แสงสีทองสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างกรุกระจกบานใหญ่ หญิงสาวร่างบางมองไป นอกหน้าต่าง บานนั้นด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความเศร้า
มิได้ตื่นเต้นกับทัศนียภาพที่ สวยงามมากมายนัก ด้วยเหตุเพราะคุ้นเคยมาแต่เยาว์วัย
      ห้องนอนของหญิงสาวอยู่ชั้นบนสุดของปราสาท ทำให้เธอสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้ ทั่วทั้งเมือง หลังคาสีแสดที่สะท้อนรับกับแสงตะวันยามเย็นนั้นตัดกันกับทางเดินสีขาวสะอาดตา มันดูสวยมากทีเดียวหญิงสาวเลื่อนสายตาไปอย่างไร้จุดหมายมองภูเขาที่สลับสับซ้อนเบื้องหน้าภูเขาลูกหนึ่ง ถูกปกคลุมด้วยสายหมอกหนา เห็นเป็นเงาลางๆของ
หอคอยสูงใหญ่เธอรู้ได้ทันทีว่า นั้น คือ”หอคอยแห่งหมอก” หอคอยที่ถูกเล่าขานตามตำนานว่ามีเพียงแต่ผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิเท่านั้นที่จะสามารถฝ่าฟันอันตรายขึ้นไปยังยอด
หอคอยได้ เสียงเอะอะอึกทึกในตัวเมืองเรียกร้องความสนใจให้เธอละสายตาจากทัศนียภาพเบื้องหน้า คงจะเป็นเพระวันนี้จะมีการเฉลิมฉลองเนื่องในวันพระราชสมภพครบรอบ 17 ชันษาของเจ้าหญิงรัชทายาท แห่งอาณาจักรเนอร์เทอร์เลีย บรรยากาศในเมืองจึง คึกคักเป็นพิเศษ
        ความจริงแล้วเธอก็ควรจะตื่นเต้นยินดีเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่เพราะเหตุผลใดก็ไม่ทราบที่ทำให้เธอมิสบายใจเลย หรือจะเป็นเพราะภาพฝันเมื่อคืนนี้ ภาพที่ดูจะเหมือนจริงเหลือเกิน ภาพผู้คนมากมายต้องนอนจมกองเลือดยังคงติดตาเธอมาถึงเวลานี้ เธอพยายามสลัดความฝันที่เหลวไหลนั้นออกไปจากไปจากความคิดของเธอ จิตใจที่ดูเหมือนจะล่องลอยไปไกลแสนไกล ฉุดคิดขึ้นมาได้ว่าเวลานั้นล่วงเลยมาพอสมควรแล้วและเธอก็ควรจะลงไปยังห้องโถงใหญ่สถานที่จัดงานเฉลิมหลองในฐานะเจ้าของวันเกิดเสียที
_ _
        หญิงสาวร่างบางในชุดราตรีสีขาวเดินเข้ามาสู่ห้องโถงใหญ่อย่าสง่างามสมกับที่เป็นถึง องค์หญิง กาเนต มาติน แอนเดอร์เลีย องหญิงรัชทายาทแห่งอาณาจักเนอร์เทอร์เลีย
อาณาจักรที่ถูกปกครองโดย พระเจ้าเนอร์เทอร์เลียที่ 3 บิดาของเธอนั้นเอง ผู้คนในต่างพากันถอนสายบัว บ้างก็โค้งคำนับยามที่เธอเดินผ่านอย่างนอบน้อม พระเจ้าเนอร์เทอร์เลียยืนขึ้นเมื่อเห็นบุตรสาว เดินมาตรงหน้าที่ประทับ เธอย่อเขาเล็กน้อยเป็นการแสดงความเคารพต่อพระบิดา แล้วนั่งลงตรงเก้าอี้หรูที่ถูกจัดไว้ข้างกัน
“วันนี้วันเกิดลูกนะกาเนตทำไมถึงเศร้านัก” ผู้เป็นบิดาถามขึ้นเมื่อเห็นหน้าของบุตรสาว
“ลูกคงจะเหนื่อยกับการเตรียมงานน่ะเพคะ”
“ถ้าเช่นนั้นวันนี้ก็ขอให้สนุกให้เต็มที่เถอะ” กษัตริย์ชรากล่าวพลางอมยิ้ม
“ว่าแต่วิลเลียมละเพคะ ลูกยังไม่เห็นตั้งแต่บาย” บุตรสาวเอยขึ้นอีกครั้งเมื่อกวาดตาไปทั่ว บริเวณงานแล้วยังไม่พบองค์รักคนสนิท
“รึว่าจะทำงานเพลินจนลืมมาอวยพรวันลูกแล้วเพคะ” เธอกล่าวทีเล่นทีจริงกับบิดา
“อย่าลืมสิ วิลเลียมจะต้องทำหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัยของลูก โดยเฉพาะในเวลาเช่นนี้” ผู้เป็นบิดาพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“หมายความว่าอย่างไรเพคะ” หญิงสาวขึ้นเพราะสงสัยท่าทางที่จริงจังของบิดา
“ เปล่าๆ ไม่มีอะไร จริงสิพ่อมีของขวัญจะให้น่ะ” กษัตริย์ชราหลบสายตาพลางตัดบท อย่างรวดเร็ว แต่หญิงสาวมิได้นึกสงสัยในท่าทีผิดปรกตินั้น ผู้เป็นบิดายืนตลับสีเงินอันเล็กให้แก่บุตรสาว
“มันอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่พ่อจะสามารถให้ลูกได้” แม้จะไม่เข้าใจเท่าไดนักแต่หญิงสาวก็มิได้ ถามอะไรต่อ เพราะการแสดงตรงหน้าได้เบี่ยงเบนความสนใจของเธอไปจนหมด
_ _
        งานเฉลิมฉลองดำเนินไปเรื่อยๆ จนเกือบเที่ยงคืน แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าองค์รักษ์ คนสนิทจะเข้ามาในงาน หญิงสาวถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
        ช่วงเวลานั้นเองขณะที่เสียงเพลงบรรเลงเพลงเศร้าจับใจ นายทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องโถงด้วยร่างที่โชกเลือด ก่อนจะทิ้งตัวลงตรงหน้านายเหนือหัวอย่างเหนื่อยอ่อน แขกในงาน ต่างจ้องมองเขาด้วยอาการตระหนกตกใจ กษัตริย์ชรามองหน้าทหารผู้นั้นด้วยสีหน้าตกใจไม่ ต่างกัน
“พวกกบฏทาลัสบุกเข้ามาถึงเขตพระราชถานแล้วพะยะคะ” ทหารผู้โชคร้ายพูดด้วย ความ ยากเย็นเต็มที ยังไม่ทันที่ทุกคนจะตั้งสติ ทหารหนุ่มขาดใจตายทันที ด้วยเหตุเพราะ ทนพิษบาดแผลฉกรรจ์นั้นไม่ไหวอีกต่อไป
        ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เจ้าหญิงกาเนตนึกถึงความฝันนั้นอีกครั้งหรือว่ามันจะเกิดขึ้นจริง ภาพผู้คนในราชวังล้มตายจมกองเลือดกลับมาเด่นชัดอีกครั้ง เวลานี้เธอรู้สึกกลัวจับใจ ทุกสิ่งรอบตัวดูจะพร่ามัวไปหมด - -
“เจ้าหญิงกาเนต เจ้าหญิงกาเนตเพคะ” สติที่ลองลอยถูกนำกลับมา ณ เหตุการตรงหน้าอีกครั้ง หญิงสาวมองหน้านางกำนัลอย่างงุนงง ต้องใช้เวลาพอสมควรทีเดียวกว่าที่เธอจะรู้ตัวว่า เกิดอะไรขึ้น เธอรีบลุกขึ้นทันทีที่ตั้งสติได้
“ กบฏหรือเพคะ ทำไมลูกถึงไม่รู้เรื่องนี้” กาเนตโพล่งถามขึ้นด้วยแรงโทสะ
“คือ พ่อมีเหตุผล แต่ยังไม่สามารถจะอธิบายให้ลูกฟังได้” พระเจ้าเนอร์เทอร์เลียพูดด้วยน้ำเสียงรีบร้อนกับบุตรสาว
“ตอนนี้ลูกต้องรีบออกไปจากที่นี้ให้เร็วที่สุด”
“ทำไม เพคะทหารของไม่สามารถรับมือกฎษพวกนั้นไม่ได้หรืออย่างไรพระบิดาจึงตรัสเช่นนี้”
“นี้คือคำสั่ง กาเนต” น้ำเสียงที่เฉียบขาดนั้นทำให้เธอไม่สามารถโต้เถียงได้
        หมอกควันสีขาว พวยพุ่งออกมาจากทุกทิศทุกทาง จนทำให้ไม่สามารถมองเห็นเหตุการตรงหน้าเจ้าหญิง
กาเนต และพระบิดาใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกทันทีตาม สัญชาติยาน ควันขาวค่อยๆจางออกเห็นร่างผู้คน ในงานสลบไร้สติอยู่นั่นเอง ประตูห้องโถงถูกเปิดขึ้นอีกครา ปรากฏร่างสูงใหญ่ของชายวัยกลาง คนในอาภร สีดำสนิท มือข้างหนึ่งถือคันธนูสีทอง ใบหน้าขาวนวนถูกปิดป้องด้วยผ้าสี ดำที่เผย ให้เห็นเพียงดวงตา บุรุษลึกลับเดินตรงเข้ามา พระเจ้าเนอร์เทอร์เลียมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาที่เรียบเฉย
“ต้องการอะไร” กษัตริย์ชราตรัสด้วยน้ำเสียงที่ไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย
“แค่ชีวิตของรัชทายาทแห่งเนอร์เทอร์เลียเท่านั้น” เขาปลายหางตามายังเจ้าหญิงกาเนตก่อน จะกล่าวต่อไป
“แต่ไม่ต้องห่วงเพราะข้าจะจัดการฆ่าท่านก่อน”
“ลาก่อน พระเจ้าเนอร์เทอร์เลียที่3”
        ทันทีที่สิ้นเสียงบุรุษลึกลับคว้าลูกธนูอาบยาพิษ พลางเล็งไปยังกษัตริย์ชราอย่าง ไร้ความ ปรานี เสี้ยววินาทีนั้นลูกธนูพุ่งไปยังอกซ้ายของกษัตริย์ชราอย่างแม่นยำ เขาขาด ใจตายอย่าง ช้าๆแต่แสนจะทรมานด้วยพิษจากลูกธนูนั้น
        เหตุการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนหญิงสาวไม่ทันตั้งตัว แววตาไร้ความปราณีคู่นั้นบ่งบอกให้เธอรู้ว่า เธอคงจะต้องจมลงสู่ความตายเฉกเช่นเดียวกับบิดาของเธอนั่นเอง สายตานั้นเย็นยะเยือกราวกับต้องการสะกดเธอไว้ บุรุษลึกลับเดินตรงมาที่ เธอพลางแสยะยิ้ม คว้าลูกธนูลูกหนึ่ง พลางเหนี่ยวคันธนูเล็งไปที่หญิงสาว และ
_ _
      “เพล้ง”
       
        เสียงของหน้าต่างกรุกระจกแตกลงทะลายความเงียบ ปรากฏร่างบุคคลที่คุ้นตา ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือ วิลเลียม คาแลต ราชองค์รักษ์อันดับหนึ่งแห่งเนอร์เทอร์เลีย
“ทางนี้พะเจ้าคะ องหญิง” องค์รักษ์หนุ่มพูดพลางยื่นมือมาให้นายหญิงของตน เธอไม่รอช้าคว้า มือชาย หนุ่มแล้วกระโดดออกนอกหน้าต่างไปกับเขาทันที
_ _
        ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่อง ปรากฏร่างชายหญิงที่กระโดดลงมาจากขอบ หน้าต่างชั้น สอง ฝีเท้าของทั้งคู่แตะพื้นอย่างนุ่มนวนราวปุยนุ่น วิ่งหลบลูกธนูอาบ ยาพิษที่พุ่งเฉียดหลังมา ทางอุทยานหลวง กวาดสายตาไปเห็นม้าหนุ่ม ตัวหนึ่งเล็มหญ้าอยู่ไม่จำเป็นต้องคิดอีก ชายหนุ่มถีบตัวขึ้นบนอานพลางยืนมือมาให้หญิงสาว เธอคว้ามือนั้นแล้วเหนี่ยวตัวขึ้นบนอานม้าอีกคน ก่อนจะพากันควบโจนทะยานออกจากเขตพระราชฐาน
ทันที
_ _
        ณ ทางเดินที่แห้งผาก ยามที่แสงทองสาดส่องมาอีกครา ม้าหนุ่มพาร่างที่ล้าและอ่อนแรงของ ชายหญิงคู่หนึ่งมาหยุดที่โขดหินริมทาง เวลานี้ทั้งคนและม้าต่างอาศัยร่มเงาของโขดหินนั้นบดบังตนจากดวงสุริยะที่สาดแสงแรงขึ้นเรื่อยๆ
“เกิดอะไรขึ้น” เป็นประโยคแรกที่หญิงสาวถามขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณไม่คาดฝัน
“ทำไมเราถึงไม่รู้เรื่องนี้” น้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยความเจ็บปวด
“เออ
.องหญิง ความจริงหน่วยราชการลับของเราสืบรู้เรื่องนี้มานานพอสมควรแต่พระบิดาไม่ ต้องการให้องหญิงมากังวลใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงไม่ได้บอกให้ทรงทราบ”องค์รักษ์หนุ่มตอบพลาง นึกเป็นห่วงนายหญิงของตนอยู่ในใจ
“ชายลึกลับคนนั้นเป็นใครกัน ทำไมถึงต้องการฆ่าเรา” เธอถามต่อพลางจ้องมององค์รักษ์คน สนิท วิลเลียมเงียบไปสองสามวินาที ก่อนจะตัดสินใจตอบคำถามนั้น
“เขาคือ ฟีนด์ หัวหน้ากองกบฏทาลัส เขาเพียงต้องการแย่งชิงพระราชบัลลังมิได้คิดลอบปลง พระชนองหญิงหรอกพะเจ้าคะ” วิลเลียมตอบพลางหลบสายตาก่อนจะตัดบทไปพูดเรื่องอื่น
“ถ้าเรารีบเดินทางก็อาจจะถึงหมู่บ้านไนรินก่อนค่ำ และเราก็คงจะหาที่พักที่นั้นได้”
“ท่านปิดบังอะไรไว้รึเปล่าวิลเลียม”หญิงสาวถามขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นท่าทีมีพิรุจขององค์รักคน สนิท
“รีบเดินทางเถอะองค์หญิง” เขาพูดพลางทำทีไปดูม้าคู่ใจที่กินน้ำอยู่ข้างๆกัน หากแต่สายตานั้นเหลือบมองมาที่นายหญิงของตนอย่างหวั่นเกรงต่อหนทางข้างหน้า
_ _
        แดดยามบ่ายส่องแสงแรงกล้า แต่การเดินทางก็มิได้หยุดพัก หญิงสาวพิงศรีษะแนบซบ กับอกของชายหนุ่มอย่างอ่อนแรง น้ำอุ่นๆไหลรินลงมาจากดวงตาคู่สวย ฉับพลันนั้นเองเธอใช้หลังมือนั้นปาดน้ำตาพลางผละออกมาจากอกของเขา เธอนิ่งอยู่อย่างนั้นราวต้องการฟัง อะไรบางอย่าง
“เราได้ยินเสียงม้า”
        ราวกับเป็นกรยืนยันคำพูดนั้น เสียงกีบม้าดังขึ้นด้านหลัง ในช่วงเวลาแบบนี้ไม่เหลียวหลังดูก็รู้ว่าต้องเป็นศัตรู เขาไม่รอช้ารีเร่งม้าหนุ่มสู่หนทางข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แต่เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้ง เมื่อม้าหนุ่มหยุดลง ณ ริมผาชัน เบื้องล่างเป็นแม่น้ำที่ไหลเชียว สะพานเชื่อมสองฟากผาถูกตัดลงด้วยกาลเวลา เห็นเป็นเพียงซากไม้ผุๆที่ริมหน้าผาเท่านั้นไม่มีเวลาแล้วเขาต้องเผชินหน้า ชายหนุ่มหมุนตัวกลับอย่างรวดเร็ว ชายลึกลับในชุดสีน้ำเงินควบม้าตรงมาที่เขา ใช้ดาบที่ยาวประมาณสองฟุตครึ่งเข้าโจมตีทันที วิลเลียมเบี่ยงตัวหลบได้ทัน ชายลึกลับเสีย หลักม้าของเขาเซไปด้านหลัง 2-3 ก้าว ยังไม่ทันที่จะตั้งหลัก เจ้าหญิงกาเน็ตก็คว้ามีดพกขององค์รักษ์หนุ่มจ้วงแทงไปที่ท้องของเขาเข้าอย่างจัง ชายผู้นั้นล่าถอยไปอีกครั้ง ได้จังหวะนั้นชายหนุ่มไม่รอช้าบังคับม้าให้ถีบตัวกระโจนข้ามห้วงเหวนั้นอย่างรวดเร็ว ทันทีที่กีบม้าสัมผัสกับพื้นของอีกฝั่งผา ไม่จำเป็นต้องเหลียวหลังกลับมาดูอีก เขาควบม้าสู่ทุ่งหญ้าเขียวขจีเบื้องหน้าทันที
_ _
        แดดยามเย็นเริ่มอ่อนแสงลงพวกเขาเดินทางผ่านไร่องุ่นและทุ่งข้าวสาลีเป็นระยะๆ มองไป รอบๆเห็นกังหันลมกำลังหมุนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สิ่งเหล่านี้บ่งบอกว่าพวกเขากำลังจะเดิน ทางเข้าสู่หมู่บ้านไนริส ในอีกไม่ช้าเมื่อตะวันเริ่มทอแสงเป็นสีส้มพวกเขาลงมาจากหลังม้าแล้ว ช่วยกันจูงพามันลัดเลาะทุ่งข้าวสาลีมาเรื่อยๆ
“บอกความจริงกับเราได้มั้ย วิลเลียม”เสียงใสถามขึ้นทำลายความเงียบ
“ความจริงอะไรพะเจ้าค่ะ” วิลเลียมกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงลังเล
“ก็ความจริงที่คนพวกนั้นต้อการจะฆ่าเราไงละเรารู้ว่าท่านรู้เรื่องนี้วิลเลียม”
“พะเจ้าค่ะ” เสียงของวิลเลียมตอบรับอย่างแผ่วเบา
“ยอมรับแล้วหรือ ต้องให้เกิดเรื่องก่อนสินะถึงจะบอกความจริงเห็นเราเป็นเด็กๆหรือ อย่างไร” น้ำเสียงใสๆตัดพ้ออย่างไม่พอใจ
“แต่ก็ชั่งเถอะเล่าความจริงมาเดี๋ยวนี้” สายตาของเธอมองเขาอย่างคาดคั้นที่จะเอาคำตอบ “ฟีนด์ต้องการปลงพระชนองค์หญิง”เขาพูดแค่นั้นแล้วหยุดค้างอยู่นานจน องหญิงต้องถามต่อ
“เหตุผล?”
“เขาต้องการจัดการฆ่าทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหญิงมากาเร็ต”
“ท่านหมายถึงพระมารดาน่ะหรือ ทำไมละ?”
“ในอดีต ฟีนด์ คือเจ้าชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรเมอร์ลิน เขามีคู่หมั่นก็คือ เจ้าหญิงมา กาเร็ต พระมารดาขององหญิง ในเวลานั้นอาณาจักรเนอร์เทอร์เลียต้องการแผ่ขยายอำนาจ จึง ได้ทำสงครามขึ้น เมื่อเนอร์เทอร์เลียชนะสงครามก็ได้จับพระราชวงค์เมอร์ลินเป็นเชลยสงคราม เจ้าชายรัชทายาทก็โดนจับกุมเช่นกัน แต่เจ้าหญิงมากาเร็ตก็ถูกละเว้น เพราะเธอยอมที่จะ อภิเษกกับเจ้าชายรัชทายาทแห่งเนอร์เทอร์เลียซึ่งก็คือ พระบิดาขององค์หญิง การกระทำของเจ้าหญิงทำให้ฟีนด์ โกรธแค้นมาก เขาหลบหนีการจับกุม และ ประกาศว่าจะเป็นศัตรูกับราชวงศ์แอนเดอร์เลียตั้งแต่นั้นมา” เขาเว้นจังหวะนิดหนึ่งก่อนจะ กล่าวต่อ “หลังจากที่เขาหนีไป  ชลยคนอื่นๆก็ถูกประหารชีวิต เมื่อเขารู้เรื่องนี้ก็ยิ่งโกรธแค้นเพราะว่าผู้ออกคำสั่งประหารคือ เจ้าหญิงมากาเร็ต อดีตคนรักของเขาเอง”
      นี้หรือความจริง ทำไมถึงโหดร้ายเช่นนี้ ถึงแม้ว่าพระมารดาจะจากเธอไปตั้งแต่ยังแบเบาะ แต่เธอก็คิดถึงภาพของหญิงสาวผู้ใจดีมาตลอด ไม่นึกเลยว่าผู้เป็นมารดาของเธอจะใจร้ายได้ถึงขนาดนี้
    เวลานี้พวกเขาได้เดินทางเข้าสู่หมู่บ้านไนริสแล้ว ถึงแม้ตะวันกำลังจะลาลับฟ้าแต่ผู้คน ก็ยังพลุกพล่าน ทั้งสองปรึกษากันว่าน่าจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้เหมือนชาวบ้านธรรมดา มากกว่านี้ ดังนั้นก่อนจะหาที่พักพวกเขาจึงเดินหาซื้อเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็น ชุดราตรีสีขาวของเจ้าหญิงถูกเปลี่ยนเป็นชุดขาวที่ถูกสวมทับด้วยชุดสีน้ำเงินเข้ม ผมสี น้ำตาลอ่อนที่เคยยาวสยายถึงกลางหลังถูกถักเป็นเปียอยู่กลางหลังมันถูกมัดด้วยริบบินสีฟ้า อ่อน เธอดูทะมัดทะแมงราวกับเด็กผู้ชาย ชุดสีน้ำเงินนั้นเข้ากันได้ดีกับดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอ เมื่อแต่งกายเช่นนี้เจ้าหญิงกาเนตก็ดูน่ารักไปอีกแบบ ส่วนวิเลียมมิได้เปลี่ยนการแต่งตัวเพราะเหตุผลที่ว่าชุดทหารก็ดูคล้องตัวดีอยู่แล้ว
        เมื่อจัดการกับตัวเองเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เข้าพักในโรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่ง ห้องว่างที่เหลือเพียงห้องเดียวทำให้พวกเขาต้องพักอยู่ในห้องเดียวกัน ถึงห้องนั้นจะคับแคบแต่ก็ถูกจัดไว้อย่างน่าอยู่
        เตียงนอนสีขาวมีผ้าห่มหนานุ่มสีแดงวางทับไว้ ชุดรับแขกสีขาวถูกจัดไว้ในมุมด้านหนึ่งของห้อง แจกันสีไข่มุกถูกประดับด้วยทิวลิบสีขาวบริสุทธิ์ หน้าต่างบานหนึ่งถูกเปิดกว้างให้เห็นทิวทัศรอบๆหมู่บ้าน
        เจ้าหญิงกาเนตทรุดตัวลงบนที่นอนอย่างเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางตลอดวัน ทอดสายตาไปนอกหน้าต่างบานนั้น พลันนึกได้ถึงตลับสีเงินที่ผู้เป็นบิดามอบให้เป็นของขวัญ จึงหยิบออกมาดู ตลับเงินสีเงินส่องประกายรับแสงตะวันยามอัสดง บนฝาสลักสัญญาลักษณ์ของราชวงศ์แอนเดอร์เลีย เธอค่อยๆบรรจงเปิดฝาตลับออกทำนองเพลงเศร้าดังขึ้นทำลายความเงียบ ไพเราะ
..แต่แสนเศร้า เสียงเพลงที่ขับขานและสายลมที่พัดแผ่วขับกล่อมให้เธอจมลงสู่ห้วง นิทราในที่สุด
      ราตรีกาลผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่ชั่วโมงแสงสีทองก็สาดส่องลงมาอีกครา พิราบขาวตัวหนึ่งบินร่อนลงมาข้างตัวหญิงสาว ทำให้เธอสะดุ้งตื่นขึ้นหันไปมองเห็นอากัปกิริยาของเจ้านกน้อยที่ทำเหมือนต้องการส่งสารบางอย่างจึงอุ้มขึ้นมาเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งผูกติกับข้อ เท้าของเจ้านกด้วยด้ายสีแดง แกะมาจึงรู้ว่าเป็นขององค์รักคนสนิทนั้นเอง เห็นเจ้าตัวยังคงหลับสนิทอยู่ที่เก้าอี้ชุดรับแขก จึงถือวิสาสะเปิดอ่านโดยไม่ได้ขออนุญาต
 
  เรียนท่านองค์รักษ์ วิลเลียม คาแลต
      เวลานี้กระผมและพลทหารที่ยังจงรักษาพักดีต่อพระเจ้าเนอร์เทอร์เลียที่ 3 ได้พยายามที่จะขับไล่พวกกบฏ แต่กำลังพลของมีน้อยจึงไม่สามารถทำอะไรมันได้ และเวลานี้เราก็ได้เสียทหารไปเป็นจำนวนมาก กระผมจึงต้องล่าถอยมาก่อน ถ้าเป็นเช่นนี้อีกไม่นานอาณาจักรเนอร์เทอร์เลียต้องล้มสลายเป็นแน่ ดังนั้นท่านจงพาเจ้าหญิงรัชทายาทหลบหนีไปในที่ปลอดภัยและห่างไกลจากที่นี้ให้มากที่สุด
                                                                                    ด้วย ความเคารพ
                                                                                        XXX
                                                                                           
          เจ้าหญิงมองสารฉบับนั้นอย่างเนิ่นนาน รู้สึกตกใจกับข้อความในสารเป็นที่สุด เบื้อนหน้าออกมาเห็นวิลเลียมเริ่มที่จะขยับตัว จึงวางสารนั้นไว้ข้างตัวเขา แล้วเดินไปริมหน้าต่าง อย่างเหม่อลอย
            เวลานี้เธอไม่เหลืออะไรอีกแล้ว บิดาของเธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับ แผ่นดิน บ้านเกิดจะต้องตกเป็นของศัตรูที่ฆ่าพ่อ ชีวิตที่สวยงามราวกับภาพฝันจะต้องเปลี่ยนไปในชั่ว ข้ามคืน
“องค์หญิง” เป็นเสียงองค์รักษ์ที่หลับไหลอยู่เมื่อครู่เสียงนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย
“องหญิงคงจะได้อ่านสารนี้แล้ว”
“
”
“เออ
.องค์หญิง”
“
.”
      ไม่มีคำพูดใดใดเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากนั้น กำแพงแห่งความอดกลั้นเหมือนจะ พังทลายลงตรงหน้า น้ำตาของหญิงสาวเอ่อล้นปริ่มขอบตา เธอหันหลักกลับพร้อมเข้าไปซบอก เขาพลางสะอื้นอย่างลืมตัว น้ำอุ่นๆไหลรินอย่างยับยั้งไม่อยู่
“เราจะ
ทำ..อย่างไรดี..วิลเลียม” เสียงของเธอขาดห้วงเพราะเสียงสะอื้น
“พระบิดาก็ไม่อยู่แล้ว เนอร์เทอร์ก็กำลังจะล้มสลาย แล้วพวกเขาก็พยายามจะฆ่าฉัน ฉัน ไม่เหลืออะไรอีกแล้ววิลเลียม ไม่เหลือใครอีกแล้ว”
วิลเลียมใช้มือข้างหนึ่งโอบไหล่เธอพลางปลอบโยน “องค์หญิงยังมีข้ออยู่ทั้งคน ข้าจะอยู่เคียงข้างท่าน ” เพราะน้ำเสียงที่มุ่งมั่นจริงจัง คำพูดนั้น จึงทำให้น้ำตาไหลรินลงมาอีกครั้ง หากแต่มันไหลลงมาด้วยความตื้นตันใจมิใช่เพราะความโศก เศร้าเช่นครั้งแรก
“ขอบใจนะ” เธอพูดพลางผละออกจากเขาอย่างเขินอาย เมื่อรู้ตัวว่าเมื่อครู่ได้ทำอะไรลงไป ประโยคนั้นก็ทำให้ใจเธอหวั่นไหว รู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ
“เราคงจะกลับเนอร์เทอร์เลียไม่ได้อีกและจะอยู่ที่นี้ต่อไปไม่ได้ พวกของฟีนด์คงจะตามมา ในไม่ช้า” เธอรีบตัดบทก่อนที่ใจเธอจะไหวหวั่นไปมากกว่านี้
“พะเจ้าค่ะ เพราะฉะนั้นหม่อมชั้นคิดว่า เราควรจะขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ ไปสู่หอคอยแห่งหมอก”
“แต่เราจะต้องใช้เวลาพอสมควรทีเดียวกว่าจะเดินทางไปถึง และเราก็ต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ ด้วย”
“ก็คงจะอย่างนั้นพะเจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้น ตั้งแต่นี้เราจะเป็นเพียงกาเนต มิใช่เจ้าหงรัชทายาทอีกต่อไป”
“เออ
องค์หญิง”
“นี้จะเป็นวิธีหนึ่งที่จะปกปิดฐานะของ ลองคิดดูสิถ้าท่านเรียกเราว่าองค์หญิงต่อหน้าใครๆ มันจะน่าสงสัยแค่ไหน”
“พะเจ้าคะ”
“อะ แอ่ม” เธอกระแอมเบาๆเมื่อเห็นเขายังไม่เปลี่ยนท่าที
“เออ
.ได้สิกาเนต” เขาแก้ใหม่พลางขบขัน
“ถ้าเช่นนั้นก็เดินทางกันดีกว่า” เธอพูดอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเดินไปพร้อมรอยยิ้มบาง
_ _
          การเดินทางสู่หอคอยแห่งหมอกมิได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะคราวนี้พวกเขาต้องเดินเท้า ไปเรื่อยๆ การเดินทางนั้นจึงล่าช้ามาก สายลมอ่อนพัดเอากลิ่นหญ้าแห้งลอยละล่องมากับ
สายลม ทิ้งหมู่บ้านเล็กๆนั้นไว้ด้านหลัง ในฉับพลันความคิดหนึ่งสะท้อนขึ้นในมโนสำนึก
“วิลเลียม เราคิดว่าเรากำลังทำให้ท่านลำบาก” เสียงใสเอ่ยขึ้นแฝงแววกังวล
“ลำบาก?”
“พวกของฟีนด์ ต้องการฆ่าเราเพียงคนเดียว แต่ท่านกลับต้องมาเสียงอันตรายเพราะปก ป้องเรา เวลานี้เรามิใช่องค์รัชทายาทแห่งเนอร์เทอร์เลียอีกต่อไป ดังนั้นท่านก็ไม่จำเป็นต้องมา เสี่ยงอันตรายเช่นนี้อีก”
“ทำไมถึงพูดอย่างนี้ละกาเนต”
“เวลานี้ก็ไม่สายที่ท่านจะไป วิลเลียม ก่อนที่พวกมันจะตามมาอีก ”
“ไม่มีทาง ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้าในเวลาแบบนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องเดินไปหอคอยแห่งหมอกเสีย ก่อน ที่นั้นจะปลอดภัยสำหรับเจ้า”ความน้อยใจปรากฏลึกๆในน้ำเสียง
“แต่เราไม่คิดว่าท่านจะต้องมาเสี่ยงเพราะเราขนาดนี้”
“ไม่มีแต่กาเนต”
“ทำไมวิลเลียม ท่านถึงได้ดีกับเราขนาดนี้”
        ไม่มีคำตอบใดใดเอ่ยออกมาจากปากของชายหนุ่ม เขาเอาแต่มองไปข้างหน้าอย่าง ครุ่นคิด แล้วก้าวต่อไปเรื่อยๆ ผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจี บรรยากาศรอบตัวชั่งเงียบสงบ สงบมากจนผิดปรกติ ไม่มีเสียงนกร้อง ไม่มีเสียงของกิ่งไม้ที่หักลงมาตามแรงลม พวกเขาเดินต่อไปเงียบๆ
        ในเวลานั้นเองหมอกควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากด้านหลัง ปกคลุมจนทั่วบริเวณ เพราะตื่นตัวอยู่ แล้ว จึงมิได้สูดไอหมอกนั้นเข้าไป พวกเขาต่างรู้ดีนี้คือควันยาสลบแบบเดียวกับที่ใช้ในคืนนั้น แต่ชนิดนี้ร้ายแรงกว่าหลายเท่าไอหมอกจางหาย ปรากฏร่างบุคคลลึกลับกลุ่มหนึ่งในอาภรสีน้ำเงิน ใบหน้าของพวกเขาถูกบดบังด้วยผ้าสีน้ำเงินเช่นกัน
มือข้างหนึ่งถือดาบเตรียมพร้อมที่จะลงมือโจมตี
        บุคคลลึกลับกลุ่มนั้นยืนล้อมพวกเขาทั้งสองไว้เวลานี้วิเลียมก็ชักดาบคู่มือของตนมา เตรียมรับมือเช่นกัน เจ้าหญิงกาเนตถึงแม้ไม่มีอาวุฒแต่เธอก็เคยฝึกการต่อสู้มาบ้าง ฝ่ายตรงข้ามมีราวๆ 10-15 คน แต่เธอก็มิกลัวแม้แต่น้อย
        ช่วงเวลานั้นเองผู้มาใหม่บุกเข้าโจมตีพวกเขา วิลเลียมซึ่งระวังตัวอยู่ตลอดเวลาใช้ดาบฟาดฟันออกไป ในขณะที่บุคคลลึกลับผู้หนึ่งเข้ามาพลางคว้าข้อมือของเจ้าหญิงไว้ เธอไม่รอช้า หมุนตัวเข้าศัตรูแล้วศอกเข้าท้องน้อยพลางแย่งชิงดาบคู่ต่อสู้แล้วฟัดลงไปตรงต้นคออย่างสุด แรง ทำเอาร่างไร้วิญญาณของเขาทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น
        คงเป็นเพราะฝีมือของบุคคลลึกลับกับอดีตองค์รักษ์อันดับหนึ่งแห่งเนอร์เทอร์เลียนั้นแตก ต่างกันมากนักจึงทำให้บุคคลชุดสีน้ำเงินต้องทิ้ชีวิตของตนคนแล้วตนคนแล้วคนเล่า
“หยุดก่อน”
        เสียงนุ่มลึกที่แฝงไปด้วยความเย็นชาดังข้นขัดจังหวะ ธนูลูกหนึ่งพุ่งผ่านอากาศตรงไปที่ต้นแขนขวาของวิเลียม หยดเลือดสีแดงไหลออกจากบาดแผลนั้น ความเจ็บปวดเพิ่มมากขึ้นจนต้องทรุดตัวลงไปกับพื้นเจ้าหญิงเห็นดังนั้นไม่รอช้ารีบเข้าไปประคองทันที
          ความมืดเริ่มคืบคลานมาครอบคลุมทั่วบริเวณ ร่างหนึ่งในอาภรสีดำสนิท ใบหน้าถูก สวมปิดด้วยหน้ากากสีเงินไว้ครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นริมฝีปากเรียวได้รูปราวกับฝีปากของอิสตรี
อาภรสีดำขับเน้นผิวนั้นให้เด่นขึ้น เส้นผมสีทองพลิ้วไหวไปตามสายลม ดวงตาสีเลือดนก
ทอประกายรับแสงจันทร์ มือข้างหนึ่งถือคันธนูสีทอง
          เพียงแค่เสียววินาทีที่เห็น เธอก็จดจำเขาได้ในทันที ไม่ใช่ใครอื่นเขาคือ ฟีนด์ บุรุษผู้ปลิด ชีพผู้เป็นบิดาของเธอในค่ำคืนนั้น
“ฉันต้องการแค่ชีวิตเธอ กาเนต มาติน แอนเดอร์เลีย” เสียงเยือกเย็นนั้นกังวานไปทั่วบริเวณ
“เรารู้ พระมารดาทำผิดต่อท่านเอาไว้มาก หากชีวิตเราจะทำให้ความแค้นของท่านหมดไป เราก็ยินดี แต่อย่าได้เอาผู้อื่นไปเกี่ยวข้องด้วยเลย”
“ฉันจะทำตามคำขอของเธอ องค์หญิง”
“เจ้าจะทำอะไรองค์หญิงไม่ได้นะข้าไม่ยอม” วิลเลียมเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น
“พอเถอะวิลเลียม ท่านไม่จำเป็นต้องปกป้องเราอีกแล้ว”
“แต่
องค์หญิง” “ไม่มีแต่อีกแล้ว เราไม่ใช่องค์หญิงอีกต่อไปเพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นอีก”น้ำเสียงของเธอสั่นคลอนเต็มที
“เราพร้อมแล้ว” เธอบอกบุรุษตรงหน้าพลางหลับตาลงช้าๆ น้ำอุ่นๆไหลรินลงมาจากดวง ตาคู่สวย ฟีนด์เหนียวคันธนูไว้แน่นเล็งไปที่อกซ้ายของหญิงสาวอย่างแน่วแน่ แววตาคู่นั้นไร้ ความรู้สึกใดใด เขาปล่อยลูกธนูอาบยาพิษออกไปหมายจะปลิดชีพหญิงสาวแต่แล้ว- - ชั่วเวลานั้นร่างอันอ่อนแรงของวิลเลียมหมุนตัวเข้าบังตัวของเจ้าหญิง ธนูดอกนั้นจึงมิได้ คร่าชีวิตของเธอดังที่ตั้งใจหากแต่พุ่งเข้ากลางหลังของชายหนุ่ม พิษจากธนูนั้นซึมซาบสู่แผล อย่างช้าๆ แต่แสนจะทรมาน น้ำตาที่ดูเหมือนจะแห้งไปแล้วรินไหลลงมาอีกครั้งชายหนุ่มทรุดฮวบลงบนอ้อมแขนของเธอ เธอแทบกลั้นหายใจมองดูเลือดที่ไหลออกมาอย่างไม่มีท่าทีที่จะหยุด
“ทำอย่างนี้
..ทำไมกัน
.วิ..ลเลียม
.ทำไม” น้ำเสียงของเธอขาดห้วงเพราะเสียงสะอื้น
“ไม่นะ..วิลเลียม
.เธอต้อง
ไม่เป็นอะไร” “ทำไม
ถึงอย่างนี้
ท่านไม่จำเป็น
.ที่ต้องปกป้อง
เราอีก” เสียงคร่ำครวญนั้นดังไปทั่วบริเวณ ชายหนุ่มพยายามเปล่งเสียงออกมาอย่างยากเย็น
“ข้า
..มิได้
.ปก..ป้องเจ้า
ใน..ฐานะ..เจ้า..หญิง..แต่..ปกป้อง..ในฐานะ
คน
.ที่
ข้า
.รั
ก” เสียงนั้นแม้จะแผ่วเบาแต่หญิงสาวก็ได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ สองสามวินาทีที่เธอ เงียบไป แล้วน้ำตาก็พร่างพรูลงมาพร้อมเสียงสะอื้นที่ดังขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวกระชับร่างเขาไว้แน่น
“ฉันก็รักเธอ” เสียงนั้นแผ่วเบาราวกับลอยละล่องมากับสายลม มันซึมซับสู่สมองเขาอย่างยากเย็น แต่เขาก็รับรู้มันได้อย่างชัดเจน
“ลา..ก่อ” ยังไม่ทันที่จะเอ่ยจบ เขาก็ขาดใจตายพร้อมกับหัวใจของเธอที่แหลกสลาย เสียง สะอื้นดังไปทั่วบริเวณน้ำตาไหลรินอย่างระงับไว้ไม่อยู่ เธอโอบร่างเขาไว้แน่นขึ้นแล้วหยิบเอามีดพกของชายหนุ่มขึ้นมา
- -
        ปลายมีดสีเงินทอประกายเมื่อต้องแสงจันทร์ สายลมพัดผ่านร่างนั้นอย่างแผ่วเบา ร่าง ของผู้เป็นที่รักยังคงแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขน เธอหยุดร้องไห้แล้ว มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดจนยากที่จะบรรยาย- - และเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของหญิงสาว เธอใช้มีดแทงตัวเองอย่างสุดแรง ร่างของเธอสะท้านด้วยความเจ็บปวด เลือดสีแดงไหลรินเจิ่งนองทั่วบริเวณ ร่างบางนั้นล้ม ฟุบลงไปพร้อมกับลมหายใจเฮือกสุดท้าย- -ตลับสีเงินที่ผู้เป็นบิดาเคยมอบให้หล่นลงกระแทก พื้นฝาตลับเงินจึงเปิดออก เสียงบรรเลงเพลงเศร้าจับใจแว่วมากับสายลม
- -
“เสียใจด้วยกาเนต ฉันทำตามที่เธอขอไม่สำเร็จ”
      เสียงเรียบเฉยของบุรุษในอาภรสีดำสนิทดังขึ้นก่อนจะหมุนตัวหายไปในความมืดทิ้งร่าง ไร้ลมหายใจของทั้งสองไว้ด้านหลัง ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องไปทั่วบริเวณ
_ _
“เจ้าหญิงกาเนต เจ้าหญิงกาเนตเพคะ”
“เป็นอะไรรึเปล่าเพคะ เจ้าหญิง”
      สติที่ล่องลอยไปถูกนำกลับมาอีกครั้ง ด้วยเสียงเรียกของนางกำนันคนหนึ่ง เธอยังอยู่ในห้องโถง ในงานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของตัวเธอเอง ไม่มีเลือด ไม่มีคราบน้ำตา
ผู้เป็นบิดายังอยู่ตรงหน้า ในอ้อมแขนของเธอมิใช่วิลเลียม แต่เป็นเจ้ามินนี่ แมวตัวโปรดที่พึ่งกระโดดขึ้นมานอนบนตักของเธอเมื่อครู่ - -
เกิดอะไรขึ้น !?
“กาเนต เป็นอะไรรึเปล่ากาเนตทำไมเงียบไป เมื่อครู่พระเจ้าฟีนด์ พระเจ้าอาของลูกมาอวยพรวันเกิด แต่เห็นลูกเอาแต่นั่งเหม่อนึกว่าจะหลับในซะแล้ว” พระเจ้าเนอร์เทอร์เลีย กล่าวพลางอมยิ้ม
        พระเจ้าอามาหรือ? อะไรกันนี่ รึว่าเมื่อครู่เป็นความฝัน แล้วพระเจ้าอาจะกลายไปเป็น กบฏได้อย่างไร? จริงสิเราคงเห็นนางกำนัลของพระเจ้าอาเป็นทหารคนนั้น ก็นางพวกนั้นชอบแต่งชุดแดงอยู่เรื่อยเลยนี่นา เรานี่แย่จริง! คงเอาความฝันเมื่อคืนมาคิดมากจนเป็นแบบนี้
“กาเนต”
“เอ่อ เพคะ เอ่อลูกคิดอะไรเพลินๆอยู่น่ะเพคะ ขออภัยด้วย” เธอรีบกลบเกลื่อนทันที ถ้ามี ใครรู้ว่าเธอนั่งหลับในงานวันเกิดตัวเองเช่นนี้ ก็คงต้องหัวเราะเยาะความเปิ่นของเธอเป็นแน่
“อ่าว นั้นวิเลียมมาพอดี” รอยยิ้มบางๆปากฎบนใบหน้า รู้สึกสบายใจอย่าบอกไม่ถูก ชายหนุ่มในชุดทักซิโดสีขาวงามสง่าเดินตรงมาพร้อมรอยยิ้มบาง เขาโค้งคำนับนายเหนือหัวทั้งสอง
“ข้างนอกเรียบร้อยดีหรือวิลเลียม”
“พะเจ้าค่ะ”
“วิลเลียม ไปเดินเล่นข้างนอกกันเถอะ” เสียงใสๆของเจ้าหญิงขัดขึ้น
“พะเจ้าค่ะ” เมื่อเขารับคำหญิงสาวก็รีบลุกจากที่นั่งทันที แล้วเธอก็เดินนำเขาออกนอกบริเวณงานด้วยท่าทีร่าเริงเป็นที่สุด
      ณ ระเบียงสีขาวที่ทอดยาวมีทิวลิปสีแดงตกแต่งเป็นระยะ ริมระเบียงสามารถมองเห็น ท้องฟ้าได้อย่างถนัดตา ดาวดวงน้อยส่องแสงระยับยามค่ำคืน สายลมแผ่วพัดผ่านมา มีเพียงแต่แสงของจันทราและเทียนไขข้างกำแพงหินอ่อนที่ส่องสว่างอยู่ หญิงสาวเหม่อมองไปบนท้องฟ้าอย่างครุ่นคิดนึกถึงบทสนทนาเมื่อครู่
“เป็นอะไรไป กาเนต” เพราะความที่สนิทกันตั้งแต่วัยเด็กเมื่ออยู่กันตามลำพังจึงไม่จำเป็น ต้องมีพิธีรีตรองใดใดอีก
“เหนื่อยรึเปล่าวิลเลียม ที่ต้องมาเดินตรวจตราในเวลาที่มีงานรื่นเริงเช่นนี้”
“ไม่หรอก ก็มันเป็นหน้าที่นี่นา”
“จริงสินะ ถ้าฉันไม่ใช่เจ้าหญิงเธอก็คงไม่มาคุ้มครองฉันขนาดนี้”
“ทำไมพูดอย่างนั้นละ ถึงเธอจะไม่ใช่เจ้าหญิง ฉันก็จะคุ้มครองเธอ”
“ทำไมละ” เธอถามพลางหันมามอง
“ก็ฉันรักเธอไงละ” เขาพูดพลางกระซิบที่ข้างหู แล้วรีบหมุนตัวกลับเข้าไปในงานทิ้งให้ เจ้าหญิงยืนอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน  ทันทีที่ตั้งสติได้เธอก็รีบวิ่งตามเข้าไปเกาะแขนข้างหนึ่งของเขาแล้วยิ้มบางๆออกมา
                                     
                                                                   
                                                                            “ฉันก็รักเธอ วิลเลียม”
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น