ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จุดจุดจุด กับสาวคนนั้น

    ลำดับตอนที่ #1 : หาดเจ้าหลาวกับสาวคนนั้น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 42
      0
      22 ส.ค. 46

    หาดเจ้าหลาวกับสาวคนนั้น





    เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังอยู่ตรงหน้า ลมทะเลยังคงโบกพัดอย่างไม่เคยเหน็ดเหนื่อย หาดทรายยามเช้าร้างไร้ผู้คน ผิดกับวันวานที่ผมและใครต่อใครต่างพากันลงโต้คลื่นในทะเลเดียวกันนี้



    \"เจ้าหลาว\" หาดที่ผมกับเพื่อนมาเยือน เพื่อเปลี่ยนลมหายใจของตัวเองจากปนเปื้อนสารพิษ มาเป็นปนเปื้อนสายลมเค็มๆ เหนียวๆ ที่ดูดีกว่ากันมากนัก



    อ้อมกอดของตะวันยามเช้าช่างอบอุ่น ยิ่งผสมกลมกลืนไปกับบรรยากาศทะเลรายรอบ แรกสัมผัสของมันอาบไล้ไปตามยอดทิวสนที่ใบของมันลู่ลมทะเล เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมากมายมาคอยจับใบของมันไว้ และดันยอดสนให้เอนลงไปด้านหลัง จากนั้น แสงตะวันได้ใจก็ลามเลียจากยอดทิวสน เรื่อยลงสู่ลำต้น โคนต้น และผืนทราย จนกระทั่งโอบกอดท้องทะเลทั้งหมดไว้ได้



    ผมพบเธอเมื่อวาน ณ ท้องทะเลและหาดเดียวกันนี้ เธอได้เปลี่ยนลมหายใจของผมให้ปนเปื้อนด้วยความรู้สึกบางอย่าง



    บ่ายวานนี้ ผมถูกเพื่อนสองคนหิ้วปีกและจับขาโยนลงทะเล ด้วยข้อหาทำตัวปลีกวิเวกเกินเหตุ เพราะในขณะที่เพื่อนทั้งหมดกำลังเล่นน้ำกันอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น ผมกลับหลบมานั่งเป่าขลุ่ยดินเผาของผมอยู่ริมหาด สายตาจับจ้องไปที่ขอบฟ้า พร้อมบรรเลงเพลง \"คลื่นกระทบฝั่ง\" หนึ่งใน \"ตับวิวาห์พระสมุทร\" ทุกครั้งที่ผมมาทะเล ผมมักจะคิดถึงเพลงนี้ และขลุ่ยดินเผาในมือก็คลายคิดถึงให้ผมได้เป็นอย่างดี



    ในระหว่างที่นิ้วของผมสะบัดพลิ้ว ก่อให้เกิดเสียงสูงต่ำไปตามจังหวะเพลง สายตายังเหม่อลอยออกไปยังจุดเดิมคือขอบฟ้าเบื้องหน้า เสียงหวานของมันทำให้ใจนึกฝัน เป็นจินตนาการอันลึกล้ำ ดุจมหาสมุทรที่ยากจะหยั่งถึง ธรรมชาติได้สร้างสิ่งที่ไม่เคยมีมนุษย์หน้าไหนทำได้มาก่อน และผมมั่นใจเหลือเกินว่า แม้จะอีกนานสักแสนกัปแสนกัลป์ก็ยังจะเป็นเช่นนี้



    ความงามของมันปรากฏอยู่ตรงหน้า ใครหนอช่างสร้างท้องฟ้ากับท้องทะเลให้มีสีเดียวกัน ทั้งยังไล่ระดับสีเข้ม-จางไปตามระยะทาง เหมือนระดับเสียงสูงต่ำของขลุ่ยดินเผาที่กำลังดังอยู่ในโสตประสาท



    และนั่นเอง ในภวังค์แห่งความงามในโสตสัมผัสกับทัศนียภาพ เพื่อนเจ้ากรรมสองคนได้ฉุดคร่าอารมณ์สุนทรีนั้น ก่อนที่จะจับมันข่มขืนในท้องทะเลงาม ด้วยการโยนผมลงไป



    น้ำทะเลได้สวมกอดผมไว้ในอ้อมแขน ดุจเดียวกับที่แสงตะวันกระทำต่อโลกในเช้าวันนี้ จุดที่ผมถูกเพื่อนโยนลงทะเลเป็นจุดที่น้ำไม่ลึก ผมจึงลุกขึ้นยืนได้ ในใจคิดว่า ทำไมผมต้องยอมเล่นน้ำเพราะการฉุดคร่า มันเป็นการเล่นน้ำที่ขัดขืนใจใช่สมยอม



    แต่เมื่อผมต้องโต้กับคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่า คลื่นเหล่านั้นได้พาผมออกมาไกลจากกลุ่มเพื่อน ผมมองไปยังขอบฟ้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมเพิ่งเห็นว่า ผมได้เป็นส่วนหนึ่งของความยิ่งใหญ่สีครามแล้ว ภาพที่เห็นเบื้องหน้า แม้ไม่ต่างกับที่เห็นจากฝั่งเท่าใดนัก แต่ความรู้สึกของคนมองนั้นแตกต่าง ผมกล่าวขอบคุณเพื่อนสองคนนั้นกับทะเล และมันก็ตอบรับด้วยคลื่นลูกโตลูกหนึ่ง ผมคิดเอาเองว่า ทะเลก็คงเห็นด้วยอย่างมากกับคำกล่าวนั้น



    ผมมองไปที่กลุ่มเพื่อนที่กำลังสนุกจนลืมผม พวกเขากำลังเล่นกันอยู่ไกลออกไปทางด้านซ้าย ในทิศทางที่ลมทะเลพัดมา ผมค่อยเดินถอยหลังกลับฝั่งอย่างไม่รีบร้อน เพื่อสายตาจะได้จับจ้องไปที่ขอบฟ้า แล้วทะเลก็ร่วมมือกับสายลม ก่อตัวเป็นเกลียวคลื่นลูกหนึ่งในจำนวนหลายต่อหลายลูก (นั่นแสดงถึงความสามัคคีและความเสมอต้นเสมอปลายของมันทั้งสอง ที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด มันก็ยังคงเป็นเช่นเดิม) คลื่นลูกนี้ดูจะใหญ่กว่าลูกที่ตอบรับคำขอบคุณของผม มันค่อยๆ ยกตัวขึ้นจากระดับน้ำ เหมือนเป็นการท้าทายสายลมว่ามันจะสร้างพรายฟองแตกยอดคลื่นได้ไหม จนกระทั่งมิอาจต้านทานแรงลมได้ ยอดคลื่นแตกฟองนั้นจึงโถมตัวลงมาสัมผัสกับอะไรบางอย่างที่อยู่หน้าแนวคลื่นนั้น



    ห่วงยางสีดำมีลวดลายวาดด้วยสีเหลืองเป็นตัวอักษร เขียนถึงตำแหน่งแหล่งที่อันเป็นที่มาของมัน ที่เจ้าของทาไว้เพื่อบอกว่าเป็นห่วงยางให้เช่าของตน ส่วนที่ไปของห่วงยางเส้นนั้นในเวลานี้ก็คือเธอ



    เธอถูกคลื่นที่ชอบลองใจสายลมลูกนั้นซัดเข้าจากด้านหลัง ผมยาวๆ ของเธอจึงไปลู่ไปตามกระแสน้ำลงปิดหน้า เมื่อคลื่นจากไป เธอใช้มือปัดผมไปด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าเรียวยาวขาวใส ... ใสดั่งน้ำทะเลที่สามารถมองผ่านลงไปถึงพื้นทรายเบื้องล่าง ... ผมมองผ่านความขาวใสลงไปพบกับความน่ารักของเธอเข้าอย่างจัง นึกสองจิตสองใจระหว่างความงามของเธอ กับความงามของขอบฟ้ากับน้ำทะเล



    จนผมมาเริ่มแน่ใจเมื่อสังเกตเธอละเอียดขึ้น เสื้อยืดแขนสั้นสีชมพูของเธอ เผยท่อนแขนเรียวเล็กที่คอยแหวกว่ายพาตัวเองกับห่วงยางไปหาคลื่นที่จะซัดมาหา เธอนอนอยู่บนห่วงยาง ขาขาวนวลของเธอโผล่พ้นกางเกงหูรูดขาสั้นสีน้ำเงินเข้มออกมาวางพาดขอบห่วง สีดำของมันขับสีผิวของเธอให้เด่นออกมาท่ามกลางแสงแดดยามบ่าย และเมื่อคลื่นซัดมาอีกครั้ง ผมเห็นรอยยิ้มของเธอในวงหน้าขาวใสนั้น ผมตัดสินใจได้ทันที ... ตับวิวาห์พระสมุทร ... หากพระสมุทรไม่วิวาห์กับเธอแล้ว โลกนี้คงไม่มีใครเหมาะสม



    ผมนั่งลงริมหาด ปล่อยให้คลื่นน้อยนิดนั้นซัดผมเพียงแผ่วเบา ผมคว้าขลุ่ยดินเผาที่ยังแขวนอยู่ที่คอขึ้นมาอีกครั้ง สะบัดน้ำทะเลออก แล้วเริ่มบรรเลงเพลงเดิม เพื่อเป็นการฉลองพิธีวิวาห์ให้กับพระสมุทร พร้อมด้วยเจ้าสาวที่ตอนนี้เธอสวมแหวนหมั้นทำจากยางสีดำมีลวดลายสีเหลืองวงนั้น ใบหน้าของเธอช่างเปี่ยมไปด้วยความสุข ท่ามกลางท้องทะเลที่เติมเต็มด้วยสิ่งเดียวกัน ... นั่นเพียงเพราะมีเธอเป็นส่วนหนึ่ง



    คลื่นที่ถาโถมค่อยซัดเธอใกล้ฝั่งทีละน้อย แน่นอนเธอก็ยิ่งเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ ผมเห็นเธอหันมามองผม มือทั้งสองของเธอแหวกว่ายฝ่าลมและคลื่น เห็นได้ชัดว่ามีจุดหมายคือผม หัวใจของผมเหมือนจะหยุดเต้นไปเฉยๆ เสียงขลุ่ยจากเคยเรียบนิ่งแฝงความหวานในที บัดนี้กลับสั่นกระเส่า ลมหายใจไร้จังหวะจะโคน เธอลุกขึ้นจากท่านอนขาพาดห่วงยาง ถอดแหวนหมั้นจากท้องทะเลออก และเดินตรงมาหาผม ถ้าผมไม่เห็นเกลียวคลื่นที่ยังคงถาโถม ผมคงคิดว่าโลกกำลังหยุดหมุน ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังหยุดการเคลื่อนไหว รวมทั้งหัวใจของผมด้วย จะมีก็เพียงเธอ สาวน้อยสีชมพูของผม เธอกำลังเดินใกล้เข้ามา แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเมื่อขายาวๆ ของเธอหยุดอยู่ตรงหน้าผม มันเป็นเสียงที่ดึงผมออกจากอาการหายใจขาดตอน



    \"หยุดเป่าทำไมล่ะคะ\"



    เสียงขลุ่ยคงหยุดไปพร้อมกับหัวใจของผม เธอเหมือนเป็นคนที่ดึงผมกลับมาจากอุ้งมือมัจจุราช สายตาของผมจับจ้องไปที่ใบหน้าของเธอ ยิ่งใกล้ยิ่งน่ารัก ผมของเธอแม้จะเปียก แต่ยังหยักเป็นลอน สะท้อนประกายแสงตะวันยามบ่ายเป็นสีน้ำตาลเข้ม สีเดียวกับดวงตาทอประกายดุจน้ำทะเลยามต้องแสงคู่นั้น แก้มป่องน่าหยิกเล่นเบาๆ พอหายมันเขี้ยว เป็นการหยอกล้อด้วยสิเหน่หา ริมฝีปากสีชมพูอ่อนเข้ากับสีเสื้อของเธอกำลังแย้มยิ้ม แล้วเธอก็นั่งลงข้างๆ ผม



    \"เกดชอบฟังเสียงขลุ่ย ช่วยเป่าให้ฟังได้ไหม\"



    ผมทำตามคำขอร้องของเธออย่างว่าง่าย หัวใจเริ่มสูบฉีดโลหิตตามวิถีที่มันควรจะเป็น ลมหายใจกลับมาเป็นจังหวะปกติ มันเป็นลมหายใจที่สูดเอาลมหายใจของเธอเข้ามาในตัวผม แล้วย้อนกลับออกมาสู่บรรยากาศรายรอบอีกครั้งในรูปของเสียงขลุ่ย ผมเพิ่งรู้ว่า ลมหายใจของผมที่ผสมกับลมหายใจของเธอนั้น เป็นลมที่ทำให้เสียงขลุ่ยดูเพราะขึ้นได้ขนาดนี้



    ผมหันไปสบตาเธอในระหว่างบรรเลงเพลงทองย่อน เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่ผมหัดเล่นดนตรีไทยแบบจริงๆ จังๆ เธอละสายตาจากนิ้วของผมมาสบตาผมตอบ ผมพยายามค้นหาอะไรบางอย่างในดวงตาของเธอ ... สิ่งที่ผมอยากจะเห็น ... แต่ยังไม่ทันพบสิ่งใด เธอก็ลดสายตาลงต่ำ ผมมองตามเธอ ห่วงยางเส้นนั้นกำลังถูกคลื่นซัดให้ลอยออกไป เหมือนพระสมุทรจะทวงแหวนหมั้นคืนเมื่อเห็นเธอใกล้ชิดกับผม เราทั้งคู่ยกเท้าขึ้นเกี่ยวมันไว้ ขาสี่ข้างของเราจึงเข้าไปอยู่ในห่วง ... อา ... แหวนหมั้นแห่งท้องทะเล บัดนี้เปลี่ยนผู้สวมใส่เป็นเธอกับผม เราสบตากันอีกครั้ง เนิ่นนาน รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเราทั้งสอง ผมไม่คิดจะหาบางอย่างจากดวงตาของเธออีกต่อไป และใช้ความพยายามทั้งหมดบอกเล่าความในใจผ่านดวงตา เผื่อเธอจะมองเห็นถึงใจที่อยู่ในหน้าต่างบานนั้น พร้อมกับบรรเลงเพลงต่อไป เธออาจจะรู้หรือไม่รู้ความหมายที่แฝงอยู่ในเพลงนี้ แต่ผมรู้ ... ผมได้ยินสายลมกระซิบถาม จะดูแลเธอผู้นี้ตลอดไปหรือไม่ และผมก็ใช้เสียงขลุ่ยตอบไปว่าใช่ ด้วยทำนองเพลงที่ใช้ในพิธีแต่งงานในโบสถ์



    มิคาดฝัน เกือบทันทีที่เพลงนั้นจบลง เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง



    \"เกด ผมเผลอหลับไปแป๊บเดียว แอบมาเล่นน้ำอยู่นี่เอง\"



    ผมกับเธอหันไปทางต้นเสียง ก่อนที่เธอจะหันมาทางผม และพูดขึ้นว่า



    \"เกดต้องไปแล้ว คุณจะเล่นน้ำต่อใช่ไหมคะ งั้นเกดทิ้งห่วงยางไว้ให้นะ ขอบคุณสำหรับเพลงเพราะๆ โดยเฉพาะเพลงสุดท้าย ...\"



    แล้วเธอก็ลุกเดินไปหาเขา แว่วเสียงชายผู้นั้นถามถึงผม ...



    \"เพื่อนเก่า\" นั่นเป็นคำตอบของเธอ



    เธอรู้ความหมายที่แฝงอยู่ในเพลงนั้น ผมยิ้มตอบแล้วเอ่ยคำลา สายตายังคงจับจ้องไปที่เขาและเธอที่กำลังเดินจากผมไป แขนของเขาโอบไหล่ของเธอ และแขนของเธอก็โอบกระชับเข้าที่เอวของเขา ภาพนั้นค่อยเล็กลงจนลับสายตาไปในที่สุด



    เธอไม่ได้ทิ้งเพียงห่วงยางไว้เบื้องหลัง เธอได้ทิ้งพิธีแต่งงานที่ยังไม่เสร็จสิ้นของเราไป และทิ้งผม ... เจ้าบ่าวของเธอ ... ให้จ่อมจมอยู่กับร่องรอยแห่งความฝันสีคราม ที่มีเธอร่วมเป็นเจ้าของ สุดท้ายแล้ว ผมก็ไม่อาจไขว่คว้าสิ่งที่ซัดมาเอาไว้ได้ ผมได้ยินเสียงร่ำไห้ของทะเล และเสียงโศกครวญของสายลม



    ผมพบเขาและเธออีกครั้งท่ามกลางแดดอ่อนๆ ยามเช้า มือของเขาและเธอข้างหนึ่งเกาะกุมกัน ส่วนอีกข้างหนึ่งมีกระเป๋าเดินทางคนละใบ เธอกำลังจะไปจากที่นี่ ... ไปจากผม



    \"เกดไปก่อนนะ ขอบคุณอีกครั้งที่เป่าขลุ่ยให้ฟัง โดยเฉพาะเพลงนั้น ...\" เธอบอกผม เธอยังไม่ลืมเพลงสุดท้ายเพลงนั้น



    \"... เรากำลังจะแต่งงานกัน\" เธอบอกต่อ พร้อมกับมองไปที่เขาด้วยสายตาของคนรัก และเขาก็มองเธอด้วยสายตาแบบเดียวกันนี้



    ผมเข้าใจเธอผิดไป แท้จริง เธอตีความหมายของเพลงนั้นว่าเป็นการอวยพรวันแต่งงานให้เธอกับเขา ร่างของผมชาดิก เหมือนไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกแล้ว ผมยืนแข็งทื่อ โบกมือลาเธอที่นั่งอยู่ในรถซึ่งเขาเป็นคนขับออกไป ผมมองตามไปจนลับสายตา เธอจากไปแล้วกับพระสมุทรตัวจริงของเธอ ทั้งที่เมื่อวานผมเพิ่งพบเธอเป็นครั้งแรก แต่วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้พบเธอ ... เจ้าสาวเพียงวันเดียวของผม



    และเมื่อเพื่อนถามถึงเธอคนนั้น ...



    \"เพื่อนเก่า\" นั่นเป็นคำตอบของผม
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×