ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ผู้มาเยือน
    เวลาผ่านไป 100 ปี หลังจากสิ้นสุดสงครามศักดิ์สิทธิ์ แสงแห่งคริสตัลทั้ง 6 ยังคงทอประกายเหนือน่านฟ้าของมหานครแคนเดล่า เมืองที่ขึ้นชื่อว่างดงามที่สุดในมิดการ์ด นกสวอลโลว์ฝูงใหญ่ที่น่าจะสูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ยุคสงครามพากันบินร่อนผ่านซุ้มประตูใหญ่ที่มีลวดลายเถาวัลย์สีทองพันอยู่ ก่อนจะแยกย้ายกันไปตามถนนหนทางเพื่อหาอาหาร แสงแดดยามเช้าสะท้อนเงาเป็นประกายบนสระน้ำพุรูปดาวหกแฉกใจกลางลานกว้างหน้าวิหารพาลาดิน
    รอบ ๆ ลานกว้างที่ปูพื้นด้วยหินแกรนิตสีน้ำตาลอ่อนนั้น เรียงรายไปด้วยร้านค้าจำนวนมาก ไม่ต่างอะไรกับตลาดนัดขนาดย่อมเลยทีเดียว เหตุที่ทั้งเมืองคึกคักเช่นนี้ ก็เพราะว่าวันนี้เป็นวันประกาศผลการสอบคัดเลือกบุคคลเข้าประจำการในหน่วยพาลาดิน หน่วยรบที่ดีที่สุดในโลก ผู้ใดที่ได้สังกัดหน่วยนี้จะถือว่าได้รับเกียรติสูงสุดเลยทีเดียว
    สถานที่ประกาศผลสอบในปีนี้ก็คือ บริเวณชั้นที่หนึ่งของวิหารพาลาดิน วิหารสูงใหญ่ที่สร้างจากหินอ่อนสีขาวทั่วทั้งหลัง ตัววิหารแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกมีชื่อว่า วัลคิวรี่ฮอลล์ เป็นอาคารที่ก่อสร้างเป็นรูปวงแหวนสูง 5 ชั้น เว้นที่ว่างตรงกลางไว้เป็นลานโล่ง ๆ ใช้สำหรับเป็นที่จัดทำกิจกรรมต่าง ๆ ในหน่วย
    ส่วนที่สองนั้นอยู่ลึกเข้าไปด้านในมีชื่อว่า วัลฮัลลาทาวเวอร์ เป็นหอคอยหินอ่อนทรงกลมสูงเสียดฟ้า ชื่อของนักรบที่ตายไปในสงครามศักดิ์สิทธิ์ทุกคนจะถูกสลักไว้ที่นี่ ด้านบนสุดของหอคอยเป็นห้องที่ใช้เก็บคริสตัลทั้ง 6 ชิ้น ทางที่จะขึ้นไปได้มีเพียงทางเดียวคือบันไดวนจากชั้นหนึ่งเท่านั้น ส่วนที่สองนี้เป็นเขตหวงห้ามนอกจากบรรดาผู้เฒ่าและนักรบระดับสูงแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีสิทธิเข้าไปข้างในได้เลย
    หนุ่มสาวที่เข้าสอบจำนวนมากทยอยเดินเข้าไปฟังผลกันตั้งแต่เช้า ผู้ที่สอบผ่านจะถูกกักตัวไว้ด้านในหนึ่งคืนเพื่อเตรียมตัวรับการปฐมนิเทศในวันรุ่งขึ้น ดังนั้น ผู้ที่ได้ออกมาก็คือผู้ที่สอบไม่ผ่านเท่านั้น ซึ่งแต่ละคนที่ออกมาก็มีสภาพย่ำแย่ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก
ถึงแม้ผู้ที่มาที่นี่ส่วนใหญ่จะตั้งใจมาฟังผลสอบกัน แต่ว่าก็ยังมีคนที่กล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะฟังผลสอบอยู่ พวกเขาก็จะใช้ลานกว้างแห่งนี้เป็นที่นั่งทำใจให้พร้อมรับกับผลสอบที่จะต้องรู้ในไม่ช้า เด็ก ๆ กลุ่มนี้ก็เช่นกัน พวกเขามานั่งกันตรงขอบสระน้ำพุตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง จนถึงบัดนี้พวกเขาก็ยังนั่งอยู่ โดยไม่ลุกไปไหนแม้แต่น้อย
    คนที่นั่งทางด้านขวาสุดเป็นเด็กหนุ่มท่าทางคล่องแคล่ว เส้นผมสีทองของเขาชี้ไปชี้มาไม่ค่อยเป็นทรงเท่าไหร่แต่สีของมันก็ดูเข้ากันดีกับดวงตาสีเขียวมรกตของเขา ถัดมาเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ผมยาวสีน้ำตาลของเธอถูกรวบอย่างเรียบร้อยด้วยริบบิ้นสีขาว ส่วนคนทางซ้ายสุดเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่สุดในกลุ่ม ผมสีดำยาวปรกหน้าผาก บริเวณข้างตาขวามีไฝหนึ่งเม็ดประดับอยู่
    “ผลสอบปีนี้จะเป็นยังไงบ้างน้า อยากดูเร็ว ๆ จังเล้ย”  จู่ ๆ เด็กหนุ่มผมทองก็พูดขึ้นมา ทำให้เพื่อนทั้งสองหันไปมองแทบจะพร้อมกัน เนื่องจากตั้งแต่เดินจากบ้านจนมาถึงที่นี่พวกเขาทั้งสามคนยังไม่ได้พูดอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียว
    “งั้นไปดูกันเลยไหมฟรีเดล ชั้นเองก็อยากรู้ผลสอบแล้วเหมือนกัน นั่งอยู่ตรงนี้มันอึดอัดชอบกล”  เด็กหนุ่มอีกคนพูดเสริมขึ้นมาพร้อมกับลุกขึ้นยืน ก่อนจะก้าวเดินไปยังวิหารพาลาดิน
    “เดี๋ยวก่อนสิโรแกน ให้คนโล่ง ๆ ก่อนก็ได้ เวลาดีใจจะได้ตะโกนให้ดัง ๆ ไปเลยไง”  หญิงเดียวในกลุ่มพูดพร้อม ๆ กับดึงชายเสื้อของโรแกนเอาไว้ไม่ให้เดินต่อ
    “เชอะ!  น่าเบื่อชะมัด”  ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่โรแกนก็กลับมานั่งโดยดีท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของสาวน้อย  “ไม่ต้องมาหัวเรอะเลย ยัยแอริธ”
    “พวกเธอสอบตกกันมา 2 ปีแล้วไม่ใช่เหรอ เมื่อปีก่อนนู้นกับปีที่แล้ว ชั้นก็เห็นพวกเธอมานั่งกันอย่างเงี้ย จากนั้นก็เดินคอตกกลับบ้านกันไป”  เสียงที่ไม่คุ้นดังขึ้น เรียกสายตาทั้งสามคู่ให้หันไปมอง สิ่งที่ทั้งสามคนเห็นเป็นอย่างเดียวกันก็คือ ชายรูปร่างสูงในชุดเสื้อคลุมยาวสีดำสนิท แม้แต่ดวงตาของเขาก็ถูกปิดบังด้วยแว่นกันแดดสีดำ มีอยู่อย่างเดียวที่ไม่เป็นสีดำ นั่นก็คือเส้นผมสีขาวที่ดูเหมือนปลิวลมอยู่ตลอดเวลา เขาเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ฟรีเดลพร้อมกับชามบะหมี่ในมือขวา เมื่อนั่งลงแล้วเขาก็หันมายิ้มให้กับเด็ก ๆ อย่างอารมณ์ดี
    “แล้วลุงก็มาสอบเหมือนกันเหรอ อายุที่สมัครได้ก็ตั้งแต่ 15 ถึง 20 เท่านั้นนี่นา แต่ดูแล้วอายุของลุงคงจะเกินกว่านั้นเยอะ”  ฟรีเดลพูดพร้อมกับมองไปยังผมสีขาวที่ปลิวไปตามลม โดยที่เพื่อนทั้งสองพยักหน้าเห็นด้วย
    “แหม ชั้นเพิ่งจะ 25 เองนะ แล้วชั้นก็ไม่ได้ชื่อลุงด้วย ชั้นน่ะชื่อว่าซิลเวอร์ จำเอาไว้ซะด้วย”  ชายแปลกหน้าพูดด้วยอารมณ์งอนนิด ๆ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับบะหมี่ของตัวเองต่อไปโดยไม่สนใจพวกเด็ก ๆ อีก
    เหนือขึ้นไปบนระเบียงชั้นที่สองของวิหารพาลาดิน หญิงสาวผมทองยาวสลวยในชุดเกราะเข้ารูปสีเงินกำลังกวาดสายตามองไปยังผู้คนที่ชุมนุมอยู่บริเวณลานกว้างอย่างอารมณ์ดี ฉับพลันสายตาของเธอก็ไปสะดุดอยู่บริเวณน้ำพุใหญ่ที่ ๆ มีคน 4 คนนั่งอยู่ เธอเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะเรียกนักรบคนหนึ่งที่ยืนอยู่แถว ๆ นั้นให้เข้ามาหา
    “มีอะไรหรือครับ ท่านเรย์น่า”  ผู้ที่ถูกเรียกเอ่ยถาม ท่าทางของเขานอบน้อมต่อหญิงสาวมาก ถึงแม้เขาจะสูงวัยกว่าก็ตาม
“เจ้าหนูกลุ่มนั้นมาสอบอีกแล้วเหรอ ผลเป็นยังไงมั่ง”  เธอถามกับผู้ที่มาใหม่ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องเปิดสมุดรายชื่อที่ติดมือมาด้วยพร้อมกับค้นหาชื่อของเด็ก ๆ ที่เรย์น่าพูดถึง
    “เจ้าหนุ่มผมทองสอบไม่ผ่านครับ ส่วนเจ้าหนุ่มผมดำสอบผ่านด้วยคะแนนดีพอสมควรเลยล่ะครับ”
    “เจ้าผมทองสอบไม่ผ่านเหรอ นายดูไม่ผิดคนแน่นะ”  เธอถามอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ
    “ไม่ผิดแน่ครับ เจ้าหนูนี่สอบปีนี้เป็นปีที่ 3 แล้วครับ แถมยังเป็นเด็กเมืองนี้ด้วย ไปถามคนทั้งกองการสอบใคร ๆ ก็รู้จักครับ”  พูดจบชายสูงวัยกว่าก็ทำความเคารพก่อนจะเดินกลับไปที่เดิม
    “อืม...น่าเสียดายเหมือนกันนะ”  เธอพูดออกมาลอย ๆ ขณะนี้สายตาของเธอนอกจากมองเด็กหนุ่มผมทองแล้ว ยังมีอีกคนที่ดูน่าสนใจมากกว่า นั่นก็คือชายผมขาวในชุดดำที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นั่งเอง
    (ชายคนนี้เป็นใครกันน้า ทำไมมองจากข้างหลังแล้วดูคุ้นตาจังเลย) เธอนึกในใจก่อนจะเดินเข้าไปยังวิหารพาลาดินอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก
    พระอาทิตย์เคลื่อนตัวไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดแอริธก็ลุกขึ้นยืนเป็นคนแรกก่อนจะฉุดมือสองหนุ่มให้ลุกมาด้วย
    “เอาล่ะ ไปดูกันได้แล้วจ้ะ” 
    “ไม่ดูไม่ได้เหรอ เธอไปดูให้ชั้นหน่อยนะแอริธ”  ฟรีเดลเริ่มออดอ้อน
    “ไม่ได้ ๆ พวกนายต้องไปดูเอาเอง กล้า ๆ กันหน่อยซี่”  แอริธพูดพร้อมกับผลักทั้งสองคนไปยังวิหารพาลาดิน ทำให้ทั้งสองคนต้องจำใจเดินเข้าวิหารไปอย่างช่วยไม่ได้
    เวลาผ่านไปไม่นาน ฟรีเดลก็เดินออกมาหาแอริธที่สระน้ำพุอย่างเงียบเชียบด้วยใบหน้าที่เหมือนแบกโลกเอาไว้ทั้งโลก ซิลเวอร์ซึ่งบัดนี้เขากินบะหมี่ไปเป็นชามที่ 10 แล้ว พอเห็นใบหน้าเด็กหนุ่มเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที แต่แล้วเสียงหัวเราะก็ต้องเงียบลง เมื่อเขาถูกสายตาที่เหมือนกับจะแผดเผาทุกอย่างของแอริธจ้องอยู่
    “ชั้นพอจะรู้ผลสอบแล้วล่ะ นายไม่ต้องบอกชั้นหรอกนะ ฟรีเดล”  แอริธหันหน้ากลับมาพูดกับฟรีเดล แต่เขาก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิม
    “ไม่เป็นไรน่า...นายยังมีโอกาสอีกตั้ง 2 ปี ไว้ปีหน้าเราค่อยให้โรแกนมาติวให้เป็นพิเศษเลยดีมั้ย”  เธอปลอบเพื่อนที่นั่งนิ่งอยู่ที่ขอบสระด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง
    “ชั้นไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”  ฟรีเดลพูดพร้อมกับยิ้มออกมา เป็นยิ้มที่แม้แต่ใครก็ดูออกว่าฝืน
    “เอาอย่างนี้ดีกว่า เดี๋ยวชั้นเลี้ยงไอศกรีมปลอบใจนายละกัน”  แอริธบอกกับเพื่อนก่อนจะวิ่งไปยังร้านขายไอศกรีมที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากน้ำพุมากนัก
    “ยัยแอริธนี่น้า ชอบเป็นห่วงคนอื่นเกินเหตุอยู่เรื่อยเชียว”  ฟรีเดลพูดออกมาคนเดียว สายตาของเขามองทอดยาวไปยังวิหารพาลาดินอย่างเสียดาย
    เหนือขึ้นไปบนฟากฟ้าของมหานครแคนเดล่า มังกรสีแดงขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกำลังบินทรงตัวนิ่ง ๆ อยู่บริเวณที่เป็นลานกว้างเหมือนกับว่าจะรอคอยอะไรบางอย่าง บนหลังของมันมีมนุษย์นั่งอยู่ 3 คน สีหน้าของพวกเขาสงบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ
    “ได้กลับมายังบ้านเกิดทั้งที ไม่ลงไปดูอะไรข้างล่างหน่อยเหรอ ว่าไงล่ะเคียร์ร่า”  ชายคนที่นั่งอยู่บริเวณหางของมังกรพูดขึ้นมาก่อน เขาสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ผมสั้นสีน้ำตาลของเขาปลิวไปตามลมบนที่พัดแรง
    “ช่างหล่อนเถอะน่า ยังไงซะที่นี่ก็ไม่มีความหมายกับหล่อนอยู่แล้ว”  ชายคนที่นั่งอยู่บนหัวมังกรเสริมขึ้นมาบ้าง ชายคนนี้สวมเสื้อแขนสั้นสีเขียวอ่อน กับกางเกงขายาวสีเดียวกัน แขนขวาของเขาสักรูปมังกรพันตั้งแต่ข้อมือไปจนถึงข้อศอก
    “เรามาเริ่มแผนการกันเลยดีกว่า...ดูท่าเราคงชิงคริสตัลจากตรงนี่ไม่ได้แน่...ชั้นสัมผัสได้ถึงเขตอาคมที่หนาแน่น”  หญิงเดียวในกลุ่มเอ่ยเสียงเรียบ เธอแต่งกายด้วยชุดสไตล์อาหรับสีม่วงอ่อน ปกปิดใบหน้าด้วยผ้าบาง ๆ สีเดียวกัน ในมือของเธอยังถือคัมภีร์เล่มหนึ่งเอาไว้ด้วย เธอเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะพูดอีกครั้งพร้อมกับหันหน้าไปทางชายที่นั่งอยู่บริเวณหางมังกร
    “คงต้องพึ่งนายแล้วนะยามิ...เส้นทางในวิหารมีแต่นายที่รู้ดีที่สุด”
   
    “เอางั้นก็ได้ งั้นเธอช่วยเคลียร์เส้นทางข้างนอกให้ด้วยละกัน ชั้นจะได้เข้าวิหารได้ง่าย ๆ ส่วนนาย ซิก นายเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ให้พร้อมละกัน”  ยามิเริ่มสั่งการตามความเคยชิน
    “เชอะ ทำเป็นสั่ง ถ้านายไม่ได้คริสตัลมาล่ะก็ ชั้นจะจับนายเป็นอาหารเย็นของเจ้ามังกรตัวนี้ซะเลย”  ซิกฟรีดพูดอย่างทีเล่นทีจริง
    “ฝันไปเหอะ...เริ่มเลยเคียร์ร่า!!”  ยามิถอดเสื้อคลุมของเขาโยนออกไป เผยให้เห็นดาบซามูไรเล่มสวยที่เหน็บไว้ที่เอว ด้ามจับถูกพันด้วยเส้นไหมสีน้ำเงินสลับขาวขัดกันไปมาเป็นรูปข้าวหลามตัด ที่กั้นดาบทำด้วยโลหะสีเงินแกะสลักเป็นรูปนกสองตัวบินโฉบเข้าหากัน เขากุมดาบเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างของเขารวบที่เอวบาง ๆ ของเคียร์ร่า ก่อนจะกระโดดลงไปยังพื้นดินเบื้องล่างราวกับว่ามันไม่สูงเลยสักนิด
    ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ เคียร์ร่าก็ชูแขนขึ้นเหนือหัวพร้อมกับอ่านคัมภีร์ด้วยเสียงที่ดังก้อง
    “เวทอัสนี -  คลื่นอัสนีบาตถล่มปฐพี!!”
    เปรี้ยง!!  สายฟ้าขนาดใหญ่ผ่าลงมาจากท้องฟ้าโดยมีเป้าหมายอยู่ที่น้ำพุใหญ่ใจกลางลานกว้าง
    ตูม!!  สระน้ำขนาดใหญ่ถูกอานุภาพของสายฟ้าทำให้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ พื้นหินโดยรอบแตกร้าวกินวงกว้างหลายเมตร หลังจากทุกอย่างเงียบลงร่างของทั้งคู่ก็ค่อย ๆ ร่อนลงมาแตะพื้นอย่างนุ่มนวล
    “ไม่เป็นไรนะ”  ซิลเวอร์พูดขึ้นในซอกตึกแห่งหนึ่งห่างจากลานกว้างพอสมควร หลังจากที่เขาพาตัวแอริธกับฟรีเดลหลบฟ้าผ่าเมื่อครู่ได้อย่างทันท่วงที
    “แอริธ!!  เป็นอะไรรึเปล่า”  ฟรีเดลได้สติขึ้นมาก่อน เขาค่อย ๆ ประคองแอริธที่ยังตื่นตระหนกอยู่ พร้อมกับเขย่าตัวเธอจนกระทั่งเธอรู้สึกตัว
    “ชั้น....ไม่เป็นไร”  แอริธตอบอย่างตะกุกตะกัก
    “เจ้าหนู นายพาสาวน้อยคนนี้ไปหลบก่อนดีกว่า ที่นี่ชั้นจัดการเอง”  ซิลเวอร์เริ่มออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผิดกับคนที่นั่งกินไอศกรีมก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
    “ครับ!!”  ฟรีเดลรับคำ ก่อนจะพาแอริธวิ่งปะปนไปกับฝูงชนที่เริ่มจะโกลาหล
    (เจ้าหนุ่มนั่น...ประสาทสัมผัสไวพอ ๆ กับเราเชียวรึนี่ หึ...ท่าจะสนุกซะแล้วสิ) ซิลเวอร์นึกในใจถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ก่อนจะวิ่งกลับไปยังลานกว้างอีกครั้ง
    บริเวณลานกว้าง หลังจากที่ยามิกับเคียร์ร่ากระโดดลงมาแล้ว บัดนี้เบื้องหน้าของเขาคือวิหารพาลาดินอันยิ่งใหญ่ เป้าหมายของยามิอยู่ที่หอคอยสูงที่อยู่ทางด้านหลังของวิหาร  แต่ทว่าเสียงที่ดังสนั่นของฟ้าผ่าถือเป็นสัญญาณอย่างดีที่เรียกเหล่านักรบพาลาดินให้ออกมารวมตัวกันที่หน้าวิหารพร้อมอาวุธครบมือเพื่อจัดการกับผู้บุกรุก
    “ดูเหมือนว่าเราจะได้ออกกำลังกายแล้วล่ะ”  เขาหันมาพูดกับเคียร์ร่าที่ยืนอยู่ด้านหลัง
    “นายไปเอาคริสตัลมา...ที่เหลือชั้นจัดการเอง”  เธอตอบเขาก่อนจะกางคัมภีร์ออกแล้วถือมันด้วยมือขวา ส่วนมือซ้ายนั้นเธอเอามันทาบลงกับพื้นที่แตกละเอียด
    “เวทความมืด  -  อัญเชิญสุนัขสามหัวแห่งโลกันตร์ผู้มีนามว่าเซอร์เบรัส!![i/]”
    ฟู่!!  พื้นดินบริเวณนั้นเกิดควันสีดำลอยคละคลุ้มไปทั่ว ก่อนที่ควันเหล่านั้นจะรวมตัวกันเป็นเซอร์เบรัสฝูงใหญ่ น้ำลายของพวกมันไหลยืดชวนสยดสยองยิ่งนัก
    “เอาล่ะ เริ่มเกมได้!!”  ยามิชักดาบออกมาจากฝักสีดำ ทำให้เห็นใบดาบที่โค้งเป็นธรรมชาติมีลายน้ำสีน้ำเงินเป็นประกายสวยงามยิ่งนัก บริเวณโคนดาบมีหมายเลข VI สลักเอาไว้ด้วย เขากวัดแกว่งดาบไปมาก่อนจะวิ่งตรงไปยังวิหารที่มีเหล่านักรบยืนขวางอยู่ในขณะที่ฝูงเซอร์เบรัสเริ่มจะอาละวาด ทำร้ายผู้คนที่วิ่งกันอย่างโกลาหล
    “คุ้มกันชาวบ้านไว้ ชายคนนี้ข้าจะจัดการเอง!!”  เสียงของนักรบที่มีร่างสูงใหญ่ขนาดคนสองคนรวมกันซึ่งมีท่าทางว่าจะเป็นหัวหน้า ตะโกนสั่งลูกน้องก่อนจะกวัดแกว่งกระบองเหล็กขนาดใหญ่ขึ้นมาเตรียมรับการโจมตีจากยามิ
    “ครับ/ค่ะ หัวหน้าลาร์ค”  ทุกคนรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะแยกย้ายกันไปเพื่อจัดการกับสุนัขสามหัวที่ดุร้าย
    ฟุ่บ!!  จู่ ๆ ร่างของยามิก็หายไปจากสายตาของลาร์ค ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวอีกทีในระยะประชิด พร้อมกับฟันดาบลงมา
    เคร้ง!!  เสียงดาบประทะกับกระบองเหล็กอย่างรุนแรง จนทำให้ลาร์คถึงกับกระเด็นถอยหลังไปไกลหลายเมตรก่อนที่ยามิจะกระโดดเข้ามาฟันซ้ำแบบไม่ทันตั้งตัว
    เคร้ง!!  กระบองของลาร์คหักเป็นสองท่อนท่ามกลางความตกตะลึงของผู้เป็นเจ้าของที่ตอนนี้ทำได้เพียงแค่มองเท่านั้น
    “ตาย!!”  ยามิพุ่งดาบลงไปหมายจะแทงเขาให้ตายในดาบเดียว
    ฟิ้ว!!  ลำแสงสีทองจำนวน 5 เส้นพุ่งออกมาจากภายในวิหาร ทำให้ยามิต้องกระโดดผละออกมาจากนักรบคนนั้น ก่อนจะใช้ดาบสะท้อนของลำแสงพวกนั้นไปยังทิศทางอื่นอย่างคล่องแคล่ว แสงที่พุ่งเข้ามาไม่ได้ทำให้เขาตกใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันกลับเรียกรอยยิ้มออกมาจากปากเขาอีกด้วย
    เขาเริ่มวิ่งเข้าไปในวิหารโดยไม่สนใจลาร์คอีก ฉับพลันลำแสงอีกหลายเส้นก็พุ่งออกมาจากที่เดิม แต่มันก็หยุดเขาไม่ได้อีกแล้ว เขายังคงเคลื่อนที่เข้าไปเรื่อย ๆ โดยใช้ดาบเปลี่ยนทิศทางลำแสงเหล่านั้นไปทางอื่นจนหมดจนเข้ามาถึงด้านในของวิหาร ที่นั่น เรย์น่ากำลังยืนรอเขาอยู่อย่างใจเย็น ในมือของเธอยังถือคันธนูทำจากไม้เนื้อดีสีขาวบริสุทธิ์ สลักลวดลายเถาวัลย์สีทองทั่วทั้งคัน น่าแปลก ที่เธอใช้ธนูเป็นอาวุธแต่กลับไม่มีลูกธนูติดตัวอยู่เลยสักดอก
    “นึกแล้วว่าต้องเป็นฝีมือเธอ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เรย์น่า”  ยามิทักขึ้นมาก่อน  “พวกแม่ทัพไปไหนกันหมดล่ะ ทิ้งให้สาวสวยมารับมือศัตรูอยู่คนเดียวแบบเนี้ย”   
    “ไม่นึกว่าคนที่ถอนตัวไปแล้วอย่างนายจะกลับมาที่นี่อีก นายมีจุดประสงค์อะไรกันแน่!!”  เธอถามด้วยแววตาจริงจัง โดยไม่สนใจกับคำถามของอีกฝ่ายเลยสักนิด
    “ชั้นก็แค่มาเอาของเท่านั้นเอง ปล่อยให้ชั้นผ่านไป ดีกว่าน่า ชั้นไม่อยากสู้กับผู้หญิงเท่าไหร่หรอกนะ ยิ่งเป็นเธอด้วยแล้...”
    “ไม่มีทาง!!”  เรย์น่าไม่ปล่อยให้เขาพูดจบ เธอยกคันธนูพร้อมกับขึ้นสายที่ไม่มีแม้แต่ลูกศรสักดอกเล็งไปยังผู้ที่อยู่ตรงหน้า
    ฟิ้ว!!  ทันทีที่เธอปล่อยสาย ก็เกิดเส้นแสงจำนวนมากพุ่งออกมาจากคันธนูของเธอตรงเข้าจัดการฝ่ายตรงข้ามทันที แต่ผลก็เหมือนเดิม ยามิกระโดดหลบขึ้นไปตามเสาวิหารก่อนจะโฉบลงมาจากด้านบนพร้อมกับดาบที่คมกริบราวกับกรงเล็บของพญาอินทรี
    แต่นั่นก็หาได้สร้างความหวาดกลัวให้กับเรย์น่าได้เลยแม้แต่น้อย เธอยังคงยืนนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านกับคมดาบที่กำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ
    กึก!!  ดาบของยามิหยุดลง ปลายดาบอยู่ห่างจากคอหอยของเรย์น่าไม่ถึงหนึ่งนิ้ว
    “เธอก็รู้ดีอยู่แล้ว ว่าชั้นไม่อยากฆ่าเธอ เรย์น่า”  ยามิพูดพร้อมกับยิ้มออกมา  “จะยอมให้ชั้นผ่านไปดี ๆ รึเปล่า”
    “ถ้านายดึงดันที่จะผ่านไปให้ได้...ชั้นคงต้องเอาจริง”  เรย์น่ายกคันธนูขึ้นมาเล็งอีกครั้ง
    “ก็ดี...ชั้นก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าช่วงที่ชั้นถอนตัวไปเนี่ย ฝีมือเธอจะพัฒนาไปมากน้อยแค่ไหน”
   
    รอบ ๆ ลานกว้างที่ปูพื้นด้วยหินแกรนิตสีน้ำตาลอ่อนนั้น เรียงรายไปด้วยร้านค้าจำนวนมาก ไม่ต่างอะไรกับตลาดนัดขนาดย่อมเลยทีเดียว เหตุที่ทั้งเมืองคึกคักเช่นนี้ ก็เพราะว่าวันนี้เป็นวันประกาศผลการสอบคัดเลือกบุคคลเข้าประจำการในหน่วยพาลาดิน หน่วยรบที่ดีที่สุดในโลก ผู้ใดที่ได้สังกัดหน่วยนี้จะถือว่าได้รับเกียรติสูงสุดเลยทีเดียว
    สถานที่ประกาศผลสอบในปีนี้ก็คือ บริเวณชั้นที่หนึ่งของวิหารพาลาดิน วิหารสูงใหญ่ที่สร้างจากหินอ่อนสีขาวทั่วทั้งหลัง ตัววิหารแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกมีชื่อว่า วัลคิวรี่ฮอลล์ เป็นอาคารที่ก่อสร้างเป็นรูปวงแหวนสูง 5 ชั้น เว้นที่ว่างตรงกลางไว้เป็นลานโล่ง ๆ ใช้สำหรับเป็นที่จัดทำกิจกรรมต่าง ๆ ในหน่วย
    ส่วนที่สองนั้นอยู่ลึกเข้าไปด้านในมีชื่อว่า วัลฮัลลาทาวเวอร์ เป็นหอคอยหินอ่อนทรงกลมสูงเสียดฟ้า ชื่อของนักรบที่ตายไปในสงครามศักดิ์สิทธิ์ทุกคนจะถูกสลักไว้ที่นี่ ด้านบนสุดของหอคอยเป็นห้องที่ใช้เก็บคริสตัลทั้ง 6 ชิ้น ทางที่จะขึ้นไปได้มีเพียงทางเดียวคือบันไดวนจากชั้นหนึ่งเท่านั้น ส่วนที่สองนี้เป็นเขตหวงห้ามนอกจากบรรดาผู้เฒ่าและนักรบระดับสูงแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีสิทธิเข้าไปข้างในได้เลย
    หนุ่มสาวที่เข้าสอบจำนวนมากทยอยเดินเข้าไปฟังผลกันตั้งแต่เช้า ผู้ที่สอบผ่านจะถูกกักตัวไว้ด้านในหนึ่งคืนเพื่อเตรียมตัวรับการปฐมนิเทศในวันรุ่งขึ้น ดังนั้น ผู้ที่ได้ออกมาก็คือผู้ที่สอบไม่ผ่านเท่านั้น ซึ่งแต่ละคนที่ออกมาก็มีสภาพย่ำแย่ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก
ถึงแม้ผู้ที่มาที่นี่ส่วนใหญ่จะตั้งใจมาฟังผลสอบกัน แต่ว่าก็ยังมีคนที่กล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะฟังผลสอบอยู่ พวกเขาก็จะใช้ลานกว้างแห่งนี้เป็นที่นั่งทำใจให้พร้อมรับกับผลสอบที่จะต้องรู้ในไม่ช้า เด็ก ๆ กลุ่มนี้ก็เช่นกัน พวกเขามานั่งกันตรงขอบสระน้ำพุตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง จนถึงบัดนี้พวกเขาก็ยังนั่งอยู่ โดยไม่ลุกไปไหนแม้แต่น้อย
    คนที่นั่งทางด้านขวาสุดเป็นเด็กหนุ่มท่าทางคล่องแคล่ว เส้นผมสีทองของเขาชี้ไปชี้มาไม่ค่อยเป็นทรงเท่าไหร่แต่สีของมันก็ดูเข้ากันดีกับดวงตาสีเขียวมรกตของเขา ถัดมาเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ผมยาวสีน้ำตาลของเธอถูกรวบอย่างเรียบร้อยด้วยริบบิ้นสีขาว ส่วนคนทางซ้ายสุดเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่สุดในกลุ่ม ผมสีดำยาวปรกหน้าผาก บริเวณข้างตาขวามีไฝหนึ่งเม็ดประดับอยู่
    “ผลสอบปีนี้จะเป็นยังไงบ้างน้า อยากดูเร็ว ๆ จังเล้ย”  จู่ ๆ เด็กหนุ่มผมทองก็พูดขึ้นมา ทำให้เพื่อนทั้งสองหันไปมองแทบจะพร้อมกัน เนื่องจากตั้งแต่เดินจากบ้านจนมาถึงที่นี่พวกเขาทั้งสามคนยังไม่ได้พูดอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียว
    “งั้นไปดูกันเลยไหมฟรีเดล ชั้นเองก็อยากรู้ผลสอบแล้วเหมือนกัน นั่งอยู่ตรงนี้มันอึดอัดชอบกล”  เด็กหนุ่มอีกคนพูดเสริมขึ้นมาพร้อมกับลุกขึ้นยืน ก่อนจะก้าวเดินไปยังวิหารพาลาดิน
    “เดี๋ยวก่อนสิโรแกน ให้คนโล่ง ๆ ก่อนก็ได้ เวลาดีใจจะได้ตะโกนให้ดัง ๆ ไปเลยไง”  หญิงเดียวในกลุ่มพูดพร้อม ๆ กับดึงชายเสื้อของโรแกนเอาไว้ไม่ให้เดินต่อ
    “เชอะ!  น่าเบื่อชะมัด”  ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่โรแกนก็กลับมานั่งโดยดีท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของสาวน้อย  “ไม่ต้องมาหัวเรอะเลย ยัยแอริธ”
    “พวกเธอสอบตกกันมา 2 ปีแล้วไม่ใช่เหรอ เมื่อปีก่อนนู้นกับปีที่แล้ว ชั้นก็เห็นพวกเธอมานั่งกันอย่างเงี้ย จากนั้นก็เดินคอตกกลับบ้านกันไป”  เสียงที่ไม่คุ้นดังขึ้น เรียกสายตาทั้งสามคู่ให้หันไปมอง สิ่งที่ทั้งสามคนเห็นเป็นอย่างเดียวกันก็คือ ชายรูปร่างสูงในชุดเสื้อคลุมยาวสีดำสนิท แม้แต่ดวงตาของเขาก็ถูกปิดบังด้วยแว่นกันแดดสีดำ มีอยู่อย่างเดียวที่ไม่เป็นสีดำ นั่นก็คือเส้นผมสีขาวที่ดูเหมือนปลิวลมอยู่ตลอดเวลา เขาเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ฟรีเดลพร้อมกับชามบะหมี่ในมือขวา เมื่อนั่งลงแล้วเขาก็หันมายิ้มให้กับเด็ก ๆ อย่างอารมณ์ดี
    “แล้วลุงก็มาสอบเหมือนกันเหรอ อายุที่สมัครได้ก็ตั้งแต่ 15 ถึง 20 เท่านั้นนี่นา แต่ดูแล้วอายุของลุงคงจะเกินกว่านั้นเยอะ”  ฟรีเดลพูดพร้อมกับมองไปยังผมสีขาวที่ปลิวไปตามลม โดยที่เพื่อนทั้งสองพยักหน้าเห็นด้วย
    “แหม ชั้นเพิ่งจะ 25 เองนะ แล้วชั้นก็ไม่ได้ชื่อลุงด้วย ชั้นน่ะชื่อว่าซิลเวอร์ จำเอาไว้ซะด้วย”  ชายแปลกหน้าพูดด้วยอารมณ์งอนนิด ๆ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับบะหมี่ของตัวเองต่อไปโดยไม่สนใจพวกเด็ก ๆ อีก
    เหนือขึ้นไปบนระเบียงชั้นที่สองของวิหารพาลาดิน หญิงสาวผมทองยาวสลวยในชุดเกราะเข้ารูปสีเงินกำลังกวาดสายตามองไปยังผู้คนที่ชุมนุมอยู่บริเวณลานกว้างอย่างอารมณ์ดี ฉับพลันสายตาของเธอก็ไปสะดุดอยู่บริเวณน้ำพุใหญ่ที่ ๆ มีคน 4 คนนั่งอยู่ เธอเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะเรียกนักรบคนหนึ่งที่ยืนอยู่แถว ๆ นั้นให้เข้ามาหา
    “มีอะไรหรือครับ ท่านเรย์น่า”  ผู้ที่ถูกเรียกเอ่ยถาม ท่าทางของเขานอบน้อมต่อหญิงสาวมาก ถึงแม้เขาจะสูงวัยกว่าก็ตาม
“เจ้าหนูกลุ่มนั้นมาสอบอีกแล้วเหรอ ผลเป็นยังไงมั่ง”  เธอถามกับผู้ที่มาใหม่ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องเปิดสมุดรายชื่อที่ติดมือมาด้วยพร้อมกับค้นหาชื่อของเด็ก ๆ ที่เรย์น่าพูดถึง
    “เจ้าหนุ่มผมทองสอบไม่ผ่านครับ ส่วนเจ้าหนุ่มผมดำสอบผ่านด้วยคะแนนดีพอสมควรเลยล่ะครับ”
    “เจ้าผมทองสอบไม่ผ่านเหรอ นายดูไม่ผิดคนแน่นะ”  เธอถามอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ
    “ไม่ผิดแน่ครับ เจ้าหนูนี่สอบปีนี้เป็นปีที่ 3 แล้วครับ แถมยังเป็นเด็กเมืองนี้ด้วย ไปถามคนทั้งกองการสอบใคร ๆ ก็รู้จักครับ”  พูดจบชายสูงวัยกว่าก็ทำความเคารพก่อนจะเดินกลับไปที่เดิม
    “อืม...น่าเสียดายเหมือนกันนะ”  เธอพูดออกมาลอย ๆ ขณะนี้สายตาของเธอนอกจากมองเด็กหนุ่มผมทองแล้ว ยังมีอีกคนที่ดูน่าสนใจมากกว่า นั่นก็คือชายผมขาวในชุดดำที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นั่งเอง
    (ชายคนนี้เป็นใครกันน้า ทำไมมองจากข้างหลังแล้วดูคุ้นตาจังเลย) เธอนึกในใจก่อนจะเดินเข้าไปยังวิหารพาลาดินอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก
    พระอาทิตย์เคลื่อนตัวไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดแอริธก็ลุกขึ้นยืนเป็นคนแรกก่อนจะฉุดมือสองหนุ่มให้ลุกมาด้วย
    “เอาล่ะ ไปดูกันได้แล้วจ้ะ” 
    “ไม่ดูไม่ได้เหรอ เธอไปดูให้ชั้นหน่อยนะแอริธ”  ฟรีเดลเริ่มออดอ้อน
    “ไม่ได้ ๆ พวกนายต้องไปดูเอาเอง กล้า ๆ กันหน่อยซี่”  แอริธพูดพร้อมกับผลักทั้งสองคนไปยังวิหารพาลาดิน ทำให้ทั้งสองคนต้องจำใจเดินเข้าวิหารไปอย่างช่วยไม่ได้
    เวลาผ่านไปไม่นาน ฟรีเดลก็เดินออกมาหาแอริธที่สระน้ำพุอย่างเงียบเชียบด้วยใบหน้าที่เหมือนแบกโลกเอาไว้ทั้งโลก ซิลเวอร์ซึ่งบัดนี้เขากินบะหมี่ไปเป็นชามที่ 10 แล้ว พอเห็นใบหน้าเด็กหนุ่มเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที แต่แล้วเสียงหัวเราะก็ต้องเงียบลง เมื่อเขาถูกสายตาที่เหมือนกับจะแผดเผาทุกอย่างของแอริธจ้องอยู่
    “ชั้นพอจะรู้ผลสอบแล้วล่ะ นายไม่ต้องบอกชั้นหรอกนะ ฟรีเดล”  แอริธหันหน้ากลับมาพูดกับฟรีเดล แต่เขาก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิม
    “ไม่เป็นไรน่า...นายยังมีโอกาสอีกตั้ง 2 ปี ไว้ปีหน้าเราค่อยให้โรแกนมาติวให้เป็นพิเศษเลยดีมั้ย”  เธอปลอบเพื่อนที่นั่งนิ่งอยู่ที่ขอบสระด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง
    “ชั้นไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”  ฟรีเดลพูดพร้อมกับยิ้มออกมา เป็นยิ้มที่แม้แต่ใครก็ดูออกว่าฝืน
    “เอาอย่างนี้ดีกว่า เดี๋ยวชั้นเลี้ยงไอศกรีมปลอบใจนายละกัน”  แอริธบอกกับเพื่อนก่อนจะวิ่งไปยังร้านขายไอศกรีมที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากน้ำพุมากนัก
    “ยัยแอริธนี่น้า ชอบเป็นห่วงคนอื่นเกินเหตุอยู่เรื่อยเชียว”  ฟรีเดลพูดออกมาคนเดียว สายตาของเขามองทอดยาวไปยังวิหารพาลาดินอย่างเสียดาย
    เหนือขึ้นไปบนฟากฟ้าของมหานครแคนเดล่า มังกรสีแดงขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกำลังบินทรงตัวนิ่ง ๆ อยู่บริเวณที่เป็นลานกว้างเหมือนกับว่าจะรอคอยอะไรบางอย่าง บนหลังของมันมีมนุษย์นั่งอยู่ 3 คน สีหน้าของพวกเขาสงบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ
    “ได้กลับมายังบ้านเกิดทั้งที ไม่ลงไปดูอะไรข้างล่างหน่อยเหรอ ว่าไงล่ะเคียร์ร่า”  ชายคนที่นั่งอยู่บริเวณหางของมังกรพูดขึ้นมาก่อน เขาสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ผมสั้นสีน้ำตาลของเขาปลิวไปตามลมบนที่พัดแรง
    “ช่างหล่อนเถอะน่า ยังไงซะที่นี่ก็ไม่มีความหมายกับหล่อนอยู่แล้ว”  ชายคนที่นั่งอยู่บนหัวมังกรเสริมขึ้นมาบ้าง ชายคนนี้สวมเสื้อแขนสั้นสีเขียวอ่อน กับกางเกงขายาวสีเดียวกัน แขนขวาของเขาสักรูปมังกรพันตั้งแต่ข้อมือไปจนถึงข้อศอก
    “เรามาเริ่มแผนการกันเลยดีกว่า...ดูท่าเราคงชิงคริสตัลจากตรงนี่ไม่ได้แน่...ชั้นสัมผัสได้ถึงเขตอาคมที่หนาแน่น”  หญิงเดียวในกลุ่มเอ่ยเสียงเรียบ เธอแต่งกายด้วยชุดสไตล์อาหรับสีม่วงอ่อน ปกปิดใบหน้าด้วยผ้าบาง ๆ สีเดียวกัน ในมือของเธอยังถือคัมภีร์เล่มหนึ่งเอาไว้ด้วย เธอเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะพูดอีกครั้งพร้อมกับหันหน้าไปทางชายที่นั่งอยู่บริเวณหางมังกร
    “คงต้องพึ่งนายแล้วนะยามิ...เส้นทางในวิหารมีแต่นายที่รู้ดีที่สุด”
   
    “เอางั้นก็ได้ งั้นเธอช่วยเคลียร์เส้นทางข้างนอกให้ด้วยละกัน ชั้นจะได้เข้าวิหารได้ง่าย ๆ ส่วนนาย ซิก นายเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ให้พร้อมละกัน”  ยามิเริ่มสั่งการตามความเคยชิน
    “เชอะ ทำเป็นสั่ง ถ้านายไม่ได้คริสตัลมาล่ะก็ ชั้นจะจับนายเป็นอาหารเย็นของเจ้ามังกรตัวนี้ซะเลย”  ซิกฟรีดพูดอย่างทีเล่นทีจริง
    “ฝันไปเหอะ...เริ่มเลยเคียร์ร่า!!”  ยามิถอดเสื้อคลุมของเขาโยนออกไป เผยให้เห็นดาบซามูไรเล่มสวยที่เหน็บไว้ที่เอว ด้ามจับถูกพันด้วยเส้นไหมสีน้ำเงินสลับขาวขัดกันไปมาเป็นรูปข้าวหลามตัด ที่กั้นดาบทำด้วยโลหะสีเงินแกะสลักเป็นรูปนกสองตัวบินโฉบเข้าหากัน เขากุมดาบเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างของเขารวบที่เอวบาง ๆ ของเคียร์ร่า ก่อนจะกระโดดลงไปยังพื้นดินเบื้องล่างราวกับว่ามันไม่สูงเลยสักนิด
    ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ เคียร์ร่าก็ชูแขนขึ้นเหนือหัวพร้อมกับอ่านคัมภีร์ด้วยเสียงที่ดังก้อง
    “เวทอัสนี -  คลื่นอัสนีบาตถล่มปฐพี!!”
    เปรี้ยง!!  สายฟ้าขนาดใหญ่ผ่าลงมาจากท้องฟ้าโดยมีเป้าหมายอยู่ที่น้ำพุใหญ่ใจกลางลานกว้าง
    ตูม!!  สระน้ำขนาดใหญ่ถูกอานุภาพของสายฟ้าทำให้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ พื้นหินโดยรอบแตกร้าวกินวงกว้างหลายเมตร หลังจากทุกอย่างเงียบลงร่างของทั้งคู่ก็ค่อย ๆ ร่อนลงมาแตะพื้นอย่างนุ่มนวล
    “ไม่เป็นไรนะ”  ซิลเวอร์พูดขึ้นในซอกตึกแห่งหนึ่งห่างจากลานกว้างพอสมควร หลังจากที่เขาพาตัวแอริธกับฟรีเดลหลบฟ้าผ่าเมื่อครู่ได้อย่างทันท่วงที
    “แอริธ!!  เป็นอะไรรึเปล่า”  ฟรีเดลได้สติขึ้นมาก่อน เขาค่อย ๆ ประคองแอริธที่ยังตื่นตระหนกอยู่ พร้อมกับเขย่าตัวเธอจนกระทั่งเธอรู้สึกตัว
    “ชั้น....ไม่เป็นไร”  แอริธตอบอย่างตะกุกตะกัก
    “เจ้าหนู นายพาสาวน้อยคนนี้ไปหลบก่อนดีกว่า ที่นี่ชั้นจัดการเอง”  ซิลเวอร์เริ่มออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผิดกับคนที่นั่งกินไอศกรีมก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
    “ครับ!!”  ฟรีเดลรับคำ ก่อนจะพาแอริธวิ่งปะปนไปกับฝูงชนที่เริ่มจะโกลาหล
    (เจ้าหนุ่มนั่น...ประสาทสัมผัสไวพอ ๆ กับเราเชียวรึนี่ หึ...ท่าจะสนุกซะแล้วสิ) ซิลเวอร์นึกในใจถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ก่อนจะวิ่งกลับไปยังลานกว้างอีกครั้ง
    บริเวณลานกว้าง หลังจากที่ยามิกับเคียร์ร่ากระโดดลงมาแล้ว บัดนี้เบื้องหน้าของเขาคือวิหารพาลาดินอันยิ่งใหญ่ เป้าหมายของยามิอยู่ที่หอคอยสูงที่อยู่ทางด้านหลังของวิหาร  แต่ทว่าเสียงที่ดังสนั่นของฟ้าผ่าถือเป็นสัญญาณอย่างดีที่เรียกเหล่านักรบพาลาดินให้ออกมารวมตัวกันที่หน้าวิหารพร้อมอาวุธครบมือเพื่อจัดการกับผู้บุกรุก
    “ดูเหมือนว่าเราจะได้ออกกำลังกายแล้วล่ะ”  เขาหันมาพูดกับเคียร์ร่าที่ยืนอยู่ด้านหลัง
    “นายไปเอาคริสตัลมา...ที่เหลือชั้นจัดการเอง”  เธอตอบเขาก่อนจะกางคัมภีร์ออกแล้วถือมันด้วยมือขวา ส่วนมือซ้ายนั้นเธอเอามันทาบลงกับพื้นที่แตกละเอียด
    “เวทความมืด  -  อัญเชิญสุนัขสามหัวแห่งโลกันตร์ผู้มีนามว่าเซอร์เบรัส!![i/]”
    ฟู่!!  พื้นดินบริเวณนั้นเกิดควันสีดำลอยคละคลุ้มไปทั่ว ก่อนที่ควันเหล่านั้นจะรวมตัวกันเป็นเซอร์เบรัสฝูงใหญ่ น้ำลายของพวกมันไหลยืดชวนสยดสยองยิ่งนัก
    “เอาล่ะ เริ่มเกมได้!!”  ยามิชักดาบออกมาจากฝักสีดำ ทำให้เห็นใบดาบที่โค้งเป็นธรรมชาติมีลายน้ำสีน้ำเงินเป็นประกายสวยงามยิ่งนัก บริเวณโคนดาบมีหมายเลข VI สลักเอาไว้ด้วย เขากวัดแกว่งดาบไปมาก่อนจะวิ่งตรงไปยังวิหารที่มีเหล่านักรบยืนขวางอยู่ในขณะที่ฝูงเซอร์เบรัสเริ่มจะอาละวาด ทำร้ายผู้คนที่วิ่งกันอย่างโกลาหล
    “คุ้มกันชาวบ้านไว้ ชายคนนี้ข้าจะจัดการเอง!!”  เสียงของนักรบที่มีร่างสูงใหญ่ขนาดคนสองคนรวมกันซึ่งมีท่าทางว่าจะเป็นหัวหน้า ตะโกนสั่งลูกน้องก่อนจะกวัดแกว่งกระบองเหล็กขนาดใหญ่ขึ้นมาเตรียมรับการโจมตีจากยามิ
    “ครับ/ค่ะ หัวหน้าลาร์ค”  ทุกคนรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะแยกย้ายกันไปเพื่อจัดการกับสุนัขสามหัวที่ดุร้าย
    ฟุ่บ!!  จู่ ๆ ร่างของยามิก็หายไปจากสายตาของลาร์ค ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวอีกทีในระยะประชิด พร้อมกับฟันดาบลงมา
    เคร้ง!!  เสียงดาบประทะกับกระบองเหล็กอย่างรุนแรง จนทำให้ลาร์คถึงกับกระเด็นถอยหลังไปไกลหลายเมตรก่อนที่ยามิจะกระโดดเข้ามาฟันซ้ำแบบไม่ทันตั้งตัว
    เคร้ง!!  กระบองของลาร์คหักเป็นสองท่อนท่ามกลางความตกตะลึงของผู้เป็นเจ้าของที่ตอนนี้ทำได้เพียงแค่มองเท่านั้น
    “ตาย!!”  ยามิพุ่งดาบลงไปหมายจะแทงเขาให้ตายในดาบเดียว
    ฟิ้ว!!  ลำแสงสีทองจำนวน 5 เส้นพุ่งออกมาจากภายในวิหาร ทำให้ยามิต้องกระโดดผละออกมาจากนักรบคนนั้น ก่อนจะใช้ดาบสะท้อนของลำแสงพวกนั้นไปยังทิศทางอื่นอย่างคล่องแคล่ว แสงที่พุ่งเข้ามาไม่ได้ทำให้เขาตกใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันกลับเรียกรอยยิ้มออกมาจากปากเขาอีกด้วย
    เขาเริ่มวิ่งเข้าไปในวิหารโดยไม่สนใจลาร์คอีก ฉับพลันลำแสงอีกหลายเส้นก็พุ่งออกมาจากที่เดิม แต่มันก็หยุดเขาไม่ได้อีกแล้ว เขายังคงเคลื่อนที่เข้าไปเรื่อย ๆ โดยใช้ดาบเปลี่ยนทิศทางลำแสงเหล่านั้นไปทางอื่นจนหมดจนเข้ามาถึงด้านในของวิหาร ที่นั่น เรย์น่ากำลังยืนรอเขาอยู่อย่างใจเย็น ในมือของเธอยังถือคันธนูทำจากไม้เนื้อดีสีขาวบริสุทธิ์ สลักลวดลายเถาวัลย์สีทองทั่วทั้งคัน น่าแปลก ที่เธอใช้ธนูเป็นอาวุธแต่กลับไม่มีลูกธนูติดตัวอยู่เลยสักดอก
    “นึกแล้วว่าต้องเป็นฝีมือเธอ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เรย์น่า”  ยามิทักขึ้นมาก่อน  “พวกแม่ทัพไปไหนกันหมดล่ะ ทิ้งให้สาวสวยมารับมือศัตรูอยู่คนเดียวแบบเนี้ย”   
    “ไม่นึกว่าคนที่ถอนตัวไปแล้วอย่างนายจะกลับมาที่นี่อีก นายมีจุดประสงค์อะไรกันแน่!!”  เธอถามด้วยแววตาจริงจัง โดยไม่สนใจกับคำถามของอีกฝ่ายเลยสักนิด
    “ชั้นก็แค่มาเอาของเท่านั้นเอง ปล่อยให้ชั้นผ่านไป ดีกว่าน่า ชั้นไม่อยากสู้กับผู้หญิงเท่าไหร่หรอกนะ ยิ่งเป็นเธอด้วยแล้...”
    “ไม่มีทาง!!”  เรย์น่าไม่ปล่อยให้เขาพูดจบ เธอยกคันธนูพร้อมกับขึ้นสายที่ไม่มีแม้แต่ลูกศรสักดอกเล็งไปยังผู้ที่อยู่ตรงหน้า
    ฟิ้ว!!  ทันทีที่เธอปล่อยสาย ก็เกิดเส้นแสงจำนวนมากพุ่งออกมาจากคันธนูของเธอตรงเข้าจัดการฝ่ายตรงข้ามทันที แต่ผลก็เหมือนเดิม ยามิกระโดดหลบขึ้นไปตามเสาวิหารก่อนจะโฉบลงมาจากด้านบนพร้อมกับดาบที่คมกริบราวกับกรงเล็บของพญาอินทรี
    แต่นั่นก็หาได้สร้างความหวาดกลัวให้กับเรย์น่าได้เลยแม้แต่น้อย เธอยังคงยืนนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านกับคมดาบที่กำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ
    กึก!!  ดาบของยามิหยุดลง ปลายดาบอยู่ห่างจากคอหอยของเรย์น่าไม่ถึงหนึ่งนิ้ว
    “เธอก็รู้ดีอยู่แล้ว ว่าชั้นไม่อยากฆ่าเธอ เรย์น่า”  ยามิพูดพร้อมกับยิ้มออกมา  “จะยอมให้ชั้นผ่านไปดี ๆ รึเปล่า”
    “ถ้านายดึงดันที่จะผ่านไปให้ได้...ชั้นคงต้องเอาจริง”  เรย์น่ายกคันธนูขึ้นมาเล็งอีกครั้ง
    “ก็ดี...ชั้นก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าช่วงที่ชั้นถอนตัวไปเนี่ย ฝีมือเธอจะพัฒนาไปมากน้อยแค่ไหน”
   
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น