ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทเรียนราคาแพง
                      ณ  โรงเรียนแห่งหนึ่ง  ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาซึ่งสูงจากพ้นดินนับพันเมตร  ที่ซึ่งมีความเขียวชอุ่มของต้นไม้  ใบหญ้าดูแล้วทำให้รู้สึกสบายตายิ่งนัก  ในตอนเช้ามักจะมีเมฆหมอกล่องลอยอยู่ทั่วอาณาบริเวณรอบ ๆ  โรงเรียนเต็มไปหมด  ยิ่งถ้าวันใดท้องฟ้าเปิดโอกาสให้แสงอาทิตย์ส่องผ่านเมฆหมอกเข้ามาด้วยแล้ว    ช่างเป็นภาพที่ดูงดงามยิ่งนัก
                        เมื่อเทียบกับอาคารเรียนซึ่งส่วนใหญ่ใช้ไม้ที่หาได้จากป่าบนภูเขาแห่งนี้  ซึ่งอาคารหลายหลังดูจากเนื้อไม้ที่ผุ  และมีตะใคร่น้ำขึ้นกันอย่างหนาแน่น  แสดงออกถึงความเก่าคร่ำคร่าของอาคารในโรงเรียนแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี  แต่ทั้งนี้ในแต่ละอาคารก็ยังถูกประดับไปด้วยดอกไม้นานาพรรณซึ่งให้ความสวยสด  ให้สีสันงดงาม  ดูเป็นธรรมชาติทำให้อาคารเรียนแห่งนี้กลมกลืนไปกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว  ซึ่งดูจะเป็นโรงเรียนที่ใคร ๆ  หลายคนอยากเข้ามาเยี่ยมชมไม่น้อย
                                            กริ๊ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! .กริ๊ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เสียงกริ่งดังขึ้นเป็นสัญญาณของการเข้าเรียน    นักเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ดูบางตามากถ้าประมาณคร่าว ๆ  อาจมีไม่ถึง  20  คนเลยด้วย  ดูจากหน้าตาแล้ว  อายุไม่น่าเกิน 12  ปี  แต่ละคนแต่งกายดูปอน ๆ  ชอบกล    กำลังคุยเสียงดังลั่นกันในห้องเรียนซึ่งดูไม่แตกต่างจากห้องเรียนทั่วไป    จะต่างก็ตรงที่ทั้งห้องมีนักเรียนกันอยู่แค่  5  คนเท่านั้น  แต่เสียงกลับดังจนนึกว่าในห้องมีคนอยู่  50  คนเสียอีก
แอ็ด!!      ประตูห้องเรียนเปิดออก  พร้อมกับชายสูงวัยคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างทุลักทุเล    พร้อมด้วยไม้เท้าอันใหญ่ของตน  ซึ่งดูจะเป็นภาระให้กับเขามากกว่า  ที่จะช่วยเขาเสียอีก
“  เอาล่ะ  ทุกคน  เงียบ!!  ”  เขาตะโกนออกไปสุดเสียง  แต่ก็ไม่มีผลอะไร  เนื่องด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งเกินกว่าจะได้ยินของเขา  เด็กนักเรียนต่างก็ยังนั่งคุยกันอยู่อย่างเมามัน
“  เด็ก ๆ ทุกคนเงียบ ๆ  กันหน่อย  ”  เขาพูดพร้อมเคาะปลายไม้เท้าลงกับพื้นห้อง  แต่ผลก็คือ  พวกเด็ก ๆ  ก็ยังคงคุยกันอย่างเมามัน  และเสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย
“  เจ้าเด็กพวกนี้    อย่างนี้ต้องสั่งสอนสักหน่อยไม่งั้นไม่หลาบจำ “  ว่าแล้วเขาก็เดินไปที่โต๊ะของเด็กนักเรียนพร้อมเขกหัวพวกเขาด้วยไม้เท้าในมือ
                                                                  โป๊ก!    โป๊ก!  โป๊ก!    โป๊ก!  โป๊ก!
“  โอ้ย อู้ย ซี้ด อาจารย์เขกหัวพวกข้าทำไมกันน่ะ  พวกเราทำไรผิดเหรออาจารย์  ”  นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยใบหน้าเหยเก  และบูดเบี้ยวแสดงถึงความเจ็บปวด  ระบมบนหัวที่เขาได้รับ
“  ฮึ!  ก็พวกเจ้ามัวแต่คุยเล่นกันน่ะสิ  ข้าเลยหมั่นไส้  มีปัญหาอะไรมั้ย  หะ!  ”ผู้เป็นอาจารย์พูดขึ้นอย่างหัวเสีย    “  เอาล่ะ  ข้าจะบอกข่าวดีให้แก่พวกเจ้าทุกคนได้รับรู้ไว้  วันนี้ข้าจะงดสอนพวกเจ้า  1  วัน  “  เขาเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า  “  วันนี้จะมีอาจารย์พิเศษ  มาอำนวยการสอนให้โรงเรียนของเรา    ฉะนั้น  พวกเจ้าทำตัวดี ๆ หน่อย  อย่าให้เสียชื่อโรงเรียนเราล่ะ  ”  เขาพูดพร้อมเพ่งสายตาไปยังเด็ก ๆ  ทั้ง  5  คนอย่างเอาเรื่อง
  “  ข้าจะไม่ให้เสียเวลาแล้วล่ะ  ขอเชิญอาจารย์ครับ  ”  เขาพูดพลางผายมือไปทีประตู  ซึ่งขณะนี้ได้มีชายวัยกลางคนอยู่ที่ประตู  และกำลังเดินเข้ามาหน้าชั้นเรียน
“  สวัสดีนักเรียนทุกคน  นับเป็นเกียรติของข้ามาก ๆ เลยที่ได้มาเยือนโรงเรียนที่มีบรรยากาศดี ๆ  แล้วก็ยังมีโอกาสได้สอนพวกเธออีกตะหาก  ”  เขาพูดด้วยหน้าตาแช่มชื่น    “  อาจารย์ชื่อว่า  การูด้า  นะนักเรียน  เป็นอาจารย์ฝึกหัดน่ะถ้ามีอะไรไม่เข้าใจ  หรือไม่ดีในการสอนก็บอกได้เลยนะ  ”
“  โห  ‘จารย์  โม้เปล่าอ่ะ  ดูหน้าก็ไม่โง่นี่นา  แล้วไหงบอกว่าเป็นเด็กฝึกงานล่ะ  ”  นักเรียนชายคหนึ่งพูดพร้อมทำหน้ากวน ๆ
“  พวกเจ้า .  ”  อาจารย์แก่พูดผ่านไรฟันด้วยน้ำเสียงเหี้ยม  แต่ก็ถูกระงับไว้โดย  การูด้า    “  มิได้  มิได้  จริง ๆ แล้วข้าเป็นก็เป็นจอมเวทย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง  พอดีเจองานนี้  ก็เลยอยากเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้างน่ะ  ”  เขาพูดเรียบ ๆ  แต่ถึงกระนั้นพวกเด็ก ๆ  ก็ดูท่าจะหูผึ่งขึ้นมาเมื่อได้ยินคำว่า  จอมเวทย์
“  ท่านเป็นจอมเวทย์เหรอคะ  ไม่น่าเชื่อเลยได้เจอตัวจริงซะที  อยากเห็นมานานแล้ว  แต่ก็ดูเป็นแค่คนธรรมดา ๆ นี่นา  ไม่เห็นจะแตกต่างตรงไหนเลย  ”  เด็กหญิงคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น  ระคนสงสัย
“  หึหึหึ  จอมเวทย์ก็เหมือนกับคนปกติทั่วไปนั่นล่ะ  แต่มีความสามารถใช้พลังจากสิ่งต่าง ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นจากธรรมชาติ  หรือเราสร้างขึ้นมาเองไงล่ะ  ”  การูด้าพูดขึ้น  “  เอาล่ะ  เราสนทนากันพอเป็นที่สนิทสนมพอแล้ว  วันนี้ในเมื่ข้าเป็นอาจารย์ใหม่  ฉะนั้นเจ้าอยากรู้เรื่องอะไรก็บอกมาได้เลย  ข้าจะเล่าให้ฟัง  ถ้าสิ่งนั้นข้ารู้นะ  ”
หลังจากนั้นเด็กทุกคนในห้องก็โต้เถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย  เพื่อที่จะให้เรื่องของตนได้ถูกนำเสนอก่อน  จนเกิดการทะเลาะเบาะแว้งวุ่นวายกันทั้งห้อง
“  ทุกคน  เงียบ!!  ”  เด็ก ๆ  หันมามองไปยัง การูด้า  ผุ้เป็นต้นทางของ เสียงอันดังจนต้องยกมือขึ้นปิดหู
“  ข้ารู้แล้วล่ะว่าจะเล่าอะไรให้พวกเจ้าฟังกันดี  พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องเล่าของมหาสงครามแห่ง  3  พิภพรึเปล่า  ”  เด็ก ๆ ล้วนแต่ส่ายหน้ากัน  “  อื้ม!  เอาล่ะงั้นข้าจะเล่าให้ฟัง    ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ  แต่มันก็ให้ข้อคิดแก่เรามากมายเชียวล่ะ  โดยเฉพาะ  ตอนที่พวกเจ้าโต้แย้งกันเพื่อชิงความเป็นใหญ่นั้นแหละ  เรื่องมันมีอยู่ว่า ..”  เขาเริ่มเล่าเรื่องนั้นอย่างละเอียดเท่าที่เขาพอจะจำความได้
“  เมื่อประมาณ  1000  ปี  ที่แล้ว  ณ  ดินแดนแห่งหนึ่ง  ของดวงดาวซึ่งมีชื่อว่า  โลก  ดินแดนนี้มีชื่อว่า  ไอเดิร์น    ตามตำนานที่ได้จารึกไว้ดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยมนต์ขลัง  ที่น่าหลงไหลเป็นอย่างมาก  ดินแดนแห่งนี้ประกอบไปด้วยพิภพที่สามารถแบ่งแยกออกจากกัน  ได้  3  ภพใหญ่ ๆ  คือ  ดินแดนของมนุษย์  ดินแดนแห่งนรกอเวจี  และไฟบรรลัยกัลป์  สุดท้ายคือดินแดนของเหล่าภูตผีที่เกิดจากผู้ที่ล่วงลับไปแล้วสิงสู่อยู่  “
“  จะว่าไปแล้วในทั้ง  3  ภพ  ดินแดนของมนุษย์เป็นแดนที่ดีที่สุดก็ว่าได้  เพราะสถานที่แห่งนี้  ประกอบกันไปด้วยอาณาจักรสำคัญ ๆ  อยู่  5  อาณาจักรด้วยกัน  ซึ่งได้แก่  เอราเธียอาณาจักรของจอมเวทย์ผู้เปี่ยมไปด้วย  พลังอำนาจอันลี้ลับ  และน่ากลัว    แอสเทนการ์ด  เป็นอาณาจักรแห่งนักรบ  นักรบที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ได้รับการปลูกปั้นมาจากนครแห่งนี้      เซย์ลูสซาร์  เป็นอาณาจักรที่เชื่อกันว่าเป็นที่พำนักของกลุ้มคนที่คลั่งไคล้ศาสตร์มืด    เรสซาราล  อาณาจักรของชนเผ่าสัตว์ศักดิสิทธิ์  ที่แห่งนี้ปกครองโดยมนุษย์ที่สามารถกลายร่างเป็นสัตว์ได้  และสุดท้าย  เฮลล์ฟาร์  อาณาจักรของคนภูเขาที่แสนป่าเถื่อนและดุร้าย  “
“  หลายทศวรรษมาแล้วที่ดินแดนแห่งนี้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข  ความเจริญทางด้านต่าง ๆ  เจริญขึ้นอย่างเต็มที่  เท่าที่สมัยนั้นจะเป็นไปได้  ไม่ว่าจะเป็นการค้าระหว่างเมือง ทั้งทางบก  และทางอากาศซึ่งอาศัยสัตว์บางชนิดขนส่ง  การเมือง  การปกครองซึ่งเป็นผลให้ประชาชนในเมืองของตนอยู่อย่างเป็นสุข  อาหารการกินอุดมสมบูรณ์  ซึ่งเป็นผลมาจากการที่อาณาจักรมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่า  ซึ่งให้ประโยชน์เป็นอย่างมากแก่มนุษย์  “
“  รวมไปถึงด้านการทหาร  การพัฒนาอาวุธ  ให้เจริญก้าวหน้าอยู่เสมอ  ทั้ง ๆ  ที่ดินแดนแห่งนี้ก็ไม่ได้มีสงครามแต่อย่างใด  “
“  แต่ก็อย่างที่รู้กันอยู่  มนุษย์นั้นต่างก็มีกิเลสมาก  โดยเฉพาะพวกอภิสิทธิ์ชนที่มีเพียงไม่กี่คนในแต่ละอาณาจักร  ต่างก็ร่วมประชุมหารือเรื่องการรวมอาณาจักรกัน  ในแต่ละอาณาจักรที่กล่าวมานั้นได้แก่  แอสเทนการ์ดที่เป็นตัวตั้งตัวตี  ซึ่งทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของดินแดนมาโดยตลอด    เซย์ลูสซาร์  ซึ่งมีอุดมการณ์ที่จะชักจูงผู้คนให้หลงใหลในศาสตร์มืด  และพยายามปฏิวัติดินแดนอันสวยงาม  ให้มีแต่ความมืดมนมาโดยตลอด
และอาณาจักร เฮลล์ฟาร์    ซึ่งต้องการทรัพยากรเพิ่มเนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของตนเป็นหุบเขาสลับซับซ้อนไปกับผืนทะเลทรายอันกว้างใหญ่    จึงไม่มีอาหารมากพอที่จะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนในเมือง  “
“  ในขณะที่ทั้งสามนครคิดจะทำสงครามชิงพิภพของตน  เพื่อให้ได้มาซึ่งความยิ่งใหญ่แก่อาณาจักรของตัวเองแล้ว    ยังมีอาณาจักรอีกแห่งหนึ่งซึ่งคอยเฝ้าสังเกตุการณ์ดูความเคลื่อนไหวของทั้ง  3  นคร  อยู่อย่างใกล้ชิด  แทบจะไม่วางตาเลยทีเดียว  “
“  เนโครโพลิส  อดีตอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด    ซึ่งเมื่อหลายทวรรษก่อนที่จะมีการแบ่งแยกดินแดนออกเป็น  5  ส่วน  แห่งดินแดน  ไอเดิร์น    และเคยปกครองดินแดนเกือบทุกส่วนในไอเดิร์นมาแล้ว    ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด  ในบัดนี้ได้กลายเป็นเมืองที่เต้มไปด้วยเหล่าภูตผี  วิญญาณ  ผีดิบต่าง ๆ  มากมายซึ่งคอยดูแลเมืองนี้อยู่    เหมือนกับผีเฝ้าหลุมศพยังไงยังงั้นเชียวล่ะ  “
“  ไม่นานนักการต่อสุ้ของ  3  อาณาจักรที่พยายามจะรวมผืนพิภพของดินแดนนี่เข้าด้วยกันก็เริ่มขึ้น  ต่างฝ่ายต่างก็สูญเสียกำลังพลไปเป็นจำนวนมาก  แต่ถึงกระนั้นก็ยังหาที่สิ้นสุดมิได้  “
“  ทางฝ่ายของอาณาจักร  เนโครโพลิส  ซึ่งคอยดูทีท่าอยู่นานแล้ว  ก็เริ่มที่จะเคลื่อนกำลังเข้าตีเมืองที่ใกล้ที่สุด  และมีกำลังพลเหลือรอดน้อยที่สุด  ซึ่งนั่นก็คือ  อาณาจักรเฮลล์ฟาร์  การต่อสู้ดูจะไม่ยากเย็นนัก  ซึ่งแน่นอนคนธรรมดามิอาจสู้กองทัพผีที่ไม่มีวันตายได้    ฉะนั้นในวันถัดมาอาณาจักรนี้ก็ล่มสลายลงอย่างถาวร    เป็นไปได้ว่าพวกมันต้องการดินแดนของพวกคนเถื่อน  ซึ่งดูลึกลับซับซ้อน  “
“  ครั้นเมื่อประชาชนต่างรู้ข่าว  ก็เกิดการอพยพไปอยุ่ในเมืองที่ตนคิดว่าปลอดภัย  และกองทัพผีหาไม่เจอเป็นแน่    ซึ่งแน่นอนไม่ใช่ที่  เซย์ลูสซาร์  และ  แอสเทนการ์ด  ซึ่งเปราะบางมาก ๆ  ในยามนี้อย่างแน่นอน  ”
“  ในระหว่างนี้  เหล่าอาณาจักรที่ไม่ได้ร่วมทำสงครามอีก  2  อาณาจักร  ต่างก็เกณฑ์กำลังพลของตนให้มากที่สุดเท่าที่จะหามาได้    เพื่อดูแลเมืองของตน  “
“  ไม่นานนักทั้งอาณาจักร  เซย์ลูสซาร์  และ  แอสเทนการ์ดก็ย่อยยับโดยกองทัพผีดิบดังที่หลายฝ่ายคาดกันไว้    ดังนั้นก็เหลือเพียง  2  อาณาจักรที่ยังเหลืออยู่    ซึ่งพวกผีดิบเลือกที่จะตัดไฟแต่ต้นลม  ถอนรากถอนโคนพวกมนุษย์แท้ ๆ  ให้หมดไปเสียก่อน    อาณาจักรต่อไปของมันจึงเป็น  ที่  เอราเธีย  นครแห่งเวทย์มนตร์  “
“  ดูเหมือนว่าพวกปีศาจจะไม่โง่  เพราะครั้งนี้  จ้าวครองนคร  เนโครโพลิส  มาด้วยตัวเอง  ซึ่งมันก็พอจะรู้พิษสงของพวกจอมเวทย์ดี  ว่าถ้าประมาท  จะเป็นเช่นไร  “
“  ศึกที่  นครเอราเธีย  ดูจะเป็นศึกที่ชี้ชะตาว่า  พิภพนี้จะตกอยุ่ในมือของเผ่าปีศาจ  หรือว่ากลายเป็นของพวกมนุษย์ดังเดิม  “
“  กล่าวกันว่า  พวกจอมเวทย์ในเมืองซึ่งแม้จะมีอยู่เพียงน้อยนิด  ก็สามารถต้านกองทัพผีดิบจำนวนที่นับไม่ถ้วน  ได้ถึง  3  วันโดยไม่เสียไพร่พล  แต่ฝ่ายที่เสียไปมากก็คือพวกผีดิบนั่นเอง  “
“  ชัยชนะดูเหมือนจะตกเป็นของมนุษย์เมื่อกองทัพปีศาจเคลื่อนพลกลับไปในวันที่  4  แต่ไม่เลย  สิ่งที่คาดหวังดับวูบลงไปทันทีเมื่อกองทัพผีดิบเคลื่อนพลมามากกว่าเดิม  โดยการนำกองทัพของจ้าวครองนคร  เนโครโพลิส  ซึ่งนำทัพหลักจำนวนมากเข้าโจมตีจอมเวทย์  ซึ่งมีอยู่น้อยนิดและอ่อนล้าเต็มที  “
“  ศึกครั้งนี้พวกจอมเวทย์เสียเปรียบไปอย่างมากเมื่อ  เวทย์มนตร์ของพวกเขาไม่สามารถทำอันตรายให้กับพวกผีดิบ  ได้ดีเท่าที่ควร  เหมือนกับว่า  พวกมันได้รับภูมิต้านทานเวทย์มนตร์มาซะอย่างนั้นแหละ  “
“  สงครามเข้าสู่ขั้นวิกฤตขึ้นเมื่อ  พวกปีศาจทำลายแนวป้องกัน  และกำแพงปราสาทมาได้  พร้อมทั้งเคลื่อนพลเข้าสู่ตัวเมือง    เหล่าจอมเวทย์ไม่สามารถปกป้องเมืองได้อีกต่อไปแล้ว    เพราะแม้กระทั่งปกป้องตนเองยังจะปกป้องไม่ได้เลย  “
“  จอมเวทย์เก่ง ๆ  ส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกสังหารลงโดยผีดิบชั้นต่ำ  แต่กลับกัน  พวกเขาถูกสังหารโดย  จ้าวครองนครแห่งดินแดนหลังความตาย  เป็นส่วนใหญ่    ไม่มีผู้ใดหยุดการกระทำของพวกมันได้เลย    จนกระทั่ง  “  การูด้า  เว้นช่วงไปนานพอควรพร้อม ๆ  กับดื่มน้ำแก้กระหาย  หลังจากที่ตนเอง  พูดติดต่อกันมาเป็นเวลานาน
“  แล้วไงต่อล่ะ  ‘จารย์  พวกเขาถูกฆ่าหมดเลยรึเปล่าล่ะ  ”  เด็กคนที่พูดจากวน ๆ  ในทีแรกถามขึ้น
“  เจ้าโง่เอ๊ย!  ถ้าตายหมดแล้วแกทำไมถึงมานั่งอยู่ที่นี่ได้เล่า  ป่านนี้ฌโลกนี้ก็มีแต่ผีกันหมดแล้วล่ะสิ  ”  เพื่อนเด็กชายพูดอย่างเอือมระอา
“  เอาล่ะ  ข้าจะเล่าต่อล่ะนะ  ”  เขาพูดขึ้นก่อนที่จะเกิดการโต้เถียงกันในห้องอีกครั้งนึง
“  ก่อนที่จ้าวแห่งปีศาจจะทำอะไรเลวร้ายไปกว่านี้  ในพลัน  ก็ปรากฏเป็นหญิงสาวนางหนึ่ง  อายุดูแล้วไม่น่าจะเกิน  20  ปี  ซึ่งอยู่ในชุดจอมเวทย์ระดับสูง  ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงอายุน้อยเช่นนี้จะเป็นจอมเวทย์ระดับนี้  ซึ่งใช้เวลาฝึกฝนนานนับ  10  ปีได้  ”
“  หล่อนได้เข้าประหัตประหารกับจ้าวปีศาจอย่างสูสี  ไม่มีผู้ใดเป็นรองให้แก่กันเลย  กล่าวกันว่าหล่อนไม่สามารถปราบปีศาจตนนี้ได้    แต่ด้วยพลังของหล่อนสามารถผนึกพลังอำนาจ  และวิญญาณของปีศาจตนนี้ได้  โดยเธอเสียสละชีวิตของเธอไป  ซึ่งเวทย์มนตร์บทนี้ต้องมีการบูชายัญชีวิตของผู้ใช้คาถาบทนี้    ในที่สุดหล่อนก็สามารถผนึกดวงวิญญาณ  และพลังอำนาจครึ่งหนึ่งของจอมปีศาจไว้ในตัวของมัน  ซึ่งถูกทำให้มีสภาพเป็นเด็กทารก    และนอกจากนี้หล่อนยังได้สาปแช่งมันอีกชั้นหนึ่งด้วย    ซึ่งคำสาปนี้จะทำหน้าที่ผนึกพลังอำนาจมืดอีกครึ่งของมันได้ทั้งหมด  ”
“  แล้วเด็กนั่นถูกฆ่าตายไปแล้วมั้ยคะ  ”  เด็กหญิงถาม
“  ไม่หรอก  เห็นว่าถูกองครักษ์ม้าดำอะไรของมันเนี่ยล่ะ  ช่วยเอาไว้  จากนั้นพวกปีศาจก็หายตัวไปอย่างกับควันที่ล่องลอยในอากาศอย่างงั้นเชียวล่ะ  ”  การูด้าพูดขึ้นเพื่อตอบสนองเด็ก ๆ  ให้รู้แจ้ง
“  และแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่ผ่านไปใกล้ ๆ  กับอาณาจักรแห่งนั้น  ได้ยินเสียงคร่ำครวญ  หรือเสียงกรีดร้องอันน่ากลัวซึ่งดังมาจากหุบเขาของนคร  เฮลล์ฟาร์  อีกเลย  ”
“  ‘จารย์  แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกผมล่ะ  พูดมาตั้งยืดยาวน่ะ  ”  เด็กชายคนที่พูดจากวน ๆ  ถามกลับไป
“  หึหึหึ  เกี่ยวสิ  ก็พวกเธอน่ะ  เหมือนกันกับ  3  อาณาจักรนั่นไม่มีผิดเลยล่ะ  ”  เขาตอบกลับ
“  เหมือนกันยังไงน่ะ  หือ  ”  เด็กชายถาม
“  พวกเจ้าแย่งกันเสนอเรื่องที่เราจะเรียนในวันนี้  ทะเลาะเบาะแว้งกันในห้องเรียน  เป็นเพื่อนกันแท้ ๆ  แต่แตกสามัคคีกันได้ยังไงน่ะ    ซึ่งเหมือนกับพวกมนุษย์นี่ล่ะ  ต่างพากันหนีเอาตัวรอด    พอมีศึกก็หนีหน้ากัน  ไม่ยอมช่วยรบ  จึงเกิดการสูญเสีย และถ้าเจ้ามีความเสียสละให้ผู้อื่นบ้างเหมือนจอมเวทย์หญิงผู้นั้น    พวกเจ้าก็คงไม่ต้องมารวมตัวกันอยู่ในห้องพิเศษนี้หรอกนะ”  เขาตอบ
“  และที่สำคัญก็คือ  ความโลภของมนุษย์ไงล่ะ  เพราะถ้าพวกเขาไม่ฆ่ากันเอง  เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดหรอก  จริงมั้ย  มันใช้เวลานานมากเลยนะกว่าที่แต่ละเมืองนั้นจะปรับปรุง  ซ่อมแซมจนสมบูรณ์ได้จนถึงวันนี้  ”  เขากล่าวต่อ
                                                    กริ๊ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! .กริ๊ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
และแล้วสัญญาณเลิกเรียนคาบเช้าก็หมดลง  เสียงนักเรียนจากห้องอื่น ๆ  เริ่มดังขึ้นเนื่องจากได้เวลาที่ทุกคน  ต่างพากันไปทานอาหารของตนแล้ว
“  เอาล่ะ  ทุกคน  อาจารย์คงสอนนักเรียนได้เพียงเท่านี้ล่ะนะ  ถ้าเรามีวาสนาจะได้พบกันก็คงจะได้พบกันอีกจนได้ล่ะนะ  ”  การูด้าบอกกล่าวแก่นักเรียน  “  อาจารย์คงต้องไปแล้วล่ะ  แล้วพบกันใหม่นะ  ”  เขากล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  เป็นธรรมชาติ
“  อาจารย์ครับ  ขอบคุณมากครับที่สั่งสอนพวกเรา  เราจะนำไปปฏิบัตินะ ครับ  ”  พวกเขากล่าวขอบคุณโดยโค้งคำนับ
“  ลาล่ะครับ  อาจารย์บิชอป  ”  การูด้ากล่าวแก่อาจารย์สูงวัย  เขาก็โค้งคำนับตอบ
จากนั้นจอมเวทย์การูด้า  ก็เปิดประตูมิติ  โดยการท่องคาถาโบราณ  จากนั้นร่างของเขาก็หายไป
“  เอ้า  นักเรียนทานข้าวได้แล้ว  เดี๋ยวมีเวลาพักน้อยนะ  ”  บิชอปกล่าวเตือน
“  ครับ / ค่ะ  ”  จากนั้นพวกเขาก็วิ่งลงไปทานข้าวกัน
“  ท่านเป็นใครกันแน่นะ  จอมเวทย์การูด้า  เท่าที่ข้ารู้มาตำนานนั่นถูลืมเลือนไปเมื่อหลายสิบปีมาแล้วนี่นา  แต่เจ้ากลับเล่าได้อย่างละเอียด  ”  เขาพูดกับตัวเอง  หลังจากที่เด็ก ๆ  ลงไปกันหมดแล้ว
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
“  ข้าจะรอเจ้านะ  เมย์เลนเดีย  ลูกรักของพ่อ  ”    ชายคนหนึ่งภายใต้ผ้าคลุมสีขาว  พูดขึ้นขณะยืนอยู่บนยอดต้นสนที่สูงตระหง่าน  กว่า  10  เมตร    ชายผ้าคลุมถูกพัดให้โบกไสวโดยแรงลม    เขายืนเหม่อลอย    สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความเศร้ายิ่งนัก
 
 
                        เมื่อเทียบกับอาคารเรียนซึ่งส่วนใหญ่ใช้ไม้ที่หาได้จากป่าบนภูเขาแห่งนี้  ซึ่งอาคารหลายหลังดูจากเนื้อไม้ที่ผุ  และมีตะใคร่น้ำขึ้นกันอย่างหนาแน่น  แสดงออกถึงความเก่าคร่ำคร่าของอาคารในโรงเรียนแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี  แต่ทั้งนี้ในแต่ละอาคารก็ยังถูกประดับไปด้วยดอกไม้นานาพรรณซึ่งให้ความสวยสด  ให้สีสันงดงาม  ดูเป็นธรรมชาติทำให้อาคารเรียนแห่งนี้กลมกลืนไปกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว  ซึ่งดูจะเป็นโรงเรียนที่ใคร ๆ  หลายคนอยากเข้ามาเยี่ยมชมไม่น้อย
                                            กริ๊ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! .กริ๊ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เสียงกริ่งดังขึ้นเป็นสัญญาณของการเข้าเรียน    นักเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ดูบางตามากถ้าประมาณคร่าว ๆ  อาจมีไม่ถึง  20  คนเลยด้วย  ดูจากหน้าตาแล้ว  อายุไม่น่าเกิน 12  ปี  แต่ละคนแต่งกายดูปอน ๆ  ชอบกล    กำลังคุยเสียงดังลั่นกันในห้องเรียนซึ่งดูไม่แตกต่างจากห้องเรียนทั่วไป    จะต่างก็ตรงที่ทั้งห้องมีนักเรียนกันอยู่แค่  5  คนเท่านั้น  แต่เสียงกลับดังจนนึกว่าในห้องมีคนอยู่  50  คนเสียอีก
แอ็ด!!      ประตูห้องเรียนเปิดออก  พร้อมกับชายสูงวัยคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างทุลักทุเล    พร้อมด้วยไม้เท้าอันใหญ่ของตน  ซึ่งดูจะเป็นภาระให้กับเขามากกว่า  ที่จะช่วยเขาเสียอีก
“  เอาล่ะ  ทุกคน  เงียบ!!  ”  เขาตะโกนออกไปสุดเสียง  แต่ก็ไม่มีผลอะไร  เนื่องด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งเกินกว่าจะได้ยินของเขา  เด็กนักเรียนต่างก็ยังนั่งคุยกันอยู่อย่างเมามัน
“  เด็ก ๆ ทุกคนเงียบ ๆ  กันหน่อย  ”  เขาพูดพร้อมเคาะปลายไม้เท้าลงกับพื้นห้อง  แต่ผลก็คือ  พวกเด็ก ๆ  ก็ยังคงคุยกันอย่างเมามัน  และเสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย
“  เจ้าเด็กพวกนี้    อย่างนี้ต้องสั่งสอนสักหน่อยไม่งั้นไม่หลาบจำ “  ว่าแล้วเขาก็เดินไปที่โต๊ะของเด็กนักเรียนพร้อมเขกหัวพวกเขาด้วยไม้เท้าในมือ
                                                                  โป๊ก!    โป๊ก!  โป๊ก!    โป๊ก!  โป๊ก!
“  โอ้ย อู้ย ซี้ด อาจารย์เขกหัวพวกข้าทำไมกันน่ะ  พวกเราทำไรผิดเหรออาจารย์  ”  นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยใบหน้าเหยเก  และบูดเบี้ยวแสดงถึงความเจ็บปวด  ระบมบนหัวที่เขาได้รับ
“  ฮึ!  ก็พวกเจ้ามัวแต่คุยเล่นกันน่ะสิ  ข้าเลยหมั่นไส้  มีปัญหาอะไรมั้ย  หะ!  ”ผู้เป็นอาจารย์พูดขึ้นอย่างหัวเสีย    “  เอาล่ะ  ข้าจะบอกข่าวดีให้แก่พวกเจ้าทุกคนได้รับรู้ไว้  วันนี้ข้าจะงดสอนพวกเจ้า  1  วัน  “  เขาเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า  “  วันนี้จะมีอาจารย์พิเศษ  มาอำนวยการสอนให้โรงเรียนของเรา    ฉะนั้น  พวกเจ้าทำตัวดี ๆ หน่อย  อย่าให้เสียชื่อโรงเรียนเราล่ะ  ”  เขาพูดพร้อมเพ่งสายตาไปยังเด็ก ๆ  ทั้ง  5  คนอย่างเอาเรื่อง
  “  ข้าจะไม่ให้เสียเวลาแล้วล่ะ  ขอเชิญอาจารย์ครับ  ”  เขาพูดพลางผายมือไปทีประตู  ซึ่งขณะนี้ได้มีชายวัยกลางคนอยู่ที่ประตู  และกำลังเดินเข้ามาหน้าชั้นเรียน
“  สวัสดีนักเรียนทุกคน  นับเป็นเกียรติของข้ามาก ๆ เลยที่ได้มาเยือนโรงเรียนที่มีบรรยากาศดี ๆ  แล้วก็ยังมีโอกาสได้สอนพวกเธออีกตะหาก  ”  เขาพูดด้วยหน้าตาแช่มชื่น    “  อาจารย์ชื่อว่า  การูด้า  นะนักเรียน  เป็นอาจารย์ฝึกหัดน่ะถ้ามีอะไรไม่เข้าใจ  หรือไม่ดีในการสอนก็บอกได้เลยนะ  ”
“  โห  ‘จารย์  โม้เปล่าอ่ะ  ดูหน้าก็ไม่โง่นี่นา  แล้วไหงบอกว่าเป็นเด็กฝึกงานล่ะ  ”  นักเรียนชายคหนึ่งพูดพร้อมทำหน้ากวน ๆ
“  พวกเจ้า .  ”  อาจารย์แก่พูดผ่านไรฟันด้วยน้ำเสียงเหี้ยม  แต่ก็ถูกระงับไว้โดย  การูด้า    “  มิได้  มิได้  จริง ๆ แล้วข้าเป็นก็เป็นจอมเวทย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง  พอดีเจองานนี้  ก็เลยอยากเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้างน่ะ  ”  เขาพูดเรียบ ๆ  แต่ถึงกระนั้นพวกเด็ก ๆ  ก็ดูท่าจะหูผึ่งขึ้นมาเมื่อได้ยินคำว่า  จอมเวทย์
“  ท่านเป็นจอมเวทย์เหรอคะ  ไม่น่าเชื่อเลยได้เจอตัวจริงซะที  อยากเห็นมานานแล้ว  แต่ก็ดูเป็นแค่คนธรรมดา ๆ นี่นา  ไม่เห็นจะแตกต่างตรงไหนเลย  ”  เด็กหญิงคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น  ระคนสงสัย
“  หึหึหึ  จอมเวทย์ก็เหมือนกับคนปกติทั่วไปนั่นล่ะ  แต่มีความสามารถใช้พลังจากสิ่งต่าง ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นจากธรรมชาติ  หรือเราสร้างขึ้นมาเองไงล่ะ  ”  การูด้าพูดขึ้น  “  เอาล่ะ  เราสนทนากันพอเป็นที่สนิทสนมพอแล้ว  วันนี้ในเมื่ข้าเป็นอาจารย์ใหม่  ฉะนั้นเจ้าอยากรู้เรื่องอะไรก็บอกมาได้เลย  ข้าจะเล่าให้ฟัง  ถ้าสิ่งนั้นข้ารู้นะ  ”
หลังจากนั้นเด็กทุกคนในห้องก็โต้เถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย  เพื่อที่จะให้เรื่องของตนได้ถูกนำเสนอก่อน  จนเกิดการทะเลาะเบาะแว้งวุ่นวายกันทั้งห้อง
“  ทุกคน  เงียบ!!  ”  เด็ก ๆ  หันมามองไปยัง การูด้า  ผุ้เป็นต้นทางของ เสียงอันดังจนต้องยกมือขึ้นปิดหู
“  ข้ารู้แล้วล่ะว่าจะเล่าอะไรให้พวกเจ้าฟังกันดี  พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องเล่าของมหาสงครามแห่ง  3  พิภพรึเปล่า  ”  เด็ก ๆ ล้วนแต่ส่ายหน้ากัน  “  อื้ม!  เอาล่ะงั้นข้าจะเล่าให้ฟัง    ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ  แต่มันก็ให้ข้อคิดแก่เรามากมายเชียวล่ะ  โดยเฉพาะ  ตอนที่พวกเจ้าโต้แย้งกันเพื่อชิงความเป็นใหญ่นั้นแหละ  เรื่องมันมีอยู่ว่า ..”  เขาเริ่มเล่าเรื่องนั้นอย่างละเอียดเท่าที่เขาพอจะจำความได้
“  เมื่อประมาณ  1000  ปี  ที่แล้ว  ณ  ดินแดนแห่งหนึ่ง  ของดวงดาวซึ่งมีชื่อว่า  โลก  ดินแดนนี้มีชื่อว่า  ไอเดิร์น    ตามตำนานที่ได้จารึกไว้ดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยมนต์ขลัง  ที่น่าหลงไหลเป็นอย่างมาก  ดินแดนแห่งนี้ประกอบไปด้วยพิภพที่สามารถแบ่งแยกออกจากกัน  ได้  3  ภพใหญ่ ๆ  คือ  ดินแดนของมนุษย์  ดินแดนแห่งนรกอเวจี  และไฟบรรลัยกัลป์  สุดท้ายคือดินแดนของเหล่าภูตผีที่เกิดจากผู้ที่ล่วงลับไปแล้วสิงสู่อยู่  “
“  จะว่าไปแล้วในทั้ง  3  ภพ  ดินแดนของมนุษย์เป็นแดนที่ดีที่สุดก็ว่าได้  เพราะสถานที่แห่งนี้  ประกอบกันไปด้วยอาณาจักรสำคัญ ๆ  อยู่  5  อาณาจักรด้วยกัน  ซึ่งได้แก่  เอราเธียอาณาจักรของจอมเวทย์ผู้เปี่ยมไปด้วย  พลังอำนาจอันลี้ลับ  และน่ากลัว    แอสเทนการ์ด  เป็นอาณาจักรแห่งนักรบ  นักรบที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ได้รับการปลูกปั้นมาจากนครแห่งนี้      เซย์ลูสซาร์  เป็นอาณาจักรที่เชื่อกันว่าเป็นที่พำนักของกลุ้มคนที่คลั่งไคล้ศาสตร์มืด    เรสซาราล  อาณาจักรของชนเผ่าสัตว์ศักดิสิทธิ์  ที่แห่งนี้ปกครองโดยมนุษย์ที่สามารถกลายร่างเป็นสัตว์ได้  และสุดท้าย  เฮลล์ฟาร์  อาณาจักรของคนภูเขาที่แสนป่าเถื่อนและดุร้าย  “
“  หลายทศวรรษมาแล้วที่ดินแดนแห่งนี้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข  ความเจริญทางด้านต่าง ๆ  เจริญขึ้นอย่างเต็มที่  เท่าที่สมัยนั้นจะเป็นไปได้  ไม่ว่าจะเป็นการค้าระหว่างเมือง ทั้งทางบก  และทางอากาศซึ่งอาศัยสัตว์บางชนิดขนส่ง  การเมือง  การปกครองซึ่งเป็นผลให้ประชาชนในเมืองของตนอยู่อย่างเป็นสุข  อาหารการกินอุดมสมบูรณ์  ซึ่งเป็นผลมาจากการที่อาณาจักรมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่า  ซึ่งให้ประโยชน์เป็นอย่างมากแก่มนุษย์  “
“  รวมไปถึงด้านการทหาร  การพัฒนาอาวุธ  ให้เจริญก้าวหน้าอยู่เสมอ  ทั้ง ๆ  ที่ดินแดนแห่งนี้ก็ไม่ได้มีสงครามแต่อย่างใด  “
“  แต่ก็อย่างที่รู้กันอยู่  มนุษย์นั้นต่างก็มีกิเลสมาก  โดยเฉพาะพวกอภิสิทธิ์ชนที่มีเพียงไม่กี่คนในแต่ละอาณาจักร  ต่างก็ร่วมประชุมหารือเรื่องการรวมอาณาจักรกัน  ในแต่ละอาณาจักรที่กล่าวมานั้นได้แก่  แอสเทนการ์ดที่เป็นตัวตั้งตัวตี  ซึ่งทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของดินแดนมาโดยตลอด    เซย์ลูสซาร์  ซึ่งมีอุดมการณ์ที่จะชักจูงผู้คนให้หลงใหลในศาสตร์มืด  และพยายามปฏิวัติดินแดนอันสวยงาม  ให้มีแต่ความมืดมนมาโดยตลอด
และอาณาจักร เฮลล์ฟาร์    ซึ่งต้องการทรัพยากรเพิ่มเนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของตนเป็นหุบเขาสลับซับซ้อนไปกับผืนทะเลทรายอันกว้างใหญ่    จึงไม่มีอาหารมากพอที่จะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนในเมือง  “
“  ในขณะที่ทั้งสามนครคิดจะทำสงครามชิงพิภพของตน  เพื่อให้ได้มาซึ่งความยิ่งใหญ่แก่อาณาจักรของตัวเองแล้ว    ยังมีอาณาจักรอีกแห่งหนึ่งซึ่งคอยเฝ้าสังเกตุการณ์ดูความเคลื่อนไหวของทั้ง  3  นคร  อยู่อย่างใกล้ชิด  แทบจะไม่วางตาเลยทีเดียว  “
“  เนโครโพลิส  อดีตอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด    ซึ่งเมื่อหลายทวรรษก่อนที่จะมีการแบ่งแยกดินแดนออกเป็น  5  ส่วน  แห่งดินแดน  ไอเดิร์น    และเคยปกครองดินแดนเกือบทุกส่วนในไอเดิร์นมาแล้ว    ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด  ในบัดนี้ได้กลายเป็นเมืองที่เต้มไปด้วยเหล่าภูตผี  วิญญาณ  ผีดิบต่าง ๆ  มากมายซึ่งคอยดูแลเมืองนี้อยู่    เหมือนกับผีเฝ้าหลุมศพยังไงยังงั้นเชียวล่ะ  “
“  ไม่นานนักการต่อสุ้ของ  3  อาณาจักรที่พยายามจะรวมผืนพิภพของดินแดนนี่เข้าด้วยกันก็เริ่มขึ้น  ต่างฝ่ายต่างก็สูญเสียกำลังพลไปเป็นจำนวนมาก  แต่ถึงกระนั้นก็ยังหาที่สิ้นสุดมิได้  “
“  ทางฝ่ายของอาณาจักร  เนโครโพลิส  ซึ่งคอยดูทีท่าอยู่นานแล้ว  ก็เริ่มที่จะเคลื่อนกำลังเข้าตีเมืองที่ใกล้ที่สุด  และมีกำลังพลเหลือรอดน้อยที่สุด  ซึ่งนั่นก็คือ  อาณาจักรเฮลล์ฟาร์  การต่อสู้ดูจะไม่ยากเย็นนัก  ซึ่งแน่นอนคนธรรมดามิอาจสู้กองทัพผีที่ไม่มีวันตายได้    ฉะนั้นในวันถัดมาอาณาจักรนี้ก็ล่มสลายลงอย่างถาวร    เป็นไปได้ว่าพวกมันต้องการดินแดนของพวกคนเถื่อน  ซึ่งดูลึกลับซับซ้อน  “
“  ครั้นเมื่อประชาชนต่างรู้ข่าว  ก็เกิดการอพยพไปอยุ่ในเมืองที่ตนคิดว่าปลอดภัย  และกองทัพผีหาไม่เจอเป็นแน่    ซึ่งแน่นอนไม่ใช่ที่  เซย์ลูสซาร์  และ  แอสเทนการ์ด  ซึ่งเปราะบางมาก ๆ  ในยามนี้อย่างแน่นอน  ”
“  ในระหว่างนี้  เหล่าอาณาจักรที่ไม่ได้ร่วมทำสงครามอีก  2  อาณาจักร  ต่างก็เกณฑ์กำลังพลของตนให้มากที่สุดเท่าที่จะหามาได้    เพื่อดูแลเมืองของตน  “
“  ไม่นานนักทั้งอาณาจักร  เซย์ลูสซาร์  และ  แอสเทนการ์ดก็ย่อยยับโดยกองทัพผีดิบดังที่หลายฝ่ายคาดกันไว้    ดังนั้นก็เหลือเพียง  2  อาณาจักรที่ยังเหลืออยู่    ซึ่งพวกผีดิบเลือกที่จะตัดไฟแต่ต้นลม  ถอนรากถอนโคนพวกมนุษย์แท้ ๆ  ให้หมดไปเสียก่อน    อาณาจักรต่อไปของมันจึงเป็น  ที่  เอราเธีย  นครแห่งเวทย์มนตร์  “
“  ดูเหมือนว่าพวกปีศาจจะไม่โง่  เพราะครั้งนี้  จ้าวครองนคร  เนโครโพลิส  มาด้วยตัวเอง  ซึ่งมันก็พอจะรู้พิษสงของพวกจอมเวทย์ดี  ว่าถ้าประมาท  จะเป็นเช่นไร  “
“  ศึกที่  นครเอราเธีย  ดูจะเป็นศึกที่ชี้ชะตาว่า  พิภพนี้จะตกอยุ่ในมือของเผ่าปีศาจ  หรือว่ากลายเป็นของพวกมนุษย์ดังเดิม  “
“  กล่าวกันว่า  พวกจอมเวทย์ในเมืองซึ่งแม้จะมีอยู่เพียงน้อยนิด  ก็สามารถต้านกองทัพผีดิบจำนวนที่นับไม่ถ้วน  ได้ถึง  3  วันโดยไม่เสียไพร่พล  แต่ฝ่ายที่เสียไปมากก็คือพวกผีดิบนั่นเอง  “
“  ชัยชนะดูเหมือนจะตกเป็นของมนุษย์เมื่อกองทัพปีศาจเคลื่อนพลกลับไปในวันที่  4  แต่ไม่เลย  สิ่งที่คาดหวังดับวูบลงไปทันทีเมื่อกองทัพผีดิบเคลื่อนพลมามากกว่าเดิม  โดยการนำกองทัพของจ้าวครองนคร  เนโครโพลิส  ซึ่งนำทัพหลักจำนวนมากเข้าโจมตีจอมเวทย์  ซึ่งมีอยู่น้อยนิดและอ่อนล้าเต็มที  “
“  ศึกครั้งนี้พวกจอมเวทย์เสียเปรียบไปอย่างมากเมื่อ  เวทย์มนตร์ของพวกเขาไม่สามารถทำอันตรายให้กับพวกผีดิบ  ได้ดีเท่าที่ควร  เหมือนกับว่า  พวกมันได้รับภูมิต้านทานเวทย์มนตร์มาซะอย่างนั้นแหละ  “
“  สงครามเข้าสู่ขั้นวิกฤตขึ้นเมื่อ  พวกปีศาจทำลายแนวป้องกัน  และกำแพงปราสาทมาได้  พร้อมทั้งเคลื่อนพลเข้าสู่ตัวเมือง    เหล่าจอมเวทย์ไม่สามารถปกป้องเมืองได้อีกต่อไปแล้ว    เพราะแม้กระทั่งปกป้องตนเองยังจะปกป้องไม่ได้เลย  “
“  จอมเวทย์เก่ง ๆ  ส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกสังหารลงโดยผีดิบชั้นต่ำ  แต่กลับกัน  พวกเขาถูกสังหารโดย  จ้าวครองนครแห่งดินแดนหลังความตาย  เป็นส่วนใหญ่    ไม่มีผู้ใดหยุดการกระทำของพวกมันได้เลย    จนกระทั่ง  “  การูด้า  เว้นช่วงไปนานพอควรพร้อม ๆ  กับดื่มน้ำแก้กระหาย  หลังจากที่ตนเอง  พูดติดต่อกันมาเป็นเวลานาน
“  แล้วไงต่อล่ะ  ‘จารย์  พวกเขาถูกฆ่าหมดเลยรึเปล่าล่ะ  ”  เด็กคนที่พูดจากวน ๆ  ในทีแรกถามขึ้น
“  เจ้าโง่เอ๊ย!  ถ้าตายหมดแล้วแกทำไมถึงมานั่งอยู่ที่นี่ได้เล่า  ป่านนี้ฌโลกนี้ก็มีแต่ผีกันหมดแล้วล่ะสิ  ”  เพื่อนเด็กชายพูดอย่างเอือมระอา
“  เอาล่ะ  ข้าจะเล่าต่อล่ะนะ  ”  เขาพูดขึ้นก่อนที่จะเกิดการโต้เถียงกันในห้องอีกครั้งนึง
“  ก่อนที่จ้าวแห่งปีศาจจะทำอะไรเลวร้ายไปกว่านี้  ในพลัน  ก็ปรากฏเป็นหญิงสาวนางหนึ่ง  อายุดูแล้วไม่น่าจะเกิน  20  ปี  ซึ่งอยู่ในชุดจอมเวทย์ระดับสูง  ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงอายุน้อยเช่นนี้จะเป็นจอมเวทย์ระดับนี้  ซึ่งใช้เวลาฝึกฝนนานนับ  10  ปีได้  ”
“  หล่อนได้เข้าประหัตประหารกับจ้าวปีศาจอย่างสูสี  ไม่มีผู้ใดเป็นรองให้แก่กันเลย  กล่าวกันว่าหล่อนไม่สามารถปราบปีศาจตนนี้ได้    แต่ด้วยพลังของหล่อนสามารถผนึกพลังอำนาจ  และวิญญาณของปีศาจตนนี้ได้  โดยเธอเสียสละชีวิตของเธอไป  ซึ่งเวทย์มนตร์บทนี้ต้องมีการบูชายัญชีวิตของผู้ใช้คาถาบทนี้    ในที่สุดหล่อนก็สามารถผนึกดวงวิญญาณ  และพลังอำนาจครึ่งหนึ่งของจอมปีศาจไว้ในตัวของมัน  ซึ่งถูกทำให้มีสภาพเป็นเด็กทารก    และนอกจากนี้หล่อนยังได้สาปแช่งมันอีกชั้นหนึ่งด้วย    ซึ่งคำสาปนี้จะทำหน้าที่ผนึกพลังอำนาจมืดอีกครึ่งของมันได้ทั้งหมด  ”
“  แล้วเด็กนั่นถูกฆ่าตายไปแล้วมั้ยคะ  ”  เด็กหญิงถาม
“  ไม่หรอก  เห็นว่าถูกองครักษ์ม้าดำอะไรของมันเนี่ยล่ะ  ช่วยเอาไว้  จากนั้นพวกปีศาจก็หายตัวไปอย่างกับควันที่ล่องลอยในอากาศอย่างงั้นเชียวล่ะ  ”  การูด้าพูดขึ้นเพื่อตอบสนองเด็ก ๆ  ให้รู้แจ้ง
“  และแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่ผ่านไปใกล้ ๆ  กับอาณาจักรแห่งนั้น  ได้ยินเสียงคร่ำครวญ  หรือเสียงกรีดร้องอันน่ากลัวซึ่งดังมาจากหุบเขาของนคร  เฮลล์ฟาร์  อีกเลย  ”
“  ‘จารย์  แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกผมล่ะ  พูดมาตั้งยืดยาวน่ะ  ”  เด็กชายคนที่พูดจากวน ๆ  ถามกลับไป
“  หึหึหึ  เกี่ยวสิ  ก็พวกเธอน่ะ  เหมือนกันกับ  3  อาณาจักรนั่นไม่มีผิดเลยล่ะ  ”  เขาตอบกลับ
“  เหมือนกันยังไงน่ะ  หือ  ”  เด็กชายถาม
“  พวกเจ้าแย่งกันเสนอเรื่องที่เราจะเรียนในวันนี้  ทะเลาะเบาะแว้งกันในห้องเรียน  เป็นเพื่อนกันแท้ ๆ  แต่แตกสามัคคีกันได้ยังไงน่ะ    ซึ่งเหมือนกับพวกมนุษย์นี่ล่ะ  ต่างพากันหนีเอาตัวรอด    พอมีศึกก็หนีหน้ากัน  ไม่ยอมช่วยรบ  จึงเกิดการสูญเสีย และถ้าเจ้ามีความเสียสละให้ผู้อื่นบ้างเหมือนจอมเวทย์หญิงผู้นั้น    พวกเจ้าก็คงไม่ต้องมารวมตัวกันอยู่ในห้องพิเศษนี้หรอกนะ”  เขาตอบ
“  และที่สำคัญก็คือ  ความโลภของมนุษย์ไงล่ะ  เพราะถ้าพวกเขาไม่ฆ่ากันเอง  เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดหรอก  จริงมั้ย  มันใช้เวลานานมากเลยนะกว่าที่แต่ละเมืองนั้นจะปรับปรุง  ซ่อมแซมจนสมบูรณ์ได้จนถึงวันนี้  ”  เขากล่าวต่อ
                                                    กริ๊ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! .กริ๊ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
และแล้วสัญญาณเลิกเรียนคาบเช้าก็หมดลง  เสียงนักเรียนจากห้องอื่น ๆ  เริ่มดังขึ้นเนื่องจากได้เวลาที่ทุกคน  ต่างพากันไปทานอาหารของตนแล้ว
“  เอาล่ะ  ทุกคน  อาจารย์คงสอนนักเรียนได้เพียงเท่านี้ล่ะนะ  ถ้าเรามีวาสนาจะได้พบกันก็คงจะได้พบกันอีกจนได้ล่ะนะ  ”  การูด้าบอกกล่าวแก่นักเรียน  “  อาจารย์คงต้องไปแล้วล่ะ  แล้วพบกันใหม่นะ  ”  เขากล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  เป็นธรรมชาติ
“  อาจารย์ครับ  ขอบคุณมากครับที่สั่งสอนพวกเรา  เราจะนำไปปฏิบัตินะ ครับ  ”  พวกเขากล่าวขอบคุณโดยโค้งคำนับ
“  ลาล่ะครับ  อาจารย์บิชอป  ”  การูด้ากล่าวแก่อาจารย์สูงวัย  เขาก็โค้งคำนับตอบ
จากนั้นจอมเวทย์การูด้า  ก็เปิดประตูมิติ  โดยการท่องคาถาโบราณ  จากนั้นร่างของเขาก็หายไป
“  เอ้า  นักเรียนทานข้าวได้แล้ว  เดี๋ยวมีเวลาพักน้อยนะ  ”  บิชอปกล่าวเตือน
“  ครับ / ค่ะ  ”  จากนั้นพวกเขาก็วิ่งลงไปทานข้าวกัน
“  ท่านเป็นใครกันแน่นะ  จอมเวทย์การูด้า  เท่าที่ข้ารู้มาตำนานนั่นถูลืมเลือนไปเมื่อหลายสิบปีมาแล้วนี่นา  แต่เจ้ากลับเล่าได้อย่างละเอียด  ”  เขาพูดกับตัวเอง  หลังจากที่เด็ก ๆ  ลงไปกันหมดแล้ว
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
“  ข้าจะรอเจ้านะ  เมย์เลนเดีย  ลูกรักของพ่อ  ”    ชายคนหนึ่งภายใต้ผ้าคลุมสีขาว  พูดขึ้นขณะยืนอยู่บนยอดต้นสนที่สูงตระหง่าน  กว่า  10  เมตร    ชายผ้าคลุมถูกพัดให้โบกไสวโดยแรงลม    เขายืนเหม่อลอย    สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความเศร้ายิ่งนัก
 
 
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น