ห้วงเวลากับลมหนาว - ห้วงเวลากับลมหนาว นิยาย ห้วงเวลากับลมหนาว : Dek-D.com - Writer

    ห้วงเวลากับลมหนาว

    ถึงคนสำคัญ คนนั้นยังอยู่ในใจเสมอแม้ว่าจะหายไปจากชีวิตของคุณก็ตาม และความรู้สึกเช่นนั้นทำให้ผู้ชายคนหนึ่ง .....คอยมองหาใครสักคน --แม้ว่าจะรู้สึกไม่มีแม้แต่ความหวังหล่อเลี้ยงหัวใจ --

    ผู้เข้าชมรวม

    462

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    462

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  8 ก.พ. 47 / 15:48 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      หลังจากที่ผมเดินทางมายาวนาน  ขณะนี้ไม่รู้ว่าเป็นฤดูหนาวที่เท่าไหร่แล้ว  แต่หัวใจก็ยังเหลือรอยความหวังอย่างที่เป็นมาตั้งแต่เริ่มต้น  ถึงแม้ว่าเวลาหรือฤดูกาลจะเปลี่ยนแปลงไป  แต่ว่าความทรงจำเดิม ๆ  ก็ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย  ผมหวังไว้ลึก ๆ  ว่าทุกอย่างยังไม่สายจนเกินไป
      “ อยากให้ผมเชื่อคุณ ?  งั้น...ก็มองตาผมสิ  แล้วก็พูดอีกที  บางทีผมอาจจะเห็นความจริงในนั้น ”
      ใครคนหนึ่งเคยพูดไว้แบบนั้น  เด็กหนุ่มที่แสนธรรมดา  สดใสและร่าเริงเสียจนอดหัวเราะแบบทึ่งแกมขำขันมิได้  ผมเพิ่งจะเคยเห็นใครที่เป็นได้ถึงขนาดนี้ก็ครั้งนี้เอง
      - อยากพบ...อยากพบอีกสักครั้ง-
      เส้นทางสีเทาสะอาด  พื้นที่ปูด้วยหินสีเทานั้นบัดนี้ถูกทับถมด้วยใบไม้ที่เริ่มผลัดใบรับลมหนาว  หิมะไม่รู้ว่าจะมาทันวันคริสมาสหรือเปล่า  ผมเองก็ไม่ได้ฉลองเงียบ ๆ  มานานแล้ว  ครั้งนี้ก็อีกเหมือนกัน  ผมย้ายมาเป็นหมอประจำที่นี่ก็เพราะเด็กคนนั้น  แต่ว่า...ไม่ว่าจะนานแค่ไหน  ไม่ว่าจะตามหาสักเท่าไหร่...ผมก็ไม่พบเด็กหนุ่มผู้นั้นอีกเลย  เขาหนีไปจากผม...
      “ สวัสดีค่ะ  คุณหมอเกรแมนใช่ไหมคะ? ”
      นางพยาบาลคนหนึ่งทักผมที่กำลังก้าวเข้าสู่ตัวอาคารสีขาวขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก  ผมมองเธอก่อนที่จะค้อมศีรษะให้เธอน้อย ๆ  เพราะสัมภาระยังเต็มสองมือ  ไม่อาจจะสัมผัสมือกันได้ตามมารยาทปรกติ
      “ ดีใจจังเลยค่ะที่ได้คุณหมอใจดีมาประจำที่นี่  ดิฉัน...ลินดรอส  ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ”
      “ เช่นกันครับ ”
      เธออาสาหิ้วของให้  แต่ผมปฏิเสธ  เธอจึงหน้าเจือนไปเล็กน้อย
      ความจริงบทเรียนที่แล้ว ๆ  มาในอดีตทำให้ผมระวังกับการปฏิบัติต่อผู้อื่นมากขึ้น  มันก็ช่วยไม่ได้ที่จำเป็นจะต้องปฏิเสธไมตรีระดับที่เกินเลยความจำเป็นออกไปบ้าง...ไม่เช่นนั้นผมคงเจ็บปวดอีก
      “ความจริงอาจจะเสียมารยาท  แต่คุณอายุเท่าไหร่เหรอคะ? ”
      “ เสียมารยาท ? ผมไม่ใช่ผู้หญิงนี่ครับ  เรื่องอายุผมไม่ได้...เอ่อ ”
      เธอยิ้มให้เพราะเห็นหน้าตาผมตื่น ๆ  ผมไม่เข้าใจจนนิดเดียว
      “ ก็...39ครับ ”
      “ รู้ไหมคะ...คุณเป็นหมอที่หนุ่มที่สุดที่มาประจำที่นี่เลยล่ะค่ะ  ทำไมถึงได้อยากมาที่นี่นักล่ะคะ...คือ  ดิฉันคิดว่าหมออายุแค่นี้มักอยากอยู่ในเมือง ”
      ผมนิ่ง...ไม่ใช่เพราะตอบไม่ได้  แต่มันแปลกที่ผมมีคำตอบอยู่ในใจมาตั้งแต่ต้น  เพียงแต่ผมไม่อยากเอ่ยให้ใครฟัง
      “ ลำบากใจที่จะตอบเหรอคะ ?  ขอโทษด้วย ”
      “ เปล่าครับ...ผมแค่ไม่อยากย้อนอะไรร้ายกาจออกไป  เวลาคุยกับคนอื่น...ผมมักเผลอพูดอะไรโหดร้ายออกไปอยู่เสมอ ๆ   ”
      “ มันก็เลยทำให้คุณพูดน้อยอย่างนี้เหรอคะ ? ”
      ผมไม่ตอบ  คราวนี้ไม่ตอบจริง ๆ  แล้วก็รู้ตัวว่าเริ่มหงุดหงิดหน่อย ๆ  แต่ไม่อยากลงอะไรใส่เธอเท่าไหร่นัก  ถึงได้ตัดสินใจไม่ตอบคำถามอะไรเธออีก

      ผมได้รับห้องพักในโรงพยาบาล  มีหน้าต่างขนาดพอดีอยู่ด้านทิศตะวันออก  อย่างน้อยแม้ห้องจะเล็กแต่ส่วนนี้แหละที่ถูกใจผมที่สุด  จะว่าไปแล้ว...บางทีผมก็พอใจกับอะไรที่ไม่มีเหตุผลได้อย่างน่าประหลาดใจ
      ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก
      ผมเปิดประตู  แม่บ้านประจำโรงพยาบาลที่ชื่อเจนก็ยื่นผ้านวมให้ผมพลางยิ้มน้อย ๆ
      “ เอ่อ...คุณลินดรอสฝากมาถามด้วยค่ะว่าอยากได้ผ้าม่านสีสวย ๆ  รึเปล่า ”
      “ ไม่ล่ะครับ...ผมขอสีขาวแบบปรกติดีกว่า ”
      เธอยิ้มให้ผม  ตัวผมเองก็รู้ดีว่าเจนรู้ ...ว่าลินดรอสพยายามเกี่ยวข้องกับผมเสียให้ได้  คุณแม่บ้านวัยกลางคนผู้นี้ชื่อเจน  เธออายุประมาณ 64 ปี แต่สายตายังแลดูสดใส
      “ ดูเหมือนคุณจะไม่ชอบเธอนะพ่อหนุ่ม ”
      เธอเอ่ยอย่างรู้ทัน  
          “ เปล่าครับ...ผมก็แค่อยากอยู่อย่างสงบ  ในฐานะหมอคนหนึ่ง  อีกอย่าง...ก็คงจริงที่ผมไม่ชอบเธอ ”
          ผมยิ้มน้อย ๆ  วนไปวนมา...สุดท้ายก็เผลอสารภาพออกไปจนได้  เลยอดที่จะหัวเราะแก้เก้อซะไม่ได้
          “ อันที่จริงนี่เป็นความลับ...แต่ว่า  ผมมาตามหาเด็กคนหนึ่ง  และผมไม่อยากทำอะไรที่มันออกนอกประเด็น ”
          “ ใครคะ ?  ลูก  หรือว่าคุณมีภรรยาแล้ว ? ”
          “ ลูก...ก็คงใช่ละกระมัง  ส่วนภรรยา...ผมเกือบจะได้มีสักคนเหมือนกัน  แต่ว่าผมดันมีลูกก่อนแต่งซะนี่ ”
          ผมหัวเราะ...เจนก็หัวเราะไปด้วยแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยเข้าใจมากนัก
          
          หลังจากนั้นดูเหมือนเจนจะเข้าใจดี  ไม่ว่าลินดรอสจะว่าอย่างไร  เธอก็มักจะตอบเลี่ยง ๆ  ว่าให้มาคุยกับผมเอาเองเพราะเธอเป็นแม่บ้าน  ไม่อยากมายุ่งเรื่องส่วนตัวของหมอ  เพราะสุดท้ายลินดรอสก็ไม่กล้าคุยกับผมอยู่ดี
          ตั้งแต่ย้ายมา  นี่ก็ 5 วันมาแล้ว  หิมะ...ยังไม่มา  มีเพียงลมหนาวที่พัดวูบ  เสียดแทงเข้าไปถึง  แม้ในแกนกระดูก  ผมลอบมองไปทางแผนกหมอเด็กบ่อย ๆ  เจนเองก็มักจะเห็นผมทำแบบนั้น  แต่เธอไม่ได้ว่าอะไร  บางครั้งยังใจดียิ้มให้คล้ายกับอยากปลอบ
          “ มีรูปภาพบ้างไหม ? ”
          จู่ ๆ  วันหนึ่งเธอก็ถามขึ้นมาเฉย ๆ
          “ อะไรนะครับ ? ”
          “ รูปถ่าย...ของลูกชายไง  เผื่อว่าจะลองมอง ๆ  ให้ได้บ้าง ”
          เจนเสนอ  คงเห็นผมอาการหนักขึ้นทุกที  เจนเองก็รับผิดชอบทำความสะอาดแผนกหมอเด็ก  แต่ผมกลับนึกขึ้นได้  เลยหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย...น้ำตามัน...พาลจะไหลออกมาดื้อ ๆ
          “ ผมลืมไปสนิท...ว่ามันผ่านมาตั้ง 5 ปีแล้ว  ตอนนี้เด็กคนนั้นคงอายุราวสัก16 – 17แล้ว  โง่จังผมนี่...หลงเหม่อมองหาทางแผนกเด็กอยู่ได้ตั้งนาน ”
          เจนนิ่งเงียบ  เธอใช้นิ้วมือผอมหยาบกร้านสัมผัสเบา ๆ  ลูบไปมาราวกับผมเป็นลูกชายของเธอ  ความจริง...เจนก็คล้ายแม่ผมขึ้นทุกวัน  พอเธอใจดี...ผมก็เริ่มสะอื้นฮักอย่างหยุดไม่อยู่  
          “ เจน...ผมไม่มีรูปเขาเลย  ทุกอย่างมันอยู่ข้างในนี้ ”
          ผมสารภาพทั้งที่น้ำตาคลอเบ้า  พยายามใช้นิ้วที่สั่นจนห้ามไม่ได้นั้นชี้ที่อกตัวเอง  เจนพยักหน้ารับรู้  เธอยิ้มให้ผมแบบเดิม
          “ ก็ดีแล้วนี่...มันชัดเจนเสียยิ่งกว่าภาพถ่ายใบไหน ๆ  เสียอีกนะ  และมีเพียงแค่เธอเท่านั้นที่รู้ดี  ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ? ”
          บางทีผมอาจจะบ้ามาตลอด 3 ปี  แต่ว่าไม่มีครั้งไหนที่รู้สึกเจ็บปวดมากมายขนาดนี้มาก่อนเลย  ผมลืมเลือนวันเวลาไปหมด  เลยทำให้ลืมไปว่าเด็กคนนั้นอยู่ในสภาพไหน...
          “ ผมเป็นพ่อที่ไม่ได้ความเอาซะเลย  ตั้งแต่ต้นแล้ว...ทั้งที่รับแกไว้  แต่กลับคิดจะแต่งงาน  มันทำให้แกเสียใจมากเสียจนร้องไห้มากมายอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ”
          เจนลูบหลังผมไปมา  แต่ผมยังไม่คลายอาการสะอื้น  นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น  จะว่าไปแล้ว...ผมก็คิดว่าตัวเองกำลังหลอกตัวเองอยู่…  ผมแทบจะไม่เหลือความหวังแล้วต่างหาก  แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังบอกกับตัวเองราวกับคนช่างแก้ตัว...ว่าผมยังหวังอยู่เหมือนเดิม
          
      หลังจากนั้นแล้วผมก็ไม่สามารถทำใจให้สงบได้อีก  สุดท้ายก็ต้องลาเวรเข้ามาพักในห้องพักอย่างหมดเรี่ยวแรง  กระจกสะท้อนภาพใบหน้าของผมที่ดูไม่ต่างจากในวันนั้น...วันที่เด็กคนนั้นจากไปจากผมโดยไม่แม้แต่จะบอกลา
          ดวงตาสีเขียวของผม...ที่เคยได้รับคำชมมาตั้งแต่เด็กว่าดูสดใส  แต่ตอนนี้มันดูราวกับนัยน์ตาของกบ  น่าเกลียดเสียจนผมก็ยังไม่อาจทนจ้องมองมันในกระจกต่อไปได้อีก  ผมเปิดหน้าต่างออกกว้าง  อยากรับอากาศบริสุทธิ์  ถึงแม้ว่าอุณหภูมิจะเย็นสักแค่ไหนก็ตาม
          ผมล้มตัวลงนอนอย่างหมดท่า  ดวงตาของผมยังคลอด้วยน้ำตาเอ่อล้น  บางครั้งบางคราวผมก็รู้สึกราวกับตนเองอ่อนแอเสียเหลือเกิน  ไม่ว่าใครหรืออะไร  ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมผมถึงได้เป็นเช่นนั้น  จะว่าไปแล้วแม้แต่ตัวผมเองก็ไม่อาจบอกได้ว่าผมเป็นคนแบบไหนกันแน่
          สายลมพัดระไอเบาบาง  ลมหนาวพัดวูบ  โบกไหวให้ม่านสีขาวสะอาดไหวพลิ้วราวกับชายกระโปรงของเด็กหญิงเล็ก ๆ  ที่วิ่งอย่างร่าเริงในฤดูใบไม้ผลิ  ผมหลับตาลง  อยากทอดทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจากหัวใจอย่างไม่มีวันกลับ  ทิ้งมันไว้…
          - พ่อครับ…ผมอยู่นี่…-
          ผมผลุนผลันลุกขึ้นราวกับร่างกายเป็นสปริง  เผลอลืมตาโพลงอย่างลืมตัว  หน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้นั้น…สายลมก็ยังพัดม่านให้วูบไหวดังที่เป็นอยู่เสมอ  ผมสาบานก็ได้ว่าได้ยินเสียง…เสียงของเด็กคนนั้น
          ผมหันไปมองบานประตูนิ่ง…นาน  แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ไม่มีใครหรืออะไรเปิดบานประตูบานนั้นเข้ามาหาผมอย่างที่คิด  เป็นครั้งแรกที่ผมถอนหายใจหนัก   พร้อม ๆ  กับหยดน้ำตาที่ไหลหล่นลงบนผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาด
          “ เธอไปอยู่เสียที่ไหน ? ฉันอยากให้เธออภัยให้ฉัน  ไม่ได้ตั้งใจจะทอดทิ้งเลยนะ…แค่คิดไปว่าเธออาจจะอยากมีแม่  ไม่ได้ตั้งใจเลยว่า…  ”
          ผมร้องไห้โดยไม่ได้สะอื้น  ถ้อยคำที่ค้างคาอยู่ในสมองพรั่งพรูออกมาผมรู้ดีว่ากำลังสารภาพความผิดที่ไม่อาจอภัยได้
          - พ่อครับ…ผมอยู่ทางนี้….-
          ผมได้ยิน…เสียงเรียกเบา ๆ  จากข้างหลัง  แต่เมื่อหันไป  กลับพบหน้าต่างบานเดิม…หน้าต่างบานเดิมกับ…กับ…
          “ ไวส์… ”
          หน้าต่างบานเดิม…กับหิมะ  ที่ค่อย ๆ  โรยตัวลงมาเบาบาง  ทำให้ผมนึกถึงใบหน้าที่อ่อนเยาว์ที่เผยยิ้มจนดวงตาหยี  

          - แม่ที่ตายไปแล้วเรียกผมว่าไวส์  แม่บอกว่าผิวผมเหมือนหิมะ –
          - เหรอ ?  แล้วเธอไม่มีญาติที่ไหนแล้วเหรอ ? –
          - ไม่…ไม่มีครับ -
          - ไม่เหงาเหรอ…เจ้าหนู -
          - หิมะไม่เคยเหงา…เพราะว่าคนมากมายรอหิมะอยู่ทุกปี  มันเป็นสิ่งที่สำคัญ  และถูกให้ความสำคัญ  มันจึงรู้สึกดีใจ  ไม่มีทางเหงาหรอกครับ –
          ตอนนั้นผมหัวเราะและคิดเอาเองว่าเด็กคนนั้นพูดเล่น ๆ  คนที่ไหนจะเหมือนหิมะ  เด็กอย่างไวส์เหมือนกลิ่นไอของแสงแดดมากกว่าหิมะ  เด็กคนนั้นร่าเริงเสียยิ่งกว่าดอกไม้กลางฤดูร้อน…แต่แล้ว
          - คุณไม่ได้อยากเป็นพ่อของผม … คุณแค่ต้องการสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวที่เป็นของตัวเอง  แต่คุณก็ใจร้อน อยากจะมีภรรยาและลูกไปพร้อม ๆ  กัน –
          - ไม่ใช่นะ –
          - ลินซ์ครับ…สุดท้ายคุณก็ต้องทิ้งผมไปอยู่ดี  ถ้าคุณมีลูกของตัวเองคุณจะเบื่อผมและ…ไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่คิดหรอกครับว่าอยากให้ครอบครัวของตัวเองอบอุ่นและมีแต่คนที่รักอยู่ในบ้าน…ไม่ใช่คนอื่น  และคงทนไม่ได้ที่จะให้เด็กคนอื่น…เด็กจรจัดอย่างผม…มาแย่งความรักที่คุณควรจะมีให้กับลูก ๆ  ของเธอ –
          หลังจากตอนนั้นไวส์ก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง  และสุดท้าย…ผมก็ทนทำให้เด็กคนนั้นต้องเสียใจต่อไปไม่ได้  ผมลุยหิมะ  ขับรถออกไปในคืนต่อมาเพื่อจะไปยกเลิกการหมั้น…ผมถูกต่อว่า…ถูกพูดประชด  แต่ผมกลับไม่เจ็บปวด  ผมคิดว่าถ้าผมแต่งงานจริง ๆ  ซิ  ผมคงเจ็บปวดที่เห็นไวส์ต้องทนเหงาเวลาที่ผมเล่นกับลูก ๆ  ต้องเสียใจเวลาที่ผู้หญิงคนนี้ไม่สนใจราวกับว่าแกเป็นเพียงอากาศธาตุ  เธอคนนี้ที่ผมเคยเห็นว่าเธออ่อนหวานและเหมาะจะเป็นแม่คน…  บัดนี้ฟูมฟายร้องไห้  หนัก ๆ  เข้าเมื่อเธอแน่ใจว่าผมจะไม่เปลี่ยนใจ  เธอก็ต่อว่าผมราวกับคนบ้า  จนมาถึงจุดหนึ่ง  ผมก็สุดจะทนได้
          - กับแค่เด็กจรจัด  คุณก็เลือกมันแล้วทิ้งชั้นงั้นเหรอ ?  ไอ้เด็กเวรนั่นมันมีอะไรดีนักเหรอ ? ตอบฉันมาสิ!!  ตอบฉัน…ลูอิส !!  -
          ผมสะบัดเธอออกจากการเกาะกุมราวกับเป็นของร้อน  ขยะแขยงผู้หญิงคนนี้อย่างบอกไม่ถูก…นี่ผมเกือบจะฝากความหวังให้กับผู้หญิงที่ดีแต่รูปคนนี้เสียแล้ว  แย่ที่สุด!!
          - ไวส์…ดีกว่าคุณ!!  อย่างน้อยเด็กคนนั้นก็ไม่เคยแสดงละครต่อหน้าผมแบบที่คุณทำ…แย่จริง ๆ  ที่ผมดันคิดว่าคนอย่างคุณเป็นหนึ่งในบรรดาผู้หญิงดี ๆ  ที่เหลืออยู่ในโลก…แต่ไม่เลย  คุณมันเป็นแค่ผู้หญิงไร้ค่าคนหนึ่งสำหรับผมเท่านั้น –
          - อะไรนะ…ลูอิส!!  คุณว่าอะไรนะ!! –
          -  ถ้าผมไม่หลงคิดว่าคุณจะเป็นแม่ที่ดีให้กับไวส์ได้ล่ะก็…คำขอแต่งงานของผมก็คงไม่ได้หลุดออกจากปากผมแน่…ผมเกือบจะแต่งงานกับคุณก็เพราะไวส์หรอกนะ…รู้ตัวไว้ซะบ้างสิ!!-
          ไม่เคยเลยที่ผมจะต่อว่าผู้หญิงอย่างรุนแรง…เสียดสี…และร้ายกาจแบบนี้มาก่อน  แต่ตอนนี้  สิ่งที่เรียกว่าผู้หญิงดูน่าขยะแขยงเสียจนทนไม่ไหว
          - ลาก่อน…หวังว่าจะมีผู้ชายเลว ๆ สักคนที่สมกับคุณ –
          ผมรีบกลับบ้าน…ความหวังโบยบินไปรออยู่ที่นั่นอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว  แต่เมื่อผมเหยียบเข้าไปในบ้าน  แม่บ้านคนเดียวของผมก็ยืนรออยู่แล้ว  ใบหน้าของเธออาบด้วยน้ำตา  หัวใจผมหล่นลงไปอยู่แทบเท้าในวินาทีนั้นเอง
          - เบตตี้…เกิด…อะไรขึ้น!!-
          เบตตี้…แม่บ้านคนเก่าคนแก่ที่อยู่กับผมมา20กว่าปีตั้งแต่สมัยคุณพ่อยังมีชีวิตอยู่  เธอเข้มแข็งเสมอจนเมื่อผมเห็นน้ำตาเธอ…เข่าก็แทบจะอ่อน  ความคิดบางอย่างวาบเข้ามาในสมองที่เริ่มจะขาวโพลนของผม
          - บอกผมสิเบตตี้…บอกสิว่าไม่จริง  ไวส์…-
          - คุณหนูไวส์…ไม่อยู่แล้วล่ะค่ะ  เธอ…ไปแล้ว –
          ผมวิ่งขึ้นไปบนห้องของไวส์  ก็พบแค่ความว่างเปล่า  หน้าต่างถูกเปิดทิ้งไว้ให้ลมหนาวคืบคลานเข้ามาในห้อง  สายตาของผมบังเอิญไปเห็นปมผ้าตรงระเบียงเข้า  ผมรีบวิ่งไปดูก็พบว่าปลายของมันทอดต่ำลงไปด้านล่าง  รอยเท้าของเด็กหนุ่มยังคงเหลือทิ้งไว้บ้าง  ผมจึงรีบผลุนผลันลงไปขึ้นรถ  ในใจยังพอมีความหวังเหลืออยู่บ้าง
          - จะทำอะไรคะคุณหนูลินซ์-
          - ผมจะไปตามไวส์…รอยเท้ายังพอมองเห็น…อาจจะยังทัน-
          ผมขับรถอย่างรวดเร็วตรงไปยังสถานีตำรวจและแจ้งเด็กหาย  ยังดีที่คนที่นั่นรู้จักกับผมก็เลยช่วยตามหาด้วยอีก2คน  บิลลี่ กับ เจ เป็นเพื่อนสมัยเรียนของผม  พวกเขาจึงยินดีช่วยออกตามหา  ผมบอกที่อยู่เก่าของไวส์ในตรอกที่64กับบิลลี่  และบอกที่อยู่ของร้านขนมปังที่ไวส์เคยไปทำงานเมื่อ2เดือนก่อน  ส่วนตัวผมก็มุ่งหน้าไปที่สุสาน  ที่ฝังแม่ของเขาให้นอนอย่างสงบ
          - ไวส์!!  ไวส์!!  กลับมาเถอะ…ฉันขอโทษ!! –
          ผมตะโกนไปด้วย  วิ่งไปด้วยอย่างร้อนรน
      - ไวส์….เธออยู่ไหน ? –
      สุดท้ายผมก็สะดุดกับรอยเท้าเล็ก ๆ  ที่ผมคุ้นเคย  วิธีการย่ำหิมะแบบนี้มันของไวส์ชัด ๆ  ผมวิ่งโร่ตรงไป  ความหวังทำให้หัวใจสูบฉีดจนเลือดพล่นในกาย…แต่แล้ว
      ผมมาไม่ทัน…ไวส์หายไปแล้ว  ดูเหมือนจะคลาดไปแค่ไม่กี่นาที  รอยเท้ายังใหม่  และผมก็พบกระดาษที่จมก่อนหิมะไปซีกหนึ่งที่หน้าหลุมศพของแม่เขา  ข้อความถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือโย้เย้  จากการที่ผมสอนเขาเขียนหนังสือได้ไม่นานแต่ผมรู้ดีว่า  ไวส์ตั้งใจเขียนอย่างที่สุด

      ถึง…ลินซ์
          ผมไม่อาจทนให้คุณต้องรู้สึกผิดและสับสน  ผมคิดว่าคุณคงเหมาะกับครอบครัวแบบปรกติที่อบอุ่น  มากกว่าที่เป็นอยู่แบบนี้  
      อย่าตามหาผมเลย…ไม่ต้องห่วงหรอก  ยังไงผมก็ใช้ชีวิตจรจัดมาตั้งนานมาแล้ว  คงไม่เดือดร้อนอะไรถ้าจะกลับไปทำอะไรแบบเดิม ๆ  
      ผมคงจะไปอยู่ที่เมืองอื่น  ที่อาจจะเป็นแค่เมืองชนบทแต่ก็คงร่มรื่นดี  ผมไม่เหงาหรอกครับ…เพราะว่าหิมะไม่เคยเหงา

                  รักคุณมากกว่าพ่อ
                            ไวส์

          นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้ข่าวคราวของไวส์  บิลลี่กับเจตามหาเขาไม่พบ  ทั้งสองคนก็เศร้าใจกับผมมาก  ผมกลับไปที่บ้านได้อย่างไรก็ไม่รู้ในคืนวันนั้น  เบ็ตตี้ร้องไห้อยู่ตลอดเวลา  แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ  ผมเขาไปในห้องของไวส์  มองบานหน้าต่างที่เปิดโล่งอย่างเลื่อนลอย  ผมทรุดตัวลงตรงหน้าบานหน้าต่าง  นั่งกอดเข่าทั้งที่ในสมองเบาโหวง  น้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ  
          เสียงนาฬิกาเดินไป  ใกล้เช้าวันใหม่เข้าไปทุกที…พร้อม ๆ  กับความหวังที่จะได้พบไวส์ก็ค่อย ๆ  เหือดแห้งไปเรื่อย ๆ  เช่นกัน
      หิมะค่อย ๆ  ซาลง  จนเมื่อดวงอาทิตย์ปรากฏตรงขอบฟ้านั่น…หิมะก็ละลาย  ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น  หิมะก็ละลายหายไปจนหมด  ราวกับจะลบร่องรอยของไวส์ให้หายไปจากชีวิตของผมอย่างไม่มีวันกลับคืน  ผมจำได้ว่าผมนั่นอยู่ที่เดิมนั้นโดยไม่ได้ขยับไปไหนถึง 2 วัน  จนสลบไปเพราะความเหนื่อยล้า  ในความฝันอันยาวนานตอนนั้น  ผมยังเห็นภาพไวส์อยู่ข้างกายได้อย่างชัดเจนจนเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบเด็กคนนั้น  ผมก็แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  ผมนอนซมอยู่ราว 2 อาทิตย์  ก็ขอย้ายออกมาทำงานตามเมืองชนบทต่าง ๆ  และไม่สามารถบังคับสายตาไม่ให้มองหาไวส์ได้ …แต่ว่ามาจนถึงตอนนี้  ดูเหมือนเวลาจะท้ำให้ความหวังของผมเป็นราวกับบ่อน้ำที่เหือดแห้งกระนั้น

          ผมรู้สึกตัวอีกครั้งหลังจากที่เจนเข้ามาแตะไหล่  ผมคงไม่ได้ล็อคประตูเอาไว้  และก็คงนอนหลับไปนานมาก  เพราะความฝันทุกอย่างมันกระจ่างชัดและเหมือนความจริงเสียจนเมื่อผมรู้สึกตัวก็อดที่จะร้องไห้ไม่ได้
          “ คุณคิดถึงมากขนาดนั้นเลยเหรอ ? ”
          “ ผม…ไม่มีทางลืมเขาไปได้หรอกครับ…แต่ว่าผมกำลังจะตายถ้าหากไม่ได้พบเขา  ผมไม่ไหวแล้ว ”
          ผมเอ่ยอย่างท้อแท้และเพิ่งจะสังเกตว่าตัวเองไม่ได้อยู่ข้างในห้องพักอย่างที่คิด  เพื่อนร่วมงานอีกคนของผมอยู่ข้าง ๆ  เจน  เบ็นนี่สอดปรอทเข้ามาใต้ลิ้นของผมช้า ๆ  ความจริงแล้ว…ตัวผมเองก็งงจนทำอะไรไม่ถูก
          “ คุณล้มอยู่ข้างหน้าต่างในห้องพักนะคุณเกรแมน  ดีที่เจนไปพบเข้าซะก่อนที่คุณจะเป็นปอดบวม ”
          ผมเริ่มลำดับเหตุการณ์  แต่ปวดหัวแล้วก็รู้สึกปวดล้ารอบดวงตาแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
          “ ทำไมเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ล่ะคะ  หิมะก็ตกแล้วด้วย ”
          เจนถามผมพลางวางผ้าชุบน้ำบนแขนก่อนจะเลื่อนมัน  เช็ดเบา ๆ  ราวกับใครสักคนที่ผมรู้จัก  เหมือนคุณแม่
          “ คุณซูบไปนะฮะ ”
          ขณะที่ผมหลับตาลงไปได้สักพัก  กำลังสงบใจและหลับพักผ่อน  เสียงเรียกนั้น  ทำเอาหัวใจผมเต้นแรง  ผมลืมตาโพลงแต่กลับลุกไม่ขึ้น
          “ อย่าพึ่งลุกซิครับ  คุณยังมีไข้… ”
          ผมแทบไม่เชื่อสายตา…แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายปี  แม้ว่าผมจะแก่ลงสักแค่ไหน  แต่ก็ไม่มีทางดูผิดไปเป็นอันขาด  เด็กหนุ่มที่โผเข้ามาประคองผมเอาไว้ตอนนี้…จะเป็นใครอื่นไปได้  
          “ ไวส์ ”
          ผมเอ่ยเรียกไปเบา ๆ  เบาแทบกระซิบทีเดียว  ดวงตาสีเข้มมองมาที่ดวงตาผมแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน
          “ ไม่คิดว่าคุณจะทำแบบนี้เลย…ทั้ง ๆ  ที่บอกว่าไม่ต้องตามหาแท้ ๆ  คุณนี่ดื้อจริง ๆ ”
          จู่ ๆ  ผมก็มองไวส์ไม่ได้ชัดเหมือนคราวแรก  ดวงตาผมพร่ามัว  จู่ ๆ  น้ำตาก็ไหลออกมา  จนสุดท้ายผมกลับถูกเด็กหนุ่มตรงหน้าเอ็ดเอาเบา ๆ
          “ ถ้ามัวแต่ร้องไห้แล้วเมื่อไหร่จะหายล่ะฮะ ? ”
          “ ก็…ก็  เธอหายไปไหนมาตั้งนานนะ  แถมทิ้งฉันเอาไว้แบบนั้นแล้วบอกว่าไม่ต้องตามหา  แบบนั้นก็เหมือนกับบอกให้ตามหานั่นแหละรู้ไหมล่ะ!! ”
          ผมต่อว่าทั้ง ๆ  ที่น้ำเสียงสั่นครือ  น้ำตาไหลไม่หยุด
          “ ผมรู้ … ผมรู้แล้ว  แถมรู้ด้วยว่าคุณไปถอนหมั้นเขาซะเฉยเลย ”
          ผมเงยหน้าขึ้นสบสายตาแจ่มใสของไวส์  เขามองผมแล้วก็กอดผมเอาไว้  ไหล่ผมค่อย ๆ  ชื้นและเปียกด้วยน้ำตา  ไวส์เองก็ร้องไห้
          “ ผมหนีมาแล้ว  แต่คุณก็ไม่ยอมกลับไปใช้ชีวิตแบบที่ควรจะเป็น  ผมรู้ว่าสิ่งที่ผ่านมาทำให้เราทั้งคู่เจ็บปวดแต่ว่าสุดท้ายเราก็หนีกันไม่พ้น…คุณทำเอาสิ่งต่าง ๆ  ที่ผมทำลงไปกลายเป็นว่าไม่มีประโยชน์ไปเลยนะรู้รึเปล่า ?  ”
          ผมกอดตอบ…ไวส์กลายเป็นเด็กหนุ่มอารมณ์ดี  แต่เขาก็เข้มแข็งกว่าเก่ามาก  ผมเสียอีกที่ร้องไห้ราวกับเด็กอ่อน
          “ ยังไงผมก็ยังเป็นลูกชายของคุณอยู่เหมือนเดิมแหละ…ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ”
          ไวส์คลายอ้อมกอดแล้วเสมองไปอีกทาง  ใบหน้าของไวส์คล้ายจะมีสีเลือดเข้มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด  เขานิ่งไปก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงสั่น ๆ  อย่างไม่มีสาเหตุ
          “ คุณเป็นคนแรก…ที่ทำให้หิมะรู้สึกว้าเหว่  หิมะร้องไห้…เพราะคุณคนเดียว… ”
          ผมมองเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วยิ้มให้  โดยไม่รู้ว่าเจนเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่  เธอพาเด็กเล็ก ๆ  อีก 4 คนเข้ามาในห้องและนั่นทำให้ไวส์เริ่มโวยวาย
          “ อ๊ะ!!  เจเน็ต  เบ็ต  จิมมี่  เควิน…มาได้ยังไงเนี่ย!! ”
          “ ทำไมเหรอ ?  เด็กพวกนี้ใครกันล่ะไวส์ ? ”
          ผมอดถามไม่ได้  หญิงที่ชื่อเจเน็ตมีเส้นผมสีแดงเข้ากับดวงตากลมโต  มองดูน่ารักและเด็กหญิงเบ็ตก็ดูจะไม่ยอมคลาดกับเจเน็ตไปไหน  เธอเกาะเจเน็ตไว้ตลอด  ส่วนจิมมี่ผู้มีดวงตาสีฟ้าก็ถือเรือลำเล็ก ๆ  อย่างหวงแหน  เด็กทั้ง 3 อยู่ช่วงอายุราว ๆ  6 – 8 ขวบ  ผิดกับเด็กคนสุดท้าย   เควินเป็นเด็กชายที่ดูจะอายุน้อยที่สุด  เขามีทีท่าเรียบร้อยและเป็นเด็กเงียบ ๆ  ในมือถือหนังสือนิทานรอบโลกเล่มพอดีไว้แนบอก
          “ เอ่อ…ก็แหม  ไวส์เล่นคุยโทรศัพท์ซะเสียงดังแล้วก็วิ่งออกมาจากบ้าน  พวกหนูก็ตกกะใจน่ะสิ ”
          เจเน็ตต่อว่าไวส์  เด็กคนนี้ดูเป็นผู้ใหญ่เกินอายุอย่างเห็นได้ชัด  ส่วน เควินที่เหมือนจะเป็นเด็กเงียบ ๆ  ก็พูดขึ้นมาบ้าง
          “ ปรกติ…ไม่ว่าไวส์จะไปไหน  ก็ต้องบอกผมก่อนเสมอ  เตือนให้ดูแลทุกคนให้ดี ๆ  เตือนไม่ให้จุดไฟทำอะไรทั้งนั้น  ไวส์บอกเสมอทุกครั้งว่าจะไปไหน…ไปหาใคร  และที่สำคัญก็คือไม่เคยลืมบอกผมว่าจะกลับประมาณกี่โมง  แต่หนนี้กลับวิ่งออกมาเฉยเลย… ”
          เด็กชายเควินเล่าจนท้าย ๆ  ก็เล่าแบบเผาไวส์ไปกลาย ๆ  จนไวส์ต้องโวยวาย  ผมมองแล้วก็หัวเราะเบา ๆ  
          “ เอ่อ…ลินซ์ฮะ  คือว่านี่เป็นน้อง ๆ  ของผมครับ ”
          “ หืม ?... ”
          ผมเริ่มสนใจขึ้นมา  ไวส์จึงเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นว่า  หลังจากที่เขามาที่นี่เขาก็มาหางานทำ  และก็บังเอิญได้งานที่ไร่ของน้องชายเจน  ทั้งไวส์และเจนต่างก็สนิทกันดีตั้งแต่ตอนนั้น  ต่อมาเขาก็ทำงานจนได้เป็นหัวหน้าคนงานในไร่และคอยช่วยน้องชายของเจนมาตลอด  จนกระทั่งไปรู้จักกับมอลลี่ที่เป็นแม่บ้านของไร่  เธอไม่สบายมานานและก็เลยฝากให้ไวส์เลี้ยงพวกเด็ก ๆ   จนกว่าเธอจะหายดี  
      เด็กทั้ง 4 คนเดิมทีก็ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ  แต่เป็นเด็กที่มอลลี่รับเลี้ยงไว้  แต่พอเธอจะไปฝากญาติ ๆ  เลี้ยงก็ไม่มีใครรับเลี้ยงให้เลย  ไวส์ก็เลยรับดูแลให้แต่ในระหว่างนั้นมอลลี่ก็ตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง  ไม่กี่เดือนเธอก็เสียชีวิต  
      “ ผมอาศัยอยู่ในไร่  คนในไร่ก็รู้จักและพักอยู่ด้วยกัน  ผมสงสารมอลลี่ก็เลยรับดูแลให้…ไม่นึกว่าเธอจะป่วยจนเสียชีวิต  แต่ว่า…ผมก็รักเด็ก 4 คนนี้จนทนที่จะส่งไปที่มูลนิธิไม่ได้  ผมก็เลยให้เจนเซ็นรับรองให้ผม ”
      ผมฟังแล้วก็ยังตกใจ…ไวส์ของผมเติบโตจนสามารถเลี้ยงเด็กเล็ก ๆ  ตั้ง 4 คนได้อย่างดีเสียจนผมภูมิใจ  ผมรู้ดีว่าไวส์เป็นเด็กอ่อนโยน  และใจดี  เมื่อฟังเรื่องราวไปได้สักนิดผมก็เริ่มรู้ถึงตอนจบ  และมันก็ลงเอยอย่างที่ผมเดาเอาไว้ไม่ผิดนัก
      “ เจน…ถ้าผมจะขอให้เซ็นย้ายเด็ก ๆ  ไปอยู่กับผมโดยที่ผมรับเป็นพ่อบุญธรรมแทน  คงไม่ว่ากันนะ ”
      ผมเอ่ยขึ้น  ไวส์มีทีท่าตกใจ  แต่สุดท้ายเด็กหนุ่มคนนั้น…ลูกชายที่รักของผมก็ยิ้มทั้งน้ำตา  
      “ ไวส์…กลับไปกับฉันเถอะนะ  จะยังไงเธอก็เป็นลูกชายคนเดิม  เวลาเปลี่ยนความคิดของฉันไม่ได้หรอกนะ ”
      ไวส์กอดผมแน่น  พยักหน้ากับไหล่ของผม  นานแล้วที่ไม่ได้กอดเด็กคนนี้  แต่ความรู้สึกอบอุ่นก็ยังคงเหมือนเดิม
      “ ถ้าคุณไม่เผลอเรียกชื่อไวส์ออกมาตอนที่เป็นไข้อยู่  ฉันก็คงไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นคือไวส์  เพราะอย่างนั้นก็เลยลองโทรไปหาไวส์ให้เขามาดูคุณ  แต่พอฉันเล่าเรื่องคุณให้ฟัง  เด็กคนนี้ก็รีบมาที่นี่ทันที ”
      ผมยิ้มให้เจนที่เล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟัง  เธอใช้แขนเสื้อซับน้ำตาอย่างดีใจ  
      “ คุณลุงเป็นคุณพ่อที่พี่ไวส์เล่าให้ฟังบ่อย ๆ  ใช่ไหมคะ ”
      เด็กหญิงตัวน้อยอย่างเบ็ตถามขึ้น  ผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองน้ำตาคลอ ๆ  เมื่อรู้ว่าไวส์นึกถึงผมอยู่ตลอดเวลายาวนานที่ผ่านมา
      “ จ้ะ…แล้วหนูอยากให้คุณลุงเป็นคุณพ่อให้รึเปล่า ? ”
      เจนถามขึ้น  เจเน็ตได้ทีก็เลยพูดขึ้นบ้าง
      “ อยากแหงอยู่แล้ว…เควินก็อยากมีคุณพ่อสักคนนะ  พวกเราเคยมีแต่แม่  พี่ไวส์เป็นพี่  แต่ว่าไม่เคยมีปะป๊าเลย  แล้วถ้าเป็นปะป๊ะของไวส์ด้วยแล้วล่ะก็  จะดีใจมาก ๆ  เลย ”
      เควินฟังเจเน็ตแล้วก็หัวเราะออกมาจนได้  เพราะยัยหนูเล่นมัวเอาเสร็จสรรพ
      “ อีกอย่าง…หนูว่าพี่ไวส์คงอยากอยู่กับคุณพ่อจะแย่แล้ว  ปรกติก็บ่นคิดถึงอย่างโน้นคิดถึงอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ  พวกหนูได้ยินจนท่องได้เป็นบท ๆ  แล้วล่ะค่ะคุณลุง ”
      เจเน็ตเอ่ยต่อ  เป็นการเล่าแบบแกมเผาไปในตัวจนไวส์ที่ซบหน้าอยู่กับไหล่ของผมบ่นอู้อี้อย่างเขิน ๆ  

          ไม่นานหลังจากนั้น  ผมและเด็ก ๆ  ย้ายกลับไปยังบ้านของผม  เบ็ตตี้แทบจะโผเข้ากอดไวส์เหมือนในหนังไม่มีผิด  เด็ก ๆ  ก็ชอบเบ็ตตี้มากและติดเจจนอย่างเควินยังยิ้มเขิน ๆ  มาบอกกับผมว่าเบ็ตตี้เหมือนกับเป็นคุณย่าของเขา  ส่วนเบ็ตก็ติดขนมไส้ช็อคโกแล็ตสูตรเด็ดเสียจนแก้มตุ่ยอยู่ตลอดเวลา
          “ ห้องของผมยังเหมือนเดิมเลยนะ ”
          ไวส์เอ่ยกับผมอย่างอารมณ์ดี  เด็กหนุ่มสำรวจไปรอบ ๆ  อย่างดีใจ  ตัวผมเองก็ได้แต่ยิ้มโดยไม่ได้เอ่ยอะไรอื่นอีก
          “ ของทุกอย่าง…ยังเหมือนเดิมไม่มีผิด ”
          “ จำได้ด้วยเหรอ ? ”
          “ จำได้สิฮะ  ก่อนที่ผมจะไป…ผมอยู่คนเดียวในนี้ตั้ง 2 วัน  ทำนู่นทำนี่  จนสุดท้ายก็… ”
          ไวส์เงียบไป  ผมอ้อมไปดูอาการ  ก็เห็นว่าดวงตาของไวส์มีน้ำตาคลออยู่
          “ ผม…ผมขอโทษที่หนีไป ”
          เด็กหนุ่มร้องไห้  โยเยราวกับเด็กเล็ก ๆ  ในวันเก่า ๆ  ไวส์กอดผมแน่นอยู่นานนับชั่วโมง  จนผมต้องเกลี้ยกล่อมให้เขาไปล้างหน้า  ผมไม่เคยโกรธไวส์เลยแม้แต่วินาทีเดียว  จะมีก็แต่ความเหงาที่เกาะกินอยู่ตลอดเวลา  
          หลังจากที่ไวส์เริ่มบ่นปวด ๆ  ที่ขอบตาหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ  ผมจึงตบที่นอนเบา ๆ  เหมือนอย่างที่เคยทำสมัยที่ไวส์ยังเป็นเด็ก
          “ นี่ก็ดึกมากแล้ว…นอนซะเถอะ ”
          ไวส์เดินมาล้มตัวลงนอน  ผมจึงค่อยลุกขึ้นแต่มือผอม ๆ  ของไวส์กลับยึดชายเสื้อผมเอาไว้  ไม่ยอมปล่อย
          “ ตบที่นอนเมือนผมเป็นเด็กเลย…แต่ลืมอะไรไปรึเปล่าฮะ ?  ”
          “ ก็คงเผลอไป…แต่ลืมอะไรนี่นึกไม่ออกนะ ”
          ผมเอ่ยอย่างอารมณ์ดี  
          “ นอนด้วยกันซิฮะ ”
          “ หา…โตแล้วนะเราน่ะ  เดี๋ยวเจเน็ตรู้เข้าก็ถูกล้อหรอก ”
          ผมหัวเราะ…พลางลูบเส้นผมแผ่วเบา
          “ งั้น…ผมไปเรียก 4 แสบมานอนด้วยกันนะฮะ…คุณพ่อ ”
          ไวส์แนบริมฝีปากกับแกมของผมแล้ววิ่งออกไปตามเด็ก ๆ  สักพักก็กลับมากันพร้อมหน้า  เด็ก ๆ  เริ่มโตและร่าเริง  เหมือนกับผมได้รับไวส์คืนมาทีเดียวอีกตั้ง 4 คน  ตอนนี้หัวใจผมเป็นสุขมาก…มากเหลือเกิน  ไม่มีอะไรจะทำให้รู้สึกว่าเหว่อีกแล้ว…แม้กระทั่งเวลา

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×