ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความใฝ่ฝันของฝันฝาย

    ลำดับตอนที่ #1 : ความฝันของฉัน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 60
      0
      11 ก.ค. 46

        เสียงกริ่งดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกให้ครูและนักเรียนรู้ว่า เวลาแห่งการทำงานและการเรียนหนังสือของวันนี้ได้หมดลงแล้ว ทุกคนที่ไม่มีภาระหน้าที่ที่ต้องสะสางจัดการต่อ ต่างก็กระวีกระวาดเก็บข้าวของเพื่อเดินทางกลับบ้านของตน นักเรียนที่อยู่ชั้นเล็กๆส่วนใหญ่ออกไปวิ่งเล่นในสนามดินลูกรังสีแดงที่เรียกกันว่ามันคือสนามกีฬาโรงเรียน บ้างก็เดินไปยังอาคารปศุสัตว์ซึ่งมีเพิงและหลังคามุมจากเป็นที่หลบแดดฝน เพื่อเก็บผลิตภัณฑ์จากผู้มีพระคุณ เป็ด ไก่ ไปขายในตลาด แต่สำหรับฝันฝายแล้ว เธอยังไม่กลับบ้านและการวิ่งเล่นหรือการเก็บไข่ไปขายในตลาดก็ไม่ใช่จุดมุ่งหมายของเธอ  แต่ฝันฝายมีเรื่องที่น่าตื่นเต้นยินดีที่จะได้พบเจอต่อจากนี้อีก เธอรีบเก็บข้าวของเช่นเดียวกับคนอื่นๆ และตรงไปยังห้องผู้อำนวยการโรงเรียนทันที

        “สวัสดีค่ะ หนูฝันฝาย ห้อง ม.6/1 มาพบ ผอ. ค่ะ” เธอเดินเข้าไปในห้องห้องหนึ่งซึ่งประตูเปิดค้างอยู่ เธอยกมือไหว้ชายวัยกลางคนสวมเชิ้ตสีขาว กางเกงสีเทาที่อยู่เบื้องหน้า ชายคนนั้นรับไหว้ตอบ

        “สวัสดี นั่งก่อนสิหนู” เขา ชี้ไปยังเก้าอี้ไม้ที่อยู่ตรงข้ามโต๊ะทำงานของเขา เมื่อฝันฝายนั่งลงแล้วเขาก็เริ่ม พูดกับเธอทันที

        “ผอ. เรียกหนูมาวันนี้ก็เพราะ ได้ยินเรื่องมาจากอาจารย์ที่ปรึกษาว่าหนูสนใจที่จะเรียนต่อทางด้านศิลปการแสดง ก็... อยากจะคุยและทำความเข้าใจกับหนูให้ดีเสียก่อนน่ะนะ ว่าหนูตัดสินใจตรงนี้แน่นอนรึยัง”

        “ค่ะ หนูตัดสินใจแล้วค่ะ หนูอยากเป็นนักแสดง” เธอตอบชัดถ้อยชัดคำด้วยความมั่นใจ แววตาของเธอส่องประกายเต็มไปด้วยความใฝ่ฝัน ใกล้จะเป็นความจริงแล้วสินะ ในวันนั้น ตอนเธอเล็กๆที่ได้มีโอกาสสัมผัสงานด้านการแสดงครั้งแรกโดยการเข้าชมละครเวทีที่กรุงเทพฯ เธอเห็นความสามารถและความวิเศษณ์ของผู้คนที่อยู่บนเวทีที่สร้างโลกแห่งจินตนาการของพวกเค้าเอง เป็นความสวยงาม ความหัศจรรย์และความประทับใจที่ไม่มีวันลืม ตั้งแต่นั้นมาเธอก็ใฝ่ฝันมาตลอดว่าจะต้องเป็นเหมือนคนเหล่านั้นให้ได้

        “อืม... ผอ. ก็ดีใจนะที่หนูมีความมุ่งมั่นตั้งใจจริง แต่ก็ยังเสียดายความสามารถหนูอยู่ เพราะหนูน่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังๆได้เลย จะเรียนแพทย์หรือเรียนครูก็ดีทั้งนั้น อีกอย่างการจะเป็นนักแสดงมืออาชีพมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย” ผอ. พูดด้วยความมีเมตตาอย่างใจเย็น

        “หนูทราบค่ะ แต่หนูอยากจะเป็นนักแสดงจริงๆ หนูคิดว่าถ้าหนูไม่ได้เลือกทางนี้หนูต้องเสียใจแน่ๆเลยค่ะ” ฝันฝายยังคงยืนยันความคิดเดิม มาถึงตอนนี้แล้วไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจเธอได้

        “ผอ. ก็ไม่ได้ห้ามหนูหรอกนะ ถ้าอยากเดินทางนี้ ผอ. ก็จะสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง ในกรุงเทพฯก็มี มหาวิทยาลัยที่สอนด้านนี้โดยตรงก็เยอะ แล้วผอ. จะหาข้อมูลให้ละกันนะ ว่าแต่อีกเรื่องหนึ่ง ทางบ้านหนูเค้าว่ายังไงบ้างละ เห็นอาจารย์บอกว่า พ่อแม่หนูน่ะ ท่านค่อนข้างจะ...”

        “ค่ะ คุณแม่ท่านไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ ส่วนคุณพ่อท่านก็ห่วงอนาคตของหนู ท่านบอกว่าจะคุยกับแม่ให้ คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาค่ะ”

        “ก็นั่นสินะ เราเองก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจแล้วสิ เอาเถอะๆ ดีแล้วลูก ผอ. ก็อยากให้หนูได้ทำในสิ่งที่หนูต้องการนะ ไม่มีอะไรแล้วล่ะกลับบ้านไปเถอะ” ผอ. ยิ้มให้อีกครั้ง ผู้อำนวยการโรงเรียนนี้เป็นผู้ที่เสียสละมาก เพราะการมาอยู่ประจำโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลอย่างนี้ต้องพบกับความยากลำบากมากกว่าเป็นครูในกรุงเทพฯ หรือโรงเรียนในตัวเมืองอื่นๆ ฝันฝายเคยได้ยินผู้อำนวยการพูดครั้งหนึ่งว่า “ผอ. รักที่จะสอนเด็ก และดูแลพวกเราซึ่งมีไม่มากนัก อยากจะให้ความอบอุ่นให้พวกเรารักโรงเรียนและเป็นคนดี โดยที่ไม่หวังความสบายหรือค่าตอบแทนใดๆ” ด้วยเหตุนี้ทำให้ นักเรียนที่นี่มีความรักเคารพในผู้อำนวยการโรงเรียนมาก

        “ขอบคุณ ค่ะ งั้นหนูขอลานะคะ” เธอยกมือไหว้ก่อนจะหยิบกระเป๋าที่อยู่ข้างลำตัวแล้วลุกยืนหันหลังเดินกลับไป

        บ้านของฝันฝายอยู่ไม่ห่างจากโรงเรียนมากนักเธอจึงเดินไปและเดินกลับเอง ครอบครัวของเธอมีพ่อแม่  น้องชาย 1 คน คือ ฟางฟาย และน้องสาวอีก 2 คน ฟูฟ่อง และเฟื่องฟ้า ทั้งหมดอายุห่างกันไม่มาก ทั้งพ่อของเธอรับราชการเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนประถมในอำเภอนั้น ส่วนแม่นั้นมีอาชีพค้าขายข้าวแกงโดยใช้พื้นที่หน้าบ้านเป็นที่ตั้งของร้านค้า ฐานะทางบ้านไม่จัดว่าแต่ก็ไม่ถึงกับลำบากมากนัก ถือว่ายังดีกว่าเพื่อนของเธออีกหลายๆคน ที่บางคนไม่มีแม้แต่ รองเท้าจะใส่ไปโรงเรียน ฝันฝายพอใจในครอบครัวของเธอ เธอรักหมู่บ้านและพี่น้องทุกคน แต่เธอก็ไม่ได้ต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ตลอดไปเธอใฝ่ฝันที่จะไปยังโลกที่มันสมัยและสวยงาม ที่ที่เธอมีชื่อเสียงและโชว์ความสามารถบนเวทีอย่างมีความสุขได้

        ฝันฝายกลับถึงบ้านช้ากว่าปกติเล็กน้อย กลิ่นหอมของข้าวแกงจมูกลอยคุ้นจมูก ผู้คนมากมายนั่งทานข้าวและบ้างก็กำลังตะโกนสั่งอาหาร ร้านของเธอแทบจะเป็นร้านข้าวแกงร้านเดียวในหมู่บ้านเลยก็ว่าได้ ผู้คนจึงหนาแน่นมากเป็นปกติ น้องๆสองคนของเธอกำลังวิ่งวุ่นอยู่กับการเสิร์ฟอาหารอย่างขยันขันแข็ง ส่วนแม่ของฝันฝายก็กำลังผัดกับข้าวอย่างขะมักเขม้นด้วยความชำนาญ ขาดแต่น้องสาวคนสุดท้องของฝันฝาย เฟื่องฟ้า เพราะส่วนใหญ่เธอมักจะไปขลุกอยู่ที่บ้านเพื่อนซักคนหนึ่งหรือไม่ก็หลบไปอยู่ที่อื่น ฝันฝายจึงไม่ค่อยแปลกใจนัก เธอวางกระเป๋านักเรียนแล้วขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ลงมาช่วยแม่และพี่น้องคนอื่นๆทำงานจนกระทั่งเย็นปิดร้าน

        “เฮ้อ! ขายหมดซะที พักนี้รู้สึกคนจะเข้าเยอะมากกว่าแต่ก่อนนะแม่” ฟางฟาย น้องชายของฝันฝายพูดขึ้น ขณะที่กำลังพับโต๊ะเก็บ แม่ก็ได้แต่ยิ้มตอบเพราะกำลังยุ่งอยู่กับการนับเงินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงในวันนี้

        “โถ่... ก็ตอนนี้เหลือร้านเราร้านเดียวแล้วนี่นา ป้าสายที่ขายก๋วยเตี๋ยวก็ย้ายไปอยู่ในตลาดแล้ว คนอยากจะกินก็ต้องนั่งรถเข้าไปเสียเงินเสียทองอีก อย่างนี้ ใครๆก็มาหาแต่เราแล้วแหล่ะ” ฟูฟ่อง ลูกสาวคนกลางกล่าวขึ้น พร้อมกับเก็บถ้วยชามเข้าไปยังตู้

        “ต้องบอกว่า ร้านเราเนี่ยสุดยอดต่างหากละฟู ใครจะทำกับข้าวเก่งอย่างแม่เรา เนี่ยนะ เอาไว้พี่ เรียนจบมาจะมาเปิดร้านให้ใหญ่ขึ้นกว่านี้อีกจ้างลูกจ้างซัก 7-8 คน แม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อย เราก็คอยนับเงินอย่างเดียวดีมั้ยล่ะ” ฟางฟาย พูดกับน้องสาว น้ำเสียงเชิงหยอกเล่นแต่แววตาจริงจัง

    “อ่าว แล้วพี่ฟางไม่เรียนหมอ แล้วเหรอ อย่างนั้นแม่จะได้ดีใจกว่านะ ส่วนร้านน่ะฟูจัดการเองก็ได้ จะเอาร้านให้ใหญ่กว่าพี่ฟางเลย คอยดูดิ”

    “โถ่เอ๊ย! แก นี่พูดจริงๆหรือ มากวนพี่หา!  อย่างพี่น่ะเรียนหมง เรียนหมอได้ที่ไหน นู่นแหน่ะ ต้องอย่างพี่ฝันโน่น ปล่อยเจ๊แกไปเรียนน่ะ ดีที่สุดโอกาสจบน่ะมีมากกว่าพี่แน่นอน ใช่มั้ยพี่ฝัน” ฟางฟายพูดพลาง ยักคิ้วให้พี่สาว แต่ฝันฝายก็ไม่พูดว่ากระไรได้แต่ยิ้มให้น้องชาย

    “ไหนพี่ฝันบอกว่าจะเป็นดาราไม่เรียนหมอ ไงล่ะ หรือว่าเปลี่ยนใจแล้ว” ฟูฟ่อง ถามพี่สาว

    “เปล่าจ้ะ” ฝันฝายตอบ ขณะที่งานของเธอเสร็จสิ้น เตรียมพร้อมที่จะขึ้นบ้าน

    “เปล่านี่คืออะไร เปล่าอยากเป็นดาราหรือว่า เปล่าเปลี่ยนใจที่จะเป็นดารา” ฟางถาม น้ำเสียงเริ่มมีความสงสัยในตัวพี่สาว

    “พี่ตัดสินใจแล้ว ว่าพี่จะไปเรียนเป็นนักแสดงต่อที่กรุงเทพฯ จะเป็นดารา จะทำเงินให้ได้มากกว่าหมอบางคน แล้วก็มากกว่าขายข้าวแกงอีกคอยดูสิ” ฝันฝายบอกน้องทั้งสอง

    “ใครอนุญาตให้ลูกทำอย่างนั้น” แม่ผละจากการนับเงิน ถามฝันฝายเสียงเขียว

    “แม่คะ ฝันว่าเราคุยกันเรียบร้อยแล้วนะ วันนี้หนูก็ไปคุยกับ ผอ. แล้วด้วยเค้าก็ยังบอกจะหาที่เรียนให้หนูเลย” ฝันฝาย ตอบอย่างใจเย็น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอต้องทะเลาะกับแม่เรื่องอนาคตของเธอ

    “แต่แม่ไม่เห็นด้วยกับฝันนะ เป็นหมอมันไม่ดีตรงไหน อยากสบายเหรอ คนเราน่ะต้องลำบากก่อนสบายสิ อีกอย่างดาราน่ะมันไม่ได้เป็นกันง่ายๆนะ ต้องคนมีกะตังค์ทั้งนั้นแหล่ะ แม่ก็อยากให้แกได้คิด ไม่อยากจะบังคับ แต่ก็ปล่อยไม่ได้ต้องเตือนสติแกด้วย”

    “แม่จ๋า หนูเข้าใจแม่นะ แต่ก็ขอให้แม่เชื่อมั่นในตัวหนูเถอะ เวทีประกวดก็มีเยอะแยะ ถ้าเข้ากรุงเทพฯได้แล้วเส้นทางอะไรๆมันก็ง่ายกว่าที่คิดแหล่ะ”

    “ฟู ก็ว่าสวยๆอย่างพี่ฝันน่ะเป็นดาราได้สบายเลย จริงๆนะ เพื่อนฟูยังบอกเลยว่าพี่ฝันน่ะสวยกว่าดาราบางคนซะอีก เนี่ยยังมีคนแอบอิจฉาตั้งเยอะ” ฟูฟ่องพูดด้วยความภูมิใจในตัวพี่สาว

    “แต่พี่ไม่เห็นด้วย พี่ฝันจะไปเป็นดาราพี่รู้มั้ย ว่ามันอันตรายมากแค่ไหนเวลาที่ทำงานน่ะ ไหนจะเสี่ย ไหนจะผู้กำกับมันคอยจ้องจะลวนลามอีก ฟางได้ข่าวมาก็เยอะ ยังไงๆก็ว่าพี่ฝันน่าจะเรียนอย่างอื่นมากกว่า แล้วพี่จะทิ้งพวกเราไปกรุงเทพฯด้วยเหรอนั่นยิ่งบ้าใหญ่” ฟางฟาย พูดอย่างไม่เห็นด้วย ตั้งแต่เล็กจนโต เขาเป็นคนที่สนิทกับพี่สาวมากที่สุด เขาไม่อยากให้พี่สาวต้องไปทำงานในอาชีพที่เสี่ยงและดูห่างไกลกับเขามากนัก ถึงแม้จะรู้ว่าพี่สาวเขาใฝ่ฝันมากแค่ไหนก็ตาม

    “พี่ฟางก็พูดซะน่ากลัวเชียว ใจเย็นๆ น่า...นะ” ฟูฟ่องพูดเมื่อเริ่มเห็นว่าพี่ชายท่าจะเริ่มมีอารมณ์โกรธแล้ว

    “เอาเถอะๆ ไว้ให้พ่อพวกแกกลับมาแล้ว ค่อยคุยกันอีกที แม่ไม่รู้จะพูดกับแกยังไง ว่าแต่น้องสาวลูกหายไปไหนล่ะ แม่เฟื่องฟ้าน่ะกลับดึกอีกแล้วเหรอ น่านักเชียวยัยคนนี้” แม่พูดพลางมองออกไปนอกประตูและแล้วก็เห็นรถของพ่อขับเข้ามาพร้อมกับเฟื่องฟ้า นั่งมาข้างๆ

    “นั่นไงแม่ยัยฟ้ากลับมาแล้ว อ่าวร้องไห้ด้วยแน่ะไม่รู้ว่าเป็นอะไร” ฟางฟายพูด พร้อมกับวิ่งเข้าไปหาพ่อและน้องสาว พ่อเปิดประตูลงจากรถ แล้วพาน้องสาวของพวกเขาลงมา สภาพของเฟื่องฟ้า ทรุดโทรมไปหมด มีรอยฟกช้ำตามหน้าตาและร่างกาย เธอสะอื้นไห้ไม่ยอมหยุด

    “ฝัน ฟาง ฟู พาน้องขึ้นบ้านทีซิ” พ่อบอกพี่ชายทั้งสองคน

    “เกิดอะไรขึ้นคะพ่อ” ฝันฝายถามอย่างตกใจ ในขณะที่แม่ก็ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก

    “ไม่มีอะไรหรอก ไปมีเรื่องกับนักเรียนหญิงรุ่นพี่น่ะ 5 รุมหนึ่งเลย แต่ไม่ต้องห่วงครูเค้าจัดการทำทัณฑ์บนพวกนั้นไว้เรียบร้อยแล้ว”

    “ทำกันขนาดนี้ทำไมไม่แจ้งตำรวจเลยล่ะ โถ่ ยัยฟ้าเอ๊ย!” แม่เอื้อมมือไปแตะตัวลูกสาว น้ำตาคลอด้วยความสงสารเสียจนจับใจ

    “ก็ไม่รู้จะว่ายังไงนะ เพราะคนเริ่มหาเรื่องก่อนดันเป็นลูกสาวเราเสียนี่ เอาเถอะ พ่อคิดว่าโรงเรียนเค้าได้จัดการทุกอย่างอย่างยุติธรรมแล้วนะ ไม่ต้องห่วงไปหรอก” พ่อพูดแล้ว ปิดประตูรถ แล้วเดินขึ้นบ้านมาพร้อมๆกับฝันฝายและแม่

    “ไม่รูจะทำไงกับลูกคนนี้ดี เอาเถอะว่าแต่ฝันล่ะลูก วันนี้พ่อแวะไปที่โรงเรียนหนูตอนไปรับน้องตอนเย็นเจอผู้อำนวยการโรงเรียนเค้าบอกพ่อเรียบร้อยแล้ว หนูยังยืนยันกับพ่ออย่างเดิมนะ” พ่อถามเธอเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง พ่อของฝันเป็นครูที่ใจดีมีเหตุผล เป็นพ่อที่เข้าใจลูกๆ อยู่เสมอ ฝันฝายรู้สึกสบายใจมากเมื่อได้คุยกับพ่อ

    “ค่ะ พ่อ หนูมั่นใจแน่นอนค่ะ” ฝันฝายตอบพร้อมกับยิ้มอย่างสดใส

    “งั้นก็ดีแล้ว ทำตามอย่างที่หนูต้องการเถอะ เมื่อหนูมีฝันก็จงทำให้ได้ดังฝันนั้นเหมือนชื่อที่พ่อเลือกให้หนูยังไงล่ะ แต่ก็จงจำไว้นะ ว่าเส้นทางข้างหน้าอาจเจอะอุปสรรคมากมาย คนรอบข้างก็ไว้ใจไม่ค่อยได้ แต่ก็สู้อย่าถอยล่ะ เชื่อมั่นและทำตามที่ใจหนูต้องการเถอะ ไว้เมื่อไหร่ที่ไม่ไหวจริงๆ ก็กลับมาบ้านเราละกันนะลูก พ่อแม่ยังคอยลูกอยู่เสมอ” พ่อยิ้มอย่างอ่อนโยน พ่อรู้ดีว่าลูกสาวมีความฝันและความตั้งใจจริงมากมายแค่ไหน

    “ขอบคุณค่ะพ่อ หนูจะไม่ทำให้พ่อผิดหวังเลย”

    “พ่อลูกคิดกันเองเลยนะ เอาเถอะ แม่ก็การศึกษาน้อยเรียนมาไม่สูงนักเหมือนพ่อเค้า ได้แต่หวังอยากให้ลูกได้เรียนสูงๆ แต่เป็นแบบนี้แล้วอยากจะทำอะไรก็ทำเถอะแม่ก็หวังอยากให้แกมีความสุขละกัน แม่จะไปดูยัยฟ้าแล้ว เฮ้อ!” แม่พูดเชิงประชดเล็กน้อย แต่นิสัยของแม่ก็เป็นอย่างนี้แหล่ะ การจะเปลี่ยนความคิดใครนั้นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว ฝันฝายและพ่อต่างก็รู้ข้อนี้ดี เธอก็ได้แต่ภาวนาให้วันเวลาแห่งความสำเร็จมาถึงเร็วๆเพื่อเป็นข้อพิสูจน์แก่ตัวเธอให้แม่ได้ประจักษ์ และวันนั้นก็ต้องมาถึงได้ในไม่ช้านี้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×