เรื่องของตั๊กและอั๋น - เรื่องของตั๊กและอั๋น นิยาย เรื่องของตั๊กและอั๋น : Dek-D.com - Writer

    เรื่องของตั๊กและอั๋น

    เธอยิ้มให้ผมอย่าสวยที่สุดเท่าที่เธอจะยิ้มได้ ราวกับว่านั่นเป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่ผมจะได้รับจากเธอในชีวิตนี้

    ผู้เข้าชมรวม

    146

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    146

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  8 ต.ค. 48 / 13:49 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เธอยิ้มให้ผมอย่าสวยที่สุดเท่าที่เธอจะยิ้มได้ ราวกับว่านั่นเป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่ผมจะได้รับจากเธอในชีวิตนี้ ...ผมเดินออกมานั่งลงอย่างสงบ หลับตานึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดว่า ผมกับตั๊กรู้จักกันเมื่อไหร่ คงจะเมื่อตอนเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ ๆ  อืม.. ใช่  ผมกับตั๊กรู้จักกันเมื่อเราทั้งคู่ต่างเรียนปี 1 ผมมีชื่อสอบติดที่มหาวิทยาลัยเดียวกับตั๊ก แต่ด้วยเหตุจำเป็นบางอย่างทำให้ผมต้องเข้ามาเรียนช้ากว่าปกติ 1 สัปดาห์
      วันแรกที่ผมเข้ามาเรียนก็คือวันแรกของการเรียนการสอนในสัปดาห์ที่ 2 ซึ่งทั้งห้องเริ่มสนิทสนมกันแล้ว ยกเว้นผมคนเดียวที่ยังไม่รู้จักใครเลย ผมเดินเข้าห้องเรียนมาในช่วงที่อาจารย์เข้าสอนแล้ว ผมจึงรีบมองหาที่นั่ง เพราะแค่การเข้าห้องช้าแถมยังไม่มีใครรู้จักด้วยแล้ว การยืนงก ๆ เงิ่น ๆ คงจะทำให้กลายเป็นจุดสนใจมากเข้าไปอีก ผมเหลือบไปเห็นเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ยังว่างอยู่ จึงรีบเข้าไปนั่งอย่างรวดเร็วโดยที่ไมได้ใส่ใจที่จะมองคนข้าง ๆ สักเท่าไรนัก

      “ เข้าห้องผิดเหรอเปล่าคะ ??”  เสียงใส ๆ ของคนที่นั่งติดฝั่งซ้ายมือของผมเอ่ยขึ้น ผมจึงหันหน้าไปตามเสียงนั่น สิ่งที่ผมเห็นคือ นางฟ้าองค์หนึ่ง ซึ่งจำแลงลงมาในรูปของมนุษย์เพศหญิงตัวเล็ก ๆ ขาว ๆ ใส่แว่น และสวมชุดนักศึกษา…
      “ นี่ เข้าห้องผิดเหรอเปล่าเธอ...??”  เธอเอ่ยประโยคเดิมซ้ำ ผมคงจะจ้องหน้าเธอนานไปหน่อยจนทำให้เธองงว่าตกลงผมหรือเธอกันแน่ที่เป็นคนสายตาสั้น
      “ เอ่อ ... ไม่ผิดหรอก เราเพิ่งจะมาเรียนวันแรกน่ะ” ผมตะกุกตะกักตอบ
      “ อ๋อ.. ค่ะ” เธอพูดพร้อมเปลี่ยนสีหน้าที่สงสัยเป็นยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรแทน
      “ เราชื่อตั๊กนะ .. เธอล่ะ..”
      “ เราชื่ออั๋น” ผมตอบและมองหน้าเธออย่างเขิน ๆ  ก็แน่ล่ะ เธอออกจะน่ารักซะขนาดนั้น การสนทนาด้วยระยะประชิดขนาดนี้ย่อมทำให้อีกฝ่ายสะท้านเป็นธรรมดา
      หลังสิ้นคำตอบของผม เธอยิ้ม และหันหน้ากลับไปฟังอาจารย์ตามปกติ ผมคิดในใจว่านี่มันอะไรกัน
      เข้าเรียนยังไม่ถึงชั่วโมงดี ผมก็พบแรงจูงใจที่จะทำให้ผมอยากมาเรียนทุกวันเข้าซะแล้ว วันนั้นทั้งวันหัวใจที่เคยเหี่ยวเฉาของผม กลับรู้สึกว่ามันพองโตผิดปกติ และรู้สึกไม่แน่ใจว่าปากกาที่อาจารย์ใช้เขียนไวท์บอร์ดอยู่นั่นมันสีน้ำเงินหรือว่าสีชมพูกันแน่ ผมนั่งติดกับตั๊กตลอดทั้งวันจนเลิกเรียนแต่ไม่ได้คุยกันซักเท่าไหร่ เนื่องจากว่าตั๊กค่อนข้างจะเป็นคนที่ตั้งใจเรียนทีเดียว ผมจึงสบโอกาสหาเรื่องคุยโดยการถามเรื่องเรียนในวิชานั้น ๆ ได้แค่ 2-3 ครั้งเท่านั้น เย็นนั้นผมกลับบ้านพร้อมกับคิดไว้ในใจว่า พรุ่งนี้จะต้องคุยกับเธอมากกว่านี้ให้ได้
      แต่เมื่อถึงวันรุ่งขึ้นกลับไม่เป็นอย่างที่คิดเนื่องจากว่าเก้าอี้ตัวข้าง ๆ ตั๊กที่ผมนั่งเมื่อวานนี้ได้ถูกจับจองไปก่อนแล้วจากเพื่อนของเธออีกคน ครั้นจะไปทวงคืนก็ใช่ที่ ผมจึงต้องจำใจเปลี่ยนไปนั่งที่อื่นแทน ทำให้วันนั้นทั้งวันผมไม่ได้คุยกับตั๊กเลยแม้แต่ประโยคเดียว เย็นนั้นผมเดินกลับมาบ้านอย่างหงอย ๆ ยังเดินไปได้ไม่ใกลจากตัวมหาวิทยาลัยสักเท่าไหร่ก็มีเสียงเรียกจากข้างหลังผม
      “นี่ ๆ .... ตกลงเมื่อวานน่ะ เข้าใจหรือยัง…” ผมหันกลับไป เป็นตั๊กนั่นเองที่ถามผม หัวใจที่เหี่ยวมาทั้งวันของผมกลับมาพองโตอีกแล้ว เธอพูดถึงเรื่องที่ผมถามเธอในคาบเรียนเมื่อวานทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องที่ผมเข้าใจดีอยู่แล้ว แต่ก็หาเรื่องถามเธอไปเพราะว่าอยากจะคุยด้วยแค่นั้นเอง
      “ ก็..ยังไม่เข้าใจเท่าไหร่” ผมยิ้มตอบตรงข้ามกับความเป็นจริง
      “ ถ้างั้นเอาเบอร์โทรศัพท์เราไปละกันนะ เผื่อไม่เข้าใจอะไรจะได้โทรคุยกันที่บ้านได้….”

      ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเองกับสิ่งที่เธอพูดมา เมื่อถึงบ้านผมโทรไปหาเธอทันที เราคุยกันอย่างสนุกสนานซะจนเวลา 2 ชั่วโมงรู้สึกว่าสั้นเหมือนแค่ 2 นาที หลังจากนั้นผมกับตั๊กก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น เราเริ่มไปไหนมาไหนด้วยกัน มาเรียนพร้อมกัน บางครั้งตั๊กก็ชวนผมไปทานมื้อเย็นที่บ้านเธอจนพอจะรู้จักกับพ่อและแม่ของตั๊กซึ่งก็ไม่ได้ดูรังเกียจผมเลย ออกจะเอ็นดูซะด้วยซ้ำ เรื่องนี้ได้ไปถึงหูของเพื่อน ๆ ที่มหาวิทยาลัย จนเพื่อน ๆ เริ่มแซวเราทั้งสองคน  ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ชีวิตของผมมีความสุขมาก มันเหมือนมีอะไรไม่รู้ที่ทำให้รู้สึกว่าหัวใจมันพอง ๆ โต ๆ ทำให้อารมณ์ดีทั้งวัน ดูทุกอย่างมันสดใสไปหมด และรู้สึกว่านี่ละมั้งที่เค้าเรียกกันว่า “ความรัก” มันมีหน้าตาแบบนี้นี่เอง ไม่อาจสัมผสได้ด้วยมือ หากแต่ว่ารู้สึกได้ด้วยใจ ผมคิดว่าผมจะรักษาความรักของผมให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ผมต้องทำให้ได้...
      เหตุการ์ณแสนสุขเหล่านั้นยังคงดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งเราเรียนอยู่ชั้นปีที่ 3  ก็เกิดสิ่งที่ทำให้ผมเริ่มไม่มั่นใจในความรักของผม เมื่อตั๊กยิ้มให้ผมน้อยลง คุยโทรศัพท์กันน้อยลง จากที่เคยมาเรียนด้วยกันทุกวัน ก็กลายเป็นว่าแค่บางวัน จนกระทั่งในที่สุดก็ต่างคนต่างมา แม้กระทั่งที่ห้องเรียนเราก็ไม่ค่อยได้คุยกัน ผมแอบสังเกตุเห็นสีหน้าของตั๊กช่วงนั้นที่ดูเครียดผิดปกติ ทำให้ผมไม่สบายใจและคิดไปต่าง ๆ นานาว่า เค้าอาจจะเห็นว่าเราไม่คู่ควรพอกับเค้า หากปล่อยไปนาน ๆ เรื่องมันอาจเลยเถิดไปมากกว่านี้ เลยคงตัดสินใจตีตัวออกห่างเราเพื่อให้ทุกอย่างมันจบลงแค่นี้ก็เป็นไปได้ ใช่สิ!! ผมมันก็แค่เด็กบ้านนอกคนนึงที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ เพราะว่าสอบติด แถมฐานะหน้าตาก็ไม่ได้ดีเด่อะไร ผิดกับเธอลิบลับที่มีพร้อมทุกอย่างทั้งฐานะ สังคม และหน้าตาที่น่ารักออกปานนั้น เธอจะมาจริงจังอะไรกับคนอย่างผม ผู้ชายดี ๆ มีให้เธอเลือกอีกถมเถ บางครั้งผมน้อยใจตัวเองจนถึงขนาดที่แอบร้องไห้ตอนที่คุยโทรศัพท์กับเธอ แต่เธอไม่รู้หรอก ผมจะไปให้เธอรู้เรื่องน่าอายอย่างงั้นได้ไง ไม่มีทางหรอก..
      เมื่อทุกอย่างยังไม่มีอะไรดีขึ้น ผมจึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายออกมาจากเธอเอง โดยการไม่คุยด้วย ไม่โทรหา ไม่ทำอะไรทั้งนั้น แต่เธอก็ยังคงเฉยอีก สิ่งที่ผมเคยคิดเอาเองทั้งหมดคงเป็นความจริงแน่ ๆ ผมเริ่มทำใจ แต่สิ่งที่ผมเรียกว่า “ความรัก” นั้น ก็ยังเหมือนเดิมอยู่ ไม่ได้ลดลงไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นผมทำได้แค่ดูเธออยู่ห่าง ๆ เท่านั้น จนถึงวันสุดท้ายของการสอบปี 4 วันสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน เธอก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม นี่ขนาดวันสุดท้ายที่จะได้เจอกันแล้วแท้ ๆ เธอยังไม่ใส่ใจที่จะมาพูดกับผมแม้แต่คำเดียว เธอจะรู้มั้ยนะว่าผมยังรู้สึกเหมือนเดิมกับเธออยู่ตลอดเวลาที่เราไม่ได้คุยกัน ไม่สิ!! เธอคงไม่คิดหรอก ไม่มีทาง
      เย็นนั้นขณะที่ผมนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่ที่บ้าน ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้ามาที่มือถือของผม
      “ อั๋นใช่มั้ย นี่แม่ของตั๊กนะ..” เสียงปลายสายเป็นแม่ของตั๊ก ซึ่งแม้ผมจะไม่เคยคุยกับท่านทางโทรศัพท์แต่ก็ยังพอที่จะจำเสียงท่านได้
      “ ใช่ครับ แม่มีอะไรเหรอ” ผมตอบอย่างงง ๆ เพราะไม่คิดว่าท่านจะมีธุระอะไรกับผมอีก ผมเลิกคุยกับลูกสาวเค้าไปตั้งนานแล้วนี่
      “ ตั๊กอยากให้มาหาที่บ้านหน่อยจะได้มั้ย” ผมยิ่งงงเข้าไปใหญ่ แต่ก็รับปากว่าจะไป ใจนึงก็รู้สึกดีใจที่จะได้เจอและคุยกับตั๊กอีก อีกใจนึงก็รู้สึกแปลกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
      เมื่อผมไปถึงบ้านตั๊ก ก็เห็นแม่ของตั๊กยืนรออยู่ที่หน้าบ้านและพาผมขึ้นไปที่ห้องนอนของตั๊ก นั่นยิ่งทำให้ผมงงเข้าไปอีก เพราะถึงแม้ว่าผมจะเคยมาบ้านตั๊กหลายรอบก็จริง แต่ก็ไม่เคยขึ้นมาถึงห้องนอนเธอเลย แม่ของตั๊กยื่นอะไรบางอย่างให้กับผม สีหน้าของท่านไม่สู้ดีนัก
      “ ตั๊กเค้าอยากให้เธออ่านมากเลยนะ” ผมจับมันขึ้นมาดู สิ่งที่อยู่ในมือของผมคือจดหมายฉบับหนึ่ง

      อั๋น...
          ตั๊กขอโทษนะที่ทำให้เรื่องราวของเรามันจบลงแบบนั้น แต่มันเป็นความต้องการของตั๊กเองแหละ ตั๊กคิดว่าถ้าเราห่างกันไป อั๋นคงทำใจที่จะลืมตั๊กได้ และคงจะไม่เสียใจในเรื่องวันนี้ เพราะว่าถ้าจดหมายฉบับนี้ถึงมือของอั๋นเมื่อไหร่ล่ะก็ แสดงว่าโรคหัวใจของตั๊กคงกำเริบเกินเยียวยาแล้วล่ะ ตั๊กขอโทษจริง ๆ ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั๊กไม่เคยบอกเรื่องนี้กับอั๋นเลย ตั๊กอยากเห็นอั๋นมีความสุขตลอดเวลาที่อยู่กับตั๊ก ไม่อยากให้อั๋นไม่สบายใจเพราะตั๊ก  เวลาที่เราอยู่ด้วยกันทุกวินาทีตั๊กมีความสุขมากเลยนะ ถึงแม้มันจะสั้นแค่นี้ก็เถอะ เวลาของเราช่างน้อยเหลือเกิน น้อยซะจนตั๊กยังไม่ได้พูดสิ่งที่อยากจะบอกกับอั๋นเลย ตั๊กอยากบอกว่า ตั๊กรักอั๋นนะ รักมากด้วย …
          เอาล่ะ ได้บอกแค่นี้ก็สบายใจแล้ว ตั๊กต้องไปแล้วนะ ดูแลตัวเองดี ๆ นะ  อั๋นต้องเข้มแข็งนะ   ตอนที่เค้าไม่อยู่แล้วน่ะ อย่าแอบร้องไห้ทางโทรศัพท์อีกล่ะ คิดว่าคนอื่นเค้าไม่รู้เหรอ *-*
                                  ตั๊ก..


      มือผมสั่นเทาจนกระดาษที่อยู่ในมือปลิวออกไปอย่างไม่รู้ตัว ผมหันไปเห็นผู้หญิงตัวเล็กคนนึงนอนอยู่ที่เตียง เธอคือตั๊กจริง ๆ ด้วย ทั้งหมดเป็นเรื่องจริงเหรอเนี่ย ผมถามตัวเองในใจอย่างไม่น่าถาม ตลอดเวลาผมโง่จนขนาดที่ไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยปากถามตั๊กว่ามันเกิดอะไรขึ้น ได้แต่คิดไปเองในทุก ๆ เรื่อง ผมไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยปากบอกรักกับตั๊กตรง ๆ แม้แต่ครั้งเดียว จนถึงวันนี้มันก็คงจะไม่มีโอกาสอีก ผมอาจจะได้พูด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าตั๊กจะได้ยินมัน น้ำตาของผมร่วงพรูออกมาอย่างไม่กลัวว่าจะไม่มีเก็บเอาไว้ร้องไห้ในครั้งต่อไป ผมรู้สึกว่าผมร้องไห้จนตาเรือนลางมองเห็นอะไรไม่ชัด ผมมองไปที่หน้าของตั๊ก ผมเห็นตั๊กยิ้ม

      เธอยิ้มให้ผมอย่างสวยที่สุดเท่าที่เธอจะยิ้มได้ ราวกับว่านั่นเป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่ผมจะได้รับจากเธอในชีวิตนี้ ....

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×