ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เทา น้ำเงิน เขียวและขาว...
Section 1 : Friendship, love, understanding, and friends
ภาค 1      : มิตรภาพ ความรัก ความเข้าใจและพวกพ้อง
...........................................................................................
Chapter 1  //  Grey, blue, green, and white
บทที่ 1  //  เทา น้ำเงิน เขียวและขาว
ห้องประชุมหัวหน้าคณาจารย์ ปีกเหนือ : แผนกศิลปกรรมและการดนตรี
    ห้องประชุมอาจารย์ที่ใหญ่และดูโอ่โถง ยามที่มีการประชุมนั้นเสียงจะดังกึกก้องไปทั่วและเสียงที่แต่ละท่านที่เปล่งออกมาในห้องนี้นั้นจะบ่งบอกอารมณ์ของผู้พูดได้อย่างชัดเจน โต๊ะไม้หกเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่อยู่กลางห้องนั้น ทำให้บรรยากาศดูมีความน่าเกรงขามขึ้นมามากทั้งๆที่แต่เดิมก็ดูมีความน่ายำเกรงอยู่ไม่น้อย ห้องประชุมนี้เป็นที่ประชุมของเหล่าคณาจารย์ชั้นสูงที่อยู่ที่แผนกนี้เป็นห้องที่ใช้ทั้งตัดสินคดีใหญ่ ประชุมการพัฒนา กิจกรรมต่างๆและเช่นในขณะนี้ที่ประชุมกันเรื่อ นักเรียนที่ยื่นไปขอย้ายแผนก และในขณะนี้ห้องประชุมที่เงียบมาเป็นเวลาหลายเดือนก็ได้ถูกเปิดออกเพื่อการหารือครั้งใหม่
    “...ไม่มีใครนึกเลยนะคะ ว่าเด็กสองคนนั้น เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านนี้มาตลอด แต่ทำไมปีนี้กลับขอย้ายไปได้ ไม่น่าเชื่อเลยนะคะแล้วไปแผนกอะไรก็ไม่รู้ แผนกนั้นมีเด็กจากเราย้ายไปมากที่สุดก็จริง แต่ไม่ใช่ที่จะไปในขณะที่ยังอยู่ช่วงปีต้นแบบนี้ อย่างน้อย ดิฉันก็คนนึงล่ะค่ะที่จะไม่ลงชื่ออนุมัติให้เด็กสองคนนั้นไป”  เสียงอาจารย์หญิงท่านหนึ่งประกาศเสียงแข็งกลางที่ประชุม
    เสียงคณาจารย์ที่อยู่ในห้องประชุมหันไปปรึกษากับอาจารย์ข้างตัว ขณะที่อาจารย์เฟสผู้ที่พูดกลางที่ประชุมซึ่งเป็นหัวหน้าชั้นปีของเด็กผู้ที่ถูกกล่าวถึงนั้นนั่งลงอย่างช้าและมองดูโดยรอบคอยฟังเสียงปรึกษาที่มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและผู้ที่ยังมีความลังเลใจอยู่ แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้ความหวังของเธอหมดไปเธอยังคงนั่งนิ่งรอคอยผลหรือผู้ที่จะลุกขึ้นมาชี้แนะ แย้งหรือเสนอความเห็นด้วยกับที่ประชุม
    เธอนั่งรอเก็บความรู้สึกที่ว่าไม่อยากให้เด็กที่กำลังจะขึ้นปีสี่ของเธอไปอยู่ในแผนกที่ขึ้นชื่อว่า มีแต่เรื่องลึกลับและพิสดาร มันไม่ดีเลยเพราะเด็กสองคนนั้นเพิ่งขึ้นปีสี่ น่าจะรอให้ปีหก เธอชักมีอาการนั่งไม่ติด ขยับไปมาเหลียวซ้ายแลขวากระดาษรายงานที่อยู่ในมือเธอชักจะเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ความเครียดของเธอจนมันฉีกออกครึ่งถึงจะเรียกเธอให้กลับมาควบคุมสติได้ ท่านศาสตราจารย์หัวหน้าแผนกชายแก่ร่างผอมสูงยืนขึ้นยกมือเป็นสัญญาณให้ที่ประชุมเบาเสียง หันไปรับรายงายจากเลขานุการที่ประชุม ก้มลงอ่านแล้วคืนกลับไปให้เลขนุการ ท่านถอนใจก่อนที่จะเอ่ย
    “ผลที่ได้มาจากที่ประชุมของเรา อาจารย์เฟส ผมเขาใจว่าคุณมีเหตุผลอะไรและที่ประชุมยอมรับว่าเหตุผลของคุณนั้นดีทีเดียว อือ..แต่ว่า”  ศาสตราจารย์หันไปกระแอมเล็กน้อย ขยับแว่นแล้วกล่าวต่อ  “ทางกฎของโรงเรียนดั้งเดิมนั้น พวกเราจำเป็นต้องเคารพกฎ กฎเก่าแก่ที่นับถือมาเป็นพันๆปี กล่าวไว้ว่า  นักเรียนผู้ที่มีประสงค์จะย้ายคณะนั้นต้องมีผลการเรียนที่เป็นเลิศ  ซึ่งเด็กสองคนนั้นเป็นแบบนั้นในด้านที่พวกเขาเรียน และกฎยังกล่าวไว้อีกว่า  ไม่กำหนดว่าชั้นปีที่ศึกษาอยู่จะเป็นช่วงอะไร  เพราะฉะนั้นที่ประชุของเราได้ลงความเห็นให้เด็กสองคนนั้นย้ายแผนกได้และผมจะเรียกพวกเขามาคุยอีกทีถึงเรื่องเหตุผลและความแน่วแน่ส่วนวันไหนผมจะบอกคุณเป็นการส่วนตัวอีกทีแล้วคุณจะเข้ามาร่วมฟังด้วยก็ไม่ว่าอะไร เข้านะครับ อาจารย์เฟส”  เธอพยักหน้ารับและยังคงก้มมองลงพื้นอยู่เก็บซ่อนความรู้สึก
    ศาสตราจารย์ละสายตาจากเธอแล้วกล่าวต่อ  “ผมว่าทุกคนคงจะเข้าใจตรงกันแต่ถ้าใครมีข้อสงสัยอะไรสอบถามกับผมได้โดยตรงแต่ต้องแน่ใจว่าคำถามที่ถามนั้นมีเหตุผลพอ เอาเป็นว่าวันนี้พอแค่นี้และรองศาสตราจารย์เวิร์ธ”  ศาสตราจารย์หันไปพูดกับเลขานุการ  “ช่วยเรียกเด็กสองคนนั้นมาคุยกับผมด้วย”
    ศาสตราจารย์กล่าวปิดประชุม คณาจารย์ต่างแยกออกไปและยังคงปรึกษากันมีเพียงแต่อาจารย์เฟสที่ยังคงนั่งนิ่งนึกถึงเวลาร่วมสองชั่วโมงที่เธอพยายามชักแม่น้ำทั้งห้า มาพูดกล่อมแต่มันกับไร้ค่าเมื่อใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงตัดสินคำพูดทั้งหมดของเธอ เธอกำลังคิดอยู่ว่าที่เธอทำไปทั้งหมดนั้นเพื่ออะไร สักพักเธอก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ ตรงไปยังห้องทำงานของเธอ เธอเปิดประตู ตรงไปทิ้งตัวนั่งลงอย่างหมดแรง มองออกไปนอกหน้าต่างบานเดียวที่อยู่ในห้องทำงานอันเล็กนิดของเธอ ในใจนึกต่อว่ากฎบ้าๆนั่นที่ไม่รู้จักดูอายุของนักเรียน เพราะเธอไม่ค่อยชอบแผนกนั้นอยู่แล้วถ้าไปแผนกการทหารและการปกครองยังพอรับได้เพราะเป็นแผนกที่ออกหน้าออกตาชัดเจนมากที่สุดและขึ้นชื่อในหลายๆด้านแต่แผนกไสยศาสตร์ เธอไม่ค่อยจะรู้เรื่องมากนักเพราะเธอเป็นแค่อาจารย์ธรรมดาที่เพิ่งขึ้นมาเป็นหัวหน้าชั้นปีได้ไม่นาน
ห้องหัวหน้าศาสตราจารย์ ปีกตะวันออก : แผนกการทหารและการปกครอง
    บุรุษสามคนที่อยู่ในห้องกำลังมีเรื่องที่จะพูดคุยกันในห้องผนังที่ก่อด้วยหินปราการที่แข็งแรง ตกแต่งด้วยอาวุธหลากหลายชนิดที่ติดไว้กับฝาผนัง มีเพียงลมพัดที่ลอดช่องลมเข้ามาเท่านั้นที่ทำให้เกิดเสียงในห้องนี้ หนึ่งศาสตราจารย์กับนักเรียนหนุ่มอีกสอง ทั้งสองกำลังรอทีท่าของศาสตราจารย์ที่เรียกพวกเขามาถามเรื่องการขอย้ายแผนก
    “ฉันอ่านเหตุผลการชี้แจงของเธอทั้งสองแล้วเป็นการขอย้ายแผนกที่พิสดารที่สุดที่เคยมีมา และมันก็น่าจะเป็นข่าวดีหรือร้ายล่ะที่มีนักเรียนอีกสองคน ปีเดียวกับพวกเธอแผนกโน้น เขาก็ขอย้ายไปเหมือนกันเพียงแต่เป็นผู้หญิงคนนึง ป่านนี้แผนกโน้นเขาก็คงจะประชุมกันแล้ว แต่แผนกเราคงไม่ต้องประชุมหรอกเพราะว่าคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่ไม่มีปัญหาเพราะฉันไม่ได้บอกใคร”
    ทันใดประตูเปิดออก รองศาสตราจารย์ทิมัส ชายหนุ่มไฟแรงที่มีร่างกายกำยำเดินรี่เข้ามาอย่างรีบร้อน ทำให้ทั้งสามเกิดอาการงุนงงมา
    “ท่านศาสตราจารย์เว็กซ์เตอร์ครับ แผนกโน้นส่งรายงานมาว่าเพิ่งปิดการประชุมไปเมื่อครู่ ศาสตราจารย์เฮนกลาสได้ให้เลขาทำใบลงชื่อและได้ส่งไปทางราชครูแล้วครับ”  รองศาสตราจารย์พูดอย่างเร่งรีบและชูใบรายงานที่อยู่ในมือให้ดู แสดงให้เห็นถึงสำเนาที่มีลายมือของหัวหน้าแผนกนั้นประทับอยู่พร้อมตรารับรองอย่างเห็นได้ชัด รองศาสตราจารย์เดินเข้ามาและยื่นใบให้กับศาสตราจารย์เว็กซ์เตอร์
    “สรุปว่าฝั่งโน้นเขาอนุมัติสินะ เร็กซ์”  ศาสตราจารย์เว็กซ์เตอร์ถาม
    “ครับ ศาสตราจารย์”  รองศาสตราจารย์ทิมัสตอบ
    “ในนี้บ่งว่าเพราะกฎของโรงเรียน ซึงมันก็น่าจะเป็นเช่นนั้นเพราะเด็กฝั่งโน้นเขาต้องอ่อนแอและน่าเป็นห่วงกว่าเด็กทหารอย่างฝั่งเรา เอาเป็นว่าคุณออกไปก่อน รองศาสตราจารย์ ผมขอคุยกับเด็กสองคนนี้ก่อนเป็นการส่วนตัว”
    “ครับ”  รองศาสตราจารย์กล่าว แล้วเดินออกไป เมื่อถึงประตูรองศาสตราจารย์หันมากล่าวก่อนเดินออกไป  “ศาสตราจารย์เว็กซ์เตอร์ครับ ศาสตราจารย์เฮนกลาสฝากมาบอกอีกครับว่าพรุ่งนี้ขอให้ไปพบกันที่ห้องราชครูนะครับและพาเด็กของศาสตราจารย์ไปด้วย หลังรับประทานอาหารกลางวันน่ะครับ”
    “ขอบใจ”  กล่าวรับเสร็จ รองศาสตราจารย์ทิมัสก็เดินออกไป
    “เรามาคุยเรื่องของเราต่อ”  เว็กซ์เตอร์ดึงความสนใจของเด็กหนุ่มสองคนกลับมา  “บอกฉันมาทีสิ ว่าทำไมคุณโซคาเรสนักสู้ของเรากับเจ้าชายแห่งเอทิเดสถึงอยากจะเปลี่ยนแผนกขึ้นมาเพราะว่าพวกเธอทั้งสองก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีที่นี่กลับอยากไปอยู่แผนกไสยศาสตร์และเวทมนตร์ซึ่งแผนกนั้นไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับแผนกเราเลยแต่เมื่อพวกเธอมีผลการเรียนที่ดีพอสมควรจึงไม่สามารถเหนี่ยวรั้งไว้ได้ เริ่มจากเธอก่อน คุณโซคาเรส ช่วยชี้แจงที”
    เด็กหนุ่มใส่แว่น นามลอเรนซ์ โซคาเรส เจ้าของผมยาวสีน้ำตาลไหม้ที่มีเชือกสีกรมท่าผูกอยู่ เงยหน้าขึ้นมาชี้ไปที่ตัวเองก่อนที่จะพูด “เหตุผลหรือครับ ผมก็แค่ว่าผมได้ทักษะขั้นพื้นฐานจากที่นี่มากพอแล้ว คือจริงๆผมก็แค่อยากเปลี่ยนโครงวิชาดู แค่นั้นแหละครับศาสตราจารย์” เขาบอกเว็กซ์เตอร์ ที่ตอนนี้นั่งคิดหนักอยู่ในใจ
    “เป็นเหตุผลที่แปลกมากคุณโซคาเรส” เว็กซ์เตอร์กล่าว หันไปถามอีกหนึ่งที่นั่งเงียบอยู่  “แล้วท่านล่ะ เจ้าชายเฟรดิสนักแม่นธนู” ขื่อที่เอ่ยออกมานั้นทำให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ขยับตัวเล็กน้อย
    เด็กหนุ่มนามเฟรดิส เควนติเนส เจ้าชายองค์รองแห่งอาณาจักรเอธิเดส ผู้ที่มีสีขาวราวกับไข่มุก ซึ่งทำให้เป็นที่โจษจันกันมากในหมู่นักเรียนทุกแผนกตั้งแต่วันแรกที่ย่างเข้ามาเมื่ออยู่ปีหนึ่งและในบรรดาเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาบวกกับบุคลิกที่เย็นชาทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนสักเท่าไร เขามองหน้าศาสตราจาย์อยู่สักพัก  “ที่ผมขอย้าย นั่นเพราะว่าท่านพี่ผมเรียนอยู่สายนี้ผมจึงคิดว่าผมน่าจะเรียนสายอื่นและที่ผมไม่เลือกย้ายไปที่แผนกศิลปกรรมและการดนตรีเพราะเป็นสายที่ผมไม่มีความถนัดอยู่ดังนั้นผมจึงเลือกแผนกไสยศาสตร์และเวทมนตร์แทน”
    เวกซ์เตอร์หยิบปากกาและเอกสารขึ้นมา จรดปากกาแล้วลงชื่อไป  “นี่คือเอกสารยินยอม อนุญาติให้เธอทั้งสองย้ายแผนกได้ เก็บไว้ให้ดีแล้วพรุ่งนี้พวกเธอมาพบฉันที่นี่ พรุ่งนี้ไม่ต้องเข้าโต๊ะ มาเข้าหลังคุยกับราชครูเสร็จแล้ว” เวกซ์เตอร์เก็บปากกา  “ไปเข้าโต๊ะมื้อเย็นได้แล้ว”
    “ครับ ศาสตราจารย์”  ลอเรนซ์และเฟรดิสพูดแล้วทั้งสองก็เดินออกจากห้องไป
    เมื่อออกนอกประตูห้องไปทั้งสองก็เดินแยกทางกันไปตามห้องของตัวเอง ไม่ปริปากกล่าวให้กันแม้กระทั่งคำอำลา...
ห้องหัวหน้าศาสตราจารย์ ปีกเหนือ : แผนกศิลปกรรมและการดนตรี
    เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่ประตูบานใหญ่สูงสามเมตร ทำให้ผู้ที่นั่งทำงานอยู่ห้องต้องพักการทำงาน
    “เข้ามาสิ”
    “ครับ ศาสตราจารย์” รองศาสตราจารย์เวิร์ธเดินเข้ามา  “ผมพาคุณซอเรเชี่ยนกับคุณซารอนเดสมาแล้วครับ”
    “พาเข้ามา”
    เด็กสาวหนึ่งกับเด็กหนุ่มเดินเข้ามาและหยุดอยู่ที่ด้านหน้าของโต๊ะทำงาน
    “นั่งสิ” เฮนกลาสพูด “เอียน ช่วยไปติดต่อแผนกการทหารที แล้วช่วยถามว่าเขาอนุมัติรึยัง”
    “ครับ ศาสตราจารย์”  ว่าแล้วก็เดินออกจากห้องไป
    “ฉันว่าพวกเธอคงจะรู้ว่าฉันเรียกมาที่นี่เพราะอะไร ฉันจะไม่พูดมากหรอกนะ เพียงแต่ว่าให้พวกเธอตอบมาง่ายๆแต่จริงๆแล้ว...”  เฮน-
กลาส หยุดพูดไปครู่หนึ่ง  “...ฉันถามแค่ซารอนเดส จะดีกว่า เพราะฉันคิดว่าฉันเข้าใจความหมายของ ซอเรเชี่ยน เดอะบิชอบ”  ประโยคนี้ทำให้ลูคัส หันไปมองเธอเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ  “ไม่ต้องแปลกใจหรอกซารอนเดส ไม่มีใครรู้ว่า ซอเรนาส ซอเรเชี่ยนเป็นบิชอบ นอกจากคณาจารย์ชั้นสูงในแผนกนี้และแผนกไสยศาสตร์และเวทมนตร์ เธอมาเรียนแผนกนี้แค่ถ่วงเวลาไว้เมื่อเธอสอบได้ขั้นเกรทบิชอบแล้วเธอก็จะไป ซึ่งนั้นเป็นเรื่องน่ายินดี ใช่มั้ย ซอเร่” เฮนกลาสกล่าว และหันไปมองเธอ รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของเธอ  “และพอเธอไปอยู่ที่แผนกนั้นเธอก็จะแต่งบิชอบได้เต็มตัว แต่เธอสิ ลูคัส เหตุผลล่ะ”
    ลูคัสดึงสติกลับมาเมื่อได้ยินชื่อของตัวเอง เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดออกมาสั้นๆ  “ผมว่า ผมได้เรื่องเกี่ยวกับดนตรีมากพอแล้วครับ”
    “แค่นั้นเหรอ” 
    “ครับ”
    “งั้นเดี๋ยวฉันออกไปข้างนอกก่อน รออยู่ที่นี่ล่ะ”  กล่าวเสร็จเฮนกลาสก็หยิบเสื้อคลุมและเดินออกไป ทั้งสองที่เหลือนั่งอยู่ในห้องเงียบๆ ก่อนที่ลูคัสจะป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน  “ฉันไม่รู้ว่าเธอะ“
    ปัง!!!
    เสียงประตูเปิดอย่างแรง ทำให้ทั้งสองหันไปดู ตรงประตูนั้นมีร่างของอาจารย์เฟสยืนอยู่ เธอแสดงอาการเหนื่อยหอบอย่างชัดเจนเนื่องจากวิ่งมาจากห้องทำงานของเธอ เธอจ้องมองมาที่ซอเร่ ซึ่งเธอเองก็มองกลับไปทันใดนั้น เธออ้าปากราวกับจะบอกอะไรสักอย่างแต่ราวกับมีสิ่งที่มองไม่เห็นผลักเธอลอยมาทับซอเร่และลูคัส ร่างทั้งสามชนกับโต๊ะของเฮนกลาสอย่างแรง กองเอกสารนอโต๊ะและข้างของต่างล้มระเนระนาด ซอเร่และลูคัสพยุงอาจารย์เฟสที่หมดสติอยู่ บัดนี้สายตาทั้งสองมองจดจ้องอยู่ที่หน้าประตู
    สิ่งที่มองไม่เห็นแต่สามารถสัมผัสได้ถึงการมีตัวตนของมัน ความรู้สึกนั้นบ่งบอกทั้งสองว่าตอนนี้มันอยู่ในห้องนี้แล้ว ประตูห้องปิดอย่างแรง ทำให้ขณะนี้ทั้งหมดอยู่ในห้องปิดตายที่ไร้ซึ่งอาวุธที่จะใช้ต่อสู้แต่ก็ไม่ได้ทำให้ทั้งสองสิ้นหวังซะทีเดียว ลูคัสหยิบมีดสั้นขึ้นมาจากรองเท้าบูทของเขาแล้วตรงไปในตำแหน่งที่สัมผัสได้ถึงผู้บุกรุก เข้าวิ่งตรงรี่เข้าไปโดยที่มีซอเร่ได้แต่ยืนมอง ลูคัสกระเด็นออกมาอย่างแรงใส่ตู้เอกสารและตั้งหนังสือที่หนักเอาการล้มทับลงมาบนร่างของเขาโดยที่ไม่ต้องหวังให้ลุกขึ้นมาอีก
    “ลูคัสสสสสสสสส” ซอเร่ร้องออกมา และทันใดก็มีเสียงโวยวายกันอยู่ที่หน้าประตู แต่เธอก็ตระหนักได้ว่ามันไม่มีประโยชน์ ที่จะรอให้พวกเขาเข้ามา เธอจับไปที่ตุ้มหูอันยาวของเธอที่ข้างซ้ายลูบแก้วหยดน้ำสีอำพันที่ห้อยอยู่ พึมพำภาษารียาน* (*ภาษาของนักเวทมนตร์) แล้วแก้วก็เปล่งแสงเปลี่ยนมาเป็นคทาเล่มยาวปลายคทาแหลมที่เคลือบด้วยเงินในมือเธอ ลูคัสที่นอนหอบอยู่ในกองหนังสือพยายามลุกขึ้นมาช่วยแต่ก็รู้ว่ามันไร้ค่าเพราะขาของเขาได้เข้าไปติดกับชั้นเอกสารจึงได้แต่มองและภาวนา
    ซอเร่เดินตรงเข้าไปหามัน รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอ สิ่งไร้รูปนั่นมันคิดว่าเธอคงจะเข้ามาเหมือนคนอื่น มันทำร้ายเธอเข้าที่ต้นแขน เลือดสีแดงสดไหลออกมาอาบแขนของเธออย่างไม่หยุดหย่อน แต่ไม่ใช่ ในใจของมันก็รู้สึกว่าเธอไม่ธรรมดา แต่เมื่อมันเห็นนัยน์ตาของเธอที่บัดนี้ข้างหนึ่งที่เผยให้เห็นผ่านม่านผมนั่นมันเป็นแววตาของแมวที่มีสีอำพันสด จึงทำให้มันได้รู้ว่า
    เธอเห็นมัน...
    ซอเร่รู้แล้วว่ามันรู้ว่าเธอเป็นอย่างไร เธอไม่รอช้าที่จะลงมือ แต่ก่อนที่มันจะไหวตัวทัน เธอก็ไปปรากฏอยู่ข้างหลังมัน
    “ชั้นสวะอย่างแกอย่ามายุ่งจะดีกว่า...” ซอเร่พูดด้วยเสียงที่เยือกเย็นราวกับน้ำแข็งแล้วทุกอย่างก็จบลงพร้อมกับที่ลูคัสสลบไป
    ประตูเปิดออกพร้อมกับที่ซอเร่รี่เข้ามาดูลูคัสที่ตอนนี้หมดสติท่ามกลางกองหนังสือมโหฬาร ศาสตราจารย์เฮนกลาสตรงเข้าไปที่ร่างของอาจารย์เฟสก่อนที่จะบอกให้คณาจารย์ที่รุมล้อมอยู่พาเธอไปห้องพยาบาลและช่วยซอเร่พาลูคัสไปด้วย หลังจากที่อาจารย์ทั้งหมดออกไปแล้ว ศาสตราจารย์เฮนกลาสก็เข้าไปคุยกับซอเร่ซึ่งยืนดูพลอยสีดำที่หยิบขึ้นมาจากพื้น ตำแหน่งที่เคยเป็นผู้บุกรุกซึ่งจนบัดนี้เธอก็ยังไม่ทราบว่ามันเป็นอะไรและมาทำไม
    “ซอเร่” เฮนกลาสเรียกเธอ
    “ค....คะ” เธอเก็บพลอยใส่กระเป๋าแล้วหันไป “มีอะไรคะ”
    “ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าค่อยมาคุยกันพรุ่งนี้แล้วกัน ฉันว่าเธอคงเหนื่อยแล้ว พรุ่งนี้ก่อนมื้อเที่ยงไปรอที่ในห้องรับรองของราชครู” เฮนกลาส
ตบไหล่ของเธอแล้วซอเร่ก็เดินออกไป
    เธอเดินออกไปด้วยอาการเหนื่อยล้า เธอผ่อนแรงเกร็งกล้ามเนื้อที่แขนของเธอทำให้เลือดไหลออกมาอีกครั้งหนึ่งเพราะเธอไม่อยากให้เฮนกลาส ชายเฒ่าที่มีเรื่องวุ่นมากพออยู่ เธอตรงขึ้นไปห้องของเธอ หยิบม้วนผ้าลินินสีขาวที่อยู่ใต้เตียงมาพันแขนของของเธอ มันแน่อยู่ที่เธอพันได้คล่องแคล่วเพราะนี่ไม่ใช้ครั้งแรกที่เธอได้แผลมา แต่ครั้งนี้แผลมันยาว นั่นเป็นเพราะเธออยากเล่นอะไรแผลงๆหลังจากที่ไม่ได้ทำมานานร่วมปีแล้วเธอก็ลุกเดินออกไป ลงข้างล่างเพื่อไปทานมื้อเย็นที่โถงรวม...
หอนอนชายแผนกการทหารและการปกครอง ชั้นสิบ
    ยามเช้าที่หอนอนชายวันนี้เงียบผิดปกติและมีหมอกลงหนา เพราะวันอาทิตย์เป็นวันที่ทุกคนในแผนกจะต้องลงไปฝึกกลางแจ้งตั้งแต่ตีสี่ มีเพียงลอเรนซ์และเฟรดิสที่ไม่ต้องลงไปเพราะบัดนี้พวกเขาไม่ใช่นักเรียนของแผนกนี้อีกต่อไปลอเรนซ์นั่งเก็บของภายในห้องอยู่เตรียมที่จะย้ายไป ส่วนเฟรดิสก็เดินลงไปที่โถงของแผนกแล้วนั่งอ่านหนังเพื่อรอทานอาหารเช้า ลอเรนซ์หลังเก็บของเสร็จก็ขึ้นไปที่ดาดฟ้านึกถึงอาการเจ็บแปลกที่แขนซ้ายเมื่อช่วงเย็นแต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะอาการเจ็บมันได้หายไปแล้ว ลอเรนซ์เดินออกไปนอกปราสาทไปนั่งอยู่ที่ทางเชื่อมไปตึกพยาบาล นั่งมองพรรคพวกที่ฝึกซ้อมกันอย่างหนักแต่เขาก็ได้เพียงแต่นั่งมองและคิดว่าเมื่อไปอยู่ที่แผนกไสยศาสตร์ กิจวัตรของเขาจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน อดนึกถึงภาพเขาต้องมานั่งท่องมนตร์อยู่ในห้องมืด คิดแล้วอดเสียวไม่ได้ ลอเรนซ์มองเวลาแล้วก็ลุกหันจะไปที่โถงแต่เขาไม่ทันเห็นเด็กสาวใส่ชุดยาวสีดำ ลอเรนซ์หันไป
    “โอ๊ย”
    “เฮ้ย!!” ลอเรนซ์หันไปชนกับแขนซ้ายเธอที่พันผ้าไว้ทั้งแขน “ขอโทษ เป็นอะไรรึเปล่า”
    “ไม่เป็นไร” เธอมีผมยาวสีดำสนิท แสดงอาการรีบเร่งแล้วเดินจากไป วิ่งรี่เข้าไปในตึกพยาบาลแล้วหายลับไปทิ้งให้ลอเรนซ์ยืนงงอยู่ มองไปจนลับตาราวกับว่ามีอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเดินผละไป
ตึกพยาบาล
    “เป็นไงบ้างลูคัส”  ซอเร่เดินเข้ามาทักลูคัสที่กำลังจะลุกจากเตียง เขาหันมายิ้มให้กับซอเร่ที่ยิ้มตอบกลับไป  “นายไม่น่าจะรีบออกเลยนะ น่าจะนอนอืดไปจนกว่าจะมื้อเที่ยงแล้วไปพร้อมกับฉันเพราะวันนี้มันวันอาทิตย์พวกเราไม่มีเรียน”  เธอเข้ามานั่งที่ข้างเตียง  \"ส่วนอาจารย์เฟสน่ะ เขาส่งเธอเข้าโรงพยาบาลกลางไปแล้วเพราะพบว่าเธอถูกทำร้ายมาก่อนหน้านั้น เอาเป็นว่าไม่ต้องสนใจเรื่องนี้แล้วจะดีกว่า\"
    ลูคัสพยักหน้ารับ  “เธอนี่เก่ง จริงๆเลยนะเมื่อวานน่ะ นึกแล้วว่าเด็กสาวเงียบๆอย่างเธอจะเป็นคนไม่ธรรมดา เธอทำได้ยังไงเนี่ยะ”  ลูคัสพล่ามเป็นคุ้งเป็นแควทำให้ซอเร่นั่งฟังอยู่นิ่งข้างเตียงแต่ก็นึกขำอยู่ในใจ
    ทั้งสองนั่งคุยกันอยู่นานสองนานจนเวลาล่วงเลยไป ได้รู้ความคิดในใจกัน เบื้องหลังที่แต่ละคนมองกันว่าเป็นอย่างไร ซอเร่มองว่าลูคัสเป็นคนที่เอาแต่เล่นไปวันๆ ส่วนลูคัสก็มองว่าเธอเป็นจริงจังเกินเหตุ ซอเร่อธิบายให้ลูคัสฟังถึงแผนกที่ทั้งสองจะย้ายไป ลุคัสนั่งฟังไปพลางจินตนาการไปแต่ยังคงฟังคำพูดของซอเร่อย่างตั้งใจ ทำให้เธอรู้สึกว่าเธอน่าจะมีเพื่อนใหม่ที่นิสัยแปลก แต่ก็ยังคงพาลางสังหรณ์เกี่ยวกับเด็กหนุ่มอีกสองคนที่แผนกการทหารว่าจะเป็นคนอย่างไรและคงไม่พาเรื่องน่าหนักใจมาให้เธอ
    “ไปเถอะสิบโมงสี่สิบห้าแล้ว พวกเราต้องไปรอที่ห้องรับรองก่อนเพราะศาสตราจารย์มีเรื่องจะคุยด้วยเล็กน้อยน่ะ”
    “นี่ คุณซอเรเชี่ยนท่านศาสตราจารย์บอกว่าให้ไปได้เลยเพราะตอนนี้เด็กทั้งสองของแผนกนั้นเขาไปถึงแล้ว” รองศาสตราจารย์ทิมัสเดินเข้ามาบอกทั้งสองแล้วก็ออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ซอเร่เดินนำออกไปก่อนทำให้ลูคัสสังเกตเห็นถึงแขนข้างซ้ายที่มีผ้าพันอยู่แต่ไม่ได้ถามอะไร และรีบลงจากเตียงเดินตามซอเร่ออกไปอย่างเร็ว
    ทั้งสองมาถึงที่ห้องรับรองและเดินเข้าไปก็พบว่าข้างในว่างเปล่าแต่ทำให้ความรู้สึกราวกับว่ามีเรื่องราวอยู่ที่ห้องนี้มากมาย ซอเร่มีความไม่พอใจอยู่เล็กน้อยในเด็กหนุ่มอีกสองคน เธอเดินเข้าไปยืนกลางห้องกลมว่าง โดยที่มีลูคัสเดินตามเข้ามาเธอหันหลังกลับมามองเขาแล้วเธอก็สังเกตถึงอะไรบางอย่าง แล้วเธอก็พึมพำออกมาอย่างใจลอย
    “ฉันสีเทา เธอสีเขียวเหรอ”
    “อะไรนะ ซอเร่เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไร”
    “เปล่าๆ นั่นไงคงเป็นเด็กของแผนกโน้น” เธอเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มสองคนเดินเข้ามาทางด้านหลังของลูคัส
    “เธอ...” ลอเรนซ์พูดออกมา “คนเมื่อเช้า..” ลอเรนซ์เดินเข้ามากลางห้องโดยที่มีเฟรดิสที่กำลังกวาดสายตาไปรอบๆเดินตามเข้ามา
    “เป็นไงบ้างพวกเธอ” เสียงชายแก่ดังขึ้นที่หน้าประตู  “ดำ น้ำเงิน เขียว เข้ม ขาว พวกเธอกันแต่งตัวตามชีวิต ตามธาตุดีนะ ฉันก็ไม่ได้มาเพื่อบอกอะไรมากนักหรอกเพียงแต่ว่าอยาก็ห็นตัวจริงๆ เราจะได้เจอกันอีกแน่ๆ ฉันไปก่อนล่ะ เพราะว่าอย่างไรวันปฐมนิเทศน์แผนกไสยศาสตร์และเวทมนตร์ ฉันก็ต้องเรียกพวกเธอมาคุยและให้ทำความรู้จักกับเหล่าคณาจารย์ เพราะฉะนั้นเวลานี้พวกเธอควรที่จะทำความรู้จักกับมิตรใหม่จะดีกว่า”
    “ค่ะ/ครับ ท่านราชครู” ว่าแล้วท่านราชครูก็เดินออกไป ทิ้งให้ทั้งสี่ทำความรู้จักซึ่งกันและกันซึ่งขณะนี้ต่างมองหน้ากันและกันและส่งสายตาที่ดูไม่ออกว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู แต่นั่นก็มีผู้ที่ไม่มีความอดทนที่จะรอ ปริปากพูดออกมาก่อน
    \"หวัดดี นายทั้งสอง ฉันลูคัส, ลูคัส ซารอนเดส\"  ลูคัสพูดขึ้นแล้วชี้ไปที่ตัวเองก่อนที่จะชี้ไปที่ซอเร่  \"ส่วนคนนั้น ซอเร่, ซอเรนาส ซอเรเชี่ยน พวกเรามาจาก--\"
    \"--แผนกศิลปกรรมและการดนตรี\"  เด็กหนุ่มผมยาวสีน้ำตาลไหม้ที่ในสายตาของลูคัส ท่าทางจะเป็นพวกป่าเถื่อน  \"ฉันลอเรนซ์, ลอเรนซ์โซคาเรส\" ลอเรนซ์กล่าวแนะนำตัว แล้วละสายตาไปหาซอเร่  \"นี่แม่สาว เรื่องเมื่อเช้า ฉันขอโทษนะและที่ขอโทษอย่างแรงคือฉันไม่ทันเห็นว่าเธอมีผ้าพันแผล...\"  ลอเรนซ์ฉุกคิดขึ้นมาได้ถึงอะไรบางอย่าง  \"...ที่แขนซ้าย\" ว่าแล้วเขาก็กลับไปคิดถึงอาการเจ็บแขนเมื่อวานเย็น แต่เขาก็คิดได้ไม่นานนัก
    \"ฉันเฟรดิส, เฟรดิส เควนติเนส\"  เฟรดิสเอ่ยขึ้นมาทำให้ลอเรนซ์เกิดอาการงุนงงเพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยพบเห็นว่าเฟรดิสจะเป็นฝ่ายแนะนำตัวเพราะเขาจะปล่อยให้ผู้อยากรู้ไปสืบหาเอาเอง
    \"ยินดีที่ได้รู้จัก\"  ซอเร่เอ่ยขึ้นแล้วหันไปหาลอเรนซ์  \"เรื่องเมื่อเช้าเธอไม่ต้องคิดอะไรมานักหรอกเพราะมันเป็นอุบัติเหตุที่เราทั้งสองคนไม่ระวัง\"  เธอยังคงทำหน้านิ่งเฉยอยู่ตั้งแต่ที่เธอเดินเข้าห้องมา  \"เมื่อกี้ ฉันคุยกับรองศาสตราจารย์เวิร์ธมา เขาบอกว่าทั้งบ่ายนี้ให้พวกเราอยู่ด้วยกันและไปทานอารมื้อเที่ยงที่โถงแผนกฉัน เขาจะจัดโต๊ะให้พวกเรา\"  เธอพูดแล้วหันไปมองนาฬิกา  \"นี่ก็ได้เวลาแล้ว\"  ว่าแล้วเธอก็เดินออกไป ทำให้ทั้งสามที่เหลืออยู่ในห้องเกิดอาการงุนงงเล็กน้อยแต่ก็เดินตามออกไปอย่างเร็ว โดยที่มีลอเรนซ์วิ่งไปเดินข้างกับซอเร่
    \"ขอโทษนะที่มาถาม เพราะฉันคิดว่าเธอน่าจะเป็นคนที่เข้าใจเรื่องนี้มากที่สุด\"  ลอเรนซ์เอ่ยถามอย่างเร็ว ทำให้ซอเร่มองหน้าเขาอย่างเก็บอาการงงไว้ในใจ
    \"ได้ ถามมาสิ\"  ซอเร่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ธรรมดา
    \"ราชครูหมายความว่าไง เรื่องสีตามธาตุน่ะ\"  ลอเรนซ์หวังว่าซอเร่คงไม่ว่าอะไร  \"โทษทีนะ ฉันเป็นคนที่อยู่ในแผนกที่ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้สักไรน่ะ ที่จริงก็รู้อยู่เพราะครอบครัวฉันเป็นผู้ใช้เวทย์กัน แต่ที่ไม่เข้าใจคือ ดำและขาว\"
    \"ดำหมายถึงธาตุไฟ ซึ่งเป็นสีที่ฉันใส่อยู่ตอนนี้\"  ซอเร่เผยยิ้มออกมาเล็กน้อย  \"เดิมทีแดงคือไฟแต่จริงๆแล้วเป็นสีดำเพราะว่าความร้อนที่อยู่ในสีดำนั้นมีมากกว่าและไฟหมายถึงการทำลายจึงเป็นการนำความมืดมาสู่ไง แล้วสีขาวหมายถึงธาตุลมเป็นสีที่เย็นหมายถึงการปัดเป่า ส่วนอีกสองวีที่เหลือก็เป็นไปตามนั้นอยู่แล้วเพียงแต่ว่าการแต่งการเวลาทำพิธีนั้นไม่ควรจะมีการแต่งกายสีดำและขาวจึงนำสีแดงและสีเหลืองมาใช้แทนและเป็นที่บัญญัติมาจนปัจจุบัน มีเพียงแต่ตำราเมื่อหลายร้อยปี่ที่แล้วเท่านั้นที่ยังคงใช้สีดำและขาวอยู่\"
    ซอเร่ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า คลำพลอยสีดำที่เก็บได้เมื่อวาน กำลังคิดถึงที่มาของมันเพราะเธอรู้สึกถึงสัมผัสที่คุ้นเคย
    \"ขอบใจนะ เธอนี่รู้เยอะดี\" 
    \"แต่เธอก็ยังคงรู้เยอะกว่านั้น\"  ลูคัสพูดแทรกเข้ามา  \"ฉันว่าฉันได้เพื่อนแล้วล่ะ\"  ลูคัสพูดขึ้นแล้วหันไปมองเฟรดิสที่ตามมาอยู่ข้างหลัง  \"นายมาจากแผนกเดียวกันไม่ใช่เหรอ เขาเป็นคนยังไงเนี่ยะ\"  ลูคัชี้ไปที่เฟรดิส ทำให้เฟรดิสมองมาอย่างดุดัน
    \"เขาเป็นคนอย่างนั้นแหละเดี๋ยวก็เข้ากันได้เอง\"  ลอเรนซ์พูดขึ้นแล้วเดินถอยหลังเพื่อที่จะไปคุยกับเฟรดิส  \"นายอย่ายิ้มยากหน่อยเลยพวกเราต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน\"
    \"ฉันรู้แล้ว\"  เฟรดิสพูดขึ้นแล้วหันไปพูดต่อกับลูคัส  \"เพียงแต่ว่าฉันไม่ค่อยชอบที่นายมาอยู่ข้างๆคอยเซ้าซี้ให้พูดแบบนี้\"  เฟรดิสยังคงน้ำเสียงเรียบง่ายไว้ แต่ลูคัสก็ช้าไปที่จะตอบ
    \"ถึงแล้วพวกนายเข้าไปนั่งที่โต๊ะด้านในสุดเลยนะ\"  ซอเร่พูดขึ้นเดินผ่านประตูเข้าไป  \"ฉันคาดว่าอาหารที่แผนกนี้คงจะอร่อยกว่าแผนกพวกเธอ\"  เธอเดินนำหน้าไปกับลอเรนซ์
    ทิ้งให้ลูคัสและเฟรดิสมองหน้ากันอย่างไม่ถูกชะตา...
ภาค 1      : มิตรภาพ ความรัก ความเข้าใจและพวกพ้อง
...........................................................................................
Chapter 1  //  Grey, blue, green, and white
บทที่ 1  //  เทา น้ำเงิน เขียวและขาว
ห้องประชุมหัวหน้าคณาจารย์ ปีกเหนือ : แผนกศิลปกรรมและการดนตรี
    ห้องประชุมอาจารย์ที่ใหญ่และดูโอ่โถง ยามที่มีการประชุมนั้นเสียงจะดังกึกก้องไปทั่วและเสียงที่แต่ละท่านที่เปล่งออกมาในห้องนี้นั้นจะบ่งบอกอารมณ์ของผู้พูดได้อย่างชัดเจน โต๊ะไม้หกเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่อยู่กลางห้องนั้น ทำให้บรรยากาศดูมีความน่าเกรงขามขึ้นมามากทั้งๆที่แต่เดิมก็ดูมีความน่ายำเกรงอยู่ไม่น้อย ห้องประชุมนี้เป็นที่ประชุมของเหล่าคณาจารย์ชั้นสูงที่อยู่ที่แผนกนี้เป็นห้องที่ใช้ทั้งตัดสินคดีใหญ่ ประชุมการพัฒนา กิจกรรมต่างๆและเช่นในขณะนี้ที่ประชุมกันเรื่อ นักเรียนที่ยื่นไปขอย้ายแผนก และในขณะนี้ห้องประชุมที่เงียบมาเป็นเวลาหลายเดือนก็ได้ถูกเปิดออกเพื่อการหารือครั้งใหม่
    “...ไม่มีใครนึกเลยนะคะ ว่าเด็กสองคนนั้น เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านนี้มาตลอด แต่ทำไมปีนี้กลับขอย้ายไปได้ ไม่น่าเชื่อเลยนะคะแล้วไปแผนกอะไรก็ไม่รู้ แผนกนั้นมีเด็กจากเราย้ายไปมากที่สุดก็จริง แต่ไม่ใช่ที่จะไปในขณะที่ยังอยู่ช่วงปีต้นแบบนี้ อย่างน้อย ดิฉันก็คนนึงล่ะค่ะที่จะไม่ลงชื่ออนุมัติให้เด็กสองคนนั้นไป”  เสียงอาจารย์หญิงท่านหนึ่งประกาศเสียงแข็งกลางที่ประชุม
    เสียงคณาจารย์ที่อยู่ในห้องประชุมหันไปปรึกษากับอาจารย์ข้างตัว ขณะที่อาจารย์เฟสผู้ที่พูดกลางที่ประชุมซึ่งเป็นหัวหน้าชั้นปีของเด็กผู้ที่ถูกกล่าวถึงนั้นนั่งลงอย่างช้าและมองดูโดยรอบคอยฟังเสียงปรึกษาที่มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและผู้ที่ยังมีความลังเลใจอยู่ แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้ความหวังของเธอหมดไปเธอยังคงนั่งนิ่งรอคอยผลหรือผู้ที่จะลุกขึ้นมาชี้แนะ แย้งหรือเสนอความเห็นด้วยกับที่ประชุม
    เธอนั่งรอเก็บความรู้สึกที่ว่าไม่อยากให้เด็กที่กำลังจะขึ้นปีสี่ของเธอไปอยู่ในแผนกที่ขึ้นชื่อว่า มีแต่เรื่องลึกลับและพิสดาร มันไม่ดีเลยเพราะเด็กสองคนนั้นเพิ่งขึ้นปีสี่ น่าจะรอให้ปีหก เธอชักมีอาการนั่งไม่ติด ขยับไปมาเหลียวซ้ายแลขวากระดาษรายงานที่อยู่ในมือเธอชักจะเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ความเครียดของเธอจนมันฉีกออกครึ่งถึงจะเรียกเธอให้กลับมาควบคุมสติได้ ท่านศาสตราจารย์หัวหน้าแผนกชายแก่ร่างผอมสูงยืนขึ้นยกมือเป็นสัญญาณให้ที่ประชุมเบาเสียง หันไปรับรายงายจากเลขานุการที่ประชุม ก้มลงอ่านแล้วคืนกลับไปให้เลขนุการ ท่านถอนใจก่อนที่จะเอ่ย
    “ผลที่ได้มาจากที่ประชุมของเรา อาจารย์เฟส ผมเขาใจว่าคุณมีเหตุผลอะไรและที่ประชุมยอมรับว่าเหตุผลของคุณนั้นดีทีเดียว อือ..แต่ว่า”  ศาสตราจารย์หันไปกระแอมเล็กน้อย ขยับแว่นแล้วกล่าวต่อ  “ทางกฎของโรงเรียนดั้งเดิมนั้น พวกเราจำเป็นต้องเคารพกฎ กฎเก่าแก่ที่นับถือมาเป็นพันๆปี กล่าวไว้ว่า  นักเรียนผู้ที่มีประสงค์จะย้ายคณะนั้นต้องมีผลการเรียนที่เป็นเลิศ  ซึ่งเด็กสองคนนั้นเป็นแบบนั้นในด้านที่พวกเขาเรียน และกฎยังกล่าวไว้อีกว่า  ไม่กำหนดว่าชั้นปีที่ศึกษาอยู่จะเป็นช่วงอะไร  เพราะฉะนั้นที่ประชุของเราได้ลงความเห็นให้เด็กสองคนนั้นย้ายแผนกได้และผมจะเรียกพวกเขามาคุยอีกทีถึงเรื่องเหตุผลและความแน่วแน่ส่วนวันไหนผมจะบอกคุณเป็นการส่วนตัวอีกทีแล้วคุณจะเข้ามาร่วมฟังด้วยก็ไม่ว่าอะไร เข้านะครับ อาจารย์เฟส”  เธอพยักหน้ารับและยังคงก้มมองลงพื้นอยู่เก็บซ่อนความรู้สึก
    ศาสตราจารย์ละสายตาจากเธอแล้วกล่าวต่อ  “ผมว่าทุกคนคงจะเข้าใจตรงกันแต่ถ้าใครมีข้อสงสัยอะไรสอบถามกับผมได้โดยตรงแต่ต้องแน่ใจว่าคำถามที่ถามนั้นมีเหตุผลพอ เอาเป็นว่าวันนี้พอแค่นี้และรองศาสตราจารย์เวิร์ธ”  ศาสตราจารย์หันไปพูดกับเลขานุการ  “ช่วยเรียกเด็กสองคนนั้นมาคุยกับผมด้วย”
    ศาสตราจารย์กล่าวปิดประชุม คณาจารย์ต่างแยกออกไปและยังคงปรึกษากันมีเพียงแต่อาจารย์เฟสที่ยังคงนั่งนิ่งนึกถึงเวลาร่วมสองชั่วโมงที่เธอพยายามชักแม่น้ำทั้งห้า มาพูดกล่อมแต่มันกับไร้ค่าเมื่อใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงตัดสินคำพูดทั้งหมดของเธอ เธอกำลังคิดอยู่ว่าที่เธอทำไปทั้งหมดนั้นเพื่ออะไร สักพักเธอก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ ตรงไปยังห้องทำงานของเธอ เธอเปิดประตู ตรงไปทิ้งตัวนั่งลงอย่างหมดแรง มองออกไปนอกหน้าต่างบานเดียวที่อยู่ในห้องทำงานอันเล็กนิดของเธอ ในใจนึกต่อว่ากฎบ้าๆนั่นที่ไม่รู้จักดูอายุของนักเรียน เพราะเธอไม่ค่อยชอบแผนกนั้นอยู่แล้วถ้าไปแผนกการทหารและการปกครองยังพอรับได้เพราะเป็นแผนกที่ออกหน้าออกตาชัดเจนมากที่สุดและขึ้นชื่อในหลายๆด้านแต่แผนกไสยศาสตร์ เธอไม่ค่อยจะรู้เรื่องมากนักเพราะเธอเป็นแค่อาจารย์ธรรมดาที่เพิ่งขึ้นมาเป็นหัวหน้าชั้นปีได้ไม่นาน
ห้องหัวหน้าศาสตราจารย์ ปีกตะวันออก : แผนกการทหารและการปกครอง
    บุรุษสามคนที่อยู่ในห้องกำลังมีเรื่องที่จะพูดคุยกันในห้องผนังที่ก่อด้วยหินปราการที่แข็งแรง ตกแต่งด้วยอาวุธหลากหลายชนิดที่ติดไว้กับฝาผนัง มีเพียงลมพัดที่ลอดช่องลมเข้ามาเท่านั้นที่ทำให้เกิดเสียงในห้องนี้ หนึ่งศาสตราจารย์กับนักเรียนหนุ่มอีกสอง ทั้งสองกำลังรอทีท่าของศาสตราจารย์ที่เรียกพวกเขามาถามเรื่องการขอย้ายแผนก
    “ฉันอ่านเหตุผลการชี้แจงของเธอทั้งสองแล้วเป็นการขอย้ายแผนกที่พิสดารที่สุดที่เคยมีมา และมันก็น่าจะเป็นข่าวดีหรือร้ายล่ะที่มีนักเรียนอีกสองคน ปีเดียวกับพวกเธอแผนกโน้น เขาก็ขอย้ายไปเหมือนกันเพียงแต่เป็นผู้หญิงคนนึง ป่านนี้แผนกโน้นเขาก็คงจะประชุมกันแล้ว แต่แผนกเราคงไม่ต้องประชุมหรอกเพราะว่าคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่ไม่มีปัญหาเพราะฉันไม่ได้บอกใคร”
    ทันใดประตูเปิดออก รองศาสตราจารย์ทิมัส ชายหนุ่มไฟแรงที่มีร่างกายกำยำเดินรี่เข้ามาอย่างรีบร้อน ทำให้ทั้งสามเกิดอาการงุนงงมา
    “ท่านศาสตราจารย์เว็กซ์เตอร์ครับ แผนกโน้นส่งรายงานมาว่าเพิ่งปิดการประชุมไปเมื่อครู่ ศาสตราจารย์เฮนกลาสได้ให้เลขาทำใบลงชื่อและได้ส่งไปทางราชครูแล้วครับ”  รองศาสตราจารย์พูดอย่างเร่งรีบและชูใบรายงานที่อยู่ในมือให้ดู แสดงให้เห็นถึงสำเนาที่มีลายมือของหัวหน้าแผนกนั้นประทับอยู่พร้อมตรารับรองอย่างเห็นได้ชัด รองศาสตราจารย์เดินเข้ามาและยื่นใบให้กับศาสตราจารย์เว็กซ์เตอร์
    “สรุปว่าฝั่งโน้นเขาอนุมัติสินะ เร็กซ์”  ศาสตราจารย์เว็กซ์เตอร์ถาม
    “ครับ ศาสตราจารย์”  รองศาสตราจารย์ทิมัสตอบ
    “ในนี้บ่งว่าเพราะกฎของโรงเรียน ซึงมันก็น่าจะเป็นเช่นนั้นเพราะเด็กฝั่งโน้นเขาต้องอ่อนแอและน่าเป็นห่วงกว่าเด็กทหารอย่างฝั่งเรา เอาเป็นว่าคุณออกไปก่อน รองศาสตราจารย์ ผมขอคุยกับเด็กสองคนนี้ก่อนเป็นการส่วนตัว”
    “ครับ”  รองศาสตราจารย์กล่าว แล้วเดินออกไป เมื่อถึงประตูรองศาสตราจารย์หันมากล่าวก่อนเดินออกไป  “ศาสตราจารย์เว็กซ์เตอร์ครับ ศาสตราจารย์เฮนกลาสฝากมาบอกอีกครับว่าพรุ่งนี้ขอให้ไปพบกันที่ห้องราชครูนะครับและพาเด็กของศาสตราจารย์ไปด้วย หลังรับประทานอาหารกลางวันน่ะครับ”
    “ขอบใจ”  กล่าวรับเสร็จ รองศาสตราจารย์ทิมัสก็เดินออกไป
    “เรามาคุยเรื่องของเราต่อ”  เว็กซ์เตอร์ดึงความสนใจของเด็กหนุ่มสองคนกลับมา  “บอกฉันมาทีสิ ว่าทำไมคุณโซคาเรสนักสู้ของเรากับเจ้าชายแห่งเอทิเดสถึงอยากจะเปลี่ยนแผนกขึ้นมาเพราะว่าพวกเธอทั้งสองก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีที่นี่กลับอยากไปอยู่แผนกไสยศาสตร์และเวทมนตร์ซึ่งแผนกนั้นไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับแผนกเราเลยแต่เมื่อพวกเธอมีผลการเรียนที่ดีพอสมควรจึงไม่สามารถเหนี่ยวรั้งไว้ได้ เริ่มจากเธอก่อน คุณโซคาเรส ช่วยชี้แจงที”
    เด็กหนุ่มใส่แว่น นามลอเรนซ์ โซคาเรส เจ้าของผมยาวสีน้ำตาลไหม้ที่มีเชือกสีกรมท่าผูกอยู่ เงยหน้าขึ้นมาชี้ไปที่ตัวเองก่อนที่จะพูด “เหตุผลหรือครับ ผมก็แค่ว่าผมได้ทักษะขั้นพื้นฐานจากที่นี่มากพอแล้ว คือจริงๆผมก็แค่อยากเปลี่ยนโครงวิชาดู แค่นั้นแหละครับศาสตราจารย์” เขาบอกเว็กซ์เตอร์ ที่ตอนนี้นั่งคิดหนักอยู่ในใจ
    “เป็นเหตุผลที่แปลกมากคุณโซคาเรส” เว็กซ์เตอร์กล่าว หันไปถามอีกหนึ่งที่นั่งเงียบอยู่  “แล้วท่านล่ะ เจ้าชายเฟรดิสนักแม่นธนู” ขื่อที่เอ่ยออกมานั้นทำให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ขยับตัวเล็กน้อย
    เด็กหนุ่มนามเฟรดิส เควนติเนส เจ้าชายองค์รองแห่งอาณาจักรเอธิเดส ผู้ที่มีสีขาวราวกับไข่มุก ซึ่งทำให้เป็นที่โจษจันกันมากในหมู่นักเรียนทุกแผนกตั้งแต่วันแรกที่ย่างเข้ามาเมื่ออยู่ปีหนึ่งและในบรรดาเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาบวกกับบุคลิกที่เย็นชาทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนสักเท่าไร เขามองหน้าศาสตราจาย์อยู่สักพัก  “ที่ผมขอย้าย นั่นเพราะว่าท่านพี่ผมเรียนอยู่สายนี้ผมจึงคิดว่าผมน่าจะเรียนสายอื่นและที่ผมไม่เลือกย้ายไปที่แผนกศิลปกรรมและการดนตรีเพราะเป็นสายที่ผมไม่มีความถนัดอยู่ดังนั้นผมจึงเลือกแผนกไสยศาสตร์และเวทมนตร์แทน”
    เวกซ์เตอร์หยิบปากกาและเอกสารขึ้นมา จรดปากกาแล้วลงชื่อไป  “นี่คือเอกสารยินยอม อนุญาติให้เธอทั้งสองย้ายแผนกได้ เก็บไว้ให้ดีแล้วพรุ่งนี้พวกเธอมาพบฉันที่นี่ พรุ่งนี้ไม่ต้องเข้าโต๊ะ มาเข้าหลังคุยกับราชครูเสร็จแล้ว” เวกซ์เตอร์เก็บปากกา  “ไปเข้าโต๊ะมื้อเย็นได้แล้ว”
    “ครับ ศาสตราจารย์”  ลอเรนซ์และเฟรดิสพูดแล้วทั้งสองก็เดินออกจากห้องไป
    เมื่อออกนอกประตูห้องไปทั้งสองก็เดินแยกทางกันไปตามห้องของตัวเอง ไม่ปริปากกล่าวให้กันแม้กระทั่งคำอำลา...
ห้องหัวหน้าศาสตราจารย์ ปีกเหนือ : แผนกศิลปกรรมและการดนตรี
    เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่ประตูบานใหญ่สูงสามเมตร ทำให้ผู้ที่นั่งทำงานอยู่ห้องต้องพักการทำงาน
    “เข้ามาสิ”
    “ครับ ศาสตราจารย์” รองศาสตราจารย์เวิร์ธเดินเข้ามา  “ผมพาคุณซอเรเชี่ยนกับคุณซารอนเดสมาแล้วครับ”
    “พาเข้ามา”
    เด็กสาวหนึ่งกับเด็กหนุ่มเดินเข้ามาและหยุดอยู่ที่ด้านหน้าของโต๊ะทำงาน
    “นั่งสิ” เฮนกลาสพูด “เอียน ช่วยไปติดต่อแผนกการทหารที แล้วช่วยถามว่าเขาอนุมัติรึยัง”
    “ครับ ศาสตราจารย์”  ว่าแล้วก็เดินออกจากห้องไป
    “ฉันว่าพวกเธอคงจะรู้ว่าฉันเรียกมาที่นี่เพราะอะไร ฉันจะไม่พูดมากหรอกนะ เพียงแต่ว่าให้พวกเธอตอบมาง่ายๆแต่จริงๆแล้ว...”  เฮน-
กลาส หยุดพูดไปครู่หนึ่ง  “...ฉันถามแค่ซารอนเดส จะดีกว่า เพราะฉันคิดว่าฉันเข้าใจความหมายของ ซอเรเชี่ยน เดอะบิชอบ”  ประโยคนี้ทำให้ลูคัส หันไปมองเธอเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ  “ไม่ต้องแปลกใจหรอกซารอนเดส ไม่มีใครรู้ว่า ซอเรนาส ซอเรเชี่ยนเป็นบิชอบ นอกจากคณาจารย์ชั้นสูงในแผนกนี้และแผนกไสยศาสตร์และเวทมนตร์ เธอมาเรียนแผนกนี้แค่ถ่วงเวลาไว้เมื่อเธอสอบได้ขั้นเกรทบิชอบแล้วเธอก็จะไป ซึ่งนั้นเป็นเรื่องน่ายินดี ใช่มั้ย ซอเร่” เฮนกลาสกล่าว และหันไปมองเธอ รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของเธอ  “และพอเธอไปอยู่ที่แผนกนั้นเธอก็จะแต่งบิชอบได้เต็มตัว แต่เธอสิ ลูคัส เหตุผลล่ะ”
    ลูคัสดึงสติกลับมาเมื่อได้ยินชื่อของตัวเอง เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดออกมาสั้นๆ  “ผมว่า ผมได้เรื่องเกี่ยวกับดนตรีมากพอแล้วครับ”
    “แค่นั้นเหรอ” 
    “ครับ”
    “งั้นเดี๋ยวฉันออกไปข้างนอกก่อน รออยู่ที่นี่ล่ะ”  กล่าวเสร็จเฮนกลาสก็หยิบเสื้อคลุมและเดินออกไป ทั้งสองที่เหลือนั่งอยู่ในห้องเงียบๆ ก่อนที่ลูคัสจะป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน  “ฉันไม่รู้ว่าเธอะ“
    ปัง!!!
    เสียงประตูเปิดอย่างแรง ทำให้ทั้งสองหันไปดู ตรงประตูนั้นมีร่างของอาจารย์เฟสยืนอยู่ เธอแสดงอาการเหนื่อยหอบอย่างชัดเจนเนื่องจากวิ่งมาจากห้องทำงานของเธอ เธอจ้องมองมาที่ซอเร่ ซึ่งเธอเองก็มองกลับไปทันใดนั้น เธออ้าปากราวกับจะบอกอะไรสักอย่างแต่ราวกับมีสิ่งที่มองไม่เห็นผลักเธอลอยมาทับซอเร่และลูคัส ร่างทั้งสามชนกับโต๊ะของเฮนกลาสอย่างแรง กองเอกสารนอโต๊ะและข้างของต่างล้มระเนระนาด ซอเร่และลูคัสพยุงอาจารย์เฟสที่หมดสติอยู่ บัดนี้สายตาทั้งสองมองจดจ้องอยู่ที่หน้าประตู
    สิ่งที่มองไม่เห็นแต่สามารถสัมผัสได้ถึงการมีตัวตนของมัน ความรู้สึกนั้นบ่งบอกทั้งสองว่าตอนนี้มันอยู่ในห้องนี้แล้ว ประตูห้องปิดอย่างแรง ทำให้ขณะนี้ทั้งหมดอยู่ในห้องปิดตายที่ไร้ซึ่งอาวุธที่จะใช้ต่อสู้แต่ก็ไม่ได้ทำให้ทั้งสองสิ้นหวังซะทีเดียว ลูคัสหยิบมีดสั้นขึ้นมาจากรองเท้าบูทของเขาแล้วตรงไปในตำแหน่งที่สัมผัสได้ถึงผู้บุกรุก เข้าวิ่งตรงรี่เข้าไปโดยที่มีซอเร่ได้แต่ยืนมอง ลูคัสกระเด็นออกมาอย่างแรงใส่ตู้เอกสารและตั้งหนังสือที่หนักเอาการล้มทับลงมาบนร่างของเขาโดยที่ไม่ต้องหวังให้ลุกขึ้นมาอีก
    “ลูคัสสสสสสสสส” ซอเร่ร้องออกมา และทันใดก็มีเสียงโวยวายกันอยู่ที่หน้าประตู แต่เธอก็ตระหนักได้ว่ามันไม่มีประโยชน์ ที่จะรอให้พวกเขาเข้ามา เธอจับไปที่ตุ้มหูอันยาวของเธอที่ข้างซ้ายลูบแก้วหยดน้ำสีอำพันที่ห้อยอยู่ พึมพำภาษารียาน* (*ภาษาของนักเวทมนตร์) แล้วแก้วก็เปล่งแสงเปลี่ยนมาเป็นคทาเล่มยาวปลายคทาแหลมที่เคลือบด้วยเงินในมือเธอ ลูคัสที่นอนหอบอยู่ในกองหนังสือพยายามลุกขึ้นมาช่วยแต่ก็รู้ว่ามันไร้ค่าเพราะขาของเขาได้เข้าไปติดกับชั้นเอกสารจึงได้แต่มองและภาวนา
    ซอเร่เดินตรงเข้าไปหามัน รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอ สิ่งไร้รูปนั่นมันคิดว่าเธอคงจะเข้ามาเหมือนคนอื่น มันทำร้ายเธอเข้าที่ต้นแขน เลือดสีแดงสดไหลออกมาอาบแขนของเธออย่างไม่หยุดหย่อน แต่ไม่ใช่ ในใจของมันก็รู้สึกว่าเธอไม่ธรรมดา แต่เมื่อมันเห็นนัยน์ตาของเธอที่บัดนี้ข้างหนึ่งที่เผยให้เห็นผ่านม่านผมนั่นมันเป็นแววตาของแมวที่มีสีอำพันสด จึงทำให้มันได้รู้ว่า
    เธอเห็นมัน...
    ซอเร่รู้แล้วว่ามันรู้ว่าเธอเป็นอย่างไร เธอไม่รอช้าที่จะลงมือ แต่ก่อนที่มันจะไหวตัวทัน เธอก็ไปปรากฏอยู่ข้างหลังมัน
    “ชั้นสวะอย่างแกอย่ามายุ่งจะดีกว่า...” ซอเร่พูดด้วยเสียงที่เยือกเย็นราวกับน้ำแข็งแล้วทุกอย่างก็จบลงพร้อมกับที่ลูคัสสลบไป
    ประตูเปิดออกพร้อมกับที่ซอเร่รี่เข้ามาดูลูคัสที่ตอนนี้หมดสติท่ามกลางกองหนังสือมโหฬาร ศาสตราจารย์เฮนกลาสตรงเข้าไปที่ร่างของอาจารย์เฟสก่อนที่จะบอกให้คณาจารย์ที่รุมล้อมอยู่พาเธอไปห้องพยาบาลและช่วยซอเร่พาลูคัสไปด้วย หลังจากที่อาจารย์ทั้งหมดออกไปแล้ว ศาสตราจารย์เฮนกลาสก็เข้าไปคุยกับซอเร่ซึ่งยืนดูพลอยสีดำที่หยิบขึ้นมาจากพื้น ตำแหน่งที่เคยเป็นผู้บุกรุกซึ่งจนบัดนี้เธอก็ยังไม่ทราบว่ามันเป็นอะไรและมาทำไม
    “ซอเร่” เฮนกลาสเรียกเธอ
    “ค....คะ” เธอเก็บพลอยใส่กระเป๋าแล้วหันไป “มีอะไรคะ”
    “ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าค่อยมาคุยกันพรุ่งนี้แล้วกัน ฉันว่าเธอคงเหนื่อยแล้ว พรุ่งนี้ก่อนมื้อเที่ยงไปรอที่ในห้องรับรองของราชครู” เฮนกลาส
ตบไหล่ของเธอแล้วซอเร่ก็เดินออกไป
    เธอเดินออกไปด้วยอาการเหนื่อยล้า เธอผ่อนแรงเกร็งกล้ามเนื้อที่แขนของเธอทำให้เลือดไหลออกมาอีกครั้งหนึ่งเพราะเธอไม่อยากให้เฮนกลาส ชายเฒ่าที่มีเรื่องวุ่นมากพออยู่ เธอตรงขึ้นไปห้องของเธอ หยิบม้วนผ้าลินินสีขาวที่อยู่ใต้เตียงมาพันแขนของของเธอ มันแน่อยู่ที่เธอพันได้คล่องแคล่วเพราะนี่ไม่ใช้ครั้งแรกที่เธอได้แผลมา แต่ครั้งนี้แผลมันยาว นั่นเป็นเพราะเธออยากเล่นอะไรแผลงๆหลังจากที่ไม่ได้ทำมานานร่วมปีแล้วเธอก็ลุกเดินออกไป ลงข้างล่างเพื่อไปทานมื้อเย็นที่โถงรวม...
หอนอนชายแผนกการทหารและการปกครอง ชั้นสิบ
    ยามเช้าที่หอนอนชายวันนี้เงียบผิดปกติและมีหมอกลงหนา เพราะวันอาทิตย์เป็นวันที่ทุกคนในแผนกจะต้องลงไปฝึกกลางแจ้งตั้งแต่ตีสี่ มีเพียงลอเรนซ์และเฟรดิสที่ไม่ต้องลงไปเพราะบัดนี้พวกเขาไม่ใช่นักเรียนของแผนกนี้อีกต่อไปลอเรนซ์นั่งเก็บของภายในห้องอยู่เตรียมที่จะย้ายไป ส่วนเฟรดิสก็เดินลงไปที่โถงของแผนกแล้วนั่งอ่านหนังเพื่อรอทานอาหารเช้า ลอเรนซ์หลังเก็บของเสร็จก็ขึ้นไปที่ดาดฟ้านึกถึงอาการเจ็บแปลกที่แขนซ้ายเมื่อช่วงเย็นแต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะอาการเจ็บมันได้หายไปแล้ว ลอเรนซ์เดินออกไปนอกปราสาทไปนั่งอยู่ที่ทางเชื่อมไปตึกพยาบาล นั่งมองพรรคพวกที่ฝึกซ้อมกันอย่างหนักแต่เขาก็ได้เพียงแต่นั่งมองและคิดว่าเมื่อไปอยู่ที่แผนกไสยศาสตร์ กิจวัตรของเขาจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน อดนึกถึงภาพเขาต้องมานั่งท่องมนตร์อยู่ในห้องมืด คิดแล้วอดเสียวไม่ได้ ลอเรนซ์มองเวลาแล้วก็ลุกหันจะไปที่โถงแต่เขาไม่ทันเห็นเด็กสาวใส่ชุดยาวสีดำ ลอเรนซ์หันไป
    “โอ๊ย”
    “เฮ้ย!!” ลอเรนซ์หันไปชนกับแขนซ้ายเธอที่พันผ้าไว้ทั้งแขน “ขอโทษ เป็นอะไรรึเปล่า”
    “ไม่เป็นไร” เธอมีผมยาวสีดำสนิท แสดงอาการรีบเร่งแล้วเดินจากไป วิ่งรี่เข้าไปในตึกพยาบาลแล้วหายลับไปทิ้งให้ลอเรนซ์ยืนงงอยู่ มองไปจนลับตาราวกับว่ามีอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเดินผละไป
ตึกพยาบาล
    “เป็นไงบ้างลูคัส”  ซอเร่เดินเข้ามาทักลูคัสที่กำลังจะลุกจากเตียง เขาหันมายิ้มให้กับซอเร่ที่ยิ้มตอบกลับไป  “นายไม่น่าจะรีบออกเลยนะ น่าจะนอนอืดไปจนกว่าจะมื้อเที่ยงแล้วไปพร้อมกับฉันเพราะวันนี้มันวันอาทิตย์พวกเราไม่มีเรียน”  เธอเข้ามานั่งที่ข้างเตียง  \"ส่วนอาจารย์เฟสน่ะ เขาส่งเธอเข้าโรงพยาบาลกลางไปแล้วเพราะพบว่าเธอถูกทำร้ายมาก่อนหน้านั้น เอาเป็นว่าไม่ต้องสนใจเรื่องนี้แล้วจะดีกว่า\"
    ลูคัสพยักหน้ารับ  “เธอนี่เก่ง จริงๆเลยนะเมื่อวานน่ะ นึกแล้วว่าเด็กสาวเงียบๆอย่างเธอจะเป็นคนไม่ธรรมดา เธอทำได้ยังไงเนี่ยะ”  ลูคัสพล่ามเป็นคุ้งเป็นแควทำให้ซอเร่นั่งฟังอยู่นิ่งข้างเตียงแต่ก็นึกขำอยู่ในใจ
    ทั้งสองนั่งคุยกันอยู่นานสองนานจนเวลาล่วงเลยไป ได้รู้ความคิดในใจกัน เบื้องหลังที่แต่ละคนมองกันว่าเป็นอย่างไร ซอเร่มองว่าลูคัสเป็นคนที่เอาแต่เล่นไปวันๆ ส่วนลูคัสก็มองว่าเธอเป็นจริงจังเกินเหตุ ซอเร่อธิบายให้ลูคัสฟังถึงแผนกที่ทั้งสองจะย้ายไป ลุคัสนั่งฟังไปพลางจินตนาการไปแต่ยังคงฟังคำพูดของซอเร่อย่างตั้งใจ ทำให้เธอรู้สึกว่าเธอน่าจะมีเพื่อนใหม่ที่นิสัยแปลก แต่ก็ยังคงพาลางสังหรณ์เกี่ยวกับเด็กหนุ่มอีกสองคนที่แผนกการทหารว่าจะเป็นคนอย่างไรและคงไม่พาเรื่องน่าหนักใจมาให้เธอ
    “ไปเถอะสิบโมงสี่สิบห้าแล้ว พวกเราต้องไปรอที่ห้องรับรองก่อนเพราะศาสตราจารย์มีเรื่องจะคุยด้วยเล็กน้อยน่ะ”
    “นี่ คุณซอเรเชี่ยนท่านศาสตราจารย์บอกว่าให้ไปได้เลยเพราะตอนนี้เด็กทั้งสองของแผนกนั้นเขาไปถึงแล้ว” รองศาสตราจารย์ทิมัสเดินเข้ามาบอกทั้งสองแล้วก็ออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ซอเร่เดินนำออกไปก่อนทำให้ลูคัสสังเกตเห็นถึงแขนข้างซ้ายที่มีผ้าพันอยู่แต่ไม่ได้ถามอะไร และรีบลงจากเตียงเดินตามซอเร่ออกไปอย่างเร็ว
    ทั้งสองมาถึงที่ห้องรับรองและเดินเข้าไปก็พบว่าข้างในว่างเปล่าแต่ทำให้ความรู้สึกราวกับว่ามีเรื่องราวอยู่ที่ห้องนี้มากมาย ซอเร่มีความไม่พอใจอยู่เล็กน้อยในเด็กหนุ่มอีกสองคน เธอเดินเข้าไปยืนกลางห้องกลมว่าง โดยที่มีลูคัสเดินตามเข้ามาเธอหันหลังกลับมามองเขาแล้วเธอก็สังเกตถึงอะไรบางอย่าง แล้วเธอก็พึมพำออกมาอย่างใจลอย
    “ฉันสีเทา เธอสีเขียวเหรอ”
    “อะไรนะ ซอเร่เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไร”
    “เปล่าๆ นั่นไงคงเป็นเด็กของแผนกโน้น” เธอเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มสองคนเดินเข้ามาทางด้านหลังของลูคัส
    “เธอ...” ลอเรนซ์พูดออกมา “คนเมื่อเช้า..” ลอเรนซ์เดินเข้ามากลางห้องโดยที่มีเฟรดิสที่กำลังกวาดสายตาไปรอบๆเดินตามเข้ามา
    “เป็นไงบ้างพวกเธอ” เสียงชายแก่ดังขึ้นที่หน้าประตู  “ดำ น้ำเงิน เขียว เข้ม ขาว พวกเธอกันแต่งตัวตามชีวิต ตามธาตุดีนะ ฉันก็ไม่ได้มาเพื่อบอกอะไรมากนักหรอกเพียงแต่ว่าอยาก็ห็นตัวจริงๆ เราจะได้เจอกันอีกแน่ๆ ฉันไปก่อนล่ะ เพราะว่าอย่างไรวันปฐมนิเทศน์แผนกไสยศาสตร์และเวทมนตร์ ฉันก็ต้องเรียกพวกเธอมาคุยและให้ทำความรู้จักกับเหล่าคณาจารย์ เพราะฉะนั้นเวลานี้พวกเธอควรที่จะทำความรู้จักกับมิตรใหม่จะดีกว่า”
    “ค่ะ/ครับ ท่านราชครู” ว่าแล้วท่านราชครูก็เดินออกไป ทิ้งให้ทั้งสี่ทำความรู้จักซึ่งกันและกันซึ่งขณะนี้ต่างมองหน้ากันและกันและส่งสายตาที่ดูไม่ออกว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู แต่นั่นก็มีผู้ที่ไม่มีความอดทนที่จะรอ ปริปากพูดออกมาก่อน
    \"หวัดดี นายทั้งสอง ฉันลูคัส, ลูคัส ซารอนเดส\"  ลูคัสพูดขึ้นแล้วชี้ไปที่ตัวเองก่อนที่จะชี้ไปที่ซอเร่  \"ส่วนคนนั้น ซอเร่, ซอเรนาส ซอเรเชี่ยน พวกเรามาจาก--\"
    \"--แผนกศิลปกรรมและการดนตรี\"  เด็กหนุ่มผมยาวสีน้ำตาลไหม้ที่ในสายตาของลูคัส ท่าทางจะเป็นพวกป่าเถื่อน  \"ฉันลอเรนซ์, ลอเรนซ์โซคาเรส\" ลอเรนซ์กล่าวแนะนำตัว แล้วละสายตาไปหาซอเร่  \"นี่แม่สาว เรื่องเมื่อเช้า ฉันขอโทษนะและที่ขอโทษอย่างแรงคือฉันไม่ทันเห็นว่าเธอมีผ้าพันแผล...\"  ลอเรนซ์ฉุกคิดขึ้นมาได้ถึงอะไรบางอย่าง  \"...ที่แขนซ้าย\" ว่าแล้วเขาก็กลับไปคิดถึงอาการเจ็บแขนเมื่อวานเย็น แต่เขาก็คิดได้ไม่นานนัก
    \"ฉันเฟรดิส, เฟรดิส เควนติเนส\"  เฟรดิสเอ่ยขึ้นมาทำให้ลอเรนซ์เกิดอาการงุนงงเพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยพบเห็นว่าเฟรดิสจะเป็นฝ่ายแนะนำตัวเพราะเขาจะปล่อยให้ผู้อยากรู้ไปสืบหาเอาเอง
    \"ยินดีที่ได้รู้จัก\"  ซอเร่เอ่ยขึ้นแล้วหันไปหาลอเรนซ์  \"เรื่องเมื่อเช้าเธอไม่ต้องคิดอะไรมานักหรอกเพราะมันเป็นอุบัติเหตุที่เราทั้งสองคนไม่ระวัง\"  เธอยังคงทำหน้านิ่งเฉยอยู่ตั้งแต่ที่เธอเดินเข้าห้องมา  \"เมื่อกี้ ฉันคุยกับรองศาสตราจารย์เวิร์ธมา เขาบอกว่าทั้งบ่ายนี้ให้พวกเราอยู่ด้วยกันและไปทานอารมื้อเที่ยงที่โถงแผนกฉัน เขาจะจัดโต๊ะให้พวกเรา\"  เธอพูดแล้วหันไปมองนาฬิกา  \"นี่ก็ได้เวลาแล้ว\"  ว่าแล้วเธอก็เดินออกไป ทำให้ทั้งสามที่เหลืออยู่ในห้องเกิดอาการงุนงงเล็กน้อยแต่ก็เดินตามออกไปอย่างเร็ว โดยที่มีลอเรนซ์วิ่งไปเดินข้างกับซอเร่
    \"ขอโทษนะที่มาถาม เพราะฉันคิดว่าเธอน่าจะเป็นคนที่เข้าใจเรื่องนี้มากที่สุด\"  ลอเรนซ์เอ่ยถามอย่างเร็ว ทำให้ซอเร่มองหน้าเขาอย่างเก็บอาการงงไว้ในใจ
    \"ได้ ถามมาสิ\"  ซอเร่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ธรรมดา
    \"ราชครูหมายความว่าไง เรื่องสีตามธาตุน่ะ\"  ลอเรนซ์หวังว่าซอเร่คงไม่ว่าอะไร  \"โทษทีนะ ฉันเป็นคนที่อยู่ในแผนกที่ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้สักไรน่ะ ที่จริงก็รู้อยู่เพราะครอบครัวฉันเป็นผู้ใช้เวทย์กัน แต่ที่ไม่เข้าใจคือ ดำและขาว\"
    \"ดำหมายถึงธาตุไฟ ซึ่งเป็นสีที่ฉันใส่อยู่ตอนนี้\"  ซอเร่เผยยิ้มออกมาเล็กน้อย  \"เดิมทีแดงคือไฟแต่จริงๆแล้วเป็นสีดำเพราะว่าความร้อนที่อยู่ในสีดำนั้นมีมากกว่าและไฟหมายถึงการทำลายจึงเป็นการนำความมืดมาสู่ไง แล้วสีขาวหมายถึงธาตุลมเป็นสีที่เย็นหมายถึงการปัดเป่า ส่วนอีกสองวีที่เหลือก็เป็นไปตามนั้นอยู่แล้วเพียงแต่ว่าการแต่งการเวลาทำพิธีนั้นไม่ควรจะมีการแต่งกายสีดำและขาวจึงนำสีแดงและสีเหลืองมาใช้แทนและเป็นที่บัญญัติมาจนปัจจุบัน มีเพียงแต่ตำราเมื่อหลายร้อยปี่ที่แล้วเท่านั้นที่ยังคงใช้สีดำและขาวอยู่\"
    ซอเร่ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า คลำพลอยสีดำที่เก็บได้เมื่อวาน กำลังคิดถึงที่มาของมันเพราะเธอรู้สึกถึงสัมผัสที่คุ้นเคย
    \"ขอบใจนะ เธอนี่รู้เยอะดี\" 
    \"แต่เธอก็ยังคงรู้เยอะกว่านั้น\"  ลูคัสพูดแทรกเข้ามา  \"ฉันว่าฉันได้เพื่อนแล้วล่ะ\"  ลูคัสพูดขึ้นแล้วหันไปมองเฟรดิสที่ตามมาอยู่ข้างหลัง  \"นายมาจากแผนกเดียวกันไม่ใช่เหรอ เขาเป็นคนยังไงเนี่ยะ\"  ลูคัชี้ไปที่เฟรดิส ทำให้เฟรดิสมองมาอย่างดุดัน
    \"เขาเป็นคนอย่างนั้นแหละเดี๋ยวก็เข้ากันได้เอง\"  ลอเรนซ์พูดขึ้นแล้วเดินถอยหลังเพื่อที่จะไปคุยกับเฟรดิส  \"นายอย่ายิ้มยากหน่อยเลยพวกเราต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน\"
    \"ฉันรู้แล้ว\"  เฟรดิสพูดขึ้นแล้วหันไปพูดต่อกับลูคัส  \"เพียงแต่ว่าฉันไม่ค่อยชอบที่นายมาอยู่ข้างๆคอยเซ้าซี้ให้พูดแบบนี้\"  เฟรดิสยังคงน้ำเสียงเรียบง่ายไว้ แต่ลูคัสก็ช้าไปที่จะตอบ
    \"ถึงแล้วพวกนายเข้าไปนั่งที่โต๊ะด้านในสุดเลยนะ\"  ซอเร่พูดขึ้นเดินผ่านประตูเข้าไป  \"ฉันคาดว่าอาหารที่แผนกนี้คงจะอร่อยกว่าแผนกพวกเธอ\"  เธอเดินนำหน้าไปกับลอเรนซ์
    ทิ้งให้ลูคัสและเฟรดิสมองหน้ากันอย่างไม่ถูกชะตา...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น