ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วันวาน...โปรดกลับคืน

    ลำดับตอนที่ #1 : ฉันคนเดิม...ไม่เปลี่ยนแปลง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 17
      0
      27 ธ.ค. 48

    เม…..รู้มั้ยเราชอบพระอาทิตย์จังเลย โดยเฉพาะตอนมันกำลังจะตกเนี่ย แสงพระอาทิตย์สลัวๆ  สีส้มอ่อนๆ ดูแล้วสบายตาสบายใจจัง



                                                        เสียงนั้นยังคงก้องกังวาลในหูเมอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้





    “เม…..”

    หญิงสาวร่างสูงโปร่งเรียกเพื่อนสนิทของเธอที่กำลังยืนชมวิวอยู่ที่ระเบียงอพาร์ตเมนต์



    “………………………………………………….”

    มีเพียงลมและเสียงเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาพัดผ่านหูเข้ามา ไม่มีแม้แต่เสียงตอบกลับของเพื่อนสาวเธอ



    “เมมมมมมมมมมมมม”  เธอผู้นั้นเรียกเพื่อนสุดที่รักอีกครั้งหนึ่ง

    “…………………………………………………..”  



              เธอหันไปมองเพื่อนของเธอ แล้วส่ายหน้าน้อยๆ กึ่งเอือมระอา  สายตาของหญิงสาวผู้ถูกถูกเรียก จ้องมองไปเบื้องหน้า ชมวิวของพระอาทิตย์ซึ่งกำลังจะตก  ซึ่งรอบล้อมด้วยตึกสูง เธอจ้องมองโดยไม่มีจุดมุ่งหมาย เหมือนกับกำลังรำลึกรื้อฟื้นเรื่องอะไรซักอย่างอยู่  ท่าทางของเธอดูมีความสุขเสียเหลือเกิน  แต่ในสายตานั้น ก้อเหมือนมีอะไรบางอย่างซ่อนลึกอยู่ภายใน



    เม…..รู้มั้ยเราชอบพระอาทิตย์จังเลย โดยเฉพาะตอนมันกำลังจะตกเนี่ย แสงพระอาทิตย์สลัวๆ  สีส้มอ่อนๆ ดูแล้วสบายตาสบายใจจัง



    เมื่อเรียกแล้วไม่มีสิ่งโต้ตอบ หญิงสาวจึงใช้มือเอื้อมไปสะกิดเพื่อนที่เธอเรียกว่าเม  เมจึงตื่นจากห้วงแห่งความคิด



    “อะไรจ๊ะ ปรินซ์  แหม….กำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่พอดี”

    “นี่ ยัยเม ชั้นเรียกเธอไปหลายสิบรอบแล้ว เธอไม่ได้ยินชั้นเลยหรือยังไง ฮะ….”

    “อ้าวหรอ  เธอเรียกชั้นหรอ โทษทีไม่ได้ยิน แฮะ…..ปรินซ์ดูพระอาทิตย์สิ ซ๊วยสวย เมไม่ได้ชมพระอาทิตย์ตกอย่างนี้ตั้งนานแล้ว”  สีหน้าของเมเหมือนกำลังหวนคิดในเรื่องอดีตอันแสนสุขอยู่



    “ไม่ได้ดูเลย……ตั้งแต่……..ตั้งแต่…..”

    “ตั้งแต่….”



    “ตั้งแต่อะไรยะหล่อน ทำเป็นคนติดอ่างไปได้”

    “อืม…..ช่างเหอะ” แววตาของเมกลับมาสู่ปัจจุบัน

    “เนี่ยปรินซ์รู้ป่าว เมชอบจัง  ถึงแม้ว่าเราจะอยู่บนตึกใจกลางเมืองที่มีรถอยู่เบื้องล่างเต็มถนนไปหมดอ่ะนะ  แต่เราก็ยังหาความสุขเล็กๆน้อยๆ กับธรรมชาติใกล้ตัวได้  ว่ามะ…”

    “ชั้นก้อว่าอย่างงั้นแหละ  เอาเป็นว่าชั้นจะแวะมาชมพระอาทิตย์ตกกับเธอทุกๆครั้งที่ชั้นไม่มีเที่ยวบินแล้วกัน”

    สายตาของเมละจากภาพวิวเบื้องหน้า มาหาเพื่อนของเธอ เหมือนกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้



    “เออ…นี่  เธอเพิ่งบินไปญี่ปุ่นใช่มั้ยยะ  ไหนล่ะ ของฝากกก….” เมแบมือของของฝากจากเพื่อน  สีหน้ากึ่งเล่นกึ่งจริง

    “อืม….แหะ….ไม่มีอ่ะ  ชั้นไม่มีเวลาเลยแม้แต่ออกไปเดินชมบ้านเมืองเค้า พอถึงญี่ปุ่น ก็พักอยู่ที่นั่นหนึ่งคืน แล้วก็บินกลับมาเมืองไทยเนี่ยแหละ เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน  ชั้นจะซื้อของตุ๊กตาคิตตี้ที่เธอชอบมาฝาก  นะจ๊ะะะะ…”

    “แหม…ปรินซ์  เมก็ถามไปอย่างนั้นแหละ เธอก็แก้ตัวซะยาวเชียว  แต่น่าเสียดายแทนเธอจังนะ  ไปโตเกียวทั้งที ไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย”

    ปรินซ์ทำหน้าผิดหวังเล็กน้อย  “นั่นสินะ….แถมไฟลต์นี้ยังเจอผู้โดยสารเรื่องมากอีกด้วย   ใครบอกว่าเป็นแอร์โฮสเตดสบายเนี่ยนะ  รู้ไว้เลยว่าคนนั้นโกหก  ภายนอกอาจจะดูโก้หรูนะ  แต่งตัวสวยๆเดินไปไหนก็มีแต่คนมอง แต่จริงๆแล้วน่ะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดหรอก  คนที่ไม่ได้เป็นอย่างชั้นน่ะไม่รู้หรอก…..เหนื่อยไม่ใช่เล่น”

    “โธ่ ปรินซ์ ทำเป็นบ่นไปได้  เธอก็ได้เป็นอย่างที่ฝันไว้แล้วไง เมื่อก่อนเห็นบ่นอยู่ได้ทุกวันว่าอยากเป็น…..….คนรับใช้บนเครื่องบิน”  

    เมพูดแล้วมองตาปรินซ์อยู่ครู่หนึ่ง  ส่วนปรินซ์ก็จ้องเมตาไม่กระพริบเช่นกัน  เมซึ่งพูดแหย่ปรินซ์ก็รู้อยู่ทันทีว่าจะเกิดอะไรต่อไป จึงรีบวิ่งเข้าหนีเข้ามาในห้อง

    “เธอว่าอะไรนะยัยเม เดี๋ยวเถอะ โดนแน่”  



    ปริ๊นซ์ วิ่งไล่ตามเมเข้ามาในห้อง   ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้คือ  สาวเต็มตัวสองคนกำลังวิ่งไล่จับกันเหมือนเด็กๆ  ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไรนัก  ถึงแม้ว่าเมและปรินซ์จะเรียนจบมาสองปีแล้ว  แต่นิสัยเด็กๆ และอะไรหลายๆอย่างในตัวของสาวทั้งสองก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง….รวมทั้งมิตรภาพระหว่างปรินซ์และเมด้วย…….





    ปรินซ์กลับไปแล้ว  เหลือเพียงเมซึ่งอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำ  กำลังใช้ไดร์เป่าผมที่เปียกจากการสระผม  สายตาจ้องมองผ่านหน้าต่างกระจก ออกไปเบื้องนอก จากห้องที่อยู่สูงจากพื้นดินนับ 10 ชั้น



       ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว  มีเพียงแสงไฟจากตึกใจกลางเมือง และรถยนต์ที่กำลังวิ่งไปมาอยู่เบื้องล่าง  ท่ามกลางคืนที่เงียบเหงา แม้ว่าเบื้องล่างจะครึกครื้น   แต่มันไม่….สำหรับเม  เมไม่เคยรู้สึกเหงาเช่นนี้มาก่อนเลย  แม้ว่าเธอจะอยู่อพาร์ตเมนต์คนเดียวแล้วมีเพื่อนอย่างปรินซ์แวะมาหาเป็นครั้งคราว  



       เธอแยกจากครอบครัวมาอยู่คนเดียวตั้งแต่เริ่มทำงาน  เพราะจากบ้านของพ่อและแม่นั้นใช้เวลานานกว่าจะมาถึงที่ทำงาน  เธอจึงเช่าอพาร์ตเมนต์ขนาดกลางอยู่คนเดียวเพื่อความสะดวกในการเดินทาง



        อพาร์ตเมนต์ที่เมอาศัยอยู่นั้น  ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบนเขตพระนครริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา    จากห้องของเธอ สามารถมองเห็นมุมอันสวยงามของกรุงเทพยามกลางคืน  แต่เมมักไม่ได้สนใจสักเท่าไร  ปกติเธอจะปิดม่าน  ไม่ได้มีโอกาสชมวิวพระอาทิตย์ตกเช่นเย็นวันนี้



        “อะไรทำให้ฉันเป็นแบบนี้…..เหงาเหลือเกิน”  เมคิดในใจพลางดูเรือของโรงแรมที่แล่นไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา  มีผู้คนหนาแน่นกำลังทานอาหารอย่างเป็นสุขอยู่ในเรือ   ดูพวกเค้ามีความสุขจัง….



         เมหันกลับเข้ามาในห้องแล้วเดินไปชงน้ำสมุนไพรร้อน  เมมักจะดื่มอะไรอุ่นๆก่อนเข้านอนเสมอ ตั้งแต่สมัยเรียน  เมเดินมาที่เตียง   วางถ้วยไว้ที่โต๊ะข้างเตียงแล้วหยิบหนังสือเล่มโปรดของเธอ พร้อมกับทิ้งตัวลงบนเตียง   กึ่งนั่งกึ่งนอน  สายตาเธอมองไปยังตัวหนังสือ  แต่เหมือนกับไม่ได้รับรู้สิ่งที่กำลังอ่านอยู่  ตาเธอจ้องอยู่ที่เดียว  ความคิดร่องลอย







    เม…..รู้มั้ยเราชอบพระอาทิตย์จังเลย โดยเฉพาะตอนมันกำลังจะตกเนี่ย แสงพระอาทิตย์สลัวๆ  สีส้มอ่อนๆ ดูแล้วสบายตาสบายใจจัง





        คำพูดของเด็กหนุ่มคนนั้นเข้ามาในความคิดของเม  ทำให้เมหวนรำลึกเรื่องเก่าๆในอดีตที่เมมิอาจลืม  ตาของเมยังจ้องไปยังตัวหนังสือ  ราวกับไม่ได้รับรุ้เรื่องราวในหนังสือเลย  แต่ก็มีรอยยิ้มก็ปรากฎขึ้นที่มุมปาก  ซักพักความสุขน้อยๆบนใบหน้าเธอก็เลือนหายไป กลับกลายเป็นใบหน้าที่ดูเหงาหงอยเศร้าโศก  และน้ำที่เอ่อในนัยน์ตาของเธอ





    “เธออยู่ไหน  อยู่ที่ไหน  เป็นอย่างไร  เธอยังคิดถึงเราอยู่บ้างมั้ย………เมยังเหมือนเดิมนะ……ไม่เคยเปลี่ยนเลย……สำหรับเธอ”



        เมตื่นจากห้วงแห่งความคิดพร้อมกับค้นพบต้นเหตุแห่งความเหงาของเธอ   ใช่…..เหตุผลที่เธอชอบพระอาทิตย์ตกในยามค่ำคืน  เพราะ……

        วันนี้..ถึงแม้ว่าคนที่ชมพระอาทิตย์ตกกับเธอจะไม่ใช่เค้าคนนั้น  แต่มันก็ทำให้เธออดที่จะคิดถึงวันนั้นไม่ได้   วันนั้น….วันนั้น….วันที่ทำให้เธอ…..





    ………..กริ๊งงงงงงงงง….กริ๊งงงงงงงงงงง…..กริ๊งงงงงงงงง…………





    เธอตื่นจากภวังค์แล้วลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์  



        “คุณน้องขา  พรุ่งนี้อย่าลืมเอาต้นฉบับตอนใหม่มานะค๊าาาาา  คุณพี่จะตีพิมพ์แล้วค่ะะะะะ”



          เสียงของบ.ก. จากสำนักพิมพ์แหลมสูงปี๊ดมาตามสาย จนเม แสบแก้วหู  ต้องเลี่ยงโทรศัพท์ให้ห่างจากหูหน่อย

        “ค่ะๆ พี่  พรุ่งนี้เมจะเข้าไป”  เมตอบอย่างเซ็งๆ  “แล้วเจอกันนะคะ”



         เมเป็นนักเขียนอิสระ   เขียนคอลัมน์เกี่ยวกับเรื่องความรักให้กับนิตยสารทั่วไปส่วนใหญ่ถ้าหากเขียนคอลัมน์จะเป็นเรื่องรักๆใคร่ๆ  ทั้งๆที่…..ทั้งๆที่….ตัวเธอเองก็ยังไม่มีแฟน  อยู่ตัวคนเดียวเป็นโสด  จะเรียกได้ว่า  ไม่มีความรักในปัจจุบันเลยก็ว่าได้ถึงแม้ว่าจะมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มาติดพันเธอก็เถอะ  แต่เธอก็เว้นช่องว่างให้เป็นได้แค่ ‘เพื่อน’ เท่านั้น



          เธอเคยมีแฟน….ครั้งแรก  ครั้งเดียว   และคงเป็นครั้งสุดท้าย  เธอคิดอย่างนี้เสมอมา   ในชีวิตนี้เธอจะไม่แต่งงาน  ถ้าไม่ใช่กับ…..เค้าคนนั้น

          

    วันรุ่งขึ้นเมตื่นนอนแต่เช้า   ในขณะที่เมกำลังใช้กุญแจล๊อกห้อง เธอก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน  มาจากห้องข้างๆ



                “นี่ชั้นไม่ใช่ของเล่นของใครนะยะ  ถ้าคิดว่าจะเล่นๆกับฉันล่ะก้อ……..”



         ซักพักเธอก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งผลุนผลันออกจากห้อง  เสื้อผ้ายับยู่ยี่  ปิดประตูดังโครม   จากนั้นก็มีผู้ชายหน้าตาคมเข้มวิ่งตามออกมา ตะโกนเรียกชื่อผู้หญิงคนนั้น

        ‘นึกว่าอะไร  แฟนทะเลาะกันนี่เอง’  เมคิด



        “เฮ้อ….โชคไม่ดีแต่เช้าเลยเรา” เมบ่นกับตัวเอง

        เธอออกจากบ้านแต่เช้าเพราะกลัวจะไปส่งต้นฉบับสาย  ยิ่งออกเช้าเท่าไรโอกาสที่รถติดก็มีน้อยลงเท่านั้น  ซักพักรถฮอนด้าสีเทาคันงามก็พาเธอมาถึงสำนักงาน  เธอรี่ตรงไปที่ห้องของ บ.ก.





       “สวัสดีค่ะ พี่หนู  ต้นฉบับเสร็จแล้วค่ะ นี่ค่ะ”

       “ไหนขอคุณพี่ดูซิค๊าาา  ดีม๊ากค่ะคุณน้องขา  คุณพี่จะลงตีพิมพ์ฉบับหน้าเลยนะค๊าาา  ว่าแต่ว่าเป็นยังไงบ้างค๊า คุณน้อง  ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สบายดี?”

       “ก็เรื่อยๆน่ะค่ะ  ช่วงนี้ก็รับงานไม่มาก  กำลังเขียนเรื่องเป็นของตัวเองอยู่”

       “หร๊อค๊า  คุณน้อง  เขียนสำเร็จเมื่อไหร่  ก็อย่าลืมบอกคุณพี่ด๊วยนะคะ  คุณพี่จะรออ่านค๊า  และถ้าถูกใจ  คุณพี่จะช่วยหาสำนักพิมพ์ลงให้น๊าา”

       “ค่ะ  ไว้แต่งเสร็จเมื่อไร  เมจะโทรมาบอกนะคะ “

       “โอเคจ๊ะ  เนี่ย…มีคนเขียนมาคุยกับคุณน้องตั้งหลายคนเดือนนี้  คงปลื้มกับคอลัมน์ของคุณน้องอ่ะนะ  อ่ะจ้ะ.”  พี่หนูยื่นจดหมายซึ่งมีประมาณสิบฉบับให้เม  ซึ่งเมก็ไม่แปลกใจเพราะคนอ่านคอลัมน์ของเธอเขียนมาคุยกับเธอเป็นประจำ  

       “ขอบคุณค่ะ พี่หนู  งั้นเมขอตัวนะคะ  แล้วเจอกันค่ะ”

    “จ๊าาา  บายยย…”



        พี่หนูเป็น บ.ก.อยู่นิตยสารนี้มานานพอสมควร  เสียงของหล่อนมักทำให้ผู้ที่ได้ยินแสบแก้วหูได้  เมนึกแล้วก็ขำ  พี่หนูเนี่ย….จะเรียกว่าผู้ชายก็ได้ผู้หญิงก็ไม่เชิง   น่าจะเรียกว่าผู้หชิงซะมากกว่า



        งานของเมนั้นไม่ต้องใช้อะไรมาก  อุปกรณ์ของเธอมีเพียง แล็ปท๊อปตัวจิ๊วเท่านั้น  เธอมักจะหิ้วมันไปในที่ต่างๆในแต่ละวัน  บางวันเธอก็หามุมสงบๆในร้านกาแฟ  บางวันก็ที่สวนสาธารณะใกล้อพาร์ตเมนต์  บางวันเธอก็ลงทุนขับรถออกไปแถบชาญเมืองย่านบางขุนเทียน  เขียนหนังสือท่ามกลางบรรยากาศทะเลกลางกรุงฯ

        วันนี้เธอเลือกที่จะทำงานในร้าน coffee shop ใจกลางเมือง  สถานที่ทำงานของเธอไม่มีจุดตายตัว  มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเธอ      



        เธอเลือกมุมในร้านที่สงบที่สุด  เป็นที่โต๊ะที่มีที่นั่งสำหรับคนสองคน  สามารถมองเห็นรถแล่นไปมาบนถนน   เธอบรรจงเขียนเรื่องที่แต่งค้างไว้  ยกถ้วยคาร์ปูชิโน่ขึ้นมาจิบเป็นระยะระยะ





        ขณะที่เธอกำลังมองออกไปยังถนนอันวุ่นวายพร้อมกับคิดอะไรเรื่อยเปื่อย

    เธอรู้สึกว่ามีใครบางคนเข้ามานั่งโต๊ะเดียวกับเธอกำลังจ้องหน้าเธออยู่  แล้ว……







             “น้องเม…..”







    เค้าคนนั้นรู้จักชื่อเธอเสียด้วย   เมรู้สึกแปลกใจ ปนกับตกใจเป็นอย่างยิ่ง







    “น้องเม จริงๆด้วย  ไม่ได้เจอตั้งนาน……”





          เมหันหน้ากลับเข้ามาจากภาพถนนอันเต็มไปด้วยรถโดยอัตโนมัติ  แววตาของเมจ้องมองไปยังชายหนุ่มผู้นั้น  ตะลึงในภาพที่อยู่เบื้องหน้า  ทันใดนั้นเมรู้สึกว่าหูอื้อไม่ได้ยินเสียงภายนอกแม้กระทั่งเสียงของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า  ‘มันไม่ใช่ความฝันใช่ไหม’   ความตกใจกลับกลายเป็นความปลื้มปิดติอย่างบอกไม่ถูก   เมพูดไม่ออก  รู้สึกเหมือนเวลาหยุดอยู่กับที่  นัยน์ตาของเมเป็นประกาย





                  “พี่ภูมิ…..”





    ก็พี่น่ะสิ  จะเป็นใครล่ะ  หรือน้องเมคิดว่าไม่ใช่พี่  หล่อๆอย่างเนี๊ยไม่ใช่พี่แล้วจะเป็นใครที่ไหนล่ะจ๊ะ”

        เมหายใจได้ปลอดโปร่งยิ่งขึ้น



       “ค่าาาา  พี่ภูมิน่ะหล่อม๊ากกก  ไปหมดเลย…. ยังเหมือนเดิมเลยนะ  หลงตัวเองไม่เปลี่ยนแปลงเลย”  

        ทั้งสองต่างจ้องหน้ากัน แลกเปลี่ยนยิ้มซึ่งกันและกัน  ไร้ซึ่งคำพูด……

        

        พี่ภูมิไม่เปลี่ยนเลย  ใบหน้าที่ดูขี้เล่นแต่แฝงไปด้วยความสุภาพอ่อนโยนยังเหมือนเดิม  รอยยิ้มอันอบอุ่นในอดีตที่ตราตรึงอยู่ในใจเธอมาถึงทุกวันนี้ ยังคงไม่เปลี่ยน   สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือทรงผม  เมื่อก่อนพี่ภูมิตัดผมสั้นเกรียนเพราะต้องเรียน ร.ด.  ตัวพี่ภูมิสูงขึ้นไม่น้อยนับตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งสุดท้าย  

        

        เมมองลึกเข้าไปในแววตาสีน้ำตาลเข้มของชายรุ่นพี่   แววตานั้นเปลี่ยนไป  เมื่อก่อนแววตาของพี่ภูมิดูร่าเริงไร้ความกังวล  แต่บัดนี้….แม้ว่าใบหน้าของพี่ภูมิกำลังยิ้มก็ตาม  แววตานั้นก็ดูเหมือนกับมีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบ  กลุ้มใจ  เศร้าหมองลง  ไม่เหมือนก่อน …..อาจเป็นเพราะหนุ่มน้อยคนนี้ในอดีตกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วก็ได้



        เมละสายตาจากใบหน้าพี่ภูมิ  แล้วหยิบถ้วยคาปูชิโน่ขึ้นมาจิบ  รอยยิ้มของเธอยังคงอยู่บนใบหน้า



       “เมไม่ได้เจอพี่ภูมินานมากแล้วนะเนี่ย…..ตั้งแต่เมื่อไหร่น้าาาา…”  เมทำท่าครุ่นคิดเชิงเล่นๆ

        

        รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มลดลง  แววตาลำรึกถึงความหลัง

       “ก็ตั้งแต่…วันนั้นไง….พี่ไม่เคยลืมเลย”  เสียงของชายหนุ่มเย็นชา  



         เมชวนคุยเปลี่ยนเรื่อง

        “เมว่านานมากแล้วนะ  รู้สึกว่าตั้งแต่เมจบมัธยมมา  เราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย”

        “ว่าแต่ว่าพี่ภูมิทำงานอะไรอยู่คะตอนนี้…”



        “ไม่บอก  หลอกให้งง…..เมลองทายสิจ๊ะว่าพี่ทำอะไร”

        “เมขอเดานะ….เมว่า….พี่ภูมิคงมีกิจการเป็นของตัวเอง  แล้วก็บริหารเองแน่เลย ใช่มั้ย”



        “ปิ๊งป่อง….เมรู้ได้ยังไงเนี่ย  เหลือเชื่อจริงๆ” ชายรุ่นพี่ทำเสียงเหลือเชื่อแบบโอเว่อ



       “ไม่น่าถามเลย  เมได้ยินจากปากพี่ภูมิไม่รู้กี่ร้อยรอบว่าโตขึ้นพี่ภูมิอยากเป็นนักธุรกิจ   ก็ตอนที่เรา…..”

        เมสีหน้าตก  “ก็ตอนที่เรายัง…”  เมไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นคำพูดยังไงดี….



       “อืม….พอดีวันนี้พี่มากับลูกค้าน่ะ เม  นั่งอยู่โต๊ะโน้นแหน่ะ  น้องเมให้เบอร์พี่ไว้แล้วกัน คนดี”

    ‘คนดี’   คำนี้ทำให้เมสะอึกเล็กน้อย  เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ตรงคอ  นานเท่าไหร่แล้วนะ  ที่เธอไม่ได้ยินคำๆนี้



       เธอพยายามกล้ำกลืนความรู้สึกไว้ภายใน   แล้วหยิบกระดาษจดเบอร์โทรศัพท์ที่อพาร์ตเมนต์ให้ชายรุ่นพี่

       “อ่ะ…นี่ค่ะ  เบอร์เม”



       พี่ภูมิหยิบกระดาษขึ้นมาดู   ทำหน้าตาเจ้าเล่ห์

      “ใครว่าพี่ขอเบอร์โทรศัพท์เมจ๊ะ “

      “อ้าว…ถ้าไม่ได้ขอเบอร์โทรศัพท์แล้วขอเบอร์อะไรกันคะ!!!”

      “ใครจะไปรู้  อาจเป็นเบอร์รองเท้าก็ได้”



       เมจ้องหน้าพี่ภูมิพร้อมกับรอยยิ้มอันจริงใจ

       “พี่ภูมินี่ไม่เปลี่ยนเลยนะ…..”





       พี่ภูมิเดินกลับไปยังโต๊ะซึ่งมีลูกค้านั่งรออยู่   ในใจเมเหมือนมีคำพูดบางอย่างที่ยังค้างอยู่





      ‘พี่ภูมิไม่เปลี่ยนเลยนะ……



      เมก็เช่นกัน  ยังเหมือนเดิม  ไม่เปลี่ยนแปลง…’



    เมมองไปยังชายรุ่นพี่ที่นั่งคุยกับลูกค้าในโต๊ะอีกฟากหนึ่ง  ดูเหมือนว่าภูมิกำลังคุยปรึกษาเรื่องธุรกิจอยู่ท่าทางเอาการเอางาน  ภูมิเหลือบมากเห็นสาวน้อยหน้าใสมองมาที่เขา  แล้วโบกมือ  ยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี  เมจึงยิ้มตอบ จากนั้นภูมิก็กลับไปคุยกับลูกค้าต่อ  สายตาของเมยังคงอยู่ที่โต๊ะซึ่งมีสองหนุ่มคุยกันอย่างจริงจัง

       ‘เอ๊ะ   นั่นใครนะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน’ เมรำพึงกับตนเอง

    คนที่นั่งอยู่กับภูมินั้นเป็นชายหนุ่มผิวคล้ำ  คมเข้ม  ร่างสูงราวกับไม่ใช่คนไทย  ดูเหมือนว่าสีหน้าของชายผู้นั้นกำลังเคร่งเครียดไม่แพ้กับหนุ่มรุ่นพี่ของเธอ



       เมขับรถกลับบ้านอย่างสบายอารมณ์  พร้อมกับฮัมเพลงไปตามจังหวะเสียงเพลงบรรเลงคลาสสิกซึ่งเป็นเพลงโปรดของเธอ  รอยยิ้มอ่อนๆปรากฎขึ้นที่มุมปาก  เธอรู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก  เธอไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจอบุคคลที่ถึงเธอเฝ้าคิดถึงอยู่เสมอมาเป็นเวลาหลายปี   เธอเฝ้ารอวันที่จะพบเขา  แล้ววันนี้ก็มาถึงแล้ว….

      ‘เขาจะติดต่อกลับมามั้ยน้าาา’  นี่คือสิ่งที่เมเฝ้าติดตาม



       ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง  ฮอนด้าคู่ใจของเธอก็พาเธอมาถึงอพาร์ตเมน   เธอหยิบโน๊ตบุ๊คแลปท๊อปตัวจิ๊วพร้อมกับกระเป๋าถือ  แล้วขึ้นลิฟท์ไปยังห้องของเธฮ  ขณะที่เธอกำลังจะไขกุญแจนั้น  เธอก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์



                                                                               กริ๊งงงงงงงงงงงงงงง

        

        เธอรีบควานหากุญแจในกระเป๋า  หวังเล็กๆว่าผู้ที่โทรมาน่าจะเป็น….เค้าคนนั้น  เมื่อเธอไขกุญแจเรียบร้อย  จึงรี่เข้าไปรับโทรศัพท์



                  “สวัสดีค่ะ  เมพูดค่ะ”



       เสียงที่ตอบกลับทำให้เมปล่อยลมหายใจยาว  สีหน้าผิดหวังเล็กน้อย



        “โธ่  แม่น่ะเอง”



        เสียงอันอ่อนนุ่มของหญิงสาววัยกลางคนที่กำลังจะเกษียณตัวเองลอยมาตามสาย



        “ก็แม่เองน่ะสิจ๊ะ  นึกว่าหนุ่มที่ไหนล่ะ”

        “เปล่าหรอกค่ะแม่  แค่ดีใจน่ะค่ะ  ที่ได้ยินเสียงแม่  เนี่ย…คิดถึ๊ง  คิดถึง”

        เมมักจะพูดออดอ้อนกับมารดาเธอเช่นนี้เสมอๆ



        “คิดถึงอะไรกันจ๊ะ  เมไม่มาให้แม่เห็นหน้าเกือบสองเดือนแล้วนะ  ข่าวคราวก็ไม่ส่ง  เนี่ยนะหรือจ๊ะ  ที่เค้าเรียกว่าคิดถึงน่ะ”



        “โธ่  แม่คะ ก็งานมันยุ่งนี่  ไว้วันอาทิตย์เมแวะเข้าไปหาพ่อกับแม่ก็แล้วกันนะคะ”



        หญิงสาวกับมารดาของเธอคุยกันถามสารทุกข์สุขดิบซึ่งกันและกัน  ได้อยู่ครู่หนึ่ง  



        “งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ  แม่  วันอาทิตย์เจอกันค่ะ”



        เสียงอันอ่อนนุ่มเล็ดลอดมาตามสาย

        “จ้า  แม่จะรอ”

        มารดาของเม  เป็นหญิงวัยกลางคน  อารมณ์ดีมีอารมณ์ขัน  ตอนนี้กำลังจะเกษียณตัวเองใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่บ้านกินเงินบำนาญ  ครอบครัวของเมเป็นครอบครัวขนาดเล็ก ฐานะปานกลาง  พ่อของเมทำกิจการส่วนตัวเล็กๆพอมีรายได้มาจุนเจือครอบครัว  ส่งเสียน้องสาวของเมที่กำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย  เมเป็นพี่คนโตซึ่งเรียนจบแล้วแยกมาอยู่คนเดียว  หลังๆ เมไม่ค่อยได้แวะไปบ้านเท่าไร  จึงห่างๆกับครอบครัว



                   หลังจากเมวางหูโทรศัพท์   เธอก็ทิ้งตัวลงบนโซฟา ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย  ‘ทำไมนะ….เราชอบคิดเข้าข้างตัวเองอยู่เรื่อยเลย’  เมคิดรำพึงกับตัวเอง  ‘พี่เค้าคงไม่โทรมาหรอก ถามเบอร์เราตามมารยาทมั้ง  ตามภาษาคนรู้จักกันไม่เจอกันนาน’

    ‘เฮ้อ’ เมถอนหายใจสีหน้าเบื่อหน่าย

                  เธอนั่งพิงโซฟาอย่างสบายอารมณ์แล้วผลอยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว  ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตะวันจวนจะตกลับฟ้าแล้ว  เธอบิดซ้ายบิดขวาแล้วเดินไปที่ระเบียง   ยืนอย่างสบายอารมณ์สายตามองออกไปเบื้องหน้าชมวิวพระอาทิตย์ตกยามเย็น  ตึกสูงเรียงรายมีไฟเปิดบนยอดตึกประปรายแล้ว  พระอาทิตย์ต่ำลง  ท้องฟ้าเป็นสีส้มนวล



      เม…..รู้มั้ยเราชอบพระอาทิตย์จังเลย โดยเฉพาะตอนมันกำลังจะตกเนี่ย แสงพระอาทิตย์สลัวๆ  สีส้มอ่อนๆ ดูแล้วสบายตาสบายใจจัง



    เสียงนุ่มๆของเค้าคนนั้นแว่วเข้ามาในหูเธออีกครั้ง  เธอยังคงจำได้ ไม่เลือนลาง  



























    เม…..รู้มั้ยเราชอบพระอาทิตย์จังเลย โดยเฉพาะตอนมันกำลังจะตกเนี่ย แสงพระอาทิตย์สลัวๆ  สีส้มอ่อนๆ ดูแล้วสบายตาสบายใจจัง













        

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×