ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The legend of dark wizard

    ลำดับตอนที่ #1 : บทเรียนราคาแพง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 25
      0
      14 ส.ค. 47

                          ณ   โรงเรียนแห่งหนึ่ง  ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาซึ่งสูงจากพ้นดินนับพันเมตร  ที่ซึ่งมีความเขียวชอุ่มของต้นไม้  ใบหญ้าดูแล้วทำให้รู้สึกสบายตายิ่งนัก   ในตอนเช้ามักจะมีเมฆหมอกล่องลอยอยู่ทั่วอาณาบริเวณรอบ ๆ  โรงเรียนเต็มไปหมด   ยิ่งถ้าวันใดท้องฟ้าเปิดโอกาสให้แสงอาทิตย์ส่องผ่านเมฆหมอกเข้ามาด้วยแล้ว    ช่างเป็นภาพที่ดูงดงามยิ่งนัก



                            เมื่อเทียบกับอาคารเรียนซึ่งส่วนใหญ่ใช้ไม้ที่หาได้จากป่าบนภูเขาแห่งนี้   ซึ่งอาคารหลายหลังดูจากเนื้อไม้ที่ผุ   และมีตะใคร่น้ำขึ้นกันอย่างหนาแน่น   แสดงออกถึงความเก่าคร่ำคร่าของอาคารในโรงเรียนแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี  แต่ทั้งนี้ในแต่ละอาคารก็ยังถูกประดับไปด้วยดอกไม้นานาพรรณซึ่งให้ความสวยสด   ให้สีสันงดงาม   ดูเป็นธรรมชาติทำให้อาคารเรียนแห่งนี้กลมกลืนไปกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว   ซึ่งดูจะเป็นโรงเรียนที่ใคร ๆ  หลายคนอยากเข้ามาเยี่ยมชมไม่น้อย



                                                กริ๊ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!……………………….กริ๊ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!………………



    เสียงกริ่งดังขึ้นเป็นสัญญาณของการเข้าเรียน     นักเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ดูบางตามากถ้าประมาณคร่าว ๆ  อาจมีไม่ถึง  20  คนเลยด้วย   ดูจากหน้าตาแล้ว   อายุไม่น่าเกิน 12  ปี  แต่ละคนแต่งกายดูปอน ๆ  ชอบกล    กำลังคุยเสียงดังลั่นกันในห้องเรียนซึ่งดูไม่แตกต่างจากห้องเรียนทั่วไป    จะต่างก็ตรงที่ทั้งห้องมีนักเรียนกันอยู่แค่  5  คนเท่านั้น  แต่เสียงกลับดังจนนึกว่าในห้องมีคนอยู่  50  คนเสียอีก



    แอ็ด!!      ประตูห้องเรียนเปิดออก   พร้อมกับชายสูงวัยคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างทุลักทุเล    พร้อมด้วยไม้เท้าอันใหญ่ของตน  ซึ่งดูจะเป็นภาระให้กับเขามากกว่า  ที่จะช่วยเขาเสียอีก



    “  เอาล่ะ   ทุกคน  เงียบ!!  ”  เขาตะโกนออกไปสุดเสียง  แต่ก็ไม่มีผลอะไร  เนื่องด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งเกินกว่าจะได้ยินของเขา   เด็กนักเรียนต่างก็ยังนั่งคุยกันอยู่อย่างเมามัน



    “  เด็ก ๆ ทุกคนเงียบ ๆ  กันหน่อย  ”  เขาพูดพร้อมเคาะปลายไม้เท้าลงกับพื้นห้อง   แต่ผลก็คือ   พวกเด็ก ๆ  ก็ยังคงคุยกันอย่างเมามัน  และเสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย



    “  เจ้าเด็กพวกนี้    อย่างนี้ต้องสั่งสอนสักหน่อยไม่งั้นไม่หลาบจำ “  ว่าแล้วเขาก็เดินไปที่โต๊ะของเด็กนักเรียนพร้อมเขกหัวพวกเขาด้วยไม้เท้าในมือ



                                                                      โป๊ก!    โป๊ก!   โป๊ก!    โป๊ก!   โป๊ก!



    “  โอ้ย…อู้ย…ซี้ด……อาจารย์เขกหัวพวกข้าทำไมกันน่ะ   พวกเราทำไรผิดเหรออาจารย์  ”   นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยใบหน้าเหยเก  และบูดเบี้ยวแสดงถึงความเจ็บปวด  ระบมบนหัวที่เขาได้รับ



    “  ฮึ!  ก็พวกเจ้ามัวแต่คุยเล่นกันน่ะสิ   ข้าเลยหมั่นไส้   มีปัญหาอะไรมั้ย  หะ!  ”ผู้เป็นอาจารย์พูดขึ้นอย่างหัวเสีย    “  เอาล่ะ   ข้าจะบอกข่าวดีให้แก่พวกเจ้าทุกคนได้รับรู้ไว้  วันนี้ข้าจะงดสอนพวกเจ้า  1  วัน  “   เขาเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า   “  วันนี้จะมีอาจารย์พิเศษ   มาอำนวยการสอนให้โรงเรียนของเรา    ฉะนั้น   พวกเจ้าทำตัวดี ๆ หน่อย   อย่าให้เสียชื่อโรงเรียนเราล่ะ  ”   เขาพูดพร้อมเพ่งสายตาไปยังเด็ก ๆ  ทั้ง  5  คนอย่างเอาเรื่อง



      “  ข้าจะไม่ให้เสียเวลาแล้วล่ะ   ขอเชิญอาจารย์ครับ  ”   เขาพูดพลางผายมือไปทีประตู  ซึ่งขณะนี้ได้มีชายวัยกลางคนอยู่ที่ประตู  และกำลังเดินเข้ามาหน้าชั้นเรียน



    “  สวัสดีนักเรียนทุกคน   นับเป็นเกียรติของข้ามาก ๆ เลยที่ได้มาเยือนโรงเรียนที่มีบรรยากาศดี ๆ  แล้วก็ยังมีโอกาสได้สอนพวกเธออีกตะหาก  ”  เขาพูดด้วยหน้าตาแช่มชื่น    “  อาจารย์ชื่อว่า  การูด้า   นะนักเรียน  เป็นอาจารย์ฝึกหัดน่ะถ้ามีอะไรไม่เข้าใจ  หรือไม่ดีในการสอนก็บอกได้เลยนะ  ”



    “  โห  ‘จารย์   โม้เปล่าอ่ะ   ดูหน้าก็ไม่โง่นี่นา   แล้วไหงบอกว่าเป็นเด็กฝึกงานล่ะ  ”  นักเรียนชายคหนึ่งพูดพร้อมทำหน้ากวน ๆ



    “  พวกเจ้า….  ”   อาจารย์แก่พูดผ่านไรฟันด้วยน้ำเสียงเหี้ยม  แต่ก็ถูกระงับไว้โดย  การูด้า    “  มิได้  มิได้  จริง ๆ แล้วข้าเป็นก็เป็นจอมเวทย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง  พอดีเจองานนี้  ก็เลยอยากเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้างน่ะ  ”  เขาพูดเรียบ ๆ  แต่ถึงกระนั้นพวกเด็ก ๆ  ก็ดูท่าจะหูผึ่งขึ้นมาเมื่อได้ยินคำว่า  จอมเวทย์



    “  ท่านเป็นจอมเวทย์เหรอคะ  ไม่น่าเชื่อเลยได้เจอตัวจริงซะที  อยากเห็นมานานแล้ว   แต่ก็ดูเป็นแค่คนธรรมดา ๆ นี่นา  ไม่เห็นจะแตกต่างตรงไหนเลย  ”   เด็กหญิงคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น  ระคนสงสัย



    “  หึหึหึ  จอมเวทย์ก็เหมือนกับคนปกติทั่วไปนั่นล่ะ   แต่มีความสามารถใช้พลังจากสิ่งต่าง ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นจากธรรมชาติ  หรือเราสร้างขึ้นมาเองไงล่ะ  ”  การูด้าพูดขึ้น   “  เอาล่ะ   เราสนทนากันพอเป็นที่สนิทสนมพอแล้ว   วันนี้ในเมื่ข้าเป็นอาจารย์ใหม่   ฉะนั้นเจ้าอยากรู้เรื่องอะไรก็บอกมาได้เลย  ข้าจะเล่าให้ฟัง  ถ้าสิ่งนั้นข้ารู้นะ  ”



    หลังจากนั้นเด็กทุกคนในห้องก็โต้เถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย   เพื่อที่จะให้เรื่องของตนได้ถูกนำเสนอก่อน   จนเกิดการทะเลาะเบาะแว้งวุ่นวายกันทั้งห้อง



    “  ทุกคน  เงียบ!!  ”  เด็ก ๆ  หันมามองไปยัง การูด้า  ผุ้เป็นต้นทางของ เสียงอันดังจนต้องยกมือขึ้นปิดหู



    “  ข้ารู้แล้วล่ะว่าจะเล่าอะไรให้พวกเจ้าฟังกันดี  พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องเล่าของมหาสงครามแห่ง  3  พิภพรึเปล่า  ”  เด็ก ๆ ล้วนแต่ส่ายหน้ากัน  “  อื้ม!  เอาล่ะงั้นข้าจะเล่าให้ฟัง    ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ   แต่มันก็ให้ข้อคิดแก่เรามากมายเชียวล่ะ   โดยเฉพาะ   ตอนที่พวกเจ้าโต้แย้งกันเพื่อชิงความเป็นใหญ่นั้นแหละ   เรื่องมันมีอยู่ว่า……………..”  เขาเริ่มเล่าเรื่องนั้นอย่างละเอียดเท่าที่เขาพอจะจำความได้



    “  เมื่อประมาณ  1000  ปี  ที่แล้ว  ณ   ดินแดนแห่งหนึ่ง  ของดวงดาวซึ่งมีชื่อว่า  โลก   ดินแดนนี้มีชื่อว่า   ไอเดิร์น    ตามตำนานที่ได้จารึกไว้ดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยมนต์ขลัง   ที่น่าหลงไหลเป็นอย่างมาก   ดินแดนแห่งนี้ประกอบไปด้วยพิภพที่สามารถแบ่งแยกออกจากกัน  ได้  3  ภพใหญ่ ๆ  คือ  ดินแดนของมนุษย์   ดินแดนแห่งนรกอเวจี  และไฟบรรลัยกัลป์   สุดท้ายคือดินแดนของเหล่าภูตผีที่เกิดจากผู้ที่ล่วงลับไปแล้วสิงสู่อยู่  “



    “  จะว่าไปแล้วในทั้ง  3  ภพ  ดินแดนของมนุษย์เป็นแดนที่ดีที่สุดก็ว่าได้   เพราะสถานที่แห่งนี้   ประกอบกันไปด้วยอาณาจักรสำคัญ ๆ  อยู่  5  อาณาจักรด้วยกัน  ซึ่งได้แก่   เอราเธียอาณาจักรของจอมเวทย์ผู้เปี่ยมไปด้วย  พลังอำนาจอันลี้ลับ  และน่ากลัว     แอสเทนการ์ด  เป็นอาณาจักรแห่งนักรบ   นักรบที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ได้รับการปลูกปั้นมาจากนครแห่งนี้      เซย์ลูสซาร์   เป็นอาณาจักรที่เชื่อกันว่าเป็นที่พำนักของกลุ้มคนที่คลั่งไคล้ศาสตร์มืด    เรสซาราล  อาณาจักรของชนเผ่าสัตว์ศักดิสิทธิ์   ที่แห่งนี้ปกครองโดยมนุษย์ที่สามารถกลายร่างเป็นสัตว์ได้   และสุดท้าย  เฮลล์ฟาร์  อาณาจักรของคนภูเขาที่แสนป่าเถื่อนและดุร้าย  “



    “  หลายทศวรรษมาแล้วที่ดินแดนแห่งนี้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข   ความเจริญทางด้านต่าง ๆ  เจริญขึ้นอย่างเต็มที่  เท่าที่สมัยนั้นจะเป็นไปได้  ไม่ว่าจะเป็นการค้าระหว่างเมือง ทั้งทางบก   และทางอากาศซึ่งอาศัยสัตว์บางชนิดขนส่ง   การเมือง  การปกครองซึ่งเป็นผลให้ประชาชนในเมืองของตนอยู่อย่างเป็นสุข   อาหารการกินอุดมสมบูรณ์  ซึ่งเป็นผลมาจากการที่อาณาจักรมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่า  ซึ่งให้ประโยชน์เป็นอย่างมากแก่มนุษย์  “



    “  รวมไปถึงด้านการทหาร  การพัฒนาอาวุธ  ให้เจริญก้าวหน้าอยู่เสมอ  ทั้ง ๆ  ที่ดินแดนแห่งนี้ก็ไม่ได้มีสงครามแต่อย่างใด  “



    “  แต่ก็อย่างที่รู้กันอยู่   มนุษย์นั้นต่างก็มีกิเลสมาก  โดยเฉพาะพวกอภิสิทธิ์ชนที่มีเพียงไม่กี่คนในแต่ละอาณาจักร   ต่างก็ร่วมประชุมหารือเรื่องการรวมอาณาจักรกัน  ในแต่ละอาณาจักรที่กล่าวมานั้นได้แก่  แอสเทนการ์ดที่เป็นตัวตั้งตัวตี  ซึ่งทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของดินแดนมาโดยตลอด    เซย์ลูสซาร์  ซึ่งมีอุดมการณ์ที่จะชักจูงผู้คนให้หลงใหลในศาสตร์มืด   และพยายามปฏิวัติดินแดนอันสวยงาม  ให้มีแต่ความมืดมนมาโดยตลอด

    และอาณาจักร เฮลล์ฟาร์    ซึ่งต้องการทรัพยากรเพิ่มเนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของตนเป็นหุบเขาสลับซับซ้อนไปกับผืนทะเลทรายอันกว้างใหญ่     จึงไม่มีอาหารมากพอที่จะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนในเมือง  “



    “  ในขณะที่ทั้งสามนครคิดจะทำสงครามชิงพิภพของตน  เพื่อให้ได้มาซึ่งความยิ่งใหญ่แก่อาณาจักรของตัวเองแล้ว    ยังมีอาณาจักรอีกแห่งหนึ่งซึ่งคอยเฝ้าสังเกตุการณ์ดูความเคลื่อนไหวของทั้ง  3  นคร  อยู่อย่างใกล้ชิด   แทบจะไม่วางตาเลยทีเดียว  “



    “  เนโครโพลิส   อดีตอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด    ซึ่งเมื่อหลายทวรรษก่อนที่จะมีการแบ่งแยกดินแดนออกเป็น  5  ส่วน   แห่งดินแดน   ไอเดิร์น    และเคยปกครองดินแดนเกือบทุกส่วนในไอเดิร์นมาแล้ว     ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด  ในบัดนี้ได้กลายเป็นเมืองที่เต้มไปด้วยเหล่าภูตผี  วิญญาณ  ผีดิบต่าง ๆ  มากมายซึ่งคอยดูแลเมืองนี้อยู่    เหมือนกับผีเฝ้าหลุมศพยังไงยังงั้นเชียวล่ะ  “



    “  ไม่นานนักการต่อสุ้ของ  3  อาณาจักรที่พยายามจะรวมผืนพิภพของดินแดนนี่เข้าด้วยกันก็เริ่มขึ้น   ต่างฝ่ายต่างก็สูญเสียกำลังพลไปเป็นจำนวนมาก  แต่ถึงกระนั้นก็ยังหาที่สิ้นสุดมิได้  “



    “  ทางฝ่ายของอาณาจักร  เนโครโพลิส  ซึ่งคอยดูทีท่าอยู่นานแล้ว   ก็เริ่มที่จะเคลื่อนกำลังเข้าตีเมืองที่ใกล้ที่สุด   และมีกำลังพลเหลือรอดน้อยที่สุด   ซึ่งนั่นก็คือ  อาณาจักรเฮลล์ฟาร์   การต่อสู้ดูจะไม่ยากเย็นนัก   ซึ่งแน่นอนคนธรรมดามิอาจสู้กองทัพผีที่ไม่มีวันตายได้    ฉะนั้นในวันถัดมาอาณาจักรนี้ก็ล่มสลายลงอย่างถาวร    เป็นไปได้ว่าพวกมันต้องการดินแดนของพวกคนเถื่อน  ซึ่งดูลึกลับซับซ้อน  “



    “  ครั้นเมื่อประชาชนต่างรู้ข่าว   ก็เกิดการอพยพไปอยุ่ในเมืองที่ตนคิดว่าปลอดภัย   และกองทัพผีหาไม่เจอเป็นแน่    ซึ่งแน่นอนไม่ใช่ที่  เซย์ลูสซาร์  และ  แอสเทนการ์ด  ซึ่งเปราะบางมาก ๆ  ในยามนี้อย่างแน่นอน  ”



    “  ในระหว่างนี้   เหล่าอาณาจักรที่ไม่ได้ร่วมทำสงครามอีก  2  อาณาจักร   ต่างก็เกณฑ์กำลังพลของตนให้มากที่สุดเท่าที่จะหามาได้    เพื่อดูแลเมืองของตน  “



    “  ไม่นานนักทั้งอาณาจักร  เซย์ลูสซาร์   และ   แอสเทนการ์ดก็ย่อยยับโดยกองทัพผีดิบดังที่หลายฝ่ายคาดกันไว้    ดังนั้นก็เหลือเพียง  2  อาณาจักรที่ยังเหลืออยู่    ซึ่งพวกผีดิบเลือกที่จะตัดไฟแต่ต้นลม   ถอนรากถอนโคนพวกมนุษย์แท้ ๆ  ให้หมดไปเสียก่อน    อาณาจักรต่อไปของมันจึงเป็น  ที่  เอราเธีย  นครแห่งเวทย์มนตร์  “



    “  ดูเหมือนว่าพวกปีศาจจะไม่โง่   เพราะครั้งนี้   จ้าวครองนคร  เนโครโพลิส   มาด้วยตัวเอง   ซึ่งมันก็พอจะรู้พิษสงของพวกจอมเวทย์ดี   ว่าถ้าประมาท   จะเป็นเช่นไร  “



    “  ศึกที่  นครเอราเธีย  ดูจะเป็นศึกที่ชี้ชะตาว่า  พิภพนี้จะตกอยุ่ในมือของเผ่าปีศาจ   หรือว่ากลายเป็นของพวกมนุษย์ดังเดิม  “



    “   กล่าวกันว่า   พวกจอมเวทย์ในเมืองซึ่งแม้จะมีอยู่เพียงน้อยนิด  ก็สามารถต้านกองทัพผีดิบจำนวนที่นับไม่ถ้วน  ได้ถึง  3  วันโดยไม่เสียไพร่พล   แต่ฝ่ายที่เสียไปมากก็คือพวกผีดิบนั่นเอง  “



    “  ชัยชนะดูเหมือนจะตกเป็นของมนุษย์เมื่อกองทัพปีศาจเคลื่อนพลกลับไปในวันที่  4   แต่ไม่เลย   สิ่งที่คาดหวังดับวูบลงไปทันทีเมื่อกองทัพผีดิบเคลื่อนพลมามากกว่าเดิม   โดยการนำกองทัพของจ้าวครองนคร  เนโครโพลิส   ซึ่งนำทัพหลักจำนวนมากเข้าโจมตีจอมเวทย์   ซึ่งมีอยู่น้อยนิดและอ่อนล้าเต็มที  “



    “  ศึกครั้งนี้พวกจอมเวทย์เสียเปรียบไปอย่างมากเมื่อ   เวทย์มนตร์ของพวกเขาไม่สามารถทำอันตรายให้กับพวกผีดิบ   ได้ดีเท่าที่ควร   เหมือนกับว่า   พวกมันได้รับภูมิต้านทานเวทย์มนตร์มาซะอย่างนั้นแหละ  “



    “  สงครามเข้าสู่ขั้นวิกฤตขึ้นเมื่อ   พวกปีศาจทำลายแนวป้องกัน  และกำแพงปราสาทมาได้   พร้อมทั้งเคลื่อนพลเข้าสู่ตัวเมือง    เหล่าจอมเวทย์ไม่สามารถปกป้องเมืองได้อีกต่อไปแล้ว    เพราะแม้กระทั่งปกป้องตนเองยังจะปกป้องไม่ได้เลย  “



    “  จอมเวทย์เก่ง ๆ  ส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกสังหารลงโดยผีดิบชั้นต่ำ   แต่กลับกัน   พวกเขาถูกสังหารโดย  จ้าวครองนครแห่งดินแดนหลังความตาย   เป็นส่วนใหญ่    ไม่มีผู้ใดหยุดการกระทำของพวกมันได้เลย     จนกระทั่ง  “   การูด้า  เว้นช่วงไปนานพอควรพร้อม ๆ  กับดื่มน้ำแก้กระหาย  หลังจากที่ตนเอง   พูดติดต่อกันมาเป็นเวลานาน



    “  แล้วไงต่อล่ะ  ‘จารย์  พวกเขาถูกฆ่าหมดเลยรึเปล่าล่ะ  ”  เด็กคนที่พูดจากวน ๆ  ในทีแรกถามขึ้น



    “  เจ้าโง่เอ๊ย!   ถ้าตายหมดแล้วแกทำไมถึงมานั่งอยู่ที่นี่ได้เล่า   ป่านนี้ฌโลกนี้ก็มีแต่ผีกันหมดแล้วล่ะสิ  ”  เพื่อนเด็กชายพูดอย่างเอือมระอา



    “  เอาล่ะ  ข้าจะเล่าต่อล่ะนะ  ”  เขาพูดขึ้นก่อนที่จะเกิดการโต้เถียงกันในห้องอีกครั้งนึง



    “  ก่อนที่จ้าวแห่งปีศาจจะทำอะไรเลวร้ายไปกว่านี้   ในพลัน  ก็ปรากฏเป็นหญิงสาวนางหนึ่ง   อายุดูแล้วไม่น่าจะเกิน  20  ปี  ซึ่งอยู่ในชุดจอมเวทย์ระดับสูง   ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงอายุน้อยเช่นนี้จะเป็นจอมเวทย์ระดับนี้   ซึ่งใช้เวลาฝึกฝนนานนับ  10  ปีได้  ”



    “  หล่อนได้เข้าประหัตประหารกับจ้าวปีศาจอย่างสูสี   ไม่มีผู้ใดเป็นรองให้แก่กันเลย   กล่าวกันว่าหล่อนไม่สามารถปราบปีศาจตนนี้ได้    แต่ด้วยพลังของหล่อนสามารถผนึกพลังอำนาจ   และวิญญาณของปีศาจตนนี้ได้   โดยเธอเสียสละชีวิตของเธอไป   ซึ่งเวทย์มนตร์บทนี้ต้องมีการบูชายัญชีวิตของผู้ใช้คาถาบทนี้    ในที่สุดหล่อนก็สามารถผนึกดวงวิญญาณ  และพลังอำนาจครึ่งหนึ่งของจอมปีศาจไว้ในตัวของมัน  ซึ่งถูกทำให้มีสภาพเป็นเด็กทารก    และนอกจากนี้หล่อนยังได้สาปแช่งมันอีกชั้นหนึ่งด้วย    ซึ่งคำสาปนี้จะทำหน้าที่ผนึกพลังอำนาจมืดอีกครึ่งของมันได้ทั้งหมด  ”



    “  แล้วเด็กนั่นถูกฆ่าตายไปแล้วมั้ยคะ  ”  เด็กหญิงถาม



    “  ไม่หรอก   เห็นว่าถูกองครักษ์ม้าดำอะไรของมันเนี่ยล่ะ   ช่วยเอาไว้   จากนั้นพวกปีศาจก็หายตัวไปอย่างกับควันที่ล่องลอยในอากาศอย่างงั้นเชียวล่ะ  ”  การูด้าพูดขึ้นเพื่อตอบสนองเด็ก ๆ  ให้รู้แจ้ง



    “  และแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่ผ่านไปใกล้ ๆ  กับอาณาจักรแห่งนั้น   ได้ยินเสียงคร่ำครวญ  หรือเสียงกรีดร้องอันน่ากลัวซึ่งดังมาจากหุบเขาของนคร  เฮลล์ฟาร์  อีกเลย  ”



    “  ‘จารย์   แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกผมล่ะ   พูดมาตั้งยืดยาวน่ะ  ”  เด็กชายคนที่พูดจากวน ๆ  ถามกลับไป



    “  หึหึหึ  เกี่ยวสิ   ก็พวกเธอน่ะ   เหมือนกันกับ  3  อาณาจักรนั่นไม่มีผิดเลยล่ะ  ”  เขาตอบกลับ



    “  เหมือนกันยังไงน่ะ  หือ  ”  เด็กชายถาม



    “  พวกเจ้าแย่งกันเสนอเรื่องที่เราจะเรียนในวันนี้   ทะเลาะเบาะแว้งกันในห้องเรียน  เป็นเพื่อนกันแท้ ๆ  แต่แตกสามัคคีกันได้ยังไงน่ะ    ซึ่งเหมือนกับพวกมนุษย์นี่ล่ะ   ต่างพากันหนีเอาตัวรอด    พอมีศึกก็หนีหน้ากัน   ไม่ยอมช่วยรบ   จึงเกิดการสูญเสีย และถ้าเจ้ามีความเสียสละให้ผู้อื่นบ้างเหมือนจอมเวทย์หญิงผู้นั้น    พวกเจ้าก็คงไม่ต้องมารวมตัวกันอยู่ในห้องพิเศษนี้หรอกนะ”  เขาตอบ



    “  และที่สำคัญก็คือ   ความโลภของมนุษย์ไงล่ะ   เพราะถ้าพวกเขาไม่ฆ่ากันเอง   เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดหรอก   จริงมั้ย   มันใช้เวลานานมากเลยนะกว่าที่แต่ละเมืองนั้นจะปรับปรุง  ซ่อมแซมจนสมบูรณ์ได้จนถึงวันนี้   ”  เขากล่าวต่อ



                                                        กริ๊ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!……………………….กริ๊ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!………………



    และแล้วสัญญาณเลิกเรียนคาบเช้าก็หมดลง   เสียงนักเรียนจากห้องอื่น ๆ  เริ่มดังขึ้นเนื่องจากได้เวลาที่ทุกคน   ต่างพากันไปทานอาหารของตนแล้ว



    “  เอาล่ะ  ทุกคน   อาจารย์คงสอนนักเรียนได้เพียงเท่านี้ล่ะนะ   ถ้าเรามีวาสนาจะได้พบกันก็คงจะได้พบกันอีกจนได้ล่ะนะ  ”  การูด้าบอกกล่าวแก่นักเรียน   “  อาจารย์คงต้องไปแล้วล่ะ  แล้วพบกันใหม่นะ  ”   เขากล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  เป็นธรรมชาติ



    “  อาจารย์ครับ   ขอบคุณมากครับที่สั่งสอนพวกเรา  เราจะนำไปปฏิบัตินะ ครับ  ”  พวกเขากล่าวขอบคุณโดยโค้งคำนับ



    “  ลาล่ะครับ  อาจารย์บิชอป  ”   การูด้ากล่าวแก่อาจารย์สูงวัย   เขาก็โค้งคำนับตอบ



    จากนั้นจอมเวทย์การูด้า  ก็เปิดประตูมิติ   โดยการท่องคาถาโบราณ   จากนั้นร่างของเขาก็หายไป



    “  เอ้า  นักเรียนทานข้าวได้แล้ว   เดี๋ยวมีเวลาพักน้อยนะ  ”   บิชอปกล่าวเตือน



    “  ครับ / ค่ะ  ”  จากนั้นพวกเขาก็วิ่งลงไปทานข้าวกัน



    “  ท่านเป็นใครกันแน่นะ  จอมเวทย์การูด้า   เท่าที่ข้ารู้มาตำนานนั่นถูลืมเลือนไปเมื่อหลายสิบปีมาแล้วนี่นา   แต่เจ้ากลับเล่าได้อย่างละเอียด  ”   เขาพูดกับตัวเอง   หลังจากที่เด็ก ๆ  ลงไปกันหมดแล้ว



    -=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-



    “  ข้าจะรอเจ้านะ   เมย์เลนเดีย   ลูกรักของพ่อ  ”    ชายคนหนึ่งภายใต้ผ้าคลุมสีขาว   พูดขึ้นขณะยืนอยู่บนยอดต้นสนที่สูงตระหง่าน   กว่า  10  เมตร    ชายผ้าคลุมถูกพัดให้โบกไสวโดยแรงลม    เขายืนเหม่อลอย    สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความเศร้ายิ่งนัก

      



















      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×