ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เลือดทรนง.

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 ชะตาชีวิต

    • อัปเดตล่าสุด 6 มี.ค. 47


    บทที่ 1 ชะตาชีวิต

                    

                       สายลมพัดโหมกระหน่ำดุจดังมัจจุราชแค้นคลั่ง  ในสายลมแรงนั้นปรากฏมีรถม้าคันหนึ่งขับฝ่าสายลมนั้นไปด้วยความเร็ว  เสียงแส้ที่หวดกระหน่ำลงใส่หลังอาชาทั้งสองดังขึ้นเป็นระลอก  นับว่ายิ่งมายิ่งถี่ขึ้นเรื่อยๆ  อาชาพ่วงพีทั้งสองร้องเสียงดังลั่น  ทะยานออกพร้อมกันด้วยความเร็วดุจดั่งเกาทันถูกยิงออกจากแหล่ง  ร้านรวงริมทางต่างปิดประตูหน้าตาพากันหลบฝนพายุนี้กันแต่เนิ่นๆแล้ว  ถนนสายนี้จึงดูเงียบนัก  จะมีก็แต่เพียงเสียงล้อบดถนนกับเสียงอาชาดังขึ้นมาแต่ไกล  





                      รถม้านี้ทำจากไม้อย่างดี  นับว่าทนทานต่อการเดินทางไกลเป็นอย่างยิ่ง  อาชาพ่วงพีทั้งสองนี้ก็นับว่าเป็นอาชาชั้นดี   ที่วิ่งห้อตะบึงได้ทั้งวันโดยมิรู้จักกับคำว่าเหน็ดเหนื่อย รถม้าขับไปด้วยความเร่งร้อน  ราวกับว่าหากเดินทางไปช้าแม้สักเพียงเสี้ยวเวลาจะต้องเกิดเหตุอาเภทร้ายแรงก็มิปาน    ทันใดนั้นล้อข้างหนึ่งของรถม้าพลันไปสะดุดเข้ากับก้อนหินก้อนใหญ่บนถนน   รถม้าถึงกับไหวเอนไปข้างหนึ่งจนทำให้ในรถมีเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่ง  เป็นเสียงทารก!  





                       เสียงร้องไห้ของทารกดังมากเป็นอย่างยิ่ง  ดังถึงขั้นที่ว่าเพียงยืนอยู่ริมทางเมื่อรถม้าวิ่งผ่านก็ยังได้ยินเสียงนี้   ทารกน้อยมิรู้ความ  เพิ่งคลอดเพียงไม่ถึงเดือนกลับต้องเดือนทางไกล  เดินทางบนเส้นทางอันแสนวิบาก  ทารกหนอ ทารก ไยชะตาชีวิตเจ้าถึงกับลำบากเพียงนี้  ทารกน้อยส่งเสียงร้องไห้อยู่นานพอควรเสียงจึงค่อยๆหายไป  บัดนี้กลายเป็นทารกอันแสนจะน่ารักกำลังนอนหลับอยู่ภายในรถม้าแล้ว





                      รถม้าขับออกมาจากเมืองมุ่งตรงเข้าสู่เส้นทางชนบทสายหนึ่ง  ตลอดรายทางที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่ต้องพบกับอุปสรรค  ต้องฝ่าฝันกับอุปสรรคมามิรู้กี่มากกี่น้อย  รถม้าคันนี้จึงได้แล่นอยู่จนถึง ณ บัดนี้     รถม้าคันนี้มีผู้โดยสารมาเพียงสองคนเท่านั้น  เป็นสองคนที่มีวัยต่างกันมากยิ่งจริงๆ  คนหนึ่งเป็นเพียงทารกน้อย    อีกคนหนึ่งบัดนี้นับว่าย่างเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว   ทารกน้อยนอนหลับอย่างเป็นสุขอยู่ภายในตัวรถม้า  ส่วนชายวัยกลางคนนั้นก็คือสารถีที่ควบขับมันมานั้นเอง





                      หลังจากเดินทางบนเส้นทางน้อยมาชั่วพักใหญ่  รถม้าก็มาหยุดที่หน้าโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งในเวลาใกล้ค่ำ  โรงเตี้ยมหลังนี้มีขนาดเล็กยิ่งเมื่อเทียบกับโรงเตี้ยมที่พบเห็นได้ทั่วไปตามเมืองใหญ่ๆ   สภาพภายในก็ที่มิถือว่ายอดเยี่ยมนัก  ข้าวของเครื่องใช้รวมทั้งของประดับตกแต่งทั้งหลายล้วนเป็นของที่มีราคาค่างวดต่ำทรามยิ่ง  โต๊ะทุกโต๊ะที่จัดไว้บริการแด่แขกผู้มาเยือนนั้นก็มีฝุ่นละอองจับอยู่หนายิ่งนัก  คล้ายดั่งกับว่ามิได้มีผู้มาใช้บริการมันเป็นเวลานานมากแล้ว  แต่ทั้งหลายเหล่านี้ยังล้วนพออภัยให้ได้เนื่องเพราะว่าสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในชนบทที่ห่างไกลนัก   อย่าว่าแต่โรงเตี้ยมเลย  แม้นับว่าความเจริญต่างๆก็ยังคงห่างไกลนัก  นานทีปีหนจะมีเจ้าหน้าที่จากทางการมาเยี่ยมเยือนย่านนี้สักครา  นอกจากนั้นที่นี้ล้วนเงียบเหงายิ่ง



            

                      สารถีผู้นั้นจูงอาชาทั้งสองไปผุกไว้กับต้นไม้หน้าโรงเตี้ยม  จากนั้นเดินวกไปยังด้านหลังของรถม้าอุ้มเอาเด้กทารกแรกเกิดไว้ในอ้อมอก  ปากพึมพำกล่อมทารกมิให้ร้องไห้  แล้วค่อยๆอุ้มทารกเข้าสู่ภายในโรงเตี้ยม  หยิบเงินออกมาก้อนหนึ่งกำนัลแด่ผู้รับใช้สั่งให้มันดูแลรถม้าคันนั้นอย่าให้มีอันใดผิดพลาดแม้แต่น้อย  จากนั้นค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งยังโต๊ะที่ถูกจัดไว้ ณ กึ่งกลางของโรงเตี้ยมชั้นล่างพอดิบพอดี  มันนั่งลงจากนั้นจึงค่อยๆวางทารกน้อยลงสู่ตักมันอย่างแช่มช้าและอ่อนโยนยิ่ง  มันค่อยๆวางลงอย่างระมัดระวังราวกับว่ากลัวทารกนี้จะบอบซ้ำจากสิ่งกระทบก็มิปาน  ท่วงท่าที่มันทะนุถนอมทารกน้อยนี้แตกต่างจากท่วงท่าตอนที่มันกำลังหวดแส้ลงสู่หลังอาชาทั้งสองเมื่อยามเดินทางเป็นอย่างยิ่ง  ดูๆไปนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกไปอย่างหนึ่งแล้ว





                     ให้หลังเพียงชั่วครู่  เสี่ยวเอ้อผู้หนึ่งเดินเข้ามาทักทายด้วยท่าทางอันแสนจะพินอบพิเทาแก่แขกผู้มาเยือนนี้เป็นยิ่งนัก  พร้อมกันนั้นมันก็บรรยายให้ฟังถึงประวัติความเป็นมาของโรงเตี้ยมมัน  ความโอ่อ่าของโรงเตี้ยมมัน  ซึ่งทั้งหลายนั้นหากท่านได้ฟัง  ท่านยังต้องยกให้มันเป็นนักเล่านิทานชั้นหนึ่งเลยทีเดียว   สารถีผู้นั้นตวาดคำ \"พอ\" สั่งให้มันไปนำเอาสุราชั้นเลิศที่ดีที่สุดในร้าน  พร้อมทั้งยกกับที่ราคาแพงที่สุดในร้านมาสามสี่อย่างด้วยกัน  จากนั้นก็ให้นำนมโคและนมแพะมาอย่างละชามเพื่อเลี้ยงทารกนี้ด้วย   เสี่ยวเอ้อรับคำพลางรีบกุลีกุจอวิ่งออกไปทางหลังร้าน  





                      ไม่นานเท่าไรนักเสี่ยวเอ้อพร้อมทั้งสุราป้านใหญ่และกลับแกล้มเลิศรสสี่ห้าจานก็พากันทยอยออกครัวมาสู่โต๊ที่สารถีนั่งอยู่  สารถีผู้นั้นกล่าวคำขอบใจ  พลางหยิบตะเกียบขึ้นทำท่าจะคีบผักกาดชึ้นใหญ่เข้าปาก  ฉับพลันที่เสี่ยวเอ้อกำลังมองดูมันคีบผักกาดขึ้นเตรียมกัดกลืนลงไปนั้น  ผัดกาดชิ้นนั้นพลันถูกซัดเข้าใส่เสี่ยวเอ้อผู้นั้นอย่างแรงยิ่ง  เสี่ยวเอ้อผู้นั้นกลับมิมีสีหน้าตกใจเลย  มันพลันสะดุ้งกายขึ้น  ถอยร่างออกไปหลายก้าวจากนั้นก็กล่าวกับสารถีนั้นด้วยน้ำเสียงที่ผิดแผลกจากเมื่อครู่นี้นัก   ยามนั้นมันกล่าวด้วยท่าทีพินอบพิเทาแก่สารถีนี้  วาจามันก็ดุจดั่งรสชาติอันหวานหอมที่ผู้ใดได้ฟังก็มิอาจมีโทสะได้  แต่บัดนี้มันนับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้ว  น้ำเสียงของมันทั้งแหบห้าว  ทั้งแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์เป็นอย่างยิ่ง  





                       \"คำกล่าวที่ว่าชาติเสือย่อมไม่ทิ้งลายนั้น  เรามิเคยเชื่อถือมาก่อน  แต่วันนี้นับว่าเรามิอาจไม่เชื่อถือได้แล้ว  ฮ่าๆๆ\"





                       มันระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น  แววตาสีหน้าต่างดูอำมหิตมิได้แตกต่างจากปีศาจในอเวจีเลย  แต่ก็นับว่ายังมีสิ่งที่แตกต่างอยู่บ้าง นั้นก็คือ  เลือด.......





                      คนที่ตายแล้ว ย่อมไม่อาจหลั่งเลือดเป็นครั้งที่สองได้  เนื่องเพราะว่าคนที่ตายไปแล้ว  หากตายด้วยการมีบาดแผลนั้นนับเป็นการหลังเลือดครั้งที่หนึ่ง  แต่หลังจากพวกมันเสียชีวิตไปแล้ว  หัวใจ และองค์ประกอบต่างๆ พากันหยุดทำงาน  พวกมันจึงไม่มีโอกาสหลั่งเลือดเป็นครั้งที่สองได้โดยเด็ดขาด  





                      ใบหน้าของเสี่ยวเอ้อผู้มากด้วยเล่ห์เหลี่ยมยามนี้ปรากฏเลือดขึ้นแล้ว  เป็นเลือดที่ไหลมาจากจมูกบันบี้แบนของมัน  ขณะที่มันคำมิอาจไม่เชื่อถือได้แล้วนั้น  มันพลันระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นอย่างลืมตัว  ลืมตัวไปว่ามันได้ยืนอยู่ต่อหน้าสารถีผู้ที่มันหมายจะเด็ดชีวิต  หมัดของสารถีผู้นั้นก็เหวี่ยงเข้าสู่ใบหน้าของมันอย่างรวดเร็วและแรงยิ่ง  ทำเอาจมูกที่เดิมบี้แบนอยู่แล้ว กลับบี้แบนลงไปอีก   ตลอดเวลานับจากสารถีและทารกน้อยเหยียบย่างเข้าสู่ภายในโรงเตี้ยมนี้ มันก็ระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง  ระวังมิให้มีอันตรายใดๆเกิดกับมัน  แต่ยามนี้มันกลับพลาดแล้ว  พลาดพลั้งอย่างน่ามีโทสะเสียจริงๆ





                       สารถีรีบอุ้มทารกน้อยเข้าสู่อ้อมอก  ทอดสายตาลงมองดูทารกที่กำลังหลับใหลอยู่ในอ้อมอกมัน  พลางกล่าวเบาๆกับทารกน้อยเป็นเชิงปลอบขวัญ  จากนั้นมันใช้แขนซ้ายของมันโอบรัดตัวทารกน้อยนี้ไว้อย่างแนบแน่น   มือขวาพลันชักดาบที่ทำจากเหล็กพม่าชั้นดีออกมาจากสะพายหลังของมัน  ส่งเสียงคำรามขู่คำโตก่อนที่จะวิ่งตรงเข้าไปหาเสี่ยวเอ้อผู้นั้นด้วยความเร็วที่สุดจะบรรยาย  มันฟาดฟันดาบใส่ร่างของเสี่ยวเอ้อที่กำลังใช้ท่าร่างของมันหลบหลีกอย่างทุลักทุเลอย่างเหี่ยมโหด  ดาบแต่ละดาบที่ถูกฟันลงนั้นหนักแน่นราวกับฟันด้วยความแค้นที่จุกแน่นในอกก็มิปาน  บัดนี้นับได้เกือบสิบห้าดาบแล้ว  ร่างของเสี่ยวเอ้อผู้นั้นก็ยังมิได้มีบาดแผลขึ้นแต่อย่างใด  ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ ผู้รับใช้ที่ผูกม้าให้มันเมื่อสักครู่  ยามนี้เดินตรงเข้ามาภายในโรงเตี้ยมแล้ว





                       ผู้รับใช้นั้นถึงกลับตบมือดังลั่น  ปากกล่าวคำเยินยอในฝีมือและปัญญาของสารถีผู้นั้น  มันพลันเรียกให้ทั้งคู่หยุดมือแก่กัน  จากนั้นมันก็เริ่มกล่าววาจาต่อแล้ว





                       \"ไต้เฮี้ยบ (คำยกย่องเยี่ยงวีรบุรุษ)ท่านนี้นับว่ามีสายตาที่คมกริบนักแล้ว   พวกเราสองพี่น้องแซ่คงขอคารวะ\"





                        มิคาดคำคารวะยังไม่ทันจบป้านสุราบนโต๊ะอาหารที่สารถีนั่งอยู่เมื่อครู่นั้น  พลันถูกผู้รับใช้หยิบฉวยขึ้น  เหวี่ยงเข้าสู่ร่างของทารกน้อยนั้น  นับว่ามันฉวยโอกาสได้เร็วยิ่งนัก  สุราที่อยู่ในป้านนั้นหาได้เป็นสุราไม่  แต่มันกลับกลายเป็น \"น้ำกรด\"   เป้นน้ำกรดที่พอกระทบถูกสิ่งใดสิ่งนั้นก็อย่าได้มีหวังจะคงสภาพเช่นเดิมอยู่อีกเลย  หากกระทบถูกโต๊ะไม้  โต๊ะไม้ก็ย่อมผุกร่อน  กระทบถูกจอกที่มิได้ผ่านการเคลือบสารดังเช่นป้านสุรา  จอกนั้นก็ยังคงต้องมีสภาพมิต่างจากโต๊ะไม้   แล้วถ้าเป็นลำไส้มนุษย์ละ?  





                       ยามนี้น้ำกรดในป้านต่างพากันกระเซ็นออกมาสู่ภายนอกแล้ว  เห็นชัดได้ว่าจะต้องกระทบถูกใบหน้าของทารกน้อยเป็นแน่แท้  แต่ทันใดนั้นสารถีกลับเบี่ยงตัว  หันหลังของมันออกรับน้ำกรดเหล่านั้นแทนทารกน้อย  เสียงซ่าๆ เมื่อน้ำกรดกระทบกับเนื้อผ้าที่มันสวมใส่  ผ้าค่อยๆผุขาด  หลังของสารถียามนี้ได้ถูกน้ำกรดนี้กัดกร่อนไปกว่าหนึ่งในสามแล้ว  น้ำกรดมีฤทธิ์กัดผ้าก็ย่อมมีฤทธิ์กัดเนื้อหนังมนุษย์เช่นกัน  หากเป็นบุคคลธรรมดา  เมื่อโดนน้ำกรดกัดถึงขนาดนี้ย่อมต้องร้องโหยหวนออกมาให้เป็นที่อุจาดตาแก่ผู้พบเห็นแล้ว  แต่สารถีผู้นี้หาใช่คนธรรมดาไม่  มันมิได้ส่งเสียงใดๆออกมา  และใบหน้ามันก็มิได้แสดงออกถึงอาการความเจ็บปวดที่มันได้รับเลย  แต่กลับแสดงออกุถึงความห้าวหาญ  ความดุดัน  จนทำให้ผู้ที่พบเห็นต่างต้องกลัวถึงสามส่วนแล้ว





                       มันยังคงโอบอุ้มทารกน้อยไว้อย่างแนบแน่น   ถือดาบไล่ฟาดฟันมารร้ายแซ่คงทั้งสองตัวนั้นต่อไป  จะด้วยเสียงดาบกระทบกับโต๊ะหรือการกระทบกระเทือนจากการเคลื่อนไหวก็ไม่ทราบทำให้บัดนี้ทารกน้อยตื่นแล้ว  ทารกน้อนส่งเสียงร้องไห้จ้าออกมา  เมื่อสักครู่สารถีผู้นี้กำลังชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบ  ถาโถมเข้าประหารชีวิตสองพี่น้องแซ่คง  แต่ครานี้กลับเป็นสองพี่น้องแซ่คงมอบความเจ็บปวดให้แก่มันบ้างแล้ว  เสียงเด็กทารกร้องไห้นับว่าบั่นทอนสมาธิมันยิ่งกว่าน้ำกรดที่สาดซัดใส่หลังมันเมื่อสักครู่นี้มากนัก  ฉับพลันที่มันสูญเสียสมาธิในการต่อสู้ไป  มันพลันสูญเสียทุกสิ่งแล้ว  สูญเสียอิสระภาพ  สูญเสียกำลังและความหวัง และสุดท้ายนั้นมันสูญเสียทารกน้อยนั้นไปแล้ว!





                       มันมารู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าข้อเท้าและข้อมือทั้งสองข้างต่างถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนขนาดใหญ่  เรี่ยวแรงกำลังวังชาของมันก็หดหายไปไม่เหลือแม้แต่น้อย  ยามนี้มันกลับไม่ห่วงตัวมันเองเลย  มันมองสำรวจไปทั่วภายในห้องคุมขัง  มันกำลังมองหาร่างของทารกน้อยนั้น  แต่มันก็ต้องพบว่าทารกน้อยนั้นถึงกับหายไปแล้ว  มันคำรามอย่างคลุ้มคลั่งปากตะโกนด่าทอสองพี่น้องแซ่คงด้วยถ่อยคำที่รุนแรงยิ่ง  และในยามนี้เองมันกลับทำในสิ่งที่ตลอดทั้งชีวิตมันมิได้เคยทำมาก่อน  มันเริ่มหลั่งน้ำตาแล้ว  น้ำตาที่มันหลั่งสายนี้เป็นที่รวมไปด้วยความทุกข์  ความแค้น  ความห่วงหา  ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตมันล้วนรวมอยู่ในตัวทารกน้อยนั้น  นับแต่มารดาของทารกน้อยเสียชีวิตไป   มันก็เฝ้าทะนุถนอมทารกน้อยนั้นอย่างดียิ่ง   ทารกน้อยนี้เป็นแก้วตาดวงใจของมันที่มันทั้งรักทั้งหวงยิ่งนัก  ฉะนั้นยามนี้มันจึงอดเป็นห่วงเลือดเนื้อน้อยๆของมันมิได้





                       มันพยายามหลายต่อหลายคราที่จะพังเครื่องพันธนาการเหล่านี้ให้หลุดออก  แต่นับว่ายามนี้มันกลับสูญสิ้นเรี่ยวแรงไปแล้วจริงๆ   ร่างกายที่สูงใหญ่แต่ขาดพละกำลังนั้นจะนับว่ามีประโยชน์แต่อย่างใด  มันจึงค่อยๆสงบลง กวาดตามองไปทั่วห้องคุมขังอีกครั้ง  ครานี้มันอดหวั่นไหวในใจเสียมิได้  แม้นมันจะเป็นคนที่หนักแน่นปานภูเขา  แต่สภาพในห้องขังนี้กลับทำให้มันต้องอ่อนระทวยลงแล้ว  





                       ทั้งสี่ด้านของผนังต่างชะโลมไปด้วยสีแเดง  เป็นสีแดงที่มีกลิ่นคาวเลือดโชยออกมาชวนให้คลื่นไส้อาเจียนเป็นอย่างยิ่ง  กองกระดูดนับไม่ถ้วนกองสุมกันเป็นเนิ่นขนาดย่อมๆอยู่ ณ ริมผนังด้านหนึ่ง  มันคาดเดาออกได้ว่า มันมิใช่คนแรกที่พูกพันธนาการไว้ ณ ห้องขังนี้ และมันก็มิใช่คนแรกที่จะจบชีวิตในห้องขังอันแสนน่าสยดสยองนี้ด้วย  มันทราบว่าต้องมีผู้คนจำนวนมากหลายที่ดิ้นรนให้พ้นจากห้องขังนี้ และยังทราบว่า \"ไม่มีใครดิ้นรนออกไปได้\" อีกด้วย.................





                      

                      ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของมัน  มันมิเคยที่จะปราชัย  มิเคยแม้กระทั่งสิ้นหวัง  แต่วันนี้มันกลับต้องพบกับทั้งความพ่ายแพ้  ความสิ้นหวัง  เหงื่อภายในร่างกายพากันหลั่งไหลออกมาตามขุมขนต่างๆ  บัดนี้มันถึงกับยอมรับในชะตากรรมชีวิตมันแล้ว  มันยอมแพ้แล้ว  มันยอมแพ้กับทุกสิ่งแล้ว  สายตามันที่เคยผยองในชีวิต   ผยองในความสำเร็จที่ได้รับมานับไม่ถ้วน  สายตาที่เคยใช้ข่มขู่เหล่าอธรรม  บัดนี้สายตานี้มิได้เหลือแววของนักสู้ดังเช่นกาลก่อนแล้ว  สายตาของมันยามนี้ได้แด่มองลงไปยังพื้นล่าง  ดังกับมันที่หมดในความทะเยอทะยานแล้ว  ยามนี้ทุกห้วงขณะจิต  มันได้แต่อ้อนวอนฟ้าหวังว่าทารกน้อยจะปลอดภัย  ทารกน้อยอันแสนบริสุทธิ์  แต่ชะตากรรมของเจ้าทารกน้อยไยมิใช่โหดร้ายทารุณหรือ?  





                      ตามร่างกายของสารถีผู้ถูกจองจำยามนี้หากจะนับบาดแผลบนตัวมันนับว่ามิอาจจะนับได้ถ้วนแล้ว   ร่างกายมันชุ่มโชกไปด้วยเลือด  รอยบาดแผลเป็นทางยาว  พร้อมกับรอยเลือดที่ซึมออกมาตามปากแผล  ร่างกายที่สูงใหญ่ของมัน  ยิ่งสูงยิ่งใหญ่ก็ยิ่งมีพื้นที่ให้ลงแส้ ลงดาบมากขึ้นเท่านั้น  ยามนี้มันนับว่าเสียเลือดอย่างมากยิ่ง  มันจึงเริ่มที่จะสลึมสลือใกล้จะสิ้นสติแล้ว





                     ฉับพลันที่มันกำลังจะปล่อยให้ร่างกายมันได้เข้าสู่ห่วงนิทรานั้น  มันพลันได้ยินเสียงๆ หนึ่งดังรอดมาจากทางด้านหน้าของมันซึ่งก็คือประตูห้องคุมขังนั้นเอง  หากเป็นเสียงเหล่าทรชนกร้ำกราย  มันย่อมมิแย่แสแต่อย่างใด  มันมิเคยเกรงกลัวแต่เหล่าอธรรม  มิเคยอ้อนวอนขอชีวิตต่อเหล่าอธรรมมาก่อน  ฉะนั้นมันจึงไม่จำเป็นต้องสนใจเสียงจากเหล่าอธรรม  แต่บัดนี้มันนับว่ามิอาจไม่สนใจแล้ว  มันได้ยินเสียงทารกร้องไห้เล็ดออกมาทางช่องประตูที่คุมขัง  มันเงยหน้าขึ้นมองออกไปยังช่องประตูนั้น   มันเห็นคนผู้หนึ่งอุ้มทารกน้อยค่อยๆ ไขประตูที่คุมขัง  ก้าวเข้าสู่ห้องพันธนาการอย่างช้าๆ  





                     ทันใดนั้นเมื่อคนผู้นี้ก้าวพ้นบานประตูเข้ามา  มันถึงกับต้องตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง  คนผู้นี้มีรูปร่างสูงใหญ่มิผิดกับมันแม้แต่น้อย  รูปร่างท่าทางทุกกระเบียดนิ้วล้วนมิมีผิดแผลกไปจากมัน กล้ามเนื้อล้วนล่ำสัน  นี้มิใช่เป็นกล้ามเนื้อที่ถอดพิมพ์เดียวกันมาหรอกหรือ  แต่ที่มันต้องตะลึงไปกว่านั้นคือ หน้าตาของคนผู้มาเยือน  หน้าตามันก็คล้ายดังแกะมาจากพิมพ์เดียวกับสารถีนี้เลยก็มิปาน มันถึงกับงุนงงว่า \"เหตุไฉนถึงมีมันคนที่สองปรากฏออกมาได้ \"    มันค่อยๆเบนสายตาจากอาคันตุกะหน้าตาคล้ายมันมายังคนที่ถูกข้อมือซ้ายของอาคันตุกะอุ้มรัดไว้  คนผู้นั้นเปล่งเสียงร้องไห้ออกมาตลอดเวลาราวกับรู้ว่าบิดาที่โอบอุ้มผู้นี้เป็นตัวปลอมเสียนี้  ทารกน้อยยังคงร้องไห้คล้ายดั่งเรียกให้บิดาบังเกิดเกล้าของมันมาช่วยก็มิปาน  เสียงร้องไห้ยิ่งมายิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ  ยิ่งมายิ่งน่าหวาดกลัว





                    สารถีผู้มิเคยอมอ่อนข้อให้ใครยามนี้มันถึงกับยอมแล้ว  ยอมแพ้แล้ว  มันกล่าวกับอาคันตุกะผู้มาใหม่ด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวแต่ก็มิแข็งกร้าวเช่นกาลก่อน  น้ำเสียงนี้แม้แข็งกร้าวแต่ก็แฝงความอ้อนวอนไปสักสี่ห้าส่วนแล้ว





                    \"เจ้าต้องการสิ่งใดเราย่อมให้ท่านได้  วอนท่านเพียงให้ความเมตตากับทารกน้อยนี้ของเราเท่านั้น\"





                    อาคันตุกะจ้องมองหน้ามันด้วยแววตากระหยิ่มยิ้มย่อง  ราวกับว่ากุมชัยชนะไว้แล้วเป็นมั่นเหมาะ  กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงว่ามีอำนาจยิ่ง  





                    \"เหอะๆ  นั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว  หากเจ้าให้ความร่วมมือกับเราแต่โดยดี  ทารกนี้ย่อมยังอยู่สุขสบายได้\"





                    สารถีส่งเสียงอ้อ  จากนั้นกล่าวถามขึ้นอีกครา





                    \"เจ้าต้องการให้เราทำเยี่ยงไรหรือ\"





                    \"ฮา ฮา ฮา  นับว่าเจ้าก็มีวันนี้เหมือนกัน  บอกเจ้าตามตรง  เราคิดจะใช้ชื่อเสียงบารมีของเจ้าทำประโยชน์ให้แก่เรา  เจ้าจะยินยอมหรือไม่\"





                   เหงื่อเม็ดโป้งหลั่งออกมาจากใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยแววดุดันของสารถี  ตลอดชีวิตมันนับว่าช่วยเหลือผู้คนมานับไม่ถ้วน   กำจัดเหล่าอธรรมอภิบาลคนดีมาตลอด  ยามนี้มันจำเป็นต้องตัดสินใจแล้ว  ตัดสินใจที่จะเลือกระหว่างความดีที่มันกระทำมากับ \"ทารกน้อย\" บุตรชายคนเดียวของมัน  ยามนี้นับว่ายากจะตัดสินใจจริงๆ  หากท่านเป็นมันท่านจะเลือกทางใดหรือ?





                    แต่มันกลับตัดสินใจได้ง่ายดายยิ่ง   มันกล่าวกับอาคันตุกะผู้นั้นด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม





                   \"เอาเถิด  เจ้าสังหารทารกน้อยได้เลย  เราแม้ตายก็มิยอมให้ท่านนำเชื่อเสียงเราไปทำร้ายคนดีเด็ดขาด\"





                    มันลดสายตาลงมายังทารกน้อยในอ้อมอกอาคุนตุกะ  มันกล่าวกับทารกน้อยด้วยความทอดถอนใจ





                   \"ชะตากรรมช่างโหดร้ายกับเจ้าเสียจริง  บิดามิอาจช่วยเหลือให้เจ้ามีชีวิตยืนยาวได้  นับว่าเป็นความผิดของบิดาเอง  เอาเถิดเจ้าล่วงหน้าไปกอ่น  บิดาอีกไม่นานก็จะตามไปพบเจ้าในปรโลกแล้วละ\"





                    มันหันมาจ้องหน้าอาคันตุกะด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความห้าวหาญอีกครั้ง  ออกปากกับมัน





                   \"เอาละ  เราพร้อมแล้ว  ชีวิตเราสองคนอยู่ในกำมือเจ้าแล้ว  จะทำเยี่ยงไรก็แล้วแต่เจ้าเถิด  แต่ขอบอกกับเจ้าไว้ก่อน  หากแม้นเรามีชีวิตรอดออกไป  เจ้าก็อย่าได้มีชีวิตสงบเลย\"





                   มันพริ้มตาลงเล็กน้อย  ค่อยๆก้มหน้ารอรับชะตากรรม  แต่มันกลับคาดไม่ถึงว่ายามนี้อาคันตุกะผู้นั้นได้เปิดประตูเดินออกไปแล้ว  มันได้ยืนเสียงประตูปิดเบาๆ  มันค่อยๆ แหงนขึ้นมองแผ่นหลังของอาคันตุกะที่ค่อนๆลับตามันไปทีละน้อย  แผ่นหลังที่นับว่าคล้ายแผ่นหลังของมันอย่างยิ่ง  ยามนี้มันย่อมรู้แล้วว่า เหตุใดอาคันตุกะผู้นี้ถึงกับมีหน้าตาคล้ายมันราวกับแกะเยี่ยงนี้





                  

                      





                  



                    

                    



                      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×