ลดเวลา ลั่นชีวิต เพื่อนเติมฝัน - ลดเวลา ลั่นชีวิต เพื่อนเติมฝัน นิยาย ลดเวลา ลั่นชีวิต เพื่อนเติมฝัน : Dek-D.com - Writer

    ลดเวลา ลั่นชีวิต เพื่อนเติมฝัน

    หวั่งหยี เด็กสาวลูกครึ่งชาวไต้หวัน เธอไม่รู้จักอะไรเลย ที่เรียกว่าแสงสว่าง เพราะเธอเองก็เพียงแต่ได้แค่ฟังและสัมผัสเท่านั้น

    ผู้เข้าชมรวม

    286

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    286

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  28 ม.ค. 47 / 21:00 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ลดเวลา ลั่นชีวิต เพื่อนเติมฝัน
                หวั่งหยี เด็กสาวลูกครึ่งชาวไต้หวัน เธอไม่รู้จักอะไรเลย ที่เรียกว่าแสงสว่าง เพราะเธอเองก็เพียงแต่ได้แค่ฟังและสัมผัสเท่านั้น มีแต่คนชมว่าเธอสวย ทั้งๆที่เธอเองก็ไม่เคยเห็นตัวเอง ด้วยเงาบนกระจกสักที ดังนั้นเธอเองก็ปรารถนาที่จะเห็นไต้หวันสักครั้งหนึ่งในชีวิต พูด (เล่า) มาถึงตอนนี้ ใครหลายคนคงพอจะเดาออกแล้วว่าหวั่งหยีที่พูดกันมาตั้งแต่ต้น เธอตาบอด เธอวิ่งเข้าออกโรงพยาบาลหลายครั้งหลายคราว แต่ก็ไม่มีทีท่าที่จะมีโอกาสที่จะรักษาตาของเธอให้เป็นปกติได้
                เช้าตรู่ของวันใหม่มาถึง แสงอาทิตย์สีส้มๆทยอยสาดส่องเข้ามา จนเห็นฝุ่นละอองเล็กๆ ราวกับว่าคนเรามีตาวิเศษมองเห็นได้ แม้กระทั่งสิ่งเล็กๆที่ลอยอยู่ในอากาศ แต่หวั่งหยีไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้เหมือนกับคนอื่น เธอเดินไปซื้อลูกโป่งกับคนขายลูกโป่งที่เดินผ่านหน้าบ้านของเธอเอง “หวั่งหยีวันนี้เธอจะซื้อสีอะไร”  โกโตบะเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเธอที่อยู่รั้วถัดไปตะโกนถามก่อนที่จะกระโดดขามรั้วมาหาเธอ “สีอะไรก็ได้ นายว่าสีอะไร” “ อืม......” โกโบตะคิดอยู่นาน “แล้วเขาก็หยิบลูกโป่งสีน้ำเงินยื่นให้เธอ “เธอชอบสีนี้หรอ สีอะไรล่ะ” “สีน้ำเงิน ฉันชอบสีน้ำเงิน”เด็กหญิงฟังแล้วนิ่งด้วยความที่ไม่รู้ว่าสีน้ำเงินที่บอกเป็นยังไง “ฉันเห็นเธอซื้อลูกโป่งทุกวัน ซื้อไปทำไมหรอ” หน้าของเด็กหญิงแดงขึ้น แต่ก็ไม่พูดอะไร พูดแค่เพียง “ฉันเข้าบ้านก่อนนะ บ๊าย บาย”  แล้เธอก็รีบเดินกลับเข้าไปในบ้าน จริงๆแล้วคำว่า “รีบ” ของเธอช้ามากสำหรับคนทั่วไปรวมทั้งโกโบตะ แต่โกโบตะก็ดูออกว่าเธอกำลังรีบ
                เพราะความเหนียมอายของหวั่งหยีต่างหาก เธอตั้งใจจะเขียนคำขอพรไว้บนลูกโป่ง แล้วปล่อยให้มันลอยไปบนฟ้า เธอจะเขียนทุกครั้งว่า “ฉันอยากเห็นไต้หวัน ฉันอยากเที่ยวที่ไต้หวัน” เธอทำแบบนี้ทุกวัน ทุกวัน แต่แล้ววันหนึ่งโกโบตะก็รู้เข้า เมื่อลูกโป่งที่เธอเป่าไปติกอยูบนต้นไม้ที่บ้านของโกโบตะ โดยที่เธอไม่รู้ “นี่แน่ะ” โกโบตะตบไหล่เธอเบาๆ “ฉันรู้แล้วว่าเธอซื้อลูกโป่งไปทำไม ความแตกแล้วนะ”  หวั่งหยีมีสีหน้าซีดเผือดทันที แต่โกโบตะกลับไม่ล้อเลียนหรือซ้ำเติมเธอเลยแต่ยังให้กำลังใจอีก “ไม่ต้องห่วงนะ ตอนที่เธอมองไม่เห็น ฉันจะเป็นตาให้เธอ แต่ถ้าวันไหนที่เธอมองเห็นเมื่อไร ฉันจะพาเธอไปเที่ยวไต้หวันเอง” หวั่งหยีรู้สึกซาบซึ้งและประทับใจในน้ำใจของโกโบตะมาก เธอได้แต่ยืนนิ่งน้ำตาคลอไว้ที่เบ้าตา
                โกโบตะเฝ้าถามหวั่งหยีทุกวัน “เธอมองเห็นแล้วยัง”   “ยังเลย”   “ดีขึ้นบ้างไหม”   “ไม่รู้สิ”  วันแล้ววันเล่า จนในที่สุด ความฝันของเธอก็มีท่าทีว่าจะเป็นความจริง เพราะจู่ๆก็มีดาวตก หรือสะเก็ดดาวก้อนเล็กๆ ตกมาที่บ้านของเธอ ขณะที่โกโบะตะกำลังนั่งดูดาวอยู่ โกโบตะเก็บมันขึ้นมาและยื่นให้หวั่งหยี “หวั่งหยี ฉันให้” หวั่งหยีรับมาแล้ววางไปไว้บนโต๊ะก่อนนอน ในขณะที่เธอถือ เธอมกมีความรู้สึกประหลาดกับก้อนหินแปลกๆที่โกโบตะยื่นให้ แต่เธอก็รับไว้เพราะโกโบตะเป็นคนให้
                “ตื่นสิ ตื่นได้แล้ว หวั่งหยีตื่นได้แล้ว” มีเสียงเรียกเธออยู่ใกล้ๆ แล้จากนั้นก็มีเสียงเขาคนนั้น ที่เธอไม่รู้ว่าเป็นใคร รู้แต่เพียงว่าเป็นผู้หญิง กำลังเดินไปหยิบก้อนหิน แล้วส่งให้เธอกำไว้ในมือ ครู่เดียวที่ภายในตาของเธอที่มืด ก็เริ่มมีแสงสว่างเกิดขึ้นความมืดเริ่มจางลง จางลง จนในที่สุดก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความมืดอีกเลย ตอนนี้เธอมองเห็นแล้ว เธอรู้จักสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความมืด นั่นคือแสงสว่าง ผู้หญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ เธอตกแต่ก็เก็บเงียบเอาไว้ ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนเก็บความรู้สึกได้ดีทีเดียว “เธอมองเห็นแล้วใช่ไหม” “สงสัยละสิว่ามองเห็นได้ยังไง” “เพราะหินก้อนนี้” หวั่งหยีตอบ “ใช่ เธอมองเห็นได้เพราะหินก้อนนี้ แต่เธอจะต้องแลกกับสิ่งๆหนึ่ง เวลาที่เธอถือก้อนหินก้อนนี้” สายลมพัดเข้ามาในบ้าน ผ้าม่านริมหน้าต่างปลิว พลิ้ว จนเกือบจะแผ่เต็มผืน “การที่เธอจะมองเห็นได้ 1 ชั่วโมง จะต้องแลกกับอายุขัยของเธอ 3 ปี เธอมีอายุขัย 56 ปี แต่..” จากนั้นแสงสีทองที่สว่างไสวก็สาดเข้ามา มันสว่างมากจนเธอต้องเอามือมาป้องไว้ที่ตา “เชเลีย พ่อบอกแล้วไงว่าอย่ายุ่งอะไรบนโลกมนุษย์” ชายร่างใหญ่แต่งตัวภูมิฐานราวกับเทวดา ลอยเข้ามา “ขอโทษค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างสุภาพ ก่อนจะหันมายิ้มให้แล้วพูดกับเธอ “ลาก่อนนะ” แล้วจากไปขณะที่หวั่งหยีตะโกนเรียก “เดี๋ยวก่อน ยังพูดไม่รู้เรื่องเลย รอเดี๋ยว”  เธอสะดุ้งและลุกขึ้นอีกครั้งในโลกแห่งความเป็นจริง บนเตียงของเธอ เหงื่อแตกพลั่ก พลั่ก เพราะความตื่นกลัวและวิตกกังวลจากความฝัน เธอหันไปดูก้อนหินบนโต๊ะ มันไม่อยู่บนโต๊ะแล้ว แต่อยู่ในมือเธอ เธอมองเห็นโดยไม่รู้ตัว จากความเคยชินในฝัน เธอรู้ว่าความฝันที่เธอฝันเมื่อคืนนั้น ไม่ใช่ภาพลอยๆในหัว ที่เธอคิดประดิษฐ์
      จากก้นเบื้องลึกของหัวใจ แต่มันคือความจริง
                เมื่ออรุณรุ่งของวันใหม่มาถึง เธอรีบไปเคาะประตูบ้านของโกโบตะ “ก๊อก ก๊อก โกโตบะ โกโตบะ” วันนี้ถือได้ว่าเช้ามาก และอาจจะแย่ที่เธอถือวิสาสะไปเคาะประตูหน้าบ้านของคนอื่นแต่เช้า โกโบตะยังอยู่บนเตียง “ใครกันนะมาแต่เช้าเลย” โกโบตะพูดด้วยเสียงที่เชื่องช้า ไม่มีความกระฉับกระเฉงเอาซะเลย “หวั่งหยี หวั่งหยีไง ฉันมองเห็นแล้วนะ” “อะไรนะ” โกโตบะตกใจรีบลุกจากเตียงทันที เขาไม่คิดว่าเรื่องนี้จะจริงจังอะไรนักหรอก กลับคิดว่าหวั่งหยีแกล้งมากกว่า แต่โกโบตะก็มาเปิดประตูอยู่ดี ในใจคิดว่าถ้าเธออยากเล่นกับฉัน ฉันก็จะเล่นด้วย “สวัสดีหวั่งหยี” “สวัสดี ฉันมองเห็นแล้วนะ” หวั่งหยีพูดด้วยความตื่นเต้นดีใจ โกโตบะเอามือไปจับหน้าผากของเธอ “เป็นอะไรไปรึเปล่า ไม่มีไข้นี่นา” “ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันมองเห็นจริงๆ” โกโตบะชูนิ้วขึ้นมาแล้วถามว่า “งั้นนี่กี่นิ้ว” “ 2” “ นี่ละ”  “ 4 ” “แล้วนี่” “1”  ท่าทางของโกโตบะเปลี่ยนไป เป็นสีหน้าตื่นเต้นดีใจแทนเธอ “หวั่งหยี เธอมองเห็นแล้วนี่” “งั้นมา ฉันจะพาไปเที่ยวไต้หวัน เร็วเข้าสิ” เพื่อไม่ให้หวั่งหยีรอ โกโตบะกลับเข้าไปในบ้าน เตรียมตัวที่จะไปเที่ยว ที่แรกที่โกโตบะพาหวั่นหยีไปคือ ไปขึ้นยอดเขาจุนซาน เขาพาหวั่งหยีไปดูทะเลหมอกยามเช้าตรู่ โกโบตะยื่นเสื้อกันหนาวสีน้ำเงินให้หวั่งหยีใส่ ที่นี่หนาวมาก หวั่งหยีได้เห็นพระอาทิตย์แรกขึ้นกับสายหมอกยามเช้า “หวั่งหยี นั่นไงที่เขาเรียกว่าหมอก” โกโบตะชี้ไปเพื่อให้เด็กผู้หญิงรู้จัก สำหรับหวั่งหยีตอนนี้ก็เหมือนเด็กแรกเกิดที่เพิ่งลืมตาดูโลก โลกนี้ในสายตาของเธอเป็นโลกที่มหัศจรรย์ และแปลกใหม่ “ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นทะลภูเขาและทะเลนักท่องเที่ยวเลยละ” ตอนสายโกโตบะพาหวั่งหยีไปที่สวนหยูซาน เขตป่าสงวนที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน มีภูเขาสูงอยู่มากมาย รวมทั้งยอดเขาที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกด้วย ที่นี่มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่หลายชนิด มีนกและผีเสื้ออีกหลายพันธุ์ พอตอนบ่ายหลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จ พวกเขาก็ไปเมืองไทนาน เมืองที่เต็มไปด้วยวัด ไปชมวัฒนธรรมของชาวไต้หวันที่มีการรักษาไว้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้พวกเขายังไปเที่ยววัดของลัทธิเต๋าทู่เขาตะวันออก(East Mountain) มีคนไปทำบุญกันมาก เพราะเชื่อว่าวัดนี้มีพิธีติดต่อกับวิญญาณของคนที่ตายไปแล้วได้ หลังจากนั้นพวกเขาก็ยังไปอนุสรณ์ ซุน ผัตเช็น ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น Father of Modern China พิพิธภัณฑ์นี้สงบกว่าพิพิธภัณฑ์ เจียง ไคเช็ก ตรงที่มีความเงียบสงบมากเพราะมีสวนสาธารณะอยู่ทางทิศใต้ ขณะที่ทั้งสองท่องเที่ยวหรือไปไหนมาไหน โกโตบะจะสังเกตเห็นว่าหวั่งหยีจะกำบางสิ่งบางอย่างอยู่เสมอ ตกเย็น เวลานี้เหมาะสำหรับการไปเที่ยวไทเปซิตี้ เป็นเมืองหลวง มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นมาก จุดเด่นของที่นี่คือตลาดนัดกลางคืน และการท่องเที่ยวกลางคืน หวั่งหยี ไม่ชอบการเที่ยวผับ เที่ยวบาร์แบบชาวตะวันตก โกโบตะเลยพาไปเที่ยวตลาดฉันเหมิน ตลาดนัดกลางคืนที่ใหญ่ที่สุดแทน ที่สุดท้ายที่โกโตบะพาหวั่งหยีไปเที่ยวคือ ทะเลสาบสุริยันจันทรา สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากของไต้หวัน เหมาะสำหรับคู่แต่งงานที่จะมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ทะเลสาบมีรูปร่างกลมเหมืองพระอาทิตย์ เมื่อมองจากมุมหนึ่ง และรูปร่างเหมือนพระจันทร์เสี้ยวเมื่อมองจากที่สูง น้ำในทะเลสาบเป็นสีเขียวเทอร์คอยส์ ยามเมื่อต้องแสงอาทิตย์เต็มที่
                หวั่งหยีมีความสุขมาก โกโตบะเห็นสีหน้าของหวั่งหยีก็รู้สึกมีความสุขไปด้วย เวลานี้หวั่งหยีพร้อมจะบอกลา “โกโตบะ ฉันไปละนะ” โกโตบะทำท่างงๆแต่ก็พอเข้าใจ ร่างของหวั่งหยีลอยขึ้นไปในอากาศ และเป็นสีทองเหลืองอร่าม ตอนนี้อายุขัยของเธอได้หมดลง ร่างของเธอกำลังจะสลายเป็นอณูเดียวกับอากาศที่อยู่รอบๆตัว “หวังเราว่าคงจะได้พบกันอีกนะ” เธอพูด และพยายามทำสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส่ ทั้งๆที่น้ำตาเอ่อล้นอยู่ในแววตา โกโบตะเห็นดังนั้นจึงนึกขึ้นได้ เขาจับมือเธอในขณะที่เธอกำลังลอยอยู่ในอากาศ และกำลังจะกลายเป็นสิ่งที่ล่องลอยเคว้งคว้างอยู่บนท้องฟ้า น้ำตากระเด็นมาที่หน้าผากของหวั่งหยี หวั่งหยีพยายามทำสีหน้าให้ธรรมดาที่สุด โกโบตะมีสีหน้ายิ้มแย้มแล้วพูดว่า “ฉันแก้คำสาปให้เธอแล้วนะ ปล่อยก้อนหินซะ” หวั่งหยีทำตาม “เก๊ง” เสียงก้อนหินตกลงบนพื้น หลังจากที่หวั่งหยีมีสีหน้าตกใจกับคำพูดของโกโบตะ แสงสีทองหายไปทันที พร้อมๆกับร่างของเธอที่กำลังตกลงมา โกโตบะรับร่างของหวั่งหยีได้และส่งเธอกลับบ้านเช้าวันต่อมาหวั่งหยีก็ได้รู้ว่า วันเดียวกับที่หวั่งหยีฝัน โกโบตะก็ฝันเห็นเหตุการณ์แบบนั้นด้วยเช่นกัน แต่โกโบตะก็หาทางแก้คำสาปให้หวั่งหยี เพราะหนทางที่จะแก้คำสาปให้กับหวั่งหยีคือ การหมดอายุขัยที่ทะเลสาบสุริยันจันทรา

      สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ
      Sun Yatsen Memorial Hall- ผู้มาเยือนไต้หวันไม่ควรพลาดที่จะได้เข้าไปเที่ยวชมอนุสรณ์สถานชุน ยัตเซ็น ผู้ได้ชื่อว่าเป็น Father of Modern China พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะแตกต่างจากพิพิธภัณฑ์เจียง ไคเช็ก ตรงที่มีความเงียบสงบมากกว่า เพราะทางทิศใต้ของพิพิธภัณฑ์มีสวนสาธารณะอันรมรื่น ส่วนภายในตัวอาคารมักมีการจัดแสดงนิทรรศการภาพถ่ายและงานศิลปะ และบางครั้งก็มีการแสดงคอนเลิร์ตด้วย
      ทะเลสาบสุริยันจันทรา-  เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากของไต้หวัน เหมาะสำหรับคู่แต่งงานที่จะมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ทะเลสาบนี้อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ760เมตร ทะเลสาบมีรูปร่างกลมเหมืองพระอาทิตย์ เมื่อมองจากมุมหนึ่ง และรูปร่างเหมือนพระจันทร์เสี้ยวเมื่อมองจากที่สูง น้ำในทะเลสาบเป็นสีเขียวเทอร์คอยส์ ยามเมื่อต้องแสงอาทิตย์เต็มที่เทือกเขาเป็นฉากหลังทะเลสาบสุริยันจันทรา เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวไต้หวันที่มาชมธรรมชาติ ไหว้พระ และเดินเขาบริเวณรอบๆ ทะเลสาบสุริยันจันทรา มีที่พักหรือรีสอร์ตหลายแห่งให้เลือก
      เทือกเขาอาหลีชาน- เป็นเขตที่มียอดเขาสูงหลายยอด ยอดเขาที่มีชื่อเสียงคือ จูชาน ซึ่งคนนิยมขึ้นไปดูทะเลหมอกยามเช้าตรู่ ค่อนข้างหนาว นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจึงต้องใส่เสื้อหนาว ชมพระอาทิตย์แรกขึ้นกับสายหมอกยามเช้า มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันมากมาย จนจูชานได้ชื่อว่าเป็น “ทะเลเขากับทะเลนักท่องเที่ยว” มีรถจักรไอน้ำพานักท่องเที่ยวชมวิวภูเขาตั้งแต่เทือกเขาอาหลีชานไปยังผาลิง
      Yushan Nation Park- เป็นเขตป่าสงวนที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน มีภูเขาสูงอยู่มากมาย รวมทั้งยอดเขาที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกคือสูง 3952 เมตรจากระดับน้ำทะเล เขตสงวนนี้นับว่ามีธรรมชาติที่ยังบริสุทธิ์มาก จึงเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ ที่นี่มีนกมากกว่า 130 ชนิด และผีเสื้ออีกหลายชนิด
      เมืองไทนาน -เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงว่าเป็น Temple Town เพราะมีวัดมากมายทั่งเมือง เนื่องจากเมืองไทนานเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของเกาะนี้มาก่อนและเป็นอยู่นานถึง 200 ปีเศษ ไทนานจึงเป็นเมืองที่มีประเพณีและวัฒนธรรมของชาวไต้หวันอยู่สมบูรณ์ งานเทศกาลที่ไทนานมีชื่อเสียงมากและมีนักท่องเที่ยวไปชมมากมาย วัดที่มีชื่อเสียงคือวัดของลักธิเต๋าที่ภูเขาตะวันออก(East Mountain) มีคนไปทำบุญกันมาก มีคนไปทำบุญกันมาก เพราะเชื่อว่าวัดนี้มีพิธีติดต่อกับวิญญาณของคนที่ตายไปแล้วได้ วัดที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดในไทนานชื่อวัดจูฉี (Chusi) และวัดของศาสนาพุทธ ชื่อวัดไคหยวน (Kaiyuan) เป็นวัดที่ได้รับการยกย่องว่ามีโบสถ์สวยและลานวัดที่มีเจดีย์หลายองค์

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×