ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
      สายลมร้อนระลอกหนึ่งพัดพาเอาฝุ่นละอองลอยละล่องพริ้วไหวอยู่ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุในยามที่อุณหภูมิพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบวัน ภูมิประเทศที่มีเพียงแค่ทรายละเอียดอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ เมื่อมองไปในระยะไกลสุดสายตาจะเห็นแนวเส้นตรงอันเกิดจากส่วนโค้งของเปลือกโลก แบ่งแยกพื้นที่ของขอบฟ้ากับแนวผืนทรายออกจากกัน  ให้ความรู้สึกไปต่างๆนานาทั้งโดดเดี่ยว อ้างว้าง น่ากลัว และเศร้าหมอง ถึงแม้จะมีกลุ่มของก้อนหินเล็กใหญ่สลับกันประปรายก็ตาม ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตใดปรากฏ นอกจากรอยเท้าคู่หนึ่งที่ย่ำลงบนพื้นทรายละเอียด และกำลังเริ่มเลือนหายไปตามระยะทางที่ผ่านมาเพราะกระแสลม และเวลาที่ผ่านไป
      ดวงตาของเขาหรี่เล็กลงเพื่อให้แสงผ่านได้น้อยที่สุด เนื่องจากประกายร้อนแรงและรังสีจากดวงอาทิตย์ที่สะท้อนเข้าตากำลังเริ่มมีผลกระทบต่อดวงตาของเขาในขณะนี้อาจทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อนัยน์ตาได้ ชั่วพริบตาเดียวที่เขากระพริบตานั้นมีน้ำหล่อเลี้ยงใสๆเอ่อขึ้นคล้ายกับน้ำตาและเปลี่ยนเป็นข้นขึ้นจนกลายเป็นเยื่อบางๆคลุมชั้นของลูกตาคล้ายกับหนังตาชั้นที่สามของสัตว์เลื้อยคลานยุคดึกดำบรรพ์ เพียงแต่ว่าเยื่อนี้บางมากกว่าหนึ่งในพันล้านเท่าของสัตว์ยุคโบราณนั้นจนมองไม่ออกว่ามีชั้นบางๆเคลือบอยู่ จากนั้นค่อยๆเปลี่ยนสีเข้มขึ้นคลุมดวงตาทั้งสองข้าง
      เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นดูรอบตัว ตรวจสอบอุณหภูมิและสภาวะแวดล้อม เขาบอกตัวเองได้ทันทีว่า พายุ  เพอร์รี่ ในระดับไม่เกิน D 2 . . กำลังจะโหมพัดในอีกไม่กี่นาที
      เขาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเต็มกำลังเท่าที่จะทำได้เพื่อต้องการหาที่หลบพายุมฤตยูที่จะเกิดขึ้นในเวลาไม่นาน ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถรับมือได้แต่เขาก็ไม่อยากจะเสี่ยงต่อความเสียหายที่จะเกิด อีกทั้งไม่อยากจะเสียเวลา เสียพลังงาน ที่เหลือน้อยเต็มที่ ..
      สภาพแวดล้อมในช่วงระยะทางที่เขาผ่านมานั้น รอบตัวในแนวรัศมีวงกลมมีเพียงผืนทรายกว้าง มองเห็นเป็นเนินสูงต่ำ เล็กใหญ่เป็นรูปต่างกันตามแต่ทิศทางลมจะพัดไปทางใด  ทว่าบัดนี้ด้านทิศตะวันออก เขามองเห็นยอดของแนวผาหินทะมึนทอดยาวอยู่ไกลลิบ เขาเร่งเดินเต็มที่เพื่อจะหาที่หลบแต่ความอ่อนล้าที่เกิดขึ้น ทำให้เขาไปได้ไม่เร็วเท่าที่ควร
        เหลือระยะเพียงไม่ไกลเท่านั้น  อีกทั้งสัญญาณที่ได้รับก็ชัดเจนขึ้น
      แนวเทือกเขาหินที่เห็นในระยะไกล บัดนี้ทอดเหยียดยาวอยู่เบื้องหน้าเขา ในระยะไม่เกินหนึ่งร้อยเมตร เมื่อมองในระยะใกล้ ภูผานี้ดูช่างยิ่งใหญ่ สูงเสียดฟ้า แข็งแรง มั่นคง ราวกับว่าไม่มีพลังอำนาจใดๆจะสามารถทำลายมันลงได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เขาก็ตระหนักได้ดีว่า ไม่มีสิ่งใดจะคงความเป็นอมตะอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ แม้กระทั่งเครื่องจักรอันทรงประสิทธิภาพ หรือสมองกลประดิษฐ์อันฉลาดล้ำปานใด ที่เคยมีอยู่เอกภพนี้ก็ล้วนแต่มีอายุขัยของมันเอง เมื่อถึงเวลาก็ต้องดับสูญไปตามกฎของธรรมชาติ 
      แนวผาหินมีช่องเว้าแหว่งซึ่งเกิดจากการถูกพายุพัด และมีโพรงถ้ำสลับซับซ้อนอยู่มากมายหลายแห่งด้วยกัน เขาเสี่ยงเดินลึกเข้าไปในเวิ้งถ้ำหนึ่งขนาดไม่ใหญ่ ปากทางเข้ากว้างประมาณห้าเมตร พื้นเป็นทรายหยาบ ในช่วงระยะทางไม่ห่างจากปากถ้ำพอมีแสงส่องผ่านเข้าไปได้ ลึกเข้าไปด้านในนั้นมืดสนิทไม่สามารถมองเห็น เขาต้องปรับโหมดสายตาตัวเองเพื่อให้มองเห็นได้ในที่มืด ผนังถ้ำเรียบสลับกับรอยขรุขระเป็นคลื่น สมองเริ่มรู้สึกหนักขึ้นเรื่อยๆ เขาเดินลึกเข้าไปด้านในสังเกตเห็นว่าเพดานค่อยๆลาดต่ำลงเรื่อยๆระยะทางจากปากถ้ำจนถึงด้านในสุดของถ้ำ ยาวประมาณสามสิบเมตร ด้านในตัน ระยะที่เขาเดินผ่านเข้ามาปราศจากสรรพสิ่งทั้งมวล เขาค่อยๆทรุดตัวลงนั่งพิงผนังถ้ำด้านหนึ่ง ดวงตาค่อยๆปิดลงอย่างอ่อนแรง ราวกับเครื่องจักรที่กำลังหมดแรง หยุดการทำงาน และนิ่งสนิทไปในที่สุด   
เขาไม่รู้เลยว่าได้นอนสลบไสลไปนานเท่าใด และเริ่มรู้สึกเหมือนกับว่ากลไกภายในตัวเขาเริ่มทำงานขึ้นอีกครั้งเมื่อมีฝ่ามือเล็กๆเย็นเฉียบแตะที่ใบหน้า พร้อมเสียงเรียกเบาๆ
“เฮ้ .. เฮ้ .”
      เสียงแหลมเล็กดังสะท้อนเข้าแก้วหู เขาลืมตาขึ้นในบัดดลแสงที่เกิดจากคบไฟส่องสว่างจ้าจนเขาต้องหลับตาเพื่อปรับการรับแสงให้เป็นปกติ ภาพเบื้องหน้าปรากฏขึ้นทันทีราวกับการเปิดสวิตช์  เสียงเรียกนี่เองที่เป็นเสมือนมนต์ปลุกเขาขึ้นมา เขารู้สึกมึนงงอยู่ครู่ใหญ่ สมองเริ่มคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
      “เด็กหรือนี่”  เขามองปราดทั่วร่างกายและใบหน้าเจ้าของเสียง คะเนอายุจากหน้าตาน่าจะไม่เกิน 15 ขวบเป็นอย่างมาก รูปร่างเพรียวบางจนเห็นได้ชัดแม้จะสวมสวมเสื้อคลุม สีดำตัวใหญ่ยาวคลุมร่างและศรีษะ มือขวาสวมถุงมือสีดำส่วนมือซ้ายที่เปลือยเปล่ากำลังตบหน้าเขาเบาๆ ผิวหน้าภายใต้เสื้อคลุมนั้นขาวละเอียด ดวงตากลมโตสีน้ำตาลไหม้เป็นประกาย ส่อแววกระตือรือร้น ดื้อดึงและอยากรู้อยากเห็น ริมฝีปากเรียวบางได้รูปสีแดงสดนั้นส่งให้ดวงหน้าน่ามองยิ่งขึ้น
“ไอ้หนูเจ้าเป็นใคร”
“เราชื่อเรน” เรนพินิจดูชายตรงหน้า อายุคงอยู่ระหว่าง 25-28 ปีเป็นอย่างมาก รูปร่างล่ำสันแข็งแรง ส่วนสูงประมาณ 190 เซนติเมตร ผิวสีแทน ดวงตาใหญ่ยาวรีสีเขียวใส จมูกโด่ง ริมฝีปากได้รูป ผมผมสั้นสีน้ำตาลแดงตัดเป็นริ้วๆแนบตามรูปศรีษะ  “ท่านเป็นใคร มาจากไหนกัน เราไม่เคยเห็นท่านมาก่อนเลยนี่ ”
“เธอเคยเจอคน   คนอื่นด้วยหรือ เรนนี่”
“แหงอยู่แล้ว และเราก็ชื่อ เรน ไม่
“เธออยู่กับใคร เรนนี่”  ใช่เรนนี่ ” เรนยังพูดไม่ทันจบเขาก็ถามแทรกขึ้นอย่างรวดเร็ว
เรนไม่ตอบ
“ว่าไงล่ะ” เขาถามซ้ำเมื่อเห็นว่าเรนนิ่งเงียบ
“เราไม่ได้ปลุกท่านเพื่อให้มาตั้งคำถามนะ และเราคิดว่าไม่จำเป็นต้องตอบคำถามคนแปลกหน้าด้วย ”
“O.K. เอาละ ชั้นชื่อไอแซค เคยทำงานให้กับหน่วยงานสำรวจทรัพยากรยากรธรรมชาติและพัฒนามนุษย์”
“เคยทำรึ แล้วไอ้หน่วยงานสำรวจอะไรนั่นมันทำอะไรได้บ้าง”
เขามองดูเรนอย่างพินิจอีกครั้ง นิ่งเงียบเหมือนใช้ความคิดวิเคราะห์อะไรสักอย่างหนึ่งชั่วอึดใจ “เท่าที่จำได้ก็คือในเวลาที่โลกนี้เริ่มกลายเป็นทะเลทรายขนาดใหญ่ ทรัพยากรที่มีค่าหมดสิ้น คน สัตว์ พืช ตายลง เราทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ” เขากล่าว
“อืม ทำทุกอย่างเพื่อมนุษยชาติเลยหรือ ฟังดูช่างยิ่งใหญ่ซะจริง แต่สงสัยงานคงไม่ค่อยเวิรก์ซินะในเมื่อก็ .อย่างที่เห็นๆกันอยู่นะ ความจริงน่าจะเปลี่ยนเป็นหน่วยงานสำรวจมนุษย์และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติจะดีกว่ามั้ง เพราะเท่าที่เห็นนี่คงไม่มีใครพัฒนามานานแล้ว”
เจ้านี่อายุเท่าไหร่กันแน่นะ ไอแซคคิด “เอาละทีนี้ก็ตาเจ้าบ้างแล้ว ไอ้หนู เรารู้จักกันแล้ว ไม่แปลกหน้าอีกต่อไป เธออยู่กับใคร” เขาถาม 
เรียกให้มันดีกว่านี้ไม่ได้หรือไงนะ เรนคิด แต่ยังไม่ทันที่เรนจะตอบอะไรก็มีเสียงดังกระหึ่มอยู่ด้านนอกรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนภายในถ้ำที่เขาอยู่
“เกิดอะไรขึ้น”
ไอแซคสปริงตัวลุกขึ้นทันทีและวิ่งออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ได้สังเกตว่าเรนไม่ได้ตามมาด้วย
ที่มาของเสียงด้านนอกคือเครื่องยนต์ลักษณะเป็นยานเอนกประสงค์รูปทรงแบน  น่าจะเป็นทั้งยานสำรวจและกู้ภัยขนาดกะทัดรัด ด้านข้างมีอักษรคำว่า SALVAGE ผิวด้านนอกเก่ามาก สีที่ทาเคลือบไว้ลอกหลุดเป็นแห่งๆ แต่กำลังขับเคลื่อนของยานน่าจะไม่ต่ำกว่าสามหมื่นตัน ลงจอดด้านนอกเยื้องกับปากถ้ำ ประตูด้านหน้ายานเปิดออก มีหุ่นยนต์สำรวจขนาดเล็กรูปร่างคล้ายแมงมุม เคลื่อนอย่างคล่องแคล่วออกมานอกยาน และหยุดสำรวจโดยใช้เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ รังสีและสารพิษเพื่อส่งต่อไปยังยาน 
“ได้รับสัญญาณแล้ว ระดับรังษีและอุณหภูมิอยู่ในระดับที่รับได้ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต มอนิเตอร์ชัดเจนทัศนวิสัยดีมาก เราออกไปได้ นอธ”
“เดี๋ยว!  อย่าเพิ่งประมาทลืมครั้งที่แล้ว แล้วหรือไง รอดูสักสิบนาทีก่อนว่าที่ผิวของมิสเตอร์เอิร์ธบาวด์ (Earthbound) ละลายหรือเปล่า”
“ไปเหอะน่า นอธ เราใส่ ชุดพาร์ (PAR) แล้วนี่” พูดจบเขาหยิบหมวกครอบสวมปิดศีรษะ เปิดประตูทางเชื่อมสำหรับออกไปนอกยานทันที
“เฮ้  สไตรท์ เดี๋ยว”  นอธยังพูดไม่ทันจบ สไตรท์เกอร์ก็ออกไปแล้ว เขาจึงจำต้องสวมหมวกแล้วรีบตามออกไป”
“นายจับคลื่นสัญญาณอะไรได้บ้างหรือยัง สไตรท์” นอธถามผ่านไมค์ที่ติดไว้ที่หมวกทั้งที่ยังไม่ถึงด้านนอก แต่ไม่มีเสียงตอบ นอธจึงรีบออกมาด้านนอกทันที และมาทันกันตรงประตูทางออกด้านนอกยานเนื่องจากสไตร์ทเกอร์ยืนนิ่งรออยู่
“นายดูเอาเองดีกว่า นอธ”  สไตรท์เกอร์พูด เมื่อนอธมายืนตาค้างอยู่ด้านข้าง
“มี.. มี .. ..สิ่งมีชีวิต อยู่  มนุษย์ ” นอธครางเบาๆออกมา เมื่อมองเห็นไอแซค
ไอแซคขยับตรงเข้าหาทั้งสองคน ในขณะที่นอธและสไตรท์เกอร์ย่ำเท้าลงจากยานซาลเวจ (Salvage) ตรงเข้าหาไอแซคเช่นกัน
“ในนามของกลุ่มเนเดอร์ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบท่าน ผมชื่อนอธ ส่วนคนนี้คือ สไตร์ทเกอร์ ” นอธกล่าว ด้วยน้ำเสียงที่แทบจะระงับความตื่นเต้นยินดีไว้ไม่อยู่
“ไม่อยากเชื่อเลยว่ามีคนอยู่บนนี้จริงตามสัญญาณที่เครื่องจับความถี่จับได้ ถ้าอย่างนั้นเราก็คงถอดหมวกนี่ออกได้“ สไตร์ทเกอร์กล่าวพลางถอดหมวกครอบศีรษะออก นอธจึงถอดตาม
นอธรูปร่างเพรียวบางหน้าตาคมคาย มีผมสีแดงดวงตาสีฟ้าใส ผิวไม่ถึงกับขาวมากนัด ส่วนสไตร์ทเกอร์ตัวใหญ่กว่าผมสีทอง มีดวงตาและผิวสีคล้ำ เจาะหูข้างแค่ข้างเดียว
“ผมชื่อไอแซค ไม่ทราบว่าพวกคุณมาจากไหนกัน”
“พวกเราเติบโตและอาศัยอยู่ลึกประมาณ 50 กิโลเมตรใต้ผิวโลก ภายหลังจากที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดจะอาศัยอยู่บนผิวโลกได้ บรรพบุรุษของเราก็ได้อพยพลงไปเพื่อความอยู่รอด พวกเราเคยขึ้นมาข้างบนนี่บ้างแต่ไม่พบสิ่งมีชีวิตเลยนี่เป็นครั้งที่สามที่เราขึ้นมา ค่ายชั่วคราวของเราอยู่ห่างจากจุดนี้ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 700 กิโลเมตร มาทำการตรวจสภาพแวดล้อมเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการที่จะดำรงชีวิตบนนี้อีกครั้งรวมทั้งเสาะหาทรัพยากรไปพร้อมๆกัน” นอธ กล่าว
“พวกคุณสำรวจมานานแล้วหรือยัง”
“เราขึ้นมาไม่บ่อยหรอกแต่ละครั้งก็ประมาณ 2-3 เดือน ครั้งนี้เราขึ้นมาได้แค่ประมาณ 2 สัปดาห์เท่านั้น แต่ก็นับว่าสำเร็จไปขั้นนึงที่มาพบคุณ นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากของเรา”
“ผมก็โชคดีมากที่พวกคุณมาเจอเข้าพอดี”
สไตร์ทเกอร์ยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนถามว่า “คุณคิดว่าตัวเองโชคดีหรือ ? ผมคิดว่าพวกผมซิโชคดีกว่าคุณ“
“ทำไม”
“ในการค้นหาสิ่งมีชีวิตเราใช้เครื่องตรวจจับสัญญาณการเคลื่อนไหวเมื่อเกิดการเคลื่อนที่ของวัตถุแม้จะเล็กน้อยเพียงใดเครื่องก็จะจับสัญญาณนี้ได้ ขีดจำกัดสูงสุดนั้นสามารถจับการเคลื่อนที่ได้ไกลถึงระยะ 10,000 กิโลเมตร นับว่าเป็นระยะที่ไกลมากใช่ไหมล่ะ แต่ข้อเสียของมันก็คือ แบบว่า..รู้ไหมครั้งนึงเราต้องบินไปไกลเป็นพันๆกิโลเพื่อไปพบว่ามีก้อนหินขนาดกำปั้นก้อนนึงเคลื่อนที่หล่นจากหน้าผาหรือไม่ก็เสี่ยงแทบตายเพื่อที่จะรู้ว่ามีประจุไฟฟ้าในอากาศเคลื่อนที่ชนกันในรัศมี1 กิโลเมตร ในระยะหลังๆเลยต้องมีการปรับปรุงกันใหญ่”
ไอแซคนิ่งฟังโดยไม่แสดงความรู้สึกอันใด ทำให้สไตร์ทเกอร์ผิดหวังเล็กน้อยเมื่อคาดว่าไอแซคจะแสดงความตื่นเต้นแม้เพียงเล็กน้อยกับสิ่งประดิษฐ์ที่เขากล่าว ในขณะที่นอธคิดว่าไอแซคนั้นไม่น่าจะธรรมดา อีกทั้งยังสามารถเก็บความรู้สึกได้ดีมาก ในระหว่างที่ทั้งสามคนยืนคุยกันอยู่นั้นก็มีลมร้อนๆพัดมาวูบหนึ่งพาเอาฝุ่นทรายปลิวลอยขึ้นเป็นระลอก ไอแซคเงยหน้าขึ้นทันที เขารู้สึกถึงความอึดอัดที่เริ่มเกิดขึ้นภายในร่างกาย
“มีอะไรผิดปรกติหรือ” นอธถาม
“ผมคิดว่าเราน่าจะย้ายไปคุยกันที่อื่นดีกว่า รู้สึกว่าภาวะอากาศแปรปรวนชอบกล อาจมีประจุไฟฟ้าในอากาศปริมาณมาก อาจทำให้เครื่องยนต์มีปัญหา”
“ฮ้า คุณรู้สึกได้ขนาดนั้นเลยหรือ ไม่หรอกมั้ง ไม่เห็นมีอะไรผิดปรกติเลยนี่นา”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกจากค่ายใหญ่ดังขึ้นจากวิทยุสื่อสารขนาดเล็กที่คาดติดกับข้อมือของนอธและสไตร์ทเกอร์  “จากวอร์ริเออร์เรียกซาลเวจ ได้ยินแล้วตอบด้วย”
“จากซาลเวจได้ยินแล้ว ว่าไป” นอธกดปุ่มตอบรับ
“มีพายุประจุไฟฟ้าในอากาศจำนวนมากบริเวณใกล้ๆกับที่คุณอยู่ จะถึงคุณภายในไม่เกิน 10 นาทีนี้ อาจเกิดความเสียหายต่อระบบได้ขอให้ย้ายออกนอกบริเวณนั้นอย่างน้อย 500 R ด่วนที่สุด ขอย้ำย้ายออกด่วนที่สุด”
“พายุเพอร์รี่ ... รีบไปเร็ว”
นอธและสไตร์ทเกอร์ขยับตรงเข้าหายานทันทีในขณะที่ไอแซคยืนนิ่ง พะวักพะวงจะวิ่งกลับไปในถ้ำเพราะไม่เห็นเรนออกมา แต่สไตร์ทเกอร์หันมาเห็นพอดีจึงกึ่งดึงกึ่งลากไอแซคขึ้นยานอย่างรวดเร็ว ในขณะที่นอธวิ่งเข้าไปด้านในยานเตรียมการเปิดสวิตซ์เดินเครื่องยนต์เต็มประสิทธิภาพ เพื่อบินออกโดยเร็วที่สุดท่ามกลางเสียงเสียดสีกันของประจุไฟฟ้าที่ดังไล่หลังยาน และถ้าโชคดีพวกเขาคงรอดพ้นจากเพอร์รี่สตรอม
      ดวงตาของเขาหรี่เล็กลงเพื่อให้แสงผ่านได้น้อยที่สุด เนื่องจากประกายร้อนแรงและรังสีจากดวงอาทิตย์ที่สะท้อนเข้าตากำลังเริ่มมีผลกระทบต่อดวงตาของเขาในขณะนี้อาจทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อนัยน์ตาได้ ชั่วพริบตาเดียวที่เขากระพริบตานั้นมีน้ำหล่อเลี้ยงใสๆเอ่อขึ้นคล้ายกับน้ำตาและเปลี่ยนเป็นข้นขึ้นจนกลายเป็นเยื่อบางๆคลุมชั้นของลูกตาคล้ายกับหนังตาชั้นที่สามของสัตว์เลื้อยคลานยุคดึกดำบรรพ์ เพียงแต่ว่าเยื่อนี้บางมากกว่าหนึ่งในพันล้านเท่าของสัตว์ยุคโบราณนั้นจนมองไม่ออกว่ามีชั้นบางๆเคลือบอยู่ จากนั้นค่อยๆเปลี่ยนสีเข้มขึ้นคลุมดวงตาทั้งสองข้าง
      เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นดูรอบตัว ตรวจสอบอุณหภูมิและสภาวะแวดล้อม เขาบอกตัวเองได้ทันทีว่า พายุ  เพอร์รี่ ในระดับไม่เกิน D 2 . . กำลังจะโหมพัดในอีกไม่กี่นาที
      เขาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเต็มกำลังเท่าที่จะทำได้เพื่อต้องการหาที่หลบพายุมฤตยูที่จะเกิดขึ้นในเวลาไม่นาน ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถรับมือได้แต่เขาก็ไม่อยากจะเสี่ยงต่อความเสียหายที่จะเกิด อีกทั้งไม่อยากจะเสียเวลา เสียพลังงาน ที่เหลือน้อยเต็มที่ ..
      สภาพแวดล้อมในช่วงระยะทางที่เขาผ่านมานั้น รอบตัวในแนวรัศมีวงกลมมีเพียงผืนทรายกว้าง มองเห็นเป็นเนินสูงต่ำ เล็กใหญ่เป็นรูปต่างกันตามแต่ทิศทางลมจะพัดไปทางใด  ทว่าบัดนี้ด้านทิศตะวันออก เขามองเห็นยอดของแนวผาหินทะมึนทอดยาวอยู่ไกลลิบ เขาเร่งเดินเต็มที่เพื่อจะหาที่หลบแต่ความอ่อนล้าที่เกิดขึ้น ทำให้เขาไปได้ไม่เร็วเท่าที่ควร
        เหลือระยะเพียงไม่ไกลเท่านั้น  อีกทั้งสัญญาณที่ได้รับก็ชัดเจนขึ้น
      แนวเทือกเขาหินที่เห็นในระยะไกล บัดนี้ทอดเหยียดยาวอยู่เบื้องหน้าเขา ในระยะไม่เกินหนึ่งร้อยเมตร เมื่อมองในระยะใกล้ ภูผานี้ดูช่างยิ่งใหญ่ สูงเสียดฟ้า แข็งแรง มั่นคง ราวกับว่าไม่มีพลังอำนาจใดๆจะสามารถทำลายมันลงได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เขาก็ตระหนักได้ดีว่า ไม่มีสิ่งใดจะคงความเป็นอมตะอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ แม้กระทั่งเครื่องจักรอันทรงประสิทธิภาพ หรือสมองกลประดิษฐ์อันฉลาดล้ำปานใด ที่เคยมีอยู่เอกภพนี้ก็ล้วนแต่มีอายุขัยของมันเอง เมื่อถึงเวลาก็ต้องดับสูญไปตามกฎของธรรมชาติ 
      แนวผาหินมีช่องเว้าแหว่งซึ่งเกิดจากการถูกพายุพัด และมีโพรงถ้ำสลับซับซ้อนอยู่มากมายหลายแห่งด้วยกัน เขาเสี่ยงเดินลึกเข้าไปในเวิ้งถ้ำหนึ่งขนาดไม่ใหญ่ ปากทางเข้ากว้างประมาณห้าเมตร พื้นเป็นทรายหยาบ ในช่วงระยะทางไม่ห่างจากปากถ้ำพอมีแสงส่องผ่านเข้าไปได้ ลึกเข้าไปด้านในนั้นมืดสนิทไม่สามารถมองเห็น เขาต้องปรับโหมดสายตาตัวเองเพื่อให้มองเห็นได้ในที่มืด ผนังถ้ำเรียบสลับกับรอยขรุขระเป็นคลื่น สมองเริ่มรู้สึกหนักขึ้นเรื่อยๆ เขาเดินลึกเข้าไปด้านในสังเกตเห็นว่าเพดานค่อยๆลาดต่ำลงเรื่อยๆระยะทางจากปากถ้ำจนถึงด้านในสุดของถ้ำ ยาวประมาณสามสิบเมตร ด้านในตัน ระยะที่เขาเดินผ่านเข้ามาปราศจากสรรพสิ่งทั้งมวล เขาค่อยๆทรุดตัวลงนั่งพิงผนังถ้ำด้านหนึ่ง ดวงตาค่อยๆปิดลงอย่างอ่อนแรง ราวกับเครื่องจักรที่กำลังหมดแรง หยุดการทำงาน และนิ่งสนิทไปในที่สุด   
เขาไม่รู้เลยว่าได้นอนสลบไสลไปนานเท่าใด และเริ่มรู้สึกเหมือนกับว่ากลไกภายในตัวเขาเริ่มทำงานขึ้นอีกครั้งเมื่อมีฝ่ามือเล็กๆเย็นเฉียบแตะที่ใบหน้า พร้อมเสียงเรียกเบาๆ
“เฮ้ .. เฮ้ .”
      เสียงแหลมเล็กดังสะท้อนเข้าแก้วหู เขาลืมตาขึ้นในบัดดลแสงที่เกิดจากคบไฟส่องสว่างจ้าจนเขาต้องหลับตาเพื่อปรับการรับแสงให้เป็นปกติ ภาพเบื้องหน้าปรากฏขึ้นทันทีราวกับการเปิดสวิตช์  เสียงเรียกนี่เองที่เป็นเสมือนมนต์ปลุกเขาขึ้นมา เขารู้สึกมึนงงอยู่ครู่ใหญ่ สมองเริ่มคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
      “เด็กหรือนี่”  เขามองปราดทั่วร่างกายและใบหน้าเจ้าของเสียง คะเนอายุจากหน้าตาน่าจะไม่เกิน 15 ขวบเป็นอย่างมาก รูปร่างเพรียวบางจนเห็นได้ชัดแม้จะสวมสวมเสื้อคลุม สีดำตัวใหญ่ยาวคลุมร่างและศรีษะ มือขวาสวมถุงมือสีดำส่วนมือซ้ายที่เปลือยเปล่ากำลังตบหน้าเขาเบาๆ ผิวหน้าภายใต้เสื้อคลุมนั้นขาวละเอียด ดวงตากลมโตสีน้ำตาลไหม้เป็นประกาย ส่อแววกระตือรือร้น ดื้อดึงและอยากรู้อยากเห็น ริมฝีปากเรียวบางได้รูปสีแดงสดนั้นส่งให้ดวงหน้าน่ามองยิ่งขึ้น
“ไอ้หนูเจ้าเป็นใคร”
“เราชื่อเรน” เรนพินิจดูชายตรงหน้า อายุคงอยู่ระหว่าง 25-28 ปีเป็นอย่างมาก รูปร่างล่ำสันแข็งแรง ส่วนสูงประมาณ 190 เซนติเมตร ผิวสีแทน ดวงตาใหญ่ยาวรีสีเขียวใส จมูกโด่ง ริมฝีปากได้รูป ผมผมสั้นสีน้ำตาลแดงตัดเป็นริ้วๆแนบตามรูปศรีษะ  “ท่านเป็นใคร มาจากไหนกัน เราไม่เคยเห็นท่านมาก่อนเลยนี่ ”
“เธอเคยเจอคน   คนอื่นด้วยหรือ เรนนี่”
“แหงอยู่แล้ว และเราก็ชื่อ เรน ไม่
“เธออยู่กับใคร เรนนี่”  ใช่เรนนี่ ” เรนยังพูดไม่ทันจบเขาก็ถามแทรกขึ้นอย่างรวดเร็ว
เรนไม่ตอบ
“ว่าไงล่ะ” เขาถามซ้ำเมื่อเห็นว่าเรนนิ่งเงียบ
“เราไม่ได้ปลุกท่านเพื่อให้มาตั้งคำถามนะ และเราคิดว่าไม่จำเป็นต้องตอบคำถามคนแปลกหน้าด้วย ”
“O.K. เอาละ ชั้นชื่อไอแซค เคยทำงานให้กับหน่วยงานสำรวจทรัพยากรยากรธรรมชาติและพัฒนามนุษย์”
“เคยทำรึ แล้วไอ้หน่วยงานสำรวจอะไรนั่นมันทำอะไรได้บ้าง”
เขามองดูเรนอย่างพินิจอีกครั้ง นิ่งเงียบเหมือนใช้ความคิดวิเคราะห์อะไรสักอย่างหนึ่งชั่วอึดใจ “เท่าที่จำได้ก็คือในเวลาที่โลกนี้เริ่มกลายเป็นทะเลทรายขนาดใหญ่ ทรัพยากรที่มีค่าหมดสิ้น คน สัตว์ พืช ตายลง เราทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ” เขากล่าว
“อืม ทำทุกอย่างเพื่อมนุษยชาติเลยหรือ ฟังดูช่างยิ่งใหญ่ซะจริง แต่สงสัยงานคงไม่ค่อยเวิรก์ซินะในเมื่อก็ .อย่างที่เห็นๆกันอยู่นะ ความจริงน่าจะเปลี่ยนเป็นหน่วยงานสำรวจมนุษย์และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติจะดีกว่ามั้ง เพราะเท่าที่เห็นนี่คงไม่มีใครพัฒนามานานแล้ว”
เจ้านี่อายุเท่าไหร่กันแน่นะ ไอแซคคิด “เอาละทีนี้ก็ตาเจ้าบ้างแล้ว ไอ้หนู เรารู้จักกันแล้ว ไม่แปลกหน้าอีกต่อไป เธออยู่กับใคร” เขาถาม 
เรียกให้มันดีกว่านี้ไม่ได้หรือไงนะ เรนคิด แต่ยังไม่ทันที่เรนจะตอบอะไรก็มีเสียงดังกระหึ่มอยู่ด้านนอกรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนภายในถ้ำที่เขาอยู่
“เกิดอะไรขึ้น”
ไอแซคสปริงตัวลุกขึ้นทันทีและวิ่งออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ได้สังเกตว่าเรนไม่ได้ตามมาด้วย
ที่มาของเสียงด้านนอกคือเครื่องยนต์ลักษณะเป็นยานเอนกประสงค์รูปทรงแบน  น่าจะเป็นทั้งยานสำรวจและกู้ภัยขนาดกะทัดรัด ด้านข้างมีอักษรคำว่า SALVAGE ผิวด้านนอกเก่ามาก สีที่ทาเคลือบไว้ลอกหลุดเป็นแห่งๆ แต่กำลังขับเคลื่อนของยานน่าจะไม่ต่ำกว่าสามหมื่นตัน ลงจอดด้านนอกเยื้องกับปากถ้ำ ประตูด้านหน้ายานเปิดออก มีหุ่นยนต์สำรวจขนาดเล็กรูปร่างคล้ายแมงมุม เคลื่อนอย่างคล่องแคล่วออกมานอกยาน และหยุดสำรวจโดยใช้เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ รังสีและสารพิษเพื่อส่งต่อไปยังยาน 
“ได้รับสัญญาณแล้ว ระดับรังษีและอุณหภูมิอยู่ในระดับที่รับได้ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต มอนิเตอร์ชัดเจนทัศนวิสัยดีมาก เราออกไปได้ นอธ”
“เดี๋ยว!  อย่าเพิ่งประมาทลืมครั้งที่แล้ว แล้วหรือไง รอดูสักสิบนาทีก่อนว่าที่ผิวของมิสเตอร์เอิร์ธบาวด์ (Earthbound) ละลายหรือเปล่า”
“ไปเหอะน่า นอธ เราใส่ ชุดพาร์ (PAR) แล้วนี่” พูดจบเขาหยิบหมวกครอบสวมปิดศีรษะ เปิดประตูทางเชื่อมสำหรับออกไปนอกยานทันที
“เฮ้  สไตรท์ เดี๋ยว”  นอธยังพูดไม่ทันจบ สไตรท์เกอร์ก็ออกไปแล้ว เขาจึงจำต้องสวมหมวกแล้วรีบตามออกไป”
“นายจับคลื่นสัญญาณอะไรได้บ้างหรือยัง สไตรท์” นอธถามผ่านไมค์ที่ติดไว้ที่หมวกทั้งที่ยังไม่ถึงด้านนอก แต่ไม่มีเสียงตอบ นอธจึงรีบออกมาด้านนอกทันที และมาทันกันตรงประตูทางออกด้านนอกยานเนื่องจากสไตร์ทเกอร์ยืนนิ่งรออยู่
“นายดูเอาเองดีกว่า นอธ”  สไตรท์เกอร์พูด เมื่อนอธมายืนตาค้างอยู่ด้านข้าง
“มี.. มี .. ..สิ่งมีชีวิต อยู่  มนุษย์ ” นอธครางเบาๆออกมา เมื่อมองเห็นไอแซค
ไอแซคขยับตรงเข้าหาทั้งสองคน ในขณะที่นอธและสไตรท์เกอร์ย่ำเท้าลงจากยานซาลเวจ (Salvage) ตรงเข้าหาไอแซคเช่นกัน
“ในนามของกลุ่มเนเดอร์ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบท่าน ผมชื่อนอธ ส่วนคนนี้คือ สไตร์ทเกอร์ ” นอธกล่าว ด้วยน้ำเสียงที่แทบจะระงับความตื่นเต้นยินดีไว้ไม่อยู่
“ไม่อยากเชื่อเลยว่ามีคนอยู่บนนี้จริงตามสัญญาณที่เครื่องจับความถี่จับได้ ถ้าอย่างนั้นเราก็คงถอดหมวกนี่ออกได้“ สไตร์ทเกอร์กล่าวพลางถอดหมวกครอบศีรษะออก นอธจึงถอดตาม
นอธรูปร่างเพรียวบางหน้าตาคมคาย มีผมสีแดงดวงตาสีฟ้าใส ผิวไม่ถึงกับขาวมากนัด ส่วนสไตร์ทเกอร์ตัวใหญ่กว่าผมสีทอง มีดวงตาและผิวสีคล้ำ เจาะหูข้างแค่ข้างเดียว
“ผมชื่อไอแซค ไม่ทราบว่าพวกคุณมาจากไหนกัน”
“พวกเราเติบโตและอาศัยอยู่ลึกประมาณ 50 กิโลเมตรใต้ผิวโลก ภายหลังจากที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดจะอาศัยอยู่บนผิวโลกได้ บรรพบุรุษของเราก็ได้อพยพลงไปเพื่อความอยู่รอด พวกเราเคยขึ้นมาข้างบนนี่บ้างแต่ไม่พบสิ่งมีชีวิตเลยนี่เป็นครั้งที่สามที่เราขึ้นมา ค่ายชั่วคราวของเราอยู่ห่างจากจุดนี้ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 700 กิโลเมตร มาทำการตรวจสภาพแวดล้อมเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการที่จะดำรงชีวิตบนนี้อีกครั้งรวมทั้งเสาะหาทรัพยากรไปพร้อมๆกัน” นอธ กล่าว
“พวกคุณสำรวจมานานแล้วหรือยัง”
“เราขึ้นมาไม่บ่อยหรอกแต่ละครั้งก็ประมาณ 2-3 เดือน ครั้งนี้เราขึ้นมาได้แค่ประมาณ 2 สัปดาห์เท่านั้น แต่ก็นับว่าสำเร็จไปขั้นนึงที่มาพบคุณ นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากของเรา”
“ผมก็โชคดีมากที่พวกคุณมาเจอเข้าพอดี”
สไตร์ทเกอร์ยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนถามว่า “คุณคิดว่าตัวเองโชคดีหรือ ? ผมคิดว่าพวกผมซิโชคดีกว่าคุณ“
“ทำไม”
“ในการค้นหาสิ่งมีชีวิตเราใช้เครื่องตรวจจับสัญญาณการเคลื่อนไหวเมื่อเกิดการเคลื่อนที่ของวัตถุแม้จะเล็กน้อยเพียงใดเครื่องก็จะจับสัญญาณนี้ได้ ขีดจำกัดสูงสุดนั้นสามารถจับการเคลื่อนที่ได้ไกลถึงระยะ 10,000 กิโลเมตร นับว่าเป็นระยะที่ไกลมากใช่ไหมล่ะ แต่ข้อเสียของมันก็คือ แบบว่า..รู้ไหมครั้งนึงเราต้องบินไปไกลเป็นพันๆกิโลเพื่อไปพบว่ามีก้อนหินขนาดกำปั้นก้อนนึงเคลื่อนที่หล่นจากหน้าผาหรือไม่ก็เสี่ยงแทบตายเพื่อที่จะรู้ว่ามีประจุไฟฟ้าในอากาศเคลื่อนที่ชนกันในรัศมี1 กิโลเมตร ในระยะหลังๆเลยต้องมีการปรับปรุงกันใหญ่”
ไอแซคนิ่งฟังโดยไม่แสดงความรู้สึกอันใด ทำให้สไตร์ทเกอร์ผิดหวังเล็กน้อยเมื่อคาดว่าไอแซคจะแสดงความตื่นเต้นแม้เพียงเล็กน้อยกับสิ่งประดิษฐ์ที่เขากล่าว ในขณะที่นอธคิดว่าไอแซคนั้นไม่น่าจะธรรมดา อีกทั้งยังสามารถเก็บความรู้สึกได้ดีมาก ในระหว่างที่ทั้งสามคนยืนคุยกันอยู่นั้นก็มีลมร้อนๆพัดมาวูบหนึ่งพาเอาฝุ่นทรายปลิวลอยขึ้นเป็นระลอก ไอแซคเงยหน้าขึ้นทันที เขารู้สึกถึงความอึดอัดที่เริ่มเกิดขึ้นภายในร่างกาย
“มีอะไรผิดปรกติหรือ” นอธถาม
“ผมคิดว่าเราน่าจะย้ายไปคุยกันที่อื่นดีกว่า รู้สึกว่าภาวะอากาศแปรปรวนชอบกล อาจมีประจุไฟฟ้าในอากาศปริมาณมาก อาจทำให้เครื่องยนต์มีปัญหา”
“ฮ้า คุณรู้สึกได้ขนาดนั้นเลยหรือ ไม่หรอกมั้ง ไม่เห็นมีอะไรผิดปรกติเลยนี่นา”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกจากค่ายใหญ่ดังขึ้นจากวิทยุสื่อสารขนาดเล็กที่คาดติดกับข้อมือของนอธและสไตร์ทเกอร์  “จากวอร์ริเออร์เรียกซาลเวจ ได้ยินแล้วตอบด้วย”
“จากซาลเวจได้ยินแล้ว ว่าไป” นอธกดปุ่มตอบรับ
“มีพายุประจุไฟฟ้าในอากาศจำนวนมากบริเวณใกล้ๆกับที่คุณอยู่ จะถึงคุณภายในไม่เกิน 10 นาทีนี้ อาจเกิดความเสียหายต่อระบบได้ขอให้ย้ายออกนอกบริเวณนั้นอย่างน้อย 500 R ด่วนที่สุด ขอย้ำย้ายออกด่วนที่สุด”
“พายุเพอร์รี่ ... รีบไปเร็ว”
นอธและสไตร์ทเกอร์ขยับตรงเข้าหายานทันทีในขณะที่ไอแซคยืนนิ่ง พะวักพะวงจะวิ่งกลับไปในถ้ำเพราะไม่เห็นเรนออกมา แต่สไตร์ทเกอร์หันมาเห็นพอดีจึงกึ่งดึงกึ่งลากไอแซคขึ้นยานอย่างรวดเร็ว ในขณะที่นอธวิ่งเข้าไปด้านในยานเตรียมการเปิดสวิตซ์เดินเครื่องยนต์เต็มประสิทธิภาพ เพื่อบินออกโดยเร็วที่สุดท่ามกลางเสียงเสียดสีกันของประจุไฟฟ้าที่ดังไล่หลังยาน และถ้าโชคดีพวกเขาคงรอดพ้นจากเพอร์รี่สตรอม
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น