เธอยิ้มให้ผมอย่าสวยที่สุดเท่าที่เธอจะยิ้มได้ ราวกับว่านั่นเป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่ผมจะได้รับจากเธอในชีวิตนี้ ...ผมเดินออกมานั่งลงอย่างสงบ หลับตานึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดว่า ผมกับตั๊กรู้จักกันเมื่อไหร่ คงจะเมื่อตอนเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ ๆ  อืม.. ใช่  ผมกับตั๊กรู้จักกันเมื่อเราทั้งคู่ต่างเรียนปี 1 ผมมีชื่อสอบติดที่มหาวิทยาลัยเดียวกับตั๊ก แต่ด้วยเหตุจำเป็นบางอย่างทำให้ผมต้องเข้ามาเรียนช้ากว่าปกติ 1 สัปดาห์
วันแรกที่ผมเข้ามาเรียนก็คือวันแรกของการเรียนการสอนในสัปดาห์ที่ 2 ซึ่งทั้งห้องเริ่มสนิทสนมกันแล้ว ยกเว้นผมคนเดียวที่ยังไม่รู้จักใครเลย ผมเดินเข้าห้องเรียนมาในช่วงที่อาจารย์เข้าสอนแล้ว ผมจึงรีบมองหาที่นั่ง เพราะแค่การเข้าห้องช้าแถมยังไม่มีใครรู้จักด้วยแล้ว การยืนงก ๆ เงิ่น ๆ คงจะทำให้กลายเป็นจุดสนใจมากเข้าไปอีก ผมเหลือบไปเห็นเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ยังว่างอยู่ จึงรีบเข้าไปนั่งอย่างรวดเร็วโดยที่ไมได้ใส่ใจที่จะมองคนข้าง ๆ สักเท่าไรนัก
“ เข้าห้องผิดเหรอเปล่าคะ ??”  เสียงใส ๆ ของคนที่นั่งติดฝั่งซ้ายมือของผมเอ่ยขึ้น ผมจึงหันหน้าไปตามเสียงนั่น สิ่งที่ผมเห็นคือ นางฟ้าองค์หนึ่ง ซึ่งจำแลงลงมาในรูปของมนุษย์เพศหญิงตัวเล็ก ๆ ขาว ๆ ใส่แว่น และสวมชุดนักศึกษา
“ นี่ เข้าห้องผิดเหรอเปล่าเธอ...??”  เธอเอ่ยประโยคเดิมซ้ำ ผมคงจะจ้องหน้าเธอนานไปหน่อยจนทำให้เธองงว่าตกลงผมหรือเธอกันแน่ที่เป็นคนสายตาสั้น
“ เอ่อ ... ไม่ผิดหรอก เราเพิ่งจะมาเรียนวันแรกน่ะ” ผมตะกุกตะกักตอบ
“ อ๋อ.. ค่ะ” เธอพูดพร้อมเปลี่ยนสีหน้าที่สงสัยเป็นยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรแทน
“ เราชื่อตั๊กนะ .. เธอล่ะ..”
“ เราชื่ออั๋น” ผมตอบและมองหน้าเธออย่างเขิน ๆ  ก็แน่ล่ะ เธอออกจะน่ารักซะขนาดนั้น การสนทนาด้วยระยะประชิดขนาดนี้ย่อมทำให้อีกฝ่ายสะท้านเป็นธรรมดา
หลังสิ้นคำตอบของผม เธอยิ้ม และหันหน้ากลับไปฟังอาจารย์ตามปกติ ผมคิดในใจว่านี่มันอะไรกัน
เข้าเรียนยังไม่ถึงชั่วโมงดี ผมก็พบแรงจูงใจที่จะทำให้ผมอยากมาเรียนทุกวันเข้าซะแล้ว วันนั้นทั้งวันหัวใจที่เคยเหี่ยวเฉาของผม กลับรู้สึกว่ามันพองโตผิดปกติ และรู้สึกไม่แน่ใจว่าปากกาที่อาจารย์ใช้เขียนไวท์บอร์ดอยู่นั่นมันสีน้ำเงินหรือว่าสีชมพูกันแน่ ผมนั่งติดกับตั๊กตลอดทั้งวันจนเลิกเรียนแต่ไม่ได้คุยกันซักเท่าไหร่ เนื่องจากว่าตั๊กค่อนข้างจะเป็นคนที่ตั้งใจเรียนทีเดียว ผมจึงสบโอกาสหาเรื่องคุยโดยการถามเรื่องเรียนในวิชานั้น ๆ ได้แค่ 2-3 ครั้งเท่านั้น เย็นนั้นผมกลับบ้านพร้อมกับคิดไว้ในใจว่า พรุ่งนี้จะต้องคุยกับเธอมากกว่านี้ให้ได้
แต่เมื่อถึงวันรุ่งขึ้นกลับไม่เป็นอย่างที่คิดเนื่องจากว่าเก้าอี้ตัวข้าง ๆ ตั๊กที่ผมนั่งเมื่อวานนี้ได้ถูกจับจองไปก่อนแล้วจากเพื่อนของเธออีกคน ครั้นจะไปทวงคืนก็ใช่ที่ ผมจึงต้องจำใจเปลี่ยนไปนั่งที่อื่นแทน ทำให้วันนั้นทั้งวันผมไม่ได้คุยกับตั๊กเลยแม้แต่ประโยคเดียว เย็นนั้นผมเดินกลับมาบ้านอย่างหงอย ๆ ยังเดินไปได้ไม่ใกลจากตัวมหาวิทยาลัยสักเท่าไหร่ก็มีเสียงเรียกจากข้างหลังผม
“นี่ ๆ .... ตกลงเมื่อวานน่ะ เข้าใจหรือยัง
” ผมหันกลับไป เป็นตั๊กนั่นเองที่ถามผม หัวใจที่เหี่ยวมาทั้งวันของผมกลับมาพองโตอีกแล้ว เธอพูดถึงเรื่องที่ผมถามเธอในคาบเรียนเมื่อวานทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องที่ผมเข้าใจดีอยู่แล้ว แต่ก็หาเรื่องถามเธอไปเพราะว่าอยากจะคุยด้วยแค่นั้นเอง
“ ก็..ยังไม่เข้าใจเท่าไหร่” ผมยิ้มตอบตรงข้ามกับความเป็นจริง
“ ถ้างั้นเอาเบอร์โทรศัพท์เราไปละกันนะ เผื่อไม่เข้าใจอะไรจะได้โทรคุยกันที่บ้านได้
.”
ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเองกับสิ่งที่เธอพูดมา เมื่อถึงบ้านผมโทรไปหาเธอทันที เราคุยกันอย่างสนุกสนานซะจนเวลา 2 ชั่วโมงรู้สึกว่าสั้นเหมือนแค่ 2 นาที หลังจากนั้นผมกับตั๊กก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น เราเริ่มไปไหนมาไหนด้วยกัน มาเรียนพร้อมกัน บางครั้งตั๊กก็ชวนผมไปทานมื้อเย็นที่บ้านเธอจนพอจะรู้จักกับพ่อและแม่ของตั๊กซึ่งก็ไม่ได้ดูรังเกียจผมเลย ออกจะเอ็นดูซะด้วยซ้ำ เรื่องนี้ได้ไปถึงหูของเพื่อน ๆ ที่มหาวิทยาลัย จนเพื่อน ๆ เริ่มแซวเราทั้งสองคน  ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ชีวิตของผมมีความสุขมาก มันเหมือนมีอะไรไม่รู้ที่ทำให้รู้สึกว่าหัวใจมันพอง ๆ โต ๆ ทำให้อารมณ์ดีทั้งวัน ดูทุกอย่างมันสดใสไปหมด และรู้สึกว่านี่ละมั้งที่เค้าเรียกกันว่า “ความรัก” มันมีหน้าตาแบบนี้นี่เอง ไม่อาจสัมผสได้ด้วยมือ หากแต่ว่ารู้สึกได้ด้วยใจ ผมคิดว่าผมจะรักษาความรักของผมให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ผมต้องทำให้ได้...
เหตุการ์ณแสนสุขเหล่านั้นยังคงดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งเราเรียนอยู่ชั้นปีที่ 3  ก็เกิดสิ่งที่ทำให้ผมเริ่มไม่มั่นใจในความรักของผม เมื่อตั๊กยิ้มให้ผมน้อยลง คุยโทรศัพท์กันน้อยลง จากที่เคยมาเรียนด้วยกันทุกวัน ก็กลายเป็นว่าแค่บางวัน จนกระทั่งในที่สุดก็ต่างคนต่างมา แม้กระทั่งที่ห้องเรียนเราก็ไม่ค่อยได้คุยกัน ผมแอบสังเกตุเห็นสีหน้าของตั๊กช่วงนั้นที่ดูเครียดผิดปกติ ทำให้ผมไม่สบายใจและคิดไปต่าง ๆ นานาว่า เค้าอาจจะเห็นว่าเราไม่คู่ควรพอกับเค้า หากปล่อยไปนาน ๆ เรื่องมันอาจเลยเถิดไปมากกว่านี้ เลยคงตัดสินใจตีตัวออกห่างเราเพื่อให้ทุกอย่างมันจบลงแค่นี้ก็เป็นไปได้ ใช่สิ!! ผมมันก็แค่เด็กบ้านนอกคนนึงที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ เพราะว่าสอบติด แถมฐานะหน้าตาก็ไม่ได้ดีเด่อะไร ผิดกับเธอลิบลับที่มีพร้อมทุกอย่างทั้งฐานะ สังคม และหน้าตาที่น่ารักออกปานนั้น เธอจะมาจริงจังอะไรกับคนอย่างผม ผู้ชายดี ๆ มีให้เธอเลือกอีกถมเถ บางครั้งผมน้อยใจตัวเองจนถึงขนาดที่แอบร้องไห้ตอนที่คุยโทรศัพท์กับเธอ แต่เธอไม่รู้หรอก ผมจะไปให้เธอรู้เรื่องน่าอายอย่างงั้นได้ไง ไม่มีทางหรอก..
เมื่อทุกอย่างยังไม่มีอะไรดีขึ้น ผมจึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายออกมาจากเธอเอง โดยการไม่คุยด้วย ไม่โทรหา ไม่ทำอะไรทั้งนั้น แต่เธอก็ยังคงเฉยอีก สิ่งที่ผมเคยคิดเอาเองทั้งหมดคงเป็นความจริงแน่ ๆ ผมเริ่มทำใจ แต่สิ่งที่ผมเรียกว่า “ความรัก” นั้น ก็ยังเหมือนเดิมอยู่ ไม่ได้ลดลงไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นผมทำได้แค่ดูเธออยู่ห่าง ๆ เท่านั้น จนถึงวันสุดท้ายของการสอบปี 4 วันสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน เธอก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม นี่ขนาดวันสุดท้ายที่จะได้เจอกันแล้วแท้ ๆ เธอยังไม่ใส่ใจที่จะมาพูดกับผมแม้แต่คำเดียว เธอจะรู้มั้ยนะว่าผมยังรู้สึกเหมือนเดิมกับเธออยู่ตลอดเวลาที่เราไม่ได้คุยกัน ไม่สิ!! เธอคงไม่คิดหรอก ไม่มีทาง
เย็นนั้นขณะที่ผมนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่ที่บ้าน ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้ามาที่มือถือของผม
“ อั๋นใช่มั้ย นี่แม่ของตั๊กนะ..” เสียงปลายสายเป็นแม่ของตั๊ก ซึ่งแม้ผมจะไม่เคยคุยกับท่านทางโทรศัพท์แต่ก็ยังพอที่จะจำเสียงท่านได้
“ ใช่ครับ แม่มีอะไรเหรอ” ผมตอบอย่างงง ๆ เพราะไม่คิดว่าท่านจะมีธุระอะไรกับผมอีก ผมเลิกคุยกับลูกสาวเค้าไปตั้งนานแล้วนี่
“ ตั๊กอยากให้มาหาที่บ้านหน่อยจะได้มั้ย” ผมยิ่งงงเข้าไปใหญ่ แต่ก็รับปากว่าจะไป ใจนึงก็รู้สึกดีใจที่จะได้เจอและคุยกับตั๊กอีก อีกใจนึงก็รู้สึกแปลกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อผมไปถึงบ้านตั๊ก ก็เห็นแม่ของตั๊กยืนรออยู่ที่หน้าบ้านและพาผมขึ้นไปที่ห้องนอนของตั๊ก นั่นยิ่งทำให้ผมงงเข้าไปอีก เพราะถึงแม้ว่าผมจะเคยมาบ้านตั๊กหลายรอบก็จริง แต่ก็ไม่เคยขึ้นมาถึงห้องนอนเธอเลย แม่ของตั๊กยื่นอะไรบางอย่างให้กับผม สีหน้าของท่านไม่สู้ดีนัก
“ ตั๊กเค้าอยากให้เธออ่านมากเลยนะ” ผมจับมันขึ้นมาดู สิ่งที่อยู่ในมือของผมคือจดหมายฉบับหนึ่ง
อั๋น...
    ตั๊กขอโทษนะที่ทำให้เรื่องราวของเรามันจบลงแบบนั้น แต่มันเป็นความต้องการของตั๊กเองแหละ ตั๊กคิดว่าถ้าเราห่างกันไป อั๋นคงทำใจที่จะลืมตั๊กได้ และคงจะไม่เสียใจในเรื่องวันนี้ เพราะว่าถ้าจดหมายฉบับนี้ถึงมือของอั๋นเมื่อไหร่ล่ะก็ แสดงว่าโรคหัวใจของตั๊กคงกำเริบเกินเยียวยาแล้วล่ะ ตั๊กขอโทษจริง ๆ ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั๊กไม่เคยบอกเรื่องนี้กับอั๋นเลย ตั๊กอยากเห็นอั๋นมีความสุขตลอดเวลาที่อยู่กับตั๊ก ไม่อยากให้อั๋นไม่สบายใจเพราะตั๊ก  เวลาที่เราอยู่ด้วยกันทุกวินาทีตั๊กมีความสุขมากเลยนะ ถึงแม้มันจะสั้นแค่นี้ก็เถอะ เวลาของเราช่างน้อยเหลือเกิน น้อยซะจนตั๊กยังไม่ได้พูดสิ่งที่อยากจะบอกกับอั๋นเลย ตั๊กอยากบอกว่า ตั๊กรักอั๋นนะ รักมากด้วย
    เอาล่ะ ได้บอกแค่นี้ก็สบายใจแล้ว ตั๊กต้องไปแล้วนะ ดูแลตัวเองดี ๆ นะ  อั๋นต้องเข้มแข็งนะ  ตอนที่เค้าไม่อยู่แล้วน่ะ อย่าแอบร้องไห้ทางโทรศัพท์อีกล่ะ คิดว่าคนอื่นเค้าไม่รู้เหรอ *-*
                            ตั๊ก..
มือผมสั่นเทาจนกระดาษที่อยู่ในมือปลิวออกไปอย่างไม่รู้ตัว ผมหันไปเห็นผู้หญิงตัวเล็กคนนึงนอนอยู่ที่เตียง เธอคือตั๊กจริง ๆ ด้วย ทั้งหมดเป็นเรื่องจริงเหรอเนี่ย ผมถามตัวเองในใจอย่างไม่น่าถาม ตลอดเวลาผมโง่จนขนาดที่ไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยปากถามตั๊กว่ามันเกิดอะไรขึ้น ได้แต่คิดไปเองในทุก ๆ เรื่อง ผมไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยปากบอกรักกับตั๊กตรง ๆ แม้แต่ครั้งเดียว จนถึงวันนี้มันก็คงจะไม่มีโอกาสอีก ผมอาจจะได้พูด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าตั๊กจะได้ยินมัน น้ำตาของผมร่วงพรูออกมาอย่างไม่กลัวว่าจะไม่มีเก็บเอาไว้ร้องไห้ในครั้งต่อไป ผมรู้สึกว่าผมร้องไห้จนตาเรือนลางมองเห็นอะไรไม่ชัด ผมมองไปที่หน้าของตั๊ก ผมเห็นตั๊กยิ้ม
เธอยิ้มให้ผมอย่างสวยที่สุดเท่าที่เธอจะยิ้มได้ ราวกับว่านั่นเป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่ผมจะได้รับจากเธอในชีวิตนี้ ....
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น