ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ต่าง..

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ [1] “ต่างถิ่น”

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.ย. 47






    เวลาล่วงเลยไปเกือบห้าโมงเย็นแล้ว แดดสุภาพลดความเกรี้ยวลงไปบ้าง ต่างจากช่วงบ่ายที่ผ่านมา  ลมพัดอ่อนๆทำให้เด็กชายวัย 12 ขวบในชุดกางเกงยีนส์สีซีดตามสมัย เสื้อคอกลมลายฮิปฮอปสีฟ้า พร้อมกระเป๋าสะพายสีน้ำเงินขนาดย่อม รู้สึกสบายตัวขึ้นมาบ้าง เขาแทบจะไม่รู้เลยว่าเขายืนอยู่ ณ ตรงจุดนี้นานเพียงใดแล้ว ดูเหมือนเขาจะยืนอยู่อย่างคนไร้จุดหมายปลายทาง เขามองตามรถสองแถวที่พึ่งจะขับผ่านไปทางถนนลูกรังท้ายหมู่บ้าน เห็นเขม่าฝุ่นราวกับพายุยักษ์สีส้มเรื่อๆตลบอบอวลฟุ้งไปทั่ว จนเด็กชายต้องเอามือมาป้องจมูกไว้ ตามด้วยเสียงไอถี่ๆสองสามที ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ เชิดหน้าด้วยแววตาที่เด็ดเดี่ยวและมั่นคง ...

    เสียงโหวกเหวกดังมาจากสวนเงาะโรงเรียนซึ่งแซมด้วยต้นมะม่วงเบาริมทางที่เขายืนอยู่ อดไม่ได้ที่จะเหลียวหลังไปตามต้นเสียงนั้น ก็พบกับภาพของเด็กๆรุ่นราวคราวเดียวกับเขา แต่ร่างกายและผิวพรรณผิดแผกกับเขาพอควร เด็กๆเหล่านั้นกำลังสนุกสนานเฮฮาไปตามวัยกับการละเล่นที่เขาไม่รู้จัก เด็กชายจึงคิดว่าคงจะเป็นเจ้าถิ่นที่นี่เป็นแน่แท้ เขารวบรวมความกล้า แล้วเอ่ยปากตะโกนถามออกไปว่า  

    “ทำอะไรกันน่ะ” .... เงียบ .... ไร้เสียงตอบรับใดๆทั้งสิ้น เด็กๆที่อยู่บนคบคานกิ่งไม้พากันมองหน้าเลิ่กลั่ก เหมือนกับจะขอคำปรึกษาจากกันและกัน สักพักหนึ่ง มีเสียงตอบรับจากเด็กชายที่ตัวโตกว่าเพื่อน คาดว่าคงจะเป็นพี่ใหญ่ “ไม่มีตาเหรอวะ พวกเรากำลังเล่นตำรวจจับโจรกันอยู่ โง่จริงเลย”  เสียงนั้นอาจจะฟังดูแข็งกร้าวกระด้างกระเดื่องน่าหวั่นหวาดเสียจริง ... และเด็กชายก็มิได้ให้ความสำคัญกับเจ้าถิ่นกลุ่มนั้นอีก จนกระทั่งเด็กชายตัวโตที่เขาคุยด้วยเมื่อก่อนหน้า เดินตรงเข้ามาพลางถามว่า “เอ็งชื่ออะไรน่ะ แล้วมาจากบ้านไหน หน้าตาไม่คุ้น ข้าไม่เคยเห็นหน้าเลย” เด็กชายค่อนข้างสะดุ้งตัวเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็ตอบกลับด้วยความเป็นมิตรอย่างยิ่ง

    “ ชื่อเวดครับ พอดีผมมาเที่ยวแถวนี้  คิดว่าจะกลับบ้านเย็นนี้แหละครับ แต่บังเอิญพ่อผมไม่อยู่บ้าน ก็เลยคิดจะนั่งรถประจำทางกลับไปในตัวอำเภอ รอรถอยู่นานแล้วล่ะ แต่ไม่เห็นมีเลย ชั่วโมงกว่าแล้วนะ ”  น้ำเสียงของเขาดูเริงร่ายิ่ง ผิดกับบางความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ลึกๆในใจเขา

    ยังไม่วายที่เด็กชายตัวโตจะเดินหันหลังกลับไป เวดตะโกนถามขึ้นมาว่า “ ขอโทษนะ นายช่วยบอกทางไปวัดที่ใกล้ที่สุดในหมู่บ้านนี้ให้เราหน่อยสิ ” .. เด็กชายตัวโตมีสีหน้าฉงนเล็กน้อยแต่ก็มิได้เคลือบแคลงใจอะไรมาก จึงอธิบายทางไปวัดให้แก่เวดอย่างละเอียด แต่ก็อดสงสัยมิได้ จึงถามขึ้นว่า “แล้วนายจะไปยังไงล่ะ รถสองแถวหมดแล้วนะ เอาอย่างนี้ไหม คืนนี้ไปข้างบ้านเราก่อนแล้วพรุ่งนี้ถ้านายจะไปวัดลิงขบ ข้าจะพานายไปเองนะ ”  เด็กชายตัวโตสังเกตเห็นสีหน้าของเวดแล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเต็มไปด้วยความเป็นมิตรว่า

    “ ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ เวด พ่อเราใจดี ท่านไม่ดุหรอก ยิ่งพาเพื่อนใหม่เป็นเด็กเมืองมาอย่างนี้ พ่อคงดีใจ เพราะพ่อข้าเคยไปเป็นนายทหารอยู่ในเมืองเหมือนกัน มีเพื่อนในเมืองอยู่ก็สองสามคน  ไปนะ เวด ถึงอย่างไรเราก็ไม่กล้าปล่อยนายไว้คนเดียวหรอก ทางเดินไปวัดลิงขบที่ว่าใกล้น่ะ ก็น้องๆกิโลแม้วเหมือนกันล่ะ “

    เวดรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว ขอบตาปริ่มด้วยน้ำตาแต่เขาพยายามกลั้นไว้..อดทนไว้อย่างลูกผู้ชาย มันหาใช่น้ำตาแห่งความพ่ายแพ้ เสียใจแต่ตรงกันข้ามมันกลับเป็นหยาดน้ำตาแห่งความปลื้มปิติแห่งน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของเพื่อนซึ่งเป็นเด็กต่างถิ่น เพื่อนซึ่งไม่เคยเห็นหน้าค่าตา ไม่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน กลับหยิบยื่นไมตรีให้เขาได้ถึงเพียงนี้

                   ...ทั้งสองเดินกอดคอกันไป เสียงหัวร่อต่อกระซิกปนจังหวะสะอึกสะอื้นดังกังวานไปตามท้องถนนลูกรังสายนั้น....เสียงก้องที่ดังตามหลังราวกับจะบอกอะไรบางอย่าง...ที่ซึ่งรอเขาทั้งสองในเส้นทางข้างหน้า....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×