หลังจากที่ผมเดินทางมายาวนาน  ขณะนี้ไม่รู้ว่าเป็นฤดูหนาวที่เท่าไหร่แล้ว  แต่หัวใจก็ยังเหลือรอยความหวังอย่างที่เป็นมาตั้งแต่เริ่มต้น  ถึงแม้ว่าเวลาหรือฤดูกาลจะเปลี่ยนแปลงไป  แต่ว่าความทรงจำเดิม ๆ  ก็ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย  ผมหวังไว้ลึก ๆ  ว่าทุกอย่างยังไม่สายจนเกินไป
“ อยากให้ผมเชื่อคุณ ?  งั้น...ก็มองตาผมสิ  แล้วก็พูดอีกที  บางทีผมอาจจะเห็นความจริงในนั้น ”
ใครคนหนึ่งเคยพูดไว้แบบนั้น  เด็กหนุ่มที่แสนธรรมดา  สดใสและร่าเริงเสียจนอดหัวเราะแบบทึ่งแกมขำขันมิได้  ผมเพิ่งจะเคยเห็นใครที่เป็นได้ถึงขนาดนี้ก็ครั้งนี้เอง
- อยากพบ...อยากพบอีกสักครั้ง-
เส้นทางสีเทาสะอาด  พื้นที่ปูด้วยหินสีเทานั้นบัดนี้ถูกทับถมด้วยใบไม้ที่เริ่มผลัดใบรับลมหนาว  หิมะไม่รู้ว่าจะมาทันวันคริสมาสหรือเปล่า  ผมเองก็ไม่ได้ฉลองเงียบ ๆ  มานานแล้ว  ครั้งนี้ก็อีกเหมือนกัน  ผมย้ายมาเป็นหมอประจำที่นี่ก็เพราะเด็กคนนั้น  แต่ว่า...ไม่ว่าจะนานแค่ไหน  ไม่ว่าจะตามหาสักเท่าไหร่...ผมก็ไม่พบเด็กหนุ่มผู้นั้นอีกเลย  เขาหนีไปจากผม...
“ สวัสดีค่ะ  คุณหมอเกรแมนใช่ไหมคะ? ”
นางพยาบาลคนหนึ่งทักผมที่กำลังก้าวเข้าสู่ตัวอาคารสีขาวขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก  ผมมองเธอก่อนที่จะค้อมศีรษะให้เธอน้อย ๆ  เพราะสัมภาระยังเต็มสองมือ  ไม่อาจจะสัมผัสมือกันได้ตามมารยาทปรกติ
“ ดีใจจังเลยค่ะที่ได้คุณหมอใจดีมาประจำที่นี่  ดิฉัน...ลินดรอส  ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ”
“ เช่นกันครับ ”
เธออาสาหิ้วของให้  แต่ผมปฏิเสธ  เธอจึงหน้าเจือนไปเล็กน้อย
ความจริงบทเรียนที่แล้ว ๆ  มาในอดีตทำให้ผมระวังกับการปฏิบัติต่อผู้อื่นมากขึ้น  มันก็ช่วยไม่ได้ที่จำเป็นจะต้องปฏิเสธไมตรีระดับที่เกินเลยความจำเป็นออกไปบ้าง...ไม่เช่นนั้นผมคงเจ็บปวดอีก
“ความจริงอาจจะเสียมารยาท  แต่คุณอายุเท่าไหร่เหรอคะ? ”
“ เสียมารยาท ? ผมไม่ใช่ผู้หญิงนี่ครับ  เรื่องอายุผมไม่ได้...เอ่อ ”
เธอยิ้มให้เพราะเห็นหน้าตาผมตื่น ๆ  ผมไม่เข้าใจจนนิดเดียว
“ ก็...39ครับ ”
“ รู้ไหมคะ...คุณเป็นหมอที่หนุ่มที่สุดที่มาประจำที่นี่เลยล่ะค่ะ  ทำไมถึงได้อยากมาที่นี่นักล่ะคะ...คือ  ดิฉันคิดว่าหมออายุแค่นี้มักอยากอยู่ในเมือง ”
ผมนิ่ง...ไม่ใช่เพราะตอบไม่ได้  แต่มันแปลกที่ผมมีคำตอบอยู่ในใจมาตั้งแต่ต้น  เพียงแต่ผมไม่อยากเอ่ยให้ใครฟัง
“ ลำบากใจที่จะตอบเหรอคะ ?  ขอโทษด้วย ”
“ เปล่าครับ...ผมแค่ไม่อยากย้อนอะไรร้ายกาจออกไป  เวลาคุยกับคนอื่น...ผมมักเผลอพูดอะไรโหดร้ายออกไปอยู่เสมอ ๆ  ”
“ มันก็เลยทำให้คุณพูดน้อยอย่างนี้เหรอคะ ? ”
ผมไม่ตอบ  คราวนี้ไม่ตอบจริง ๆ  แล้วก็รู้ตัวว่าเริ่มหงุดหงิดหน่อย ๆ  แต่ไม่อยากลงอะไรใส่เธอเท่าไหร่นัก  ถึงได้ตัดสินใจไม่ตอบคำถามอะไรเธออีก
ผมได้รับห้องพักในโรงพยาบาล  มีหน้าต่างขนาดพอดีอยู่ด้านทิศตะวันออก  อย่างน้อยแม้ห้องจะเล็กแต่ส่วนนี้แหละที่ถูกใจผมที่สุด  จะว่าไปแล้ว...บางทีผมก็พอใจกับอะไรที่ไม่มีเหตุผลได้อย่างน่าประหลาดใจ
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก
ผมเปิดประตู  แม่บ้านประจำโรงพยาบาลที่ชื่อเจนก็ยื่นผ้านวมให้ผมพลางยิ้มน้อย ๆ
“ เอ่อ...คุณลินดรอสฝากมาถามด้วยค่ะว่าอยากได้ผ้าม่านสีสวย ๆ  รึเปล่า ”
“ ไม่ล่ะครับ...ผมขอสีขาวแบบปรกติดีกว่า ”
เธอยิ้มให้ผม  ตัวผมเองก็รู้ดีว่าเจนรู้ ...ว่าลินดรอสพยายามเกี่ยวข้องกับผมเสียให้ได้  คุณแม่บ้านวัยกลางคนผู้นี้ชื่อเจน  เธออายุประมาณ 64 ปี แต่สายตายังแลดูสดใส
“ ดูเหมือนคุณจะไม่ชอบเธอนะพ่อหนุ่ม ”
เธอเอ่ยอย่างรู้ทัน 
    “ เปล่าครับ...ผมก็แค่อยากอยู่อย่างสงบ  ในฐานะหมอคนหนึ่ง  อีกอย่าง...ก็คงจริงที่ผมไม่ชอบเธอ ”
    ผมยิ้มน้อย ๆ  วนไปวนมา...สุดท้ายก็เผลอสารภาพออกไปจนได้  เลยอดที่จะหัวเราะแก้เก้อซะไม่ได้
    “ อันที่จริงนี่เป็นความลับ...แต่ว่า  ผมมาตามหาเด็กคนหนึ่ง  และผมไม่อยากทำอะไรที่มันออกนอกประเด็น ”
    “ ใครคะ ?  ลูก  หรือว่าคุณมีภรรยาแล้ว ? ”
    “ ลูก...ก็คงใช่ละกระมัง  ส่วนภรรยา...ผมเกือบจะได้มีสักคนเหมือนกัน  แต่ว่าผมดันมีลูกก่อนแต่งซะนี่ ”
    ผมหัวเราะ...เจนก็หัวเราะไปด้วยแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยเข้าใจมากนัก
   
    หลังจากนั้นดูเหมือนเจนจะเข้าใจดี  ไม่ว่าลินดรอสจะว่าอย่างไร  เธอก็มักจะตอบเลี่ยง ๆ  ว่าให้มาคุยกับผมเอาเองเพราะเธอเป็นแม่บ้าน  ไม่อยากมายุ่งเรื่องส่วนตัวของหมอ  เพราะสุดท้ายลินดรอสก็ไม่กล้าคุยกับผมอยู่ดี
    ตั้งแต่ย้ายมา  นี่ก็ 5 วันมาแล้ว  หิมะ...ยังไม่มา  มีเพียงลมหนาวที่พัดวูบ  เสียดแทงเข้าไปถึง  แม้ในแกนกระดูก  ผมลอบมองไปทางแผนกหมอเด็กบ่อย ๆ  เจนเองก็มักจะเห็นผมทำแบบนั้น  แต่เธอไม่ได้ว่าอะไร  บางครั้งยังใจดียิ้มให้คล้ายกับอยากปลอบ
    “ มีรูปภาพบ้างไหม ? ”
    จู่ ๆ  วันหนึ่งเธอก็ถามขึ้นมาเฉย ๆ
    “ อะไรนะครับ ? ”
    “ รูปถ่าย...ของลูกชายไง  เผื่อว่าจะลองมอง ๆ  ให้ได้บ้าง ”
    เจนเสนอ  คงเห็นผมอาการหนักขึ้นทุกที  เจนเองก็รับผิดชอบทำความสะอาดแผนกหมอเด็ก  แต่ผมกลับนึกขึ้นได้  เลยหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย...น้ำตามัน...พาลจะไหลออกมาดื้อ ๆ
    “ ผมลืมไปสนิท...ว่ามันผ่านมาตั้ง 5 ปีแล้ว  ตอนนี้เด็กคนนั้นคงอายุราวสัก16 17แล้ว  โง่จังผมนี่...หลงเหม่อมองหาทางแผนกเด็กอยู่ได้ตั้งนาน ”
    เจนนิ่งเงียบ  เธอใช้นิ้วมือผอมหยาบกร้านสัมผัสเบา ๆ  ลูบไปมาราวกับผมเป็นลูกชายของเธอ  ความจริง...เจนก็คล้ายแม่ผมขึ้นทุกวัน  พอเธอใจดี...ผมก็เริ่มสะอื้นฮักอย่างหยุดไม่อยู่ 
    “ เจน...ผมไม่มีรูปเขาเลย  ทุกอย่างมันอยู่ข้างในนี้ ”
    ผมสารภาพทั้งที่น้ำตาคลอเบ้า  พยายามใช้นิ้วที่สั่นจนห้ามไม่ได้นั้นชี้ที่อกตัวเอง  เจนพยักหน้ารับรู้  เธอยิ้มให้ผมแบบเดิม
    “ ก็ดีแล้วนี่...มันชัดเจนเสียยิ่งกว่าภาพถ่ายใบไหน ๆ  เสียอีกนะ  และมีเพียงแค่เธอเท่านั้นที่รู้ดี  ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ? ”
    บางทีผมอาจจะบ้ามาตลอด 3 ปี  แต่ว่าไม่มีครั้งไหนที่รู้สึกเจ็บปวดมากมายขนาดนี้มาก่อนเลย  ผมลืมเลือนวันเวลาไปหมด  เลยทำให้ลืมไปว่าเด็กคนนั้นอยู่ในสภาพไหน...
    “ ผมเป็นพ่อที่ไม่ได้ความเอาซะเลย  ตั้งแต่ต้นแล้ว...ทั้งที่รับแกไว้  แต่กลับคิดจะแต่งงาน  มันทำให้แกเสียใจมากเสียจนร้องไห้มากมายอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ”
    เจนลูบหลังผมไปมา  แต่ผมยังไม่คลายอาการสะอื้น  นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น  จะว่าไปแล้ว...ผมก็คิดว่าตัวเองกำลังหลอกตัวเองอยู่
  ผมแทบจะไม่เหลือความหวังแล้วต่างหาก  แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังบอกกับตัวเองราวกับคนช่างแก้ตัว...ว่าผมยังหวังอยู่เหมือนเดิม
   
หลังจากนั้นแล้วผมก็ไม่สามารถทำใจให้สงบได้อีก  สุดท้ายก็ต้องลาเวรเข้ามาพักในห้องพักอย่างหมดเรี่ยวแรง  กระจกสะท้อนภาพใบหน้าของผมที่ดูไม่ต่างจากในวันนั้น...วันที่เด็กคนนั้นจากไปจากผมโดยไม่แม้แต่จะบอกลา
    ดวงตาสีเขียวของผม...ที่เคยได้รับคำชมมาตั้งแต่เด็กว่าดูสดใส  แต่ตอนนี้มันดูราวกับนัยน์ตาของกบ  น่าเกลียดเสียจนผมก็ยังไม่อาจทนจ้องมองมันในกระจกต่อไปได้อีก  ผมเปิดหน้าต่างออกกว้าง  อยากรับอากาศบริสุทธิ์  ถึงแม้ว่าอุณหภูมิจะเย็นสักแค่ไหนก็ตาม
    ผมล้มตัวลงนอนอย่างหมดท่า  ดวงตาของผมยังคลอด้วยน้ำตาเอ่อล้น  บางครั้งบางคราวผมก็รู้สึกราวกับตนเองอ่อนแอเสียเหลือเกิน  ไม่ว่าใครหรืออะไร  ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมผมถึงได้เป็นเช่นนั้น  จะว่าไปแล้วแม้แต่ตัวผมเองก็ไม่อาจบอกได้ว่าผมเป็นคนแบบไหนกันแน่
    สายลมพัดระไอเบาบาง  ลมหนาวพัดวูบ  โบกไหวให้ม่านสีขาวสะอาดไหวพลิ้วราวกับชายกระโปรงของเด็กหญิงเล็ก ๆ  ที่วิ่งอย่างร่าเริงในฤดูใบไม้ผลิ  ผมหลับตาลง  อยากทอดทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจากหัวใจอย่างไม่มีวันกลับ  ทิ้งมันไว้
    - พ่อครับ
ผมอยู่นี่
-
    ผมผลุนผลันลุกขึ้นราวกับร่างกายเป็นสปริง  เผลอลืมตาโพลงอย่างลืมตัว  หน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้นั้น
สายลมก็ยังพัดม่านให้วูบไหวดังที่เป็นอยู่เสมอ  ผมสาบานก็ได้ว่าได้ยินเสียง
เสียงของเด็กคนนั้น
    ผมหันไปมองบานประตูนิ่ง
นาน  แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ไม่มีใครหรืออะไรเปิดบานประตูบานนั้นเข้ามาหาผมอย่างที่คิด  เป็นครั้งแรกที่ผมถอนหายใจหนัก  พร้อม ๆ  กับหยดน้ำตาที่ไหลหล่นลงบนผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาด
    “ เธอไปอยู่เสียที่ไหน ? ฉันอยากให้เธออภัยให้ฉัน  ไม่ได้ตั้งใจจะทอดทิ้งเลยนะ
แค่คิดไปว่าเธออาจจะอยากมีแม่  ไม่ได้ตั้งใจเลยว่า
  ”
    ผมร้องไห้โดยไม่ได้สะอื้น  ถ้อยคำที่ค้างคาอยู่ในสมองพรั่งพรูออกมาผมรู้ดีว่ากำลังสารภาพความผิดที่ไม่อาจอภัยได้
    - พ่อครับ
ผมอยู่ทางนี้
.-
    ผมได้ยิน
เสียงเรียกเบา ๆ  จากข้างหลัง  แต่เมื่อหันไป  กลับพบหน้าต่างบานเดิม
หน้าต่างบานเดิมกับ
กับ
    “ ไวส์
”
    หน้าต่างบานเดิม
กับหิมะ  ที่ค่อย ๆ  โรยตัวลงมาเบาบาง  ทำให้ผมนึกถึงใบหน้าที่อ่อนเยาว์ที่เผยยิ้มจนดวงตาหยี 
    - แม่ที่ตายไปแล้วเรียกผมว่าไวส์  แม่บอกว่าผิวผมเหมือนหิมะ
    - เหรอ ?  แล้วเธอไม่มีญาติที่ไหนแล้วเหรอ ?
    - ไม่
ไม่มีครับ -
    - ไม่เหงาเหรอ
เจ้าหนู -
    - หิมะไม่เคยเหงา
เพราะว่าคนมากมายรอหิมะอยู่ทุกปี  มันเป็นสิ่งที่สำคัญ  และถูกให้ความสำคัญ  มันจึงรู้สึกดีใจ  ไม่มีทางเหงาหรอกครับ
    ตอนนั้นผมหัวเราะและคิดเอาเองว่าเด็กคนนั้นพูดเล่น ๆ  คนที่ไหนจะเหมือนหิมะ  เด็กอย่างไวส์เหมือนกลิ่นไอของแสงแดดมากกว่าหิมะ  เด็กคนนั้นร่าเริงเสียยิ่งกว่าดอกไม้กลางฤดูร้อน
แต่แล้ว
    - คุณไม่ได้อยากเป็นพ่อของผม
คุณแค่ต้องการสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวที่เป็นของตัวเอง  แต่คุณก็ใจร้อน อยากจะมีภรรยาและลูกไปพร้อม ๆ  กัน
    - ไม่ใช่นะ
    - ลินซ์ครับ
สุดท้ายคุณก็ต้องทิ้งผมไปอยู่ดี  ถ้าคุณมีลูกของตัวเองคุณจะเบื่อผมและ
ไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่คิดหรอกครับว่าอยากให้ครอบครัวของตัวเองอบอุ่นและมีแต่คนที่รักอยู่ในบ้าน
ไม่ใช่คนอื่น  และคงทนไม่ได้ที่จะให้เด็กคนอื่น
เด็กจรจัดอย่างผม
มาแย่งความรักที่คุณควรจะมีให้กับลูก ๆ  ของเธอ
    หลังจากตอนนั้นไวส์ก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง  และสุดท้าย
ผมก็ทนทำให้เด็กคนนั้นต้องเสียใจต่อไปไม่ได้  ผมลุยหิมะ  ขับรถออกไปในคืนต่อมาเพื่อจะไปยกเลิกการหมั้น
ผมถูกต่อว่า
ถูกพูดประชด  แต่ผมกลับไม่เจ็บปวด  ผมคิดว่าถ้าผมแต่งงานจริง ๆ  ซิ  ผมคงเจ็บปวดที่เห็นไวส์ต้องทนเหงาเวลาที่ผมเล่นกับลูก ๆ  ต้องเสียใจเวลาที่ผู้หญิงคนนี้ไม่สนใจราวกับว่าแกเป็นเพียงอากาศธาตุ  เธอคนนี้ที่ผมเคยเห็นว่าเธออ่อนหวานและเหมาะจะเป็นแม่คน
  บัดนี้ฟูมฟายร้องไห้  หนัก ๆ  เข้าเมื่อเธอแน่ใจว่าผมจะไม่เปลี่ยนใจ  เธอก็ต่อว่าผมราวกับคนบ้า  จนมาถึงจุดหนึ่ง  ผมก็สุดจะทนได้
    - กับแค่เด็กจรจัด  คุณก็เลือกมันแล้วทิ้งชั้นงั้นเหรอ ?  ไอ้เด็กเวรนั่นมันมีอะไรดีนักเหรอ ? ตอบฉันมาสิ!!  ตอบฉัน
ลูอิส !!  -
    ผมสะบัดเธอออกจากการเกาะกุมราวกับเป็นของร้อน  ขยะแขยงผู้หญิงคนนี้อย่างบอกไม่ถูก
นี่ผมเกือบจะฝากความหวังให้กับผู้หญิงที่ดีแต่รูปคนนี้เสียแล้ว  แย่ที่สุด!!
    - ไวส์
ดีกว่าคุณ!!  อย่างน้อยเด็กคนนั้นก็ไม่เคยแสดงละครต่อหน้าผมแบบที่คุณทำ
แย่จริง ๆ  ที่ผมดันคิดว่าคนอย่างคุณเป็นหนึ่งในบรรดาผู้หญิงดี ๆ  ที่เหลืออยู่ในโลก
แต่ไม่เลย  คุณมันเป็นแค่ผู้หญิงไร้ค่าคนหนึ่งสำหรับผมเท่านั้น
    - อะไรนะ
ลูอิส!!  คุณว่าอะไรนะ!!
    -  ถ้าผมไม่หลงคิดว่าคุณจะเป็นแม่ที่ดีให้กับไวส์ได้ล่ะก็
คำขอแต่งงานของผมก็คงไม่ได้หลุดออกจากปากผมแน่
ผมเกือบจะแต่งงานกับคุณก็เพราะไวส์หรอกนะ
รู้ตัวไว้ซะบ้างสิ!!-
    ไม่เคยเลยที่ผมจะต่อว่าผู้หญิงอย่างรุนแรง
เสียดสี
และร้ายกาจแบบนี้มาก่อน  แต่ตอนนี้  สิ่งที่เรียกว่าผู้หญิงดูน่าขยะแขยงเสียจนทนไม่ไหว
    - ลาก่อน
หวังว่าจะมีผู้ชายเลว ๆ สักคนที่สมกับคุณ
    ผมรีบกลับบ้าน
ความหวังโบยบินไปรออยู่ที่นั่นอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว  แต่เมื่อผมเหยียบเข้าไปในบ้าน  แม่บ้านคนเดียวของผมก็ยืนรออยู่แล้ว  ใบหน้าของเธออาบด้วยน้ำตา  หัวใจผมหล่นลงไปอยู่แทบเท้าในวินาทีนั้นเอง
    - เบตตี้
เกิด
อะไรขึ้น!!-
    เบตตี้
แม่บ้านคนเก่าคนแก่ที่อยู่กับผมมา20กว่าปีตั้งแต่สมัยคุณพ่อยังมีชีวิตอยู่  เธอเข้มแข็งเสมอจนเมื่อผมเห็นน้ำตาเธอ
เข่าก็แทบจะอ่อน  ความคิดบางอย่างวาบเข้ามาในสมองที่เริ่มจะขาวโพลนของผม
    - บอกผมสิเบตตี้
บอกสิว่าไม่จริง  ไวส์
-
    - คุณหนูไวส์
ไม่อยู่แล้วล่ะค่ะ  เธอ
ไปแล้ว
    ผมวิ่งขึ้นไปบนห้องของไวส์  ก็พบแค่ความว่างเปล่า  หน้าต่างถูกเปิดทิ้งไว้ให้ลมหนาวคืบคลานเข้ามาในห้อง  สายตาของผมบังเอิญไปเห็นปมผ้าตรงระเบียงเข้า  ผมรีบวิ่งไปดูก็พบว่าปลายของมันทอดต่ำลงไปด้านล่าง  รอยเท้าของเด็กหนุ่มยังคงเหลือทิ้งไว้บ้าง  ผมจึงรีบผลุนผลันลงไปขึ้นรถ  ในใจยังพอมีความหวังเหลืออยู่บ้าง
    - จะทำอะไรคะคุณหนูลินซ์-
    - ผมจะไปตามไวส์
รอยเท้ายังพอมองเห็น
อาจจะยังทัน-
    ผมขับรถอย่างรวดเร็วตรงไปยังสถานีตำรวจและแจ้งเด็กหาย  ยังดีที่คนที่นั่นรู้จักกับผมก็เลยช่วยตามหาด้วยอีก2คน  บิลลี่ กับ เจ เป็นเพื่อนสมัยเรียนของผม  พวกเขาจึงยินดีช่วยออกตามหา  ผมบอกที่อยู่เก่าของไวส์ในตรอกที่64กับบิลลี่  และบอกที่อยู่ของร้านขนมปังที่ไวส์เคยไปทำงานเมื่อ2เดือนก่อน  ส่วนตัวผมก็มุ่งหน้าไปที่สุสาน  ที่ฝังแม่ของเขาให้นอนอย่างสงบ
    - ไวส์!!  ไวส์!!  กลับมาเถอะ
ฉันขอโทษ!!
    ผมตะโกนไปด้วย  วิ่งไปด้วยอย่างร้อนรน
- ไวส์
.เธออยู่ไหน ?
สุดท้ายผมก็สะดุดกับรอยเท้าเล็ก ๆ  ที่ผมคุ้นเคย  วิธีการย่ำหิมะแบบนี้มันของไวส์ชัด ๆ  ผมวิ่งโร่ตรงไป  ความหวังทำให้หัวใจสูบฉีดจนเลือดพล่นในกาย
แต่แล้ว
ผมมาไม่ทัน
ไวส์หายไปแล้ว  ดูเหมือนจะคลาดไปแค่ไม่กี่นาที  รอยเท้ายังใหม่  และผมก็พบกระดาษที่จมก่อนหิมะไปซีกหนึ่งที่หน้าหลุมศพของแม่เขา  ข้อความถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือโย้เย้  จากการที่ผมสอนเขาเขียนหนังสือได้ไม่นานแต่ผมรู้ดีว่า  ไวส์ตั้งใจเขียนอย่างที่สุด
ถึง
ลินซ์
    ผมไม่อาจทนให้คุณต้องรู้สึกผิดและสับสน  ผมคิดว่าคุณคงเหมาะกับครอบครัวแบบปรกติที่อบอุ่น  มากกว่าที่เป็นอยู่แบบนี้ 
อย่าตามหาผมเลย
ไม่ต้องห่วงหรอก  ยังไงผมก็ใช้ชีวิตจรจัดมาตั้งนานมาแล้ว  คงไม่เดือดร้อนอะไรถ้าจะกลับไปทำอะไรแบบเดิม ๆ 
ผมคงจะไปอยู่ที่เมืองอื่น  ที่อาจจะเป็นแค่เมืองชนบทแต่ก็คงร่มรื่นดี  ผมไม่เหงาหรอกครับ
เพราะว่าหิมะไม่เคยเหงา
            รักคุณมากกว่าพ่อ
                      ไวส์
    นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้ข่าวคราวของไวส์  บิลลี่กับเจตามหาเขาไม่พบ  ทั้งสองคนก็เศร้าใจกับผมมาก  ผมกลับไปที่บ้านได้อย่างไรก็ไม่รู้ในคืนวันนั้น  เบ็ตตี้ร้องไห้อยู่ตลอดเวลา  แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ  ผมเขาไปในห้องของไวส์  มองบานหน้าต่างที่เปิดโล่งอย่างเลื่อนลอย  ผมทรุดตัวลงตรงหน้าบานหน้าต่าง  นั่งกอดเข่าทั้งที่ในสมองเบาโหวง  น้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ 
    เสียงนาฬิกาเดินไป  ใกล้เช้าวันใหม่เข้าไปทุกที
พร้อม ๆ  กับความหวังที่จะได้พบไวส์ก็ค่อย ๆ  เหือดแห้งไปเรื่อย ๆ  เช่นกัน
หิมะค่อย ๆ  ซาลง  จนเมื่อดวงอาทิตย์ปรากฏตรงขอบฟ้านั่น
หิมะก็ละลาย  ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น  หิมะก็ละลายหายไปจนหมด  ราวกับจะลบร่องรอยของไวส์ให้หายไปจากชีวิตของผมอย่างไม่มีวันกลับคืน  ผมจำได้ว่าผมนั่นอยู่ที่เดิมนั้นโดยไม่ได้ขยับไปไหนถึง 2 วัน  จนสลบไปเพราะความเหนื่อยล้า  ในความฝันอันยาวนานตอนนั้น  ผมยังเห็นภาพไวส์อยู่ข้างกายได้อย่างชัดเจนจนเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบเด็กคนนั้น  ผมก็แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  ผมนอนซมอยู่ราว 2 อาทิตย์  ก็ขอย้ายออกมาทำงานตามเมืองชนบทต่าง ๆ  และไม่สามารถบังคับสายตาไม่ให้มองหาไวส์ได้
แต่ว่ามาจนถึงตอนนี้  ดูเหมือนเวลาจะท้ำให้ความหวังของผมเป็นราวกับบ่อน้ำที่เหือดแห้งกระนั้น
    ผมรู้สึกตัวอีกครั้งหลังจากที่เจนเข้ามาแตะไหล่  ผมคงไม่ได้ล็อคประตูเอาไว้  และก็คงนอนหลับไปนานมาก  เพราะความฝันทุกอย่างมันกระจ่างชัดและเหมือนความจริงเสียจนเมื่อผมรู้สึกตัวก็อดที่จะร้องไห้ไม่ได้
    “ คุณคิดถึงมากขนาดนั้นเลยเหรอ ? ”
    “ ผม
ไม่มีทางลืมเขาไปได้หรอกครับ
แต่ว่าผมกำลังจะตายถ้าหากไม่ได้พบเขา  ผมไม่ไหวแล้ว ”
    ผมเอ่ยอย่างท้อแท้และเพิ่งจะสังเกตว่าตัวเองไม่ได้อยู่ข้างในห้องพักอย่างที่คิด  เพื่อนร่วมงานอีกคนของผมอยู่ข้าง ๆ  เจน  เบ็นนี่สอดปรอทเข้ามาใต้ลิ้นของผมช้า ๆ  ความจริงแล้ว
ตัวผมเองก็งงจนทำอะไรไม่ถูก
    “ คุณล้มอยู่ข้างหน้าต่างในห้องพักนะคุณเกรแมน  ดีที่เจนไปพบเข้าซะก่อนที่คุณจะเป็นปอดบวม ”
    ผมเริ่มลำดับเหตุการณ์  แต่ปวดหัวแล้วก็รู้สึกปวดล้ารอบดวงตาแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
    “ ทำไมเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ล่ะคะ  หิมะก็ตกแล้วด้วย ”
    เจนถามผมพลางวางผ้าชุบน้ำบนแขนก่อนจะเลื่อนมัน  เช็ดเบา ๆ  ราวกับใครสักคนที่ผมรู้จัก  เหมือนคุณแม่
    “ คุณซูบไปนะฮะ ”
    ขณะที่ผมหลับตาลงไปได้สักพัก  กำลังสงบใจและหลับพักผ่อน  เสียงเรียกนั้น  ทำเอาหัวใจผมเต้นแรง  ผมลืมตาโพลงแต่กลับลุกไม่ขึ้น
    “ อย่าพึ่งลุกซิครับ  คุณยังมีไข้
”
    ผมแทบไม่เชื่อสายตา
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายปี  แม้ว่าผมจะแก่ลงสักแค่ไหน  แต่ก็ไม่มีทางดูผิดไปเป็นอันขาด  เด็กหนุ่มที่โผเข้ามาประคองผมเอาไว้ตอนนี้
จะเป็นใครอื่นไปได้ 
    “ ไวส์ ”
    ผมเอ่ยเรียกไปเบา ๆ  เบาแทบกระซิบทีเดียว  ดวงตาสีเข้มมองมาที่ดวงตาผมแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน
    “ ไม่คิดว่าคุณจะทำแบบนี้เลย
ทั้ง ๆ  ที่บอกว่าไม่ต้องตามหาแท้ ๆ  คุณนี่ดื้อจริง ๆ ”
    จู่ ๆ  ผมก็มองไวส์ไม่ได้ชัดเหมือนคราวแรก  ดวงตาผมพร่ามัว  จู่ ๆ  น้ำตาก็ไหลออกมา  จนสุดท้ายผมกลับถูกเด็กหนุ่มตรงหน้าเอ็ดเอาเบา ๆ
    “ ถ้ามัวแต่ร้องไห้แล้วเมื่อไหร่จะหายล่ะฮะ ? ”
    “ ก็
ก็  เธอหายไปไหนมาตั้งนานนะ  แถมทิ้งฉันเอาไว้แบบนั้นแล้วบอกว่าไม่ต้องตามหา  แบบนั้นก็เหมือนกับบอกให้ตามหานั่นแหละรู้ไหมล่ะ!! ”
    ผมต่อว่าทั้ง ๆ  ที่น้ำเสียงสั่นครือ  น้ำตาไหลไม่หยุด
    “ ผมรู้
ผมรู้แล้ว  แถมรู้ด้วยว่าคุณไปถอนหมั้นเขาซะเฉยเลย ”
    ผมเงยหน้าขึ้นสบสายตาแจ่มใสของไวส์  เขามองผมแล้วก็กอดผมเอาไว้  ไหล่ผมค่อย ๆ  ชื้นและเปียกด้วยน้ำตา  ไวส์เองก็ร้องไห้
    “ ผมหนีมาแล้ว  แต่คุณก็ไม่ยอมกลับไปใช้ชีวิตแบบที่ควรจะเป็น  ผมรู้ว่าสิ่งที่ผ่านมาทำให้เราทั้งคู่เจ็บปวดแต่ว่าสุดท้ายเราก็หนีกันไม่พ้น
คุณทำเอาสิ่งต่าง ๆ  ที่ผมทำลงไปกลายเป็นว่าไม่มีประโยชน์ไปเลยนะรู้รึเปล่า ?  ”
    ผมกอดตอบ
ไวส์กลายเป็นเด็กหนุ่มอารมณ์ดี  แต่เขาก็เข้มแข็งกว่าเก่ามาก  ผมเสียอีกที่ร้องไห้ราวกับเด็กอ่อน
    “ ยังไงผมก็ยังเป็นลูกชายของคุณอยู่เหมือนเดิมแหละ
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ”
    ไวส์คลายอ้อมกอดแล้วเสมองไปอีกทาง  ใบหน้าของไวส์คล้ายจะมีสีเลือดเข้มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด  เขานิ่งไปก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงสั่น ๆ  อย่างไม่มีสาเหตุ
    “ คุณเป็นคนแรก
ที่ทำให้หิมะรู้สึกว้าเหว่  หิมะร้องไห้
เพราะคุณคนเดียว
”
    ผมมองเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วยิ้มให้  โดยไม่รู้ว่าเจนเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่  เธอพาเด็กเล็ก ๆ  อีก 4 คนเข้ามาในห้องและนั่นทำให้ไวส์เริ่มโวยวาย
    “ อ๊ะ!!  เจเน็ต  เบ็ต  จิมมี่  เควิน
มาได้ยังไงเนี่ย!! ”
    “ ทำไมเหรอ ?  เด็กพวกนี้ใครกันล่ะไวส์ ? ”
    ผมอดถามไม่ได้  หญิงที่ชื่อเจเน็ตมีเส้นผมสีแดงเข้ากับดวงตากลมโต  มองดูน่ารักและเด็กหญิงเบ็ตก็ดูจะไม่ยอมคลาดกับเจเน็ตไปไหน  เธอเกาะเจเน็ตไว้ตลอด  ส่วนจิมมี่ผู้มีดวงตาสีฟ้าก็ถือเรือลำเล็ก ๆ  อย่างหวงแหน  เด็กทั้ง 3 อยู่ช่วงอายุราว ๆ  6 8 ขวบ  ผิดกับเด็กคนสุดท้าย  เควินเป็นเด็กชายที่ดูจะอายุน้อยที่สุด  เขามีทีท่าเรียบร้อยและเป็นเด็กเงียบ ๆ  ในมือถือหนังสือนิทานรอบโลกเล่มพอดีไว้แนบอก
    “ เอ่อ
ก็แหม  ไวส์เล่นคุยโทรศัพท์ซะเสียงดังแล้วก็วิ่งออกมาจากบ้าน  พวกหนูก็ตกกะใจน่ะสิ ”
    เจเน็ตต่อว่าไวส์  เด็กคนนี้ดูเป็นผู้ใหญ่เกินอายุอย่างเห็นได้ชัด  ส่วน เควินที่เหมือนจะเป็นเด็กเงียบ ๆ  ก็พูดขึ้นมาบ้าง
    “ ปรกติ
ไม่ว่าไวส์จะไปไหน  ก็ต้องบอกผมก่อนเสมอ  เตือนให้ดูแลทุกคนให้ดี ๆ  เตือนไม่ให้จุดไฟทำอะไรทั้งนั้น  ไวส์บอกเสมอทุกครั้งว่าจะไปไหน
ไปหาใคร  และที่สำคัญก็คือไม่เคยลืมบอกผมว่าจะกลับประมาณกี่โมง  แต่หนนี้กลับวิ่งออกมาเฉยเลย
”
    เด็กชายเควินเล่าจนท้าย ๆ  ก็เล่าแบบเผาไวส์ไปกลาย ๆ  จนไวส์ต้องโวยวาย  ผมมองแล้วก็หัวเราะเบา ๆ 
    “ เอ่อ
ลินซ์ฮะ  คือว่านี่เป็นน้อง ๆ  ของผมครับ ”
    “ หืม ?... ”
    ผมเริ่มสนใจขึ้นมา  ไวส์จึงเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นว่า  หลังจากที่เขามาที่นี่เขาก็มาหางานทำ  และก็บังเอิญได้งานที่ไร่ของน้องชายเจน  ทั้งไวส์และเจนต่างก็สนิทกันดีตั้งแต่ตอนนั้น  ต่อมาเขาก็ทำงานจนได้เป็นหัวหน้าคนงานในไร่และคอยช่วยน้องชายของเจนมาตลอด  จนกระทั่งไปรู้จักกับมอลลี่ที่เป็นแม่บ้านของไร่  เธอไม่สบายมานานและก็เลยฝากให้ไวส์เลี้ยงพวกเด็ก ๆ  จนกว่าเธอจะหายดี 
เด็กทั้ง 4 คนเดิมทีก็ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ  แต่เป็นเด็กที่มอลลี่รับเลี้ยงไว้  แต่พอเธอจะไปฝากญาติ ๆ  เลี้ยงก็ไม่มีใครรับเลี้ยงให้เลย  ไวส์ก็เลยรับดูแลให้แต่ในระหว่างนั้นมอลลี่ก็ตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง  ไม่กี่เดือนเธอก็เสียชีวิต 
“ ผมอาศัยอยู่ในไร่  คนในไร่ก็รู้จักและพักอยู่ด้วยกัน  ผมสงสารมอลลี่ก็เลยรับดูแลให้
ไม่นึกว่าเธอจะป่วยจนเสียชีวิต  แต่ว่า
ผมก็รักเด็ก 4 คนนี้จนทนที่จะส่งไปที่มูลนิธิไม่ได้  ผมก็เลยให้เจนเซ็นรับรองให้ผม ”
ผมฟังแล้วก็ยังตกใจ
ไวส์ของผมเติบโตจนสามารถเลี้ยงเด็กเล็ก ๆ  ตั้ง 4 คนได้อย่างดีเสียจนผมภูมิใจ  ผมรู้ดีว่าไวส์เป็นเด็กอ่อนโยน  และใจดี  เมื่อฟังเรื่องราวไปได้สักนิดผมก็เริ่มรู้ถึงตอนจบ  และมันก็ลงเอยอย่างที่ผมเดาเอาไว้ไม่ผิดนัก
“ เจน
ถ้าผมจะขอให้เซ็นย้ายเด็ก ๆ  ไปอยู่กับผมโดยที่ผมรับเป็นพ่อบุญธรรมแทน  คงไม่ว่ากันนะ ”
ผมเอ่ยขึ้น  ไวส์มีทีท่าตกใจ  แต่สุดท้ายเด็กหนุ่มคนนั้น
ลูกชายที่รักของผมก็ยิ้มทั้งน้ำตา 
“ ไวส์
กลับไปกับฉันเถอะนะ  จะยังไงเธอก็เป็นลูกชายคนเดิม  เวลาเปลี่ยนความคิดของฉันไม่ได้หรอกนะ ”
ไวส์กอดผมแน่น  พยักหน้ากับไหล่ของผม  นานแล้วที่ไม่ได้กอดเด็กคนนี้  แต่ความรู้สึกอบอุ่นก็ยังคงเหมือนเดิม
“ ถ้าคุณไม่เผลอเรียกชื่อไวส์ออกมาตอนที่เป็นไข้อยู่  ฉันก็คงไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นคือไวส์  เพราะอย่างนั้นก็เลยลองโทรไปหาไวส์ให้เขามาดูคุณ  แต่พอฉันเล่าเรื่องคุณให้ฟัง  เด็กคนนี้ก็รีบมาที่นี่ทันที ”
ผมยิ้มให้เจนที่เล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟัง  เธอใช้แขนเสื้อซับน้ำตาอย่างดีใจ 
“ คุณลุงเป็นคุณพ่อที่พี่ไวส์เล่าให้ฟังบ่อย ๆ  ใช่ไหมคะ ”
เด็กหญิงตัวน้อยอย่างเบ็ตถามขึ้น  ผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองน้ำตาคลอ ๆ  เมื่อรู้ว่าไวส์นึกถึงผมอยู่ตลอดเวลายาวนานที่ผ่านมา
“ จ้ะ
แล้วหนูอยากให้คุณลุงเป็นคุณพ่อให้รึเปล่า ? ”
เจนถามขึ้น  เจเน็ตได้ทีก็เลยพูดขึ้นบ้าง
“ อยากแหงอยู่แล้ว
เควินก็อยากมีคุณพ่อสักคนนะ  พวกเราเคยมีแต่แม่  พี่ไวส์เป็นพี่  แต่ว่าไม่เคยมีปะป๊าเลย  แล้วถ้าเป็นปะป๊ะของไวส์ด้วยแล้วล่ะก็  จะดีใจมาก ๆ  เลย ”
เควินฟังเจเน็ตแล้วก็หัวเราะออกมาจนได้  เพราะยัยหนูเล่นมัวเอาเสร็จสรรพ
“ อีกอย่าง
หนูว่าพี่ไวส์คงอยากอยู่กับคุณพ่อจะแย่แล้ว  ปรกติก็บ่นคิดถึงอย่างโน้นคิดถึงอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ  พวกหนูได้ยินจนท่องได้เป็นบท ๆ  แล้วล่ะค่ะคุณลุง ”
เจเน็ตเอ่ยต่อ  เป็นการเล่าแบบแกมเผาไปในตัวจนไวส์ที่ซบหน้าอยู่กับไหล่ของผมบ่นอู้อี้อย่างเขิน ๆ 
    ไม่นานหลังจากนั้น  ผมและเด็ก ๆ  ย้ายกลับไปยังบ้านของผม  เบ็ตตี้แทบจะโผเข้ากอดไวส์เหมือนในหนังไม่มีผิด  เด็ก ๆ  ก็ชอบเบ็ตตี้มากและติดเจจนอย่างเควินยังยิ้มเขิน ๆ  มาบอกกับผมว่าเบ็ตตี้เหมือนกับเป็นคุณย่าของเขา  ส่วนเบ็ตก็ติดขนมไส้ช็อคโกแล็ตสูตรเด็ดเสียจนแก้มตุ่ยอยู่ตลอดเวลา
    “ ห้องของผมยังเหมือนเดิมเลยนะ ”
    ไวส์เอ่ยกับผมอย่างอารมณ์ดี  เด็กหนุ่มสำรวจไปรอบ ๆ  อย่างดีใจ  ตัวผมเองก็ได้แต่ยิ้มโดยไม่ได้เอ่ยอะไรอื่นอีก
    “ ของทุกอย่าง
ยังเหมือนเดิมไม่มีผิด ”
    “ จำได้ด้วยเหรอ ? ”
    “ จำได้สิฮะ  ก่อนที่ผมจะไป
ผมอยู่คนเดียวในนี้ตั้ง 2 วัน  ทำนู่นทำนี่  จนสุดท้ายก็
”
    ไวส์เงียบไป  ผมอ้อมไปดูอาการ  ก็เห็นว่าดวงตาของไวส์มีน้ำตาคลออยู่
    “ ผม
ผมขอโทษที่หนีไป ”
    เด็กหนุ่มร้องไห้  โยเยราวกับเด็กเล็ก ๆ  ในวันเก่า ๆ  ไวส์กอดผมแน่นอยู่นานนับชั่วโมง  จนผมต้องเกลี้ยกล่อมให้เขาไปล้างหน้า  ผมไม่เคยโกรธไวส์เลยแม้แต่วินาทีเดียว  จะมีก็แต่ความเหงาที่เกาะกินอยู่ตลอดเวลา 
    หลังจากที่ไวส์เริ่มบ่นปวด ๆ  ที่ขอบตาหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ  ผมจึงตบที่นอนเบา ๆ  เหมือนอย่างที่เคยทำสมัยที่ไวส์ยังเป็นเด็ก
    “ นี่ก็ดึกมากแล้ว
นอนซะเถอะ ”
    ไวส์เดินมาล้มตัวลงนอน  ผมจึงค่อยลุกขึ้นแต่มือผอม ๆ  ของไวส์กลับยึดชายเสื้อผมเอาไว้  ไม่ยอมปล่อย
    “ ตบที่นอนเมือนผมเป็นเด็กเลย
แต่ลืมอะไรไปรึเปล่าฮะ ?  ”
    “ ก็คงเผลอไป
แต่ลืมอะไรนี่นึกไม่ออกนะ ”
    ผมเอ่ยอย่างอารมณ์ดี 
    “ นอนด้วยกันซิฮะ ”
    “ หา
โตแล้วนะเราน่ะ  เดี๋ยวเจเน็ตรู้เข้าก็ถูกล้อหรอก ”
    ผมหัวเราะ
พลางลูบเส้นผมแผ่วเบา
    “ งั้น
ผมไปเรียก 4 แสบมานอนด้วยกันนะฮะ
คุณพ่อ ”
    ไวส์แนบริมฝีปากกับแกมของผมแล้ววิ่งออกไปตามเด็ก ๆ  สักพักก็กลับมากันพร้อมหน้า  เด็ก ๆ  เริ่มโตและร่าเริง  เหมือนกับผมได้รับไวส์คืนมาทีเดียวอีกตั้ง 4 คน  ตอนนี้หัวใจผมเป็นสุขมาก
มากเหลือเกิน  ไม่มีอะไรจะทำให้รู้สึกว่าเหว่อีกแล้ว
แม้กระทั่งเวลา
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น