังไม่ได้ออกเดินจากตรงนั้นสักก้าว เงื่อนรวมใจสานเสร็จไปสี่ชั้นแล้ว ชายชรายังนั่งดื่มสุราอยู่ข้างๆไม่ห่าง
    “พลบค่ำเมื่อใด .เจ้าจะกลับบ้านลำบากนา .” ยาจกชรากล่าว
    “ไม่กล้าให้ท่านลุงยาจกเป็นห่วงหรอก ข้าเดินถอยหลังหลับตาขึ้นเขายังเคยเล้ย .”
    ชายชราหัวเราะขัน เสียดายนักที่ไม่มีโอกาสนั่งดื่มสุราข้างแม่นางน้อยช่างเจรจาต่อ เสียงฝีเท้าผู้หนึ่งกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ คนผู้นั้นมิใช่คนธรรมดา ใกล้ขนาดนี้แต่เสียงฝีเท้ายังแผ่วเบาเยี่ยงสายลม ผู้เยี่ยมยุทธเป็นแน่ ..
    “กลับเถิด .แม่หนู ที่เหลือไปทำต่อที่บ้านก็ได้ ..” ยาจกชายชรายันตัวขึ้น จ้องมองไปทางหลังคาโรงเตี๊ยม เงาร่างเจ้าของฝีเท้าแผ่วเบายืนตระหง่านในความมืดสลัวๆ
    ฉับพลันเงาร่างนั้นก็กระโดดลงจากหลังคาหายลับไปอีกด้าน ชายชราสะท้าน รังสีอำมหิตกำลังแผ่ซ่านทั่วบรรยากาศรอบๆ
    “แม่หนู .หนีเร็ว .” ชายชรากระซิบ หว่านหยีได้เพียงเงยหน้าขึ้นมามองเท่านั้น แรงมหาศาลถาโถมกระแทกร่างยาจกชราจนกระเด็นไปไกล หากแต่ชายชราไหวทันใช้ฝ่ามือยันตนไว้ได้ไม่บาดเจ็บนัก
    ร่างหว่านหยีแม้สัมผัสแค่ปลายๆแรงนั่น ก็กระเด็นทะลุประตูโรงเตี๊ยมดังอั่ก ร่างจมอยู่ในกองโต๊ะเก้าอี้ สิ้นเรี่ยวแรงจะลุกยืน แต่ยังไม่สิ้นสติ
    เงาร่างเลือนลางในความสลัวย่างเท้าเข้ามาใกล้ .
    “เจ้า ..เป็นใคร” ชายชราเอ่ยถาม
    ร่างนั้นก้าวเข้ามาใกล้ในระยะที่เห็นหน้า เป็นชายในชุดขาวสะอาดตา ผมสีดอกเลาขึ้นแซมผมจริงล้วนถูกรวบไว้ข้างหลัง แววตาสุขุมนัก หากแต่เย็นชาจับใจ คะเนอายุคงราวๆสามสิบเศษ เพียงดูภูมิฐาน สะอาดสะอ้านกว่าบุคคลในรุ่นราวเดียวกันยิ่งนัก
    “ข้าชื่อ..ลู่โหย่วเหวิน ฑูตซ้ายแห่งสำนักอินทรีย์เลือด .” เสียงเย็นก้องกังวาน สีหน้าและกระแสเสียงยังเรียบเฉยแม้ในยามกล่าวถึงเรื่องแค้นเคือง “เจ้าเข่นฆ่าลูกน้องในอาณัติของข้า .วันนี้ข้าจะมาเอาชีวิตเจ้า .”
    หว่านหยีพยายามดิ้นรนขยับกายหนีห่าง แต่ราวกับชายผู้นั้นจะไม่เห็นว่านางดูอยู่ด้วย .
    “ข้า รองหัวหน้าสาขาพรรคกระยาจก คิดว่าจะยอมง่ายๆรึ .ฝันไปเถอะ!”
    สิ้นคำชายชราก็ซัดฝ่ามือเข้าใส่ชายชุดขาว อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบ ฉวยพัดที่เหน็บเอวมาใช้รุกรับต่างอาวุธ แม้ชายชราจะใช้กระบวนท่าต่างๆ แต่ก็มิได้ทำให้ชายชุดขาวนั้นถอยออกจากที่ยืนแม้สักก้าว
    แม้หว่านหยีจะด้อยวรยุทธ แต่ก้เห็นความแตกต่างทางเชิงทักษะยุทธชัดเจน ไม่นานชายชราก็อ่อนแรงเผลอเปิดช่องว่าง เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ชายชุดขาวพลันซัดฝ่ามือเข้าที่อกจังๆ ชายชราถอยกรูด กระอักเลือด
    “ลุงยาจก .” นางพึมพำเรียก เป็นห่วงเหลือเกิน แต่บาดเจ็บและจมกองเก้าอี้จนขยับไปไหนไม่ได้ .
    ลู่โหย่วเหวินย่างสามขุมเข้าใกล้ร่างชายชราช้าๆอย่างผู้ที่มั่นใจแล้วว่าจะได้ชัย ก่อนที่จะซัดอีกฝ่ามือซ้ำตรงหน้าอกที่เดิม ชายชราสิ้นใจตายทั้งที่ยังมิได้ร่ำลาสั่งเสีย .
    แม่นางน้อยที่ดูอยู่หนาวสะท้าน ปั่นป่วนในท้อง ครานี้เองเพิ่งเห็นคนฆ่ากันเป็นหนแรก น่ากลัวเหลือเกิน ศิษย์พี่ใหญ่ ..ช่วยข้าด้วย ..
    โต๊ะที่ต่อตั้งขึ้นไปอย่างมีได้จงใจพลันขยับกึก ตัวที่อยู่สูงขึ้นไปหล่นลงมาทำเสียงดังโครมคราม แม้นลู่โหย่วเหวินมิใช่จอมยุทธก็สังเกตได้อยู่วันยังค่ำ แม่นางน้อยอีกผู้กำลังซ่อนอยู่ใต้นั้น นางเห็นเหตุการณ์โดยตลอดครบถ้วน
      โหย่วเหวินสาวเท้าไปทางที่ซ่อนของหว่านหยี ฉวยเอาโต๊ะเก้าอี้ที่กำบังอยู่ทิ้งไป สิ้นที่ซ่อนเสียแล้วก็ป่วยการจะหนี แม่นางน้อยกำเงื่อนรวมใจที่ยังผูกไม่สำเร็จเสียแน่น จำใจบ่ายหน้าขึ้นมองชายชุดขาวตรงๆ
    สายตาเย็นชาจับจ้องนางนิ่ง ไร้คำพูดใดๆอธิบาย หัวใจนางเต้นเร็วราวกับกลองศึก มิได้ละไปจากสายตาเย็นชานั่นเพียงสักนิด ด้วยกลัวว่าหากละไปชั่วพริบตาใดอาจต้องถูกฆ่าแน่
    “ท่านพ่อ!!” ไร้คำอธิบายใดๆ หว่านหยีมองไปเบื้องหลังโหย่วเหวินพลางตะโกนสุดเสียง มิใช่ว่าร่างบุพการีจะปรากฎมาช่วย แต่เพียงพริบตาที่โหย่วเหวินลังเล แม่นางน้อยออกวิ่งสุดฝีเท้า
    ท่ามกลางความมืด นางวิ่งได้ไม่สับสนทางตามที่เคยโอ้อวดไว้ หากแต่โหย่วเหวินมีวิชาตัวเบาล้ำลึกนัก นางก็มิอาจแน่ใจได้ว่าจะหนีทันหากยังอยู่ในตัวเมืองเช่นนี้ แต่หากถึงเขตป่าทึบ ..นางที่ชำนาญทางกว่าจะได้เปรียบ
    ชายชุดขาวใช้วิชาตัวเบากระโจนถลาหมายจะจับตัวนาง แต่หว่านหยีก็เร็วนักพลิกตัวหลบหลีกได้ว่องไว หายจากเงื้อมมือของเขาได้ราวหายตัว เป็นแบบนี้อยู่สามครา โหย่วเหวินจึงเลิกตาม ปล่อยให้แม่นางน้อยผลุบหายเข้าไปในป่าทึบ
    มิใช่เพราะเขาท้อถอย แต่เพราะกำลังตระหนกตกใจยิ่งนัก แน่แล้ว .ท่วงท่าแบบนั้น ทั้งยังใช้ทั้งสามหน .เหตุใดแม่นางน้อยผู้นั้น ถึงรู้วิชาย่างเท้าที่สูญหายไปเสียหลายชั่วอายุคน ..
    เทวะเคลื่อนเงา ..
   
   
     
    เจิ้นเซิงย่างเท้าเงียบกริบมาถึงหน้าโถงราวกับจะตระหนักแล้วว่าชายที่อยู่ในห้องนั้นมิใคร่จะได้รับการรบกวนอันใด เขายืนนิ่งหลบมุมประตู สบโอกาสเมื่อใดค่อยเข้าไปพูดจา
    “แอบอยู่ตรงนั้นทำไม ..เจิ้นเซิง .” ชายวัยกลางคนกล่าวขึ้นลอยๆ แม้สายตายังมิได้กระดิกออกจากกระดานสักเพียงนิด “เข้ามาสิ ”
    “อาจารย์ .” เจิ้นเซิงกล่าวทัก เหลือบซ้ายแลขวาไม่มีวี่แววแม่นางน้อยจอมซนผู้นั้นเลย “หว่านหยี .ไม่ได้มาที่นี่รึขอรับ .”
    “ไม่ได้มา .”  ชายร่างยักษ์กล่าว สายตามากอายุที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ขันขยับยิ้มพราย หนวดเคราและผมเริ่มมีสีดอกเลาขึ้นแซมบ้างแล้ว แต่ก็ไม่เคยทำให้อารมณ์สดใสของเจ้าตัวต้องเศร้าหมอง
    “แล้วนางจะไปไหนได้เล่า ..สำนักก็มีอยู่แค่นี้ .” เจิ้นเซิงกล่าวอย่างวิตก
    “อย่าตามหานางเลย ” เจ้าสำนักทิ้งตัวหมากขาวลงในโถ “เสียแรงเปล่า .พอพลบค่ำเมื่อใด นางก็กลับมาเอง .วันนี้ข้ามีเรื่องประชุมในสำนัก นางก็รู้ .”
    “เหตุใดต้องรอพลบค่ำล่ะ อาจารย์ ”
    “เจ้าเดาไม่ออกหรอกรึ .” ชายกลางคนขยับแย้มยิ้มอีกหนราวกับจะขบขันเสียนักเมื่อคิดถึงลูกสาวคนเล็กในยามนี้
    เจิ้นเซิงเองก็คิดแบบเดียวกัน แต่หาขบขันกับความคิดนั้นด้วยไม่ .
    ..
    ภายในตัวตำบลที่ผู้คนผ่านไปมาพลุกพล่าน มีร้านรวงหลากหลายร้องเชิญชวนลูกค้าลั่นทางเท้า ร้านแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมเก่าแก่ ด้านล่างขายข้าวปลาอาหารรสชาติพอกลืนลงลำคอได้ ชั้นสองตีกระดานในนอกมิดชิด เปิดเป็นบ่อนสูบเงินชาวบ้านร้านตลาด แต่วันนี้กลับปรากฏแม่นางน้อยผิวพรรณงดงามมาขอเสี่ยงดวง เจ้ามือยิ้มกริ่ม แม่นางน้อยผู้นี่คงอ่อนเชิงพนันเหมือนที่หน้าตาบ่งบอก ครึ่งชั่วยามต่อมา ทั้งบ่อนจึงได้ประจักษ์ .
    “เอาน่า .เปิดเหอะ .สูง เชื่อข้าสิ .” แม่นางน้อยหว่านหยีเอ่ย รอยยิ้มเยื้อนที่มุมปากนางราวกับจะรับรู้แล้วว่าเต๋าที่อยู่ในแก้วนั่นจะเปิดออกมาในรูปใด
    เจ้ามือฉวยผ้าที่พาดบ่าอยู่มาซับเหงื่อ แม่นางผู้นี้เป็นเทพธิดาแห่งการพนันขันต่อหรือไร สิบสองตาผ่านมาแล้ว นางแทงถูกทั้งหมด แต่ในเมื่อเขย่าเต๋าแล้วก็ไม่อาจถอนแก้วออกโดยไม่พนันได้ มีแต่ทางที่จะต้องเสี่ยงดูเท่านั้น
    “สิบเอ็ดแต้ม ออกสูง .” เจ้ามือเอ่ยด้วยเสียงราวกับวิญญาณจะหลุดจากร่าง ทรุดลงไปกองใต้โต๊ะอย่างหมดเรี่ยวแรง หว่านหยียิ้มกว้างรวบเอาตั๋วแลกเงินปึกเดิมคืนกลับมา
    “ ..ครั้งสุดท้ายถือว่าข้าไม่ได้พนันก็แล้วกัน ”
      หว่านหยีย่างเท้าออกมาจากบ่อนอย่างผู้ชนะ มิได้ตั้งใจจริงจังที่จะกลั่นแกล้งเจ้าของบ่อน หากแต่โชคลาภใดที่เกี่ยวกับการพนันมักเข้าข้างนางเสมอ
    หลังจากที่ซื้อขนมกุ้ยฮัวฝากศิษย์พี่ใหญ่แล้ว หว่านหยีก็ไม่ได้ตั้งใจจะเหลวไหลที่ใดต่อ หากแต่นางกลับไปสะดุดตากับยาจกชราคนหนึ่งที่นั่งดื่มสุราเพียงลำพังอยู่หน้าโรงเตี๊ยม สองมือขมักเขม้นสานเงื่อนผูกห้อยกระบี่อย่างละเอียดลออ หากมือว่างครั้งใดเป็นต้องหยิบน้ำเต้าใส่สุราข้างตัวขึ้นมาดื่ม
    หว่านหยีขยับไปดูใกล้ๆ เงื่อนห้อยกระบี่ลวดลายนี่แปลกนัก บิดผันพลิกไปมาราวกับจะไม่ใช่เอ็นสายเดียวกัน แต่รวมกันตรงกลางราวกับน้ำตก
    “ท่านลุงยาจก .” นางเอ่ยทัก “เงื่อนผูกกระบี่นั่นเค้าเรียกว่าอะไรคะ ..”
    ชายชราเงยหน้าจากงานในมือมองเด็กสาวด้วยสายตาฉงน
    “เงื่อนรวมใจ .” เสียงแหบพร่าฟังแทบมิได้ใจความ
    “อื๋อ ..สวยจัง ..ถ้าทำด้วยเอ็นตกปลาคงสวยน่าดู ..กระบี่ศิษย์พี่ใหญ่ไม่มีเงื่อนห้อย ลองทำไปฝากดีมั้ยน้า ”
    “เกรงว่าคงยาก .เงื่อนนี่มิใช่ใครทำก็ได้ ..ต้องชำนาญ .”
    “จะยากเพียงไหนกันเชียว .” หว่านหยีย่นจมูก ดวงตากลมโตแวววาวเป็นประกาย ในยามนี้ ผู้ใดก็มิอาจหยุดนางได้ “ข้าขอลองทำมั่งนะ .” นางทรุดตัวนั่งที่ข้างๆยาจกผู้นั้นอย่างมิได้นึกรังเกียจ
    ชายชราส่งเอ็นให้นางเส้นหนึ่ง พลางบอกวิธีการสานอย่างละเอียด เสียแต่หว่านหยีไร้สามารถด้านศิลป์ และเงื่อนรวมใจนั้นพลิกแพลงกลับผันซับซ้อนยิ่งนัก แม้สอดทับผิดเพียงเส้นเดียวเป็นต้องเริ่มใหม่หมด ครึ่งชั่วยามผ่านไปนางยังสานไม่ได้สักชั้น 
    “จะถอดใจเมื่อใดก็บอกนะ ” ชายชราค่อนขอด แม่นางน้อยที่อยู่ข้างๆมิได้หวั่นไหว นางตั้งใจทำสิ่งใด นางต้องทำสิ่งนั้นให้จงได้ เช่นกัน หากมิต้องการทำสิ่งใด ผู้ใดก็อย่าได้บังคับขู่เข็ญเสียให้ลำบากปาก
    แม้หว่านหยีจะอ่อนทักษะศิลป์ แต่ความจำนั้นดีเลิศ ผ่านไปหนึ่งชั่วยามนางก็สานชั้นแรกสำเร็จ ถึงฝีมือจะหยาบโย้เย้ไปบ้าง ไม่ปรานีตเหมือนกับชายชรา นางขยี้ตาอย่างอ่อนล้า ทอดถอนใจกับผลงานของตน แม้แต่ยาจกชรายังพลอยยิ้มอย่างพึงใจ
    “อีกสิบสามชั้น ทำเช่นเดิม .เจ้าจำได้หรือไม่ .”
    “ฮื่อ ..จำได้แล้ว .” นางกล่าว ยาจกชรายิ่งยิ้มอย่างชอบใจ ดูเสื้อผ้าอาภรณ์ของแม่นางน้อยก็ใช่ว่าจะเป็นลูกชาวนาชาวไร่ แม้แต่ผิวพรรณก็ละเอียดขาวอมชมพู กลับมิได้ถือศักดิ์ศรี นั่งคุยสนิทสนมกับยาจก แล้วยังเรียกขานเป็นลุงเป็นป้าได้ไม่กระดากปาก แปลกแท้ ..
    ไม่ทันไรก็จวนค่ำ ร้านรวงต่างๆเก็บข้าวของจากไป ผู้คนบางตาลงทุกขณะ หว่านหยียังไม่ได้ออกเดินจากตรงนั้นสักก้าว เงื่อนรวมใจสานเสร็จไปสี่ชั้นแล้ว ชายชรายังนั่งดื่มสุราอยู่ข้างๆไม่ห่าง
    “พลบค่ำเมื่อใด .เจ้าจะกลับบ้านลำบากนา .” ยาจกชรากล่าว
    “ไม่กล้าให้ท่านลุงยาจกเป็นห่วงหรอก ข้าเดินถอยหลังหลับตาขึ้นเขายังเคยเล้ย .”
    ชายชราหัวเราะขัน เสียดายนักที่ไม่มีโอกาสนั่งดื่มสุราข้างแม่นางน้อยช่างเจรจาต่อ เสียงฝีเท้าผู้หนึ่งกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ คนผู้นั้นมิใช่คนธรรมดา ใกล้ขนาดนี้แต่เสียงฝีเท้ายังแผ่วเบาเยี่ยงสายลม ผู้เยี่ยมยุทธเป็นแน่ ..
    “กลับเถิด .แม่หนู ที่เหลือไปทำต่อที่บ้านก็ได้ ..” ยาจกชายชรายันตัวขึ้น จ้องมองไปทางหลังคาโรงเตี๊ยม เงาร่างเจ้าของฝีเท้าแผ่วเบายืนตระหง่านในความมืดสลัวๆ
    ฉับพลันเงาร่างนั้นก็กระโดดลงจากหลังคาหายลับไปอีกด้าน ชายชราสะท้าน รังสีอำมหิตกำลังแผ่ซ่านทั่วบรรยากาศรอบๆ
    “แม่หนู .หนีเร็ว .” ชายชรากระซิบ หว่านหยีได้เพียงเงยหน้าขึ้นมามองเท่านั้น แรงมหาศาลถาโถมกระแทกร่างยาจกชราจนกระเด็นไปไกล หากแต่ชายชราไหวทันใช้ฝ่ามือยันตนไว้ได้ไม่บาดเจ็บนัก
    ร่างหว่านหยีแม้สัมผัสแค่ปลายๆแรงนั่น ก็กระเด็นทะลุประตูโรงเตี๊ยมดังอั่ก ร่างจมอยู่ในกองโต๊ะเก้าอี้ สิ้นเรี่ยวแรงจะลุกยืน แต่ยังไม่สิ้นสติ
    เงาร่างเลือนลางในความสลัวย่างเท้าเข้ามาใกล้ .
    “เจ้า ..เป็นใคร” ชายชราเอ่ยถาม
    ร่างนั้นก้าวเข้ามาใกล้ในระยะที่เห็นหน้า เป็นชายในชุดขาวสะอาดตา ผมสีดอกเลาขึ้นแซมผมจริงล้วนถูกรวบไว้ข้างหลัง แววตาสุขุมนัก หากแต่เย็นชาจับใจ คะเนอายุคงราวๆสามสิบเศษ เพียงดูภูมิฐาน สะอาดสะอ้านกว่าบุคคลในรุ่นราวเดียวกันยิ่งนัก
    “ข้าชื่อ..ลู่โหย่วเหวิน ฑูตซ้ายแห่งสำนักอินทรีย์เลือด .” เสียงเย็นก้องกังวาน สีหน้าและกระแสเสียงยังเรียบเฉยแม้ในยามกล่าวถึงเรื่องแค้นเคือง “เจ้าเข่นฆ่าลูกน้องในอาณัติของข้า .วันนี้ข้าจะมาเอาชีวิตเจ้า .”
    หว่านหยีพยายามดิ้นรนขยับกายหนีห่าง แต่ราวกับชายผู้นั้นจะไม่เห็นว่านางดูอยู่ด้วย .
    “ข้า รองหัวหน้าสาขาพรรคกระยาจก คิดว่าจะยอมง่ายๆรึ .ฝันไปเถอะ!”
    สิ้นคำชายชราก็ซัดฝ่ามือเข้าใส่ชายชุดขาว อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบ ฉวยพัดที่เหน็บเอวมาใช้รุกรับต่างอาวุธ แม้ชายชราจะใช้กระบวนท่าต่างๆ แต่ก็มิได้ทำให้ชายชุดขาวนั้นถอยออกจากที่ยืนแม้สักก้าว
    แม้หว่านหยีจะด้อยวรยุทธ แต่ก้เห็นความแตกต่างทางเชิงทักษะยุทธชัดเจน ไม่นานชายชราก็อ่อนแรงเผลอเปิดช่องว่าง เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ชายชุดขาวพลันซัดฝ่ามือเข้าที่อกจังๆ ชายชราถอยกรูด กระอักเลือด
    “ลุงยาจก .” นางพึมพำเรียก เป็นห่วงเหลือเกิน แต่บาดเจ็บและจมกองเก้าอี้จนขยับไปไหนไม่ได้ .
    ลู่โหย่วเหวินย่างสามขุมเข้าใกล้ร่างชายชราช้าๆอย่างผู้ที่มั่นใจแล้วว่าจะได้ชัย ก่อนที่จะซัดอีกฝ่ามือซ้ำตรงหน้าอกที่เดิม ชายชราสิ้นใจตายทั้งที่ยังมิได้ร่ำลาสั่งเสีย .
    แม่นางน้อยที่ดูอยู่หนาวสะท้าน ปั่นป่วนในท้อง ครานี้เองเพิ่งเห็นคนฆ่ากันเป็นหนแรก น่ากลัวเหลือเกิน ศิษย์พี่ใหญ่ ..ช่วยข้าด้วย ..
    โต๊ะที่ต่อตั้งขึ้นไปอย่างมีได้จงใจพลันขยับกึก ตัวที่อยู่สูงขึ้นไปหล่นลงมาทำเสียงดังโครมคราม แม้นลู่โหย่วเหวินมิใช่จอมยุทธก็สังเกตได้อยู่วันยังค่ำ แม่นางน้อยอีกผู้กำลังซ่อนอยู่ใต้นั้น นางเห็นเหตุการณ์โดยตลอดครบถ้วน
      โหย่วเหวินสาวเท้าไปทางที่ซ่อนของหว่านหยี ฉวยเอาโต๊ะเก้าอี้ที่กำบังอยู่ทิ้งไป สิ้นที่ซ่อนเสียแล้วก็ป่วยการจะหนี แม่นางน้อยกำเงื่อนรวมใจที่ยังผูกไม่สำเร็จเสียแน่น จำใจบ่ายหน้าขึ้นมองชายชุดขาวตรงๆ
    สายตาเย็นชาจับจ้องนางนิ่ง ไร้คำพูดใดๆอธิบาย หัวใจนางเต้นเร็วราวกับกลองศึก มิได้ละไปจากสายตาเย็นชานั่นเพียงสักนิด ด้วยกลัวว่าหากละไปชั่วพริบตาใดอาจต้องถูกฆ่าแน่
    “ท่านพ่อ!!” ไร้คำอธิบายใดๆ หว่านหยีมองไปเบื้องหลังโหย่วเหวินพลางตะโกนสุดเสียง มิใช่ว่าร่างบุพการีจะปรากฎมาช่วย แต่เพียงพริบตาที่โหย่วเหวินลังเล แม่นางน้อยออกวิ่งสุดฝีเท้า
    ท่ามกลางความมืด นางวิ่งได้ไม่สับสนทางตามที่เคยโอ้อวดไว้ หากแต่โหย่วเหวินมีวิชาตัวเบาล้ำลึกนัก นางก็มิอาจแน่ใจได้ว่าจะหนีทันหากยังอยู่ในตัวเมืองเช่นนี้ แต่หากถึงเขตป่าทึบ ..นางที่ชำนาญทางกว่าจะได้เปรียบ
    ชายชุดขาวใช้วิชาตัวเบากระโจนถลาหมายจะจับตัวนาง แต่หว่านหยีก็เร็วนักพลิกตัวหลบหลีกได้ว่องไว หายจากเงื้อมมือของเขาได้ราวหายตัว เป็นแบบนี้อยู่สามครา โหย่วเหวินจึงเลิกตาม ปล่อยให้แม่นางน้อยผลุบหายเข้าไปในป่าทึบ
    มิใช่เพราะเขาท้อถอย แต่เพราะกำลังตระหนกตกใจยิ่งนัก แน่แล้ว .ท่วงท่าแบบนั้น ทั้งยังใช้ทั้งสามหน .เหตุใดแม่นางน้อยผู้นั้น ถึงรู้วิชาย่างเท้าที่สูญหายไปเสียหลายชั่วอายุคน ..
    เทวะเคลื่อนเงา ..
   
   
     
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น