รูปใคร?
ณ  ห้องอัดขยายภาพที่มืดสลัว  มีเพียงแสงไฟสีแดงอยู่ไม่กี่หลอดที่ช่วยให้ห้องพอมีแสงสว่างอยู่บ้าง  หนุ่มน้อยนักศึกษาวิชานิเทศศาสตร์กำลังพยามยามพินิจวิเคราะห์ภาพถ่ายที่เขาเพิ่งล้างมันออกมาเมื่อสักครู่  ก่อนที่จะรีบนำภาพถ่ายใบนั้นไปให้อาจารย์ชิต  ผู้ที่สอนวิชาถ่ายภาพเบื้องต้นตรวจสอบความผิดปกติที่เกิดขึ้นในภาพถ่าย
   
“อาจารย์ครับผมอยากให้อาจารย์  ตรวจดูภาพนี้ให้หน่อยครับว่ามันเกิดจากอะไร”  อัศวินนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ผู้ที่สนใจการถ่ายภาพเป็นพิเศษ  พูดพร้อมกับส่งภาพถ่ายประหลาดใบนั้นให้กับอาจารย์ชิตดู
   
อาจารย์ชิตมองภาพถ่ายใบนั้นสักครู่ก่อนที่จะทำคิ้วขมวด  และหันมาถามหาสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอัศวิน  “ไม่เห็นมันจะมีอะไรเลยนี่  ก็แค่รูปตึกเก่าๆเท่านั้น  และก็ถ่ายชัดดีด้วย”
           
เมื่ออาจารย์ชิตพูดเช่นนั้น  อัศวินจึงต้องพยายามชี้แจงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในภาพถ่ายให้อาจารย์ชิตฟัง  เพราะรูปถ่ายใบนี้ถ้ามองดูเผินๆ  ก็คือรูปถ่ายขาวดำ  เป็นภาพของตึกเก่าร้างสีขาวออกแนวยุโรปโบราณ  สร้างเมื่อประมาณสมัยรัชกาลที่ 7  บริเวณรอบตึกหลังนั้นเป็นป่ารกทึบ  เมื่อประกอบกับฉากหลังที่เป็นภาพท้องฟ้าสลัวๆในยามเย็น  ทำให้บรรยากาศดูวังเวงยิ่งนัก
   
แต่สิ่งที่ผิดปกติในภาพถ่ายใบนี้ก็คือ บนหน้าต่างบานหนึ่งของตึกหลังนั้น  ได้ปรากฏภาพของหญิงผมยาวในชุดคลุมสีขาว  มานั่งอยู่บนขอบหน้าต่าง  โดยนั่งห้อยขาออกมาด้านนอกหน้าต่าง  และที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดก็คือใบหน้าหญิงสาวที่ปรากฏในภาพนั้น  เป็นใบหน้าที่เป็นกะโหลกปราศจากผิวหนังห่อหุ้มใบหน้า    และเมื่ออัศวินชี้สิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นบนภาพอาจารย์ชิตก็ถึงกับหน้าถอดสีทันที
   
“ผมสาบานได้นะครับอาจารย์  ว่าตอนที่ถ่ายมีไม่มีใครอยู่บนตึกหลังนั้นจริงๆ”
   
“ครูก็เคยเห็นภาพแบบนี้มามากนะ  แต่รู้สึกว่าภาพนี้มันแปลกกว่าภาพอื่นก็ตรงที่เวลามองแล้วมันวังเวงยังไงบอกไม่ถูก”  อาจารย์ชิตอธิบายความรู้สึกของตนเองให้ฟังก่อนที่จะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพย์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะและต่อสายไปหาใครคนหนึ่ง
   
“ก็อกๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่จะมีนักศึกษาสองคนเดินเข้ามาในห้องของอาจารย์ชิต
    “ขออนุญาตส่งงานครับอาจารย์”  หนึ่งในสองคนที่เดินเข้ามากล่าวขึ้นก่อนที่จะวางซองกระดาษบรรจุภาพถ่ายลงบนโต๊ะส่งงาน  และทันใดนั้นสายตาของทั้งคู่ก็เหลือบไปเห็นภาพถ่ายประหลาดที่วางอยู่บนโต๊ะของอาจารย์ชิต  ก่อนที่จะพากันขบขันในงานชิ้นนั้น
   
“เฮ้ย!  ภาพอะไรของเอ็งวะไอ้วิน  ไม่มีอะไรจะถ่ายแล้วเหรอ ถึงไปถ่ายตึกร้าง”
เมื่ออัศวินได้ยินคำพูดถากถางเช่นนั้น  ถ้าเป็นคนอื่นคงจะโกรธเป็นแน่  แต่อัศวินกลับไม่ใส่ใจกับคำพูดเหล่านั้น  เพราะเขาทราบดีอยู่แล้วว่าทั้งสองคนนี้เป็นพวกขี้อิจฉาและมักดูหมิ่นผู้อื่นเสมอ
หลังจากที่พูดโทรศัพท์จบแล้ว  อาจารย์ชิตจึงหันหน้ากลับมาก่อนที่จะหยิบซองภาพถ่ายของผู้ที่เข้ามาใหม่ทั้งสองไปเปิดออกแล้วนำผลงานออกมาตรวจ 
“เป็นไงบ้างครับอาจารย์”  โชคทวีหนึ่งในสองคนที่นำงานมาส่งเอ่ยถามอาจารย์ 
“ในเรื่องของความชัดกับแสงก็ใช้ได้นะ    แต่คงยังไม่ได้ A เพราะความคิดสร้างสรรค์ยังไม่ดีพอ”  อาจารย์ชิตอธิบายข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นให้กับทั้งสองคนฟัง  แต่เมื่อทั้งสองได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ  เพราะมั่นใจว่างานของตัวเองดีเลิศประเสริฐศรีที่สุดแล้ว
“มันไม่สร้างสรรค์ยังไงครับอาจารย์  ภาพนี้ผมไปถ่ายกันถึงที่เชียงใหม่เลยนะครับ”  ยงยุทธ  หนึ่งในเจ้าของผลงานกล่าวโต้แย้งกับอาจารย์ในทันที
“ความคิดสร้างสรรค์ที่ครูหมายถึงคือการหาความแปลกในการสร้างผลงานนะ  ไม่ใช่การหาสถานที่ใหม่ๆ”
เมื่อได้ยินดังนั้นทั้งสองจึงเงียบไป  แต่ก็ยังทำท่าทางไม่ค่อยพอใจอยู่ดี  เพราะมั่นใจว่าผลงานของตนนั้นดีอยู่แล้ว
“ก๊อกๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง  และก็มีผู้ที่เข้ามาใหม่อีกคน  เป็นผู้ชายอายุประมาณสามสิบต้นๆ  แต่งตัวคล้ายๆนักข่าว  โดยจะสังเกตได้จากกล้องถ่ายรูปที่ห้อยอยู่บนคอ  แต่ความจริงเขาได้เลิกอาชีพนักข่าวมาเกือบสามปีแล้ว  ปัจจุบันได้หันมาเป็นช่างภาพอิสระ  และตอนนี้เขาได้รับหน้าที่เป็นผู้บรรยายพิเศษ  ในวิชาการถ่ายภาพที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้
“สวัสดีครับอาจารย์”  ผู้ที่เข้ามาใหม่กล่าวขึ้นพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้อาจารย์ชิต
“อ้าวคุณโชติทำไมมาเร็วจังเลยครับ  ผมเพิ่งวางสายไปยังไม่ถึงนาทีเลย”
“ก็ผมอยู่ห้องตรงข้ามนี่เองครับ  อาจารย์มีอะไรจะให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ”
“คือผมอยากรบกวนให้คุณโชติตรวจดูภาพนี้หน่อยครับว่ามันน่าจะเกิดจากอะไร”  อาจารย์ชิตพูดพร้อมกับหยิบภาพถ่ายที่วางอยู่บนโต๊ะส่งให้กับคุณโชติ
เมื่อคุณโชติมองภาพถ่ายใบนั้นสักครู่ก็รู้สึกอึ้งๆไปเหมือนกัน แต่สักพักคุณโชติก็หันมาถามหาเจ้าของภาพถ่ายใบนั้น
“ภาพนี้ใครถ่ายมาครับ  อาจารย์ให้  A ได้เลยนะครับ”  เมื่อได้ยินดังนั้นอัศวินผู้ที่เป็นเจ้าของภาพแทบตัวลอย  เพราะผู้ที่เอ่ยปากชมเป็นถึงมืออาชีพ  แต่อัศวินก็ยังไม่แสดงตัวโอ้อวดว่าตนเป็นเองเป็นเจ้าของผลงาน  จนเมื่ออาจารย์ชิตมองมาทางเขาก่อนจะบอกให้คุณโชติรู้ว่าอัศวินเป็นเจ้าของผลงาน
แต่ในห้องนี้มีบุคคลอยู่สองคนที่ไม่รู้สึกยินดีด้วยคือโชคทวีกับยงยุทธตามนิสัยของคนขี้อิจฉา  ทั้งสองจึงขออนุญาติอาจารย์นำภาพนั้นมาดูก่อนที่จะพิจรณาดูผลงานของอัศวิน  แต่ทั้งสองก็ยังรู้สึกว่าผลงานของตนเองดีกว่าอยู่ดี  จนได้สังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นในภาพ  ก็คือสิ่งที่คล้ายๆกับวิญญาณของผู้หญิงที่นั่งอยู่บนขอบหน้าต่าง  และสิ่งนี้เองที่ทำให้ทั้งสองเข้าใจว่ามันคือเหตุผลที่ทำให้อัศวินได้ A 
โชคทวีวางภาพถ่ายลงก่อนที่จะขออนุญาตอาจารย์ชิต  นำผลงานของตนเองไปแก้ใหม่เพื่อให้ได้คะแนนเพิ่มขึ้น  ซึ่งอาจารย์ชิตก็อนุญาต  ก่อนที่โชคทวีกับยงยุทธจะเดินออกจากห้องไป  เหลือเพียงอาจารย์ชิต  คุณโชติ  และอัศวินที่ยังคงอยู่ปรึกษากันต่อเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณในภาพถ่าย
_________________
ณ  ใต้ตึกของคณะนิเทศศาสตร์  ที่พลุกพล่านไปด้วยนักศึกษา ที่พากันเดินควักไขว่ไปมา  บ้างก็นั่งอยู่ตามม้านั่งยาวหลายตัวที่ตั้งไว้ตามใต้ตึก  และที่ม้านั่งตัวหนึ่ง  โชคทวีกับยงยุทธก็ได้ไปนั่งจับจองอยู่  ทั้งสองต่างพากันบ่นถึงเรื่องของการให้คะแนนของอาจารย์ชิตที่ผ่านมาเมื่อสักครู่นี้
“ข้าล่ะเบื่อจังเลย  กับอาจารย์ชิตเนี่ย  รูปของเราสวยกว่าของไอ้วินตั้งเยอะแต่กลับไปให้คะแนนมันมากกว่า”  โชคทวีบ่นอย่างหัวเสียกับเรื่องการให้คะแนนภาพถ่ายของอาจารย์ชิต
“แต่ข้าว่านะที่อาจารย์ชิตให้คะแนนไอ้วินก็ต้องเป็นเพราะมันมีผีโผล่มาในภาพแน่เลย  เอ็งเห็นอาจารย์ชิตบอกไหมวะ  ว่าต้องการความคิดสร้างสรรค์  ข้าว่าไอ้ภาพผีนี่ละมันคือความคิดสร้างสรรค์”  เมื่อยงยุทธกล่าวขึ้นเช่นนี้  ทำให้โชคทวีเห็นด้วยทันที  เพราะมันคือเหตุผลที่ดีที่สุด  ในการเข้าข้างตัวเองว่าฝีมือของตนดีกว่าอัศวิน  แต่ภาพของเขาขาดเพียงความแปลกเท่านั้น
“ตอนนี้ข้าคิดออกแล้วล่ะ  ว่าเราจะต้องทำยังไงถึงจะได้ A ข้าจะไปเตรียมอุปกรณ์ก่อนแล้วพรุ่งนี้วันอาทิตย์เราจะเริ่มลงมือกัน”  จากนั้นโชคทวีจึงชี้แจงเกี่ยวกับรายละเอียดในการปฏิบัติการเพื่อให้ได้คะแนนตามที่บุคคลทั้งสองปราถนา
________________
แสงอาทิตย์ในยามใกล้มืด  หรือที่เรียกกันว่าเวลาโพล้เพล้  ในบางที่อาจทำให้รู้สึกเย็นสบายน่าพักผ่อน  แต่  ณ  ที่แห่งนี้มันกลับเย็นยะเยือกชวนขนลุก  คงเป็นเพราะป่ารกที่รายรอบอยู่ทั่วเป็นบริเวณกว้าง  เปล่าเปลี่ยวซึ่งผู้คนที่จะอาศัยอยู่  คงเหลือไว้แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถบอกได้ว่าบริเวณนี้เคยมีคนอาศัยอยู่  มันคือบ้านไม้ทรงไทยเก่าๆหลังหนึ่ง  ยกพื้นขึ้นสูงแบบบ้านสมัยก่อนขนาดไม่ใหญ่มากนัก  แต่ไม้ที่ใช้สร้างบ้านเป็นสักแท้  ทั้งบ้านดูรกรุงรังไปหมดมีทั้งหยากไย่  และวัชพืชต่างขึ้นรกทึบ  มองดูแล้วไม่ต่างอะไรกับบ้านผีสิงในหนังไทยเลย
และในขณะนี้ได้มีผู้มาอาจหาญมาเยือนสถานที่รกร้างแห่งนี้อยู่สองคน  คือยงยุทธกับโชคทวีโดยที่ทั้งสองได้ตกลงกันว่าจะให้เพื่อนปลอมตัวเป็นผีในบ้านร้างแห่งนี้  และผลัดกันถ่ายภาพให้ดูเหมือนกับภาพวิญญาณ  เพื่อที่ผลงานของเขาทั้งสองจะได้ดูสร้างสรรค์เหมือนกับผลงานของอัศวิน  โดยที่ทั้งคู่ผลัดกันใส่ผ้าคลุมสีขาวห่อหุ้มทั้งตัว  เหลือเพียงใบหน้าที่ตกแต่งให้ดูเละๆ  เหมือนกับผีที่ตายจากอุบัติเหตุ  ยืนอยู่ตามหน้าต่างบ้าง  บันไดบ้างหรือไม่ก็ตามประตูบ้าน  โดยที่จะถ่ายไม่ให้เห็นผีปลอมชัดมากนักเพื่อความสมจริง  ทั้งคู่ถ่ายภาพอยู่กันจนใกล้ค่ำจึงตัดสินใจเก็บของ  และแยกย้ายกันกลับบ้าน
______________
ณ  ห้องทำงานของอาจารย์ชิต  วันนี้เป็นวันจันทร์มีนักศึกษาที่มาส่งงานมากกว่าปกติอันเนื่องมาจากใกล้จะครบกำหนดวันส่งงานแล้ว  รวมทั้งยงยุทธที่เข้ามาส่งงานเช่นกัน  แต่คราวนี้แปลกกว่าปกติตรงที่เขามาคนเดียวโดยขาดเพื่อนซี้อย่างโชคทวี  ทำให้อาจารย์ชิตทักเล่นๆว่าวันนี้คู่หูไม่มาหรือ
“ผมนัดไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ  แต่ป่านนี้มันยังไม่มาเลย”  ยงยุทธตอบพร้อมกับยื่นซองภาพถ่ายที่เขาถ่ายเมื่อวานนี้  และนึกในใจว่าคราวนี้ต้องได้คะแนนดีอย่างแน่นอน
อาจารย์ชิตมองภาพถ่ายใบนั้นสักครู่ก่อนที่จะยิ้มเล็กน้อย  และเงยหน้ามามองยงยุทธ  ก่อนที่จะพูดว่า “เอาเพื่อนมาแต่งจนเหมือนผีเลยนะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นยงยุทธจึงรู้สึกเสียหน้า  เพราะไม่คิดว่าอาจารย์ชิตจะจำโชคทวีได้  จึงตัดสินใจเถียงไปน้ำขุ่นๆว่าไม่ใช่เพื่อนของตนอย่างแน่นอน  ในระยะที่โต้แย้งกับอาจารย์อยู่นั้น  อัศวินก็เข้ามาในห้องของอาจารย์ชิต  และเมื่ออัศวินเห็นยงยุทธยืนอยู่  แทนที่เขาจะเลี่ยงไปตามปกติแต่คราวนี้เขากลับเดินเข้ามาจับบ่ายงยุทธเบาๆ
“เสียใจด้วยนะเพื่อน”  ยงยุทธยังคงงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น  แต่ยังไม่ทันถามอะไร  อาจารย์ชิตที่ยังงงๆอยู่เหมือนกัน  ก็ถามขึ้นมาก่อน
“มีอะไรเหรออัศวิน”
“อ้าวยงยุทธยังไม่ได้บอกอาจารย์เหรอครับ  ในเรื่องที่โชคทวีถูกรถชนตายตอนเดินข้ามถนนแถวบ้านตัวเอง”
“วันไหน!”  อาจารย์ชิตถามด้วยอาการที่ตกใจอย่างยิ่ง
“ตั้งแต่วันเสาร์แล้วครับ  ผมก็เพิ่งรู้ข่าวเมื่อเช้านี้เอง  เพราะเมื่อวานหยุด”
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้ทำให้อาจารย์ชิตขนหัวลุกเป็นครั้งที่สอง  แต่ผู้ที่ขนลุกกว่าคือยงยุทธ  เพราะวันที่เขาถ่ายภาพนี้เป็นวันอาทิตย์  แต่เพื่อนเขาตายตั้งแต่วันเสาร์  แล้วบุคคลที่อยู่ในภาพล่ะเป็นใครกัน
บอกแล้วไงว่าไม่ใช่โชคทวี!
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น