ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~Dur-Dagor I~ เงาทมิฬแห่งกางเขนโครงกระดูก

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter1 เจ้าชายแห่งเวสนอส

    • อัปเดตล่าสุด 7 ธ.ค. 48


                                                                                                 ~Dur-Dagor I~

                                                                                   ภาค เงาทมิฬแห่งกางเขนโครงกระดูก

                                                                                       Chapter1 เจ้าชายแห่งเวสนอส



         ไกลออกไปยังทวีปอันแสนกว้างใหญ่ไพศาล ดินแดนที่ถูกขนานนามว่า ดินแดนอิสระแห่งเสรีชนที่แตกต่างไปทั้งในด้านเชื้ชาติ เผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต ความเชื้อ

    และแม้แต่ศาสนา ประหนึ่งกับว่าทวีปนี้เป็นดั่งแสงรัศมีศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าที่สาดส่องมายังพื้นพิภพโลกให้อุดมไปด้วยความสุขทวีปนี้จึงถูกเล่าขานในตำนานแห่งชนชาติว่า “Belthitsia” อันมีความหมายว่า รัศมีศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า



        ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลของทวีป เบลธิลเซีย นี้ ไม่ต่างเลยที่จะประกอบขึ้นด้วยหลากหลายอารยะธรรมของนานาเผ่าพันธุ์ หลากหลายวัฒนธรรม สืบสารต่อกันมาทั้งวิทยาการและวิถีความเป็นอยู่ ศิลปวัฒนธรรม จนกลายเป็นแหล่งรวมของอารยะธรรมที่แตกต่างและถูกกั้นกลางไว้ด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดถือตามเผ่าพันธุ์และได้ถูกก่อตั้งเป็นดินแดนน้อยใหญ่โดยมีอุดมการณ์ของแต่ละเผ่าชนเป็นอธิปไตยชี้นำทางให้ผู้คนในเผ่าได้ยึดถือและสืบทอดต่อกันมาหลายรุ่นหลายสมัย



        ต่างเผ่าพันธุ์ ตามอุดมการณ์ของตน จึงไม่มีผู้ใดเลยจะยอมรับในความเชื้อที่ตนศรัทธาว่าผิดหรือไม่ เพราะความแตกต่างนั้นเองจึงกลายเป็นต้นเหตุแห่งสงครามอันยืดเยื้อยาวนานประดุจชั่วยุคสมัยที่ตรึงเอาความมืดมนมาสู่เบลธิลเนิ่นนานจนแทบหาแสงสว่างไม่อาจเจอ แต่ยังมีอยู่ สิ่งที่ค่ำจุนแผ่นดินนี้ให้ดำรงค์อยู่มาได้จวบจนวันนี้คือความศรัทธราอันแรงกล้าประหนึ่งถ่ายเทพลังงานสู่ผืนแผ่นดินหล่อเลี้ยงแผ่นดินอันเกือบจะมืดมิดนี้ให้อยู่ได้  



        ณ ทางตะวันออกของทวีปเบลธิล ดินแดนแห่งความกล้าอีกแห่งหนึ่ง สถานที่ตั้งของชนเผ่าเวสนอส (Vesnost) ชนที่มุ่งมั่นและต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ความถูกต้องของตนความรัก ความสามัคคี ความศรัทธรา สามสิ่งนี้เป็นแรงผลักดันให้ชนเร่ร่อนทางตะวันตกรวมตัวผนึกกำลังกันเพื่อต่อกรกันอำนาจของศาสนจักร ที่กวาดล้างทุกศาสตร์ ทุกความเชื้อนอกเหนือศาสนจักรทั้งหมดด้วยว่าเป็นสิ่งที่ผิดและเป็นความผิดบาปที่ต้องกำจัดเสียให้สิ้นซาก ทุกความเชื้อ ทุกความศรัทธา ทุกสิ่งทุกอย่างผิดจริงอย่างที่ศาสนจักรกล่าวจริงหรือ? ซึ่งตอนนี้มิอาจบอกได้



        ในครั้งอดีตนั้น ทางศาสนจักรไม่ได้ต่อต้านหรือออกล้าชนชาติอื่นนอกจากศาสนจักรเหมือนเฉกเช่นปัจจุบันนี้ หากแต่เมื่อไม่กี่ 10 ปีมานี้ ได้มีการเลือกสังฆราชองค์ใหม่แห่งศาสนจักรขึ้น สิ่งต่างๆก็เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อคาลดินัล ดารัสโต้ พระคาลดินัลจากเพร่าได้ดำรงตำแหน่งสังฆราชแห่งศาสนจักร และนั้นคือจุดเปลี่ยนแห่งชะตาโลก



        ในความคิดของสังฆราชดารัสโต้ ทุกศาสตร์ ทุกความเชื้อนอกเหนือจากความเชื้อในพระเจ้าสูงสุดของศาสนจักรเป็นบ่อเกิดของความชั่วร้ายในทางตะวันออก จึงได้แต่งตั้งกองทัพศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์พระเจ้าสูงสุดของศาสนจักรในนามของ “ซินิอัซ-กาทูเรด” อันหมายถึง อำนาจสูงสุดแห่งพระเจ้า ออกกวาดล้างชนชาติอื่นที่ไม่รับเอาศาสนาของตนเข้าไป และเป้าหมายแรกคือเวสนอส ดินแดนในการคุ้มครองแห่งภูผา แผ่นดินอันเก่าแก่ของชนชาวเวสเนียน ดินแดนอันเป็นสุขที่กำลังจะถูกคุกคาม



        “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ในนามของผู้รับใช้พระเจ้าสูงสุดของเราชาวศาสนจักร กองกำลังศักดิ์สิทธิ์จะออกกวาดล้างความเชื่ออันไม่ดี คำสอนที่ผิดๆที่พวกนั้นได้สอนนี้เป็นสิ่งผิดบาปอย่างยิ่ง เราจะเริ่มที่เวสนอส พวกนั้นขัดขวางเป็นตัวการสั่งสอนความเชื้อที่ผิดๆ ความเชื่อของเทพวาวาเดี่ยนที่ไม่มีตัวตน พระผู้เป็นเจ้าสูงสุดต่างหากคือผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง ในนามแห่งพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด วาวาเดี่ยนและเวสนอสจะต้องหายไป...” สิ้นคำสั่งทุกคนต่างตกตะลึงกับคำสั่งของสังฆราชองค์ใหม่นี้ ด้วยว่าไม่เคยเกิดขึ้นและรุนแรงเท่านี้มาก่อนการออกคำสั่งกองทัพศักดิ์สิทธิ์ได้นั้นมีเพียงผู้ดำรงตำแหน่งสังฆราชแห่งศาสนจักรเท่านั้นที่มีสิทธิ แต่ครั้งนี้ต่างออกไปตรงที่ไม่เคยมีคำสั่งใดสั่งกองทัพศักดิ์สิทธิ์ให้กวาดล้างศาสตร์อื่นเหมือนเฉกเช่นครั้งนี้มาก่อน



        “โปรดพิจารณาให้ถ้วนถี่ด้วยเถิด หากทำเช่นนั้นจะเป็นการเข่นฆ่าชนผู้บริสุทธิ์ซักเพียงไร หากเช่นนั้นผู้ผิดบาปคงมิอาจพ้นเหล่าเราเป็นแน่ ขอโปรดพิจารณาให้ด้วยเถิด” คาลดินัลรูปหนึ่งทัดทานการออกคำสั่งของสังฆราชหนุ่มผู้นี้ท่ามกลางหมู่พระคาลนินัลองค์อื่นๆ และเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโถงวิหาร



        “ท่านคิดเช่นนั้นจริงๆเหรอ?” สังฆราชแห่งศาสนจักรถามด้วยน้ำเสียงเย็นเรียบ สายตาที่ทอดพระเนตรลงมายังพระคาลดินัลนั้นแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างยิ่ง“ท่านว่าเราเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างนั้นเหรอ?” สังฆราชเหยียดมองด้วยปลายหางตาลงมาจากบันลัง “ท่านยังคิดว่าผู้ที่เคารพเทพวาวาเดี่ยนงี่เง่านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างนั้นเหรอ? ท่านคงเป็นคาลดินัลที่ไม่ได้อ่านพระบัญญัติมากระมัง? “ไม่มีพระเจ้าองค์ใดอื่นนอกจากเราผู้เป็นพระผู้เป็นเจ้าสูงสุดแห่งจักวาลอันใกล้โพ้น” และยังมีอีกว่า “ไม่มีเทพองค์ใดทรงอำนาจเฉกเช่นเราผู้เป็นพระเจ้าสูงสุดแห่งจักวาล” แต่พวกมันคิดว่าเทพวาวาเดี่ยนสร้างทุกๆสรรพสิ่ง หึ เป็นชั้นเทพสามารถสร้างโลกเหรอ? โลกนี้ผู้สร้างคือพระผู้เป็นเจ้าสูงสุดต่างหาก หากวิสัยทัศน์ของท่านมีเพียงเท่านี้คงไม่เหมาะกระมังที่จะเป็นนักบวชหน่ะ หากท่านกล่าวสิ่งอันใดหลบหลู่เราผู้เป็นสังฆราชแห่งศาสนจักร ผู้รับถ่ายทอดคำสั่งจากองค์พระผู้เป็นเจ้าสูงสุดอีกเพียงครั้งหละก็ เราจะถอดตำแหน่งพระคาลดินัลของท่านและขับไล่ท่านออกนอกศาสนจักร”    



        มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ปกคลุมโถงวิหารในขณะนี้ ไม่มีผู้ใดนึกคิดมาก่อนเลยว่าผู้ที่ได้รับเลือกมาจากพระคาลดินัลทั้งหมดจะได้คนเช่นนี้ขึ้นมาปกครองศาสนจักรอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเค้า และในไม่นาน อาณาจักรทั้ง 5 ก็ขึ้นตรงกับศาสนจักร เหลือเพียงเวสนอส ดินแดนแห่งศัรทธาของเทพวาวาเดี่ยนเท่านั้นที่ต่อให้สาสนจักรยกกองกำลังไปซักกี่ครั้งผลก็ยังเป็นเช่นเดิม คือ ไม่อาจตีเวสนอสให้แตกได้ด้วยว่า ภูมิประเทศของเวสนอสนั้นโอบล้อมไปด้วยเทือกเขาอดูนาคาที่ทอดยาวจากทางเหนือลงมาตัดกับกัลดานุส แผ่นดินที่ยกตัวขึ้นสูงจากพื้นโลกเล่าขาลกันมาในตำนานเก่าแก่ของเบลธิลเซียว่า เป็นที่สถิตของทวยเทพผู้ดูแลมวลมนุษย์ และอดูนาคายังทอดยาวลงมาเรื่อยๆอย่างไม่ลดละ และสิ้นสุดเหนือทะเลสาบ ดินเอ็น (Dinen)  เว้นช่องว่างเป็นทางตัดพาดผ่านคือช่องเขาคาทูริน ถัดจากนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของเทือกเขาเพลาซินดาซึ่งจะทอดยาวไปจนสุดทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพื้นทวีป



        ด้วยลักษณ์เด่นทางด้านชัยภูมินี้เองทำให้ศาสนจักรไม่อาจยกกองทัพไปโจมตีเวสนอสได้ จึงจำต้องนำกองกำลังผ่านทางช่องเขาคาทูรินและนั้นก็ทำให้ศาสนจักรต้องคิดหนัก เมื่อตั้งแต่บรรพกาล เหล่าบรรพบุรุษของชาวเวสนอสทราบดีถึงจุดบอดที่จะตัดผ่านเข้ามาในเวสนอสได้ จึงได้สร้างสิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่โตประหนึ่งขุนเขาทอดยาวขนาบข้างอดูนาคอและเพลาซินดาเป็นหอคอยสูง 2 หอคอยและต่อออกด้วยกำแผงหินผาหอคอยละ 1 ด้าน เรียกว่า ปราการคู่แห่งเวสนอส หากทัพใดหมายจะบุกเข้าโจมตีเวสนอสทางช่องเขาคาทูรินนี้หล่ะก็จะต้องผ่านการป้องกันของปราการคู่แห่งเวสนอสเสียก่อน ซึ่งจวบจนปัจจุบัน ยังไม่มีทัพใดผ่านการโจมตี

    ของปราการ ทั้งสองได้เลยแม้แต่ทัพเดียว



        “ข่าวจากปราการฝ่าบาท ข่าวจากปราการ !”



        นายกองหนุ่มในชุดเกราะเหล็กอาบน้ำมันมันวาวขริบด้วยแต้มชาดตัดขอบอย่างงดงามตามแบบเครื่องศึกของเวสนอส หมวกเหล็กมีสัญลักษณ์ของเทพวาวาเดียนประทับอยู่เป็นเครื่องหมายของทหารชั้นนายกอง แห่งเวสนอส เขาวิ่งมาด้วยทาทีกระหืดกระหอบวิ่งเข้ามาสู่ท้องพระโรงทองคำแห่งราชวงศ์เวสวาเดียน ราชวงศ์อันสืบเชื้อสายมาแต่ปฐมกษัตริย์แห่งเวสนอสสืบทอดกันลงมาอย่างไม่ขาดช่วง ท่าทีของนายกองผู้นี้ดูรีบร้อนละเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง “ข้าแด่ฝ่าพระบาท ข้านำข่าวมาจากปรากรพระเจ้าค่ะ” เขากล่าวพรางหอบหายใจพราง



        “ข่าวอย่างนั้นรึ ? เจ้ารีบว่ามา” น้ำเสียงอันทรงอำนาจตรัสลงมาจากพระแท่นบันลังสีทองอร่าม ที่ท้าวแขนสลักเป็นรูป

    กริฟฟอน สองตัวมอบชูคออยู่อย่างสง่างาม พนักพิงประดิษฐานตราประจำราชวงศ์เวสวาเดี่ยนอันเป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของเทพวาวาเดี่ยน คือ รูปพระแสงเวียดาเบส ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ตกทอดมาในราชวงศ์ เป็น 1 ใน 5 ราชกุฏภัณฑ์ อันเป็นเครื่องหมายของกษัตริย์ เป็นดาบยาวตีขึ้นจากเสี้ยวพระมาลาแห่งเทพวาวาเดี่ยน ในครั้งสเด็จลงมาบนพื้นพิภพเพื่อต่อสู่กับจอมมารตามตำนานของชาววาวาเดี่ยน



        “ศาสนจักรขอรับฝ่าบาท คราวนี้มันยกกองกำลังทัพศัดิ์สิทธิ์มาถึง 3 ใน 5 ของกองทัพศาสนจักรเพื่อหมายพิชิตเวสนอส

    ฝ่าบาท” นายกองหนุ่มแห่งเวสนอสรีบทูลถึงเรื่องน่าหวั่ววิตกที่ตนนำข่าวมา



        “ให้มันมา” พระองค์ตรัสอย่างมั่นใจในปราการคู่แห่งบรรพชน “ครานี้มันมากันเท่าไหร่ ?” พระงองค์ตรัสถามเพื่อต้อง

    การหยั่งกองกำลังของศัตรูเพื่อเตรียมรับมือ



        “ประมาณ 3 หมื่นฝ่าบาท พวกมันตั้งค่ายหน้าปากทางเข้าช่องเขาคาทูริน กำลังเครื่อนตัวเข้ามาเรื่อยๆ ฝ่าบาท”



        “สามหมื่นเชียวเหรอ ? น่าตกใจจริง พวกมันรวมทัพสามหมื่นได้ในเวลารวดเร็วขนาดนี้เชียวเหรอ กำลังของปราการ

    เหนือและใต้ที่ประจำการอยู่ในตอนนี้ของเรามีเท่าไหร่  ท่านนายกอง?” เสียงใสไพเราะของมหาราณีแห่งเวสนอส พระราชินีของกษัตริย์ เอลโด เวสวาเดี่ยน (Eldo Vesvadien, The Emperor of Vesnost) พระนางเป็นธิดาของมหาอำมาตย์แห่งเวสนอส ในราชรรมเนียมของเวสนอสจะไม่มีการแต่งตั้งพระบิตุลาแต่จะยกย่องขึ้นเป็นมหาอำมาตย์แห่งรัชสมัยแทน



        “ท่านพ่อจะสู่กับพวกมันได้รึไม่ขอรับ ?” เสียงใสของโอรสน้อย พระหน่อเนื้อแห่งราชวงศ์เวสวาเดี่ยน



        “เราจะสู่กับมันอีริค” กษัตริย์แห่งเวสนอสกล่าวขึ้นกับโอรสของพระองค์ “ต่อให้มันมามากซักเท่าไรก็มิอาจบุกฝ่าทะลวง

    ปราการคู่แห่งเวสนอสได้หรอก กองกำลังของมันจะบุกทะลวงมาเหมื่อนฝูงหมาป่าหมายเข้ามากัดทึ้งเนื้อ พวกมันจะถูกโจมตีจากทั้ง 2 ทิศทาง ทางเหนือจากปราการแห่งอดูนาคา ทางทิศใต้จากปราการแห่งเพลาซินดา  พวกมันจะถูกรุมสกัดกั้นภายใต้กงจักรแห่งท่านตาของลูก พวกมันไม่อาจบุกเวสนอสสำเร็จหรอก เทพวาวาเดี่ยน จะประทานพรให้พวกเราให้ได้ชัยชนะเหมือศึกครั้งผ่านๆมา” กษัตริย์แห่งเวสนอส ตรัสพลางลูบหัว โอรสน้อยอย่างอ่อนโยน



        น่าสงสารเจ้าชายอีริค พระหน่อเนื้อทายาทแห่งราชวงศ์อันยาวนานที่เกิดมาในช่วงยุคเข็ญของบ้านเมืองเช่นนี้

    เด็กๆคนอื่นๆคงได้รับความรักจากพ่อและแม่เป็นแน่แท้หากไม่เกิดมาเป็นโอรสของกษัตริย์แห่งเวสนอสในยามสงครามเช่นนี้ กษัตริย์เอลโดเพิ่งจะกลับจากการศึกครั้งก่อนได้ไม่ทันสองเดือนก็ต้องออกศึกอีกในไม่ช้านี้



        ตั้งแต่ยังเยาว์เจ้าชายอีริคนั้นไม่เคยได้อยู่ใกล้ชิดบิดานานเกินสามเดือนเลยซักครั้ง สงครามได้ยืดเยื่อมานานนับสิบปี

    ตั้งแต่สังฆราชองค์ใหม่ได้ขึ้นมาเป็นประมุขของศาสนจักร เจ้าชายน้อยในวัยเพียง 6 ชันสา แต่ต้องเผชิญกับสิ่งที่หนักหน่วง ราชินีแห่งเวสนอส พระนางเองก็ต้องรับภาระดูแลราชอาณาจักรแทนพระสวามีในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระสวามีที่ต้องกลำศึกออกรบด้วยพระองค์เองเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับทหารกล้าที่ร่วมออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่พระมหากษัตริย์เพื่อปกป้องเอกราชแห่งมาตุภูมิของตน และคนที่ตนรัก ทั้งพี่น้อง ผองเพื่อน ญาติมิตรและลูกเล็กๆที่กำลังอยู่ในเขตราชอาณาจักรให้ทุกคนที่รักได้มีชีวิตอยู่อย่างปรอดภัย ชายฉกรรณ์ทุกคนต่างอาสาออกรบเองอย่างเต็มใจโดยทางการไม่จำเป็นต้องมีหมายเรียก ทุกคนทำเพื่อปกป้องทุกๆคนที่เค้ารัก



        เจ้าชายน้อยเองก็ทรงพระ อัจฉริยะสามารถเข้าในในฐานะที่พระองค์เป็นอยู่และยังสามารถเข้าใจถึงภาระอัน

    หนักหนาของพระบิดาและพระมารดาเป็นอย่างดีพระองค์ทรงตั้งใจเรียนรู้สิ่งต่างๆทั้งในเรื่องความรู้และฝีมือการต่อสู้ตั้งแต่ยังเยาว์ หวังเพียงว่าหากเติบโตขึ้นจะสามารถแบ่งเบาภาระของคนที่พระองค์ทรงรักได้บ้าง ในแต่ละวันนั้น พระองค์จะขลุกอยู่กับอาจารย์ทั้งสองของพระองค์คือ ปราชญ์เรนดานา และแม่ทัพเคียคามา ผู้คุมทัพกริฟฟินแห่งเวสนอส กองทัพที่มีหน้าทีดูแลราชอาณาจักร เป็นแม่ทัพหนุ่มและปราชญ์อายุน้อย เป็นเหมือนดาราดวงใหม่แห่งเวสนอส



        “ท่านอาจารย์ ๆ ท่านพาเราออกมาข้างนอกเพราะเหตุใด ?” เจ้าชายน้อยตรัสถามปราชญ์เรนดานาราชครูหลวงแห่ง

    เวสนอสด้วยความสงสัยที่ท่านอาจารย์ของพระองค์ทรงให้พระองค์ถอดเครื่องแบบของราชโอรสให้ใส่เสื้อป่านสีน้ำตาลกับร้องเท้าไม้เฉกเช่นประชาชนชาวเวสนอสใส่กัน



        ท่านอาจารย์ของพระองค์ก็ยังคงไม่ตอบ บอกเพียงว่าให้พระองค์เดินตามไปเรื่อยๆจนถึงตลาดนอกเขตพระราชฐาน

    เวสนอสเป็นราชอาณาจักรใหญ่ แต่ด้วยว่าตัดขาดจากโลกภายนอกทางตะวันออกด้วยลักษณ์ภูมิประเทศที่โอบล้อมด้วยเทือกเขาสูงใหญ่ประหนึ่งปราการธรรมชาติที่คอยปกป้องเวสนอสมิให้ใครลุกล่ำ สินค้าหลักที่วางขายนั้นเป็นสินค้าพื้นเมือง เครื่องมือเครื่องใช้ และยังเป็นแหล่งรวมของงานช่างและฝีมืออีกด้วย



        ร้านลวงมากมาย การค้าขายอย่างเต็มไปด้วยไมตรี เรนดานาหวังจะให้เจ้าชายองค์น้อยๆของพระองค์ทรงรักประชาชน

    ของพระองค์และเรียนรู้ความยากลำบากของคนของพระองค์เพื่อเป็นการปลูกฝังความรักและความดีงามให้กับเจ้าชายน้อยพระองค์นี้ ทั้งสองเดินมาถึงซอกตึกที่มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั้งพิงหลังข้างถังขยะที่ตั้งไว้ข้างๆอย่างอิดโรย



        “ท่านอาจารย์ๆ เธอคนนั้นเป็นอะไรเหรอขอรับ ?” เจ้าชายน้อยถามเรนดานาอย่างสงสัยด้วยว่าไม่เคยเห็นภาพน่าอนาถ

    แบบนี้มาก่อน เรนดานาเริ่มดีใจขึ้นมาบ้างที่เห็นเจ้าชายน้อยสงใจในความทุกข์ยากของประชาชนขึ้นมาบ้างบางส่วนแล้ว



        “สิ่งที่พระองค์ทรงเห็นอยู่ตอนนี้เรียกว่าเจ็บป่วย เธอเป็นโรคร้ายฝ่าบาท” เรนดานาก็เศร้าที่เห็นสภาพน่าเวทนาเช่นนี้

    ไม่ต่างกัน



        “เรารูท่านอาจารย์ ว่าเธอคนนั้นไม่สบาย แต่ทำมัยเธอไม่ไปห่าหมอเล่า ? เราเคยเห็นท่านแม่กะท่านพ่อ เวลาไม่สบาย

    จะให้ท่านหมอรักษาแต่เหตุใดเธอไม่ไป ?เธอจะเป็บปวดบ้างรึไม่ท่านอาจารย์ เราสงสารเธอจังเลย” น้ำเสียงอันใสซื่อขององค์ชายตัวน้อยๆนี้ทำเอาเรนดานาปลื่มในจิตใจขึ้นมาในทันที เขาวางใจทันทีว่าเมื่อพระองค์ทรงเติบใหญ่ขึ้นจะต้องเป็นพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของทุกๆคนได้



        “ที่เธอไม่ไปหาหมอนนั้นเพราะว่าเธอคงเป็นเด็กเร่ร่อนกระมังฝ่าบาท เธอคงไม่มีเงินมากพอที่จะไปหาหมอมารักษาเธอ

    เธอจะเจ็บปวดตามร่างกายและทรมานมาก และในไม่นานเธอคงจะต้องตายฝ่าบาท” เรนดานาชั่งใจอยู่นานพอสมควรที่จะกล่าวเรื่องของความตายต่อหน้าเด็กน้อยที่อายุเพียงหกปี แต่ในที่สุดก็พูดออกมาด้วยประสงค์ที่จะหยั่งความคิดของโอรสน้อยองค์นี้ดูว่าทรงคิดเช่นไร



        “เธอจะตายอย่างนั้นเหรอ ?” พระองค์ตกใจมากเมื่อรู้ว่าเธอคนนั้นกำลังจะตาย เด็กที่อยู่ตรงหน้านี้มีอายุไม่ต่างจาก

    พระองค์เลยแต่ต้องทุกระทมขนาดนี้ พระองค์ไม่รู้มาก่อนเลยว่าโลกภายนอกนี้โหดร้ายปานใด เมื่อก่อนในความคิดของพระองค์คิดว่า ข้างนอกนี้คงเป็นดั่งเช่นในวัง ทุกคนมีความสุข แต่ตอนนี้เมื่อพระองค์หันไปมองที่หัวมุมถนนก็ยังเห็นเด็กในวัยไม่ต่างจากพระองค์ซักเท่าไหร่ กับอีกกลุ่มที่อยู่อีกข้างของหัวมุมนั้น อะไรกัน มีคนเร่ร่อนมากขนาดนี้เชียวเหรอ



        ในตอนนี้โลกของพระองค์เริ่มหมุนไปหมด ทุกคนมีความทุกข์มากมายแต่ในวังมีแต่ความสุขสบาย จริงที่มีงานมากมาย

    และยุ่งกับสงครามที่ยาวนานแต่อย่างน้อยก็มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่า “ท่านอาจารย์พ่อแม่ของเค้าไปไหน?” น้ำเสียงที่สั่นเครือ



        “เข้มแข็งไว้เจ้าชายน้อยๆของกระหม่อม” เรนดานาโอบกอดเจ้าชายน้อยไว้ให้เข้มแข็งกับความจริง “พ่อแม่ของเขาอาจ

    ตายด้วยภัยสงคราม สงครามระหว่างเราและศาสนจักร เราต่อสู่กันมานานนับ 10 ปี จริงอยู่ที่เราไม่เคยแตกผ่าย แต่เราก็ต้องสูญเสียคนมากมายไปในสงครามที่ยืดเยื้ออย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อเกิดสงครามสิ่งตามมาก็ต้องเป็นเรื่องของความเป็นอยู่ที่ยากแค้น เมื่อเด็กๆขาดพ่อที่ทำหน้าที่หลักแม่ก็จะขึ้นมาแทน ความยากจนและความเป็นอยู่ที่ยากลำบากเป็นสาเหตุของโรคระบาด เด็กที่เหลือรอนต้องทนทุกข์อยู่และเร่ร่อนเพื่อเอาตัวรอด”



        น้ำใสไหลรินออกจากตาคู่น้อยของพระโอรสพร้อมสึกสะอื้นในโชคชะตาที่แตกต่างก่อนตรัสออกมาด้วยความรู้สึก

    ใสซื้อบริสุทธิ์ว่า “เมื่อเราเป็นกษัตริย์ เราจะไม่เป็นคนก่อสงครามเด็ดขาด” ด้วยวัยนั้นยังเยาว์นักจึงไม่รู้ว่าในอนาคตข้างหน้า ภาระอันหนักหน่วงจะโหมพัดสู่เค้าอย่างไม่ลดละ และชะตากรรมของพิภพนี้จะถูกพลักมาสู่เค้าอย่างมิอาจปฏิเสธได้



        “อย่ากล่าวเช่นนั้นฝ่าบาท อย่าทำให้ผู้กล้าที่ปกป้องแผ่นดินนี้เอาไว้เพื่อพระองค์และคนที่เค้ารักจนต้องหลั่งเลือดเนื้อ

    จนสามารถปกป้องแผ่นดินนี้เอาไว้ต้องเสียใจฝ่าบาท อาจจะจริงที่สงครามนั้นเป็นสาเหตุของเรื่องนี้แต่นั่นไม่ใช้ทั้งหมด หากเราเป็นผู้ถูกรุกรานอย่างไม่เป็นธรรมแล้ว เราจะต้องสู้ สู้เพื่อปกป้องแผ่นดินอันเป็นที่รักยิ่งแห่งนี้เอาไว้ให้ได้ แม้ต้องแลกด้วยเลือดเนื้อก็จะไม่ให้ใครมารุกรานเรายอมเสียมิได้  หากซักวันท่านได้ขึ้นครองราชย์และได้ร่วมออกรบเคียงบ่าเคียงไหลประชาชนของท่าน ได้สัมผัสกับคำว่าอุดมการณ์และความกล้า ท่านจะรักประชาชนของท่านและแผ่นดินอันเป็นที่รักของทุกคนนี้อย่างแน่นอน กระหม่อมเชื่อเช่นนั้น”









    จบตอนที่ 1 เจ้าชายแห่งเวสนอส

    ..............................................................................................................................................................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×