ฉันนั่งทอดสายตามองดูเกลียวคลื่นสาดซัดเข้าสู่ชายฝั่งพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อยภายใต้ร่มไม้สีเขียวขจี  สายลมช่วยพัดพาความชุ่มชื่นมาสู่หัวใจ  กลิ่นไอทะเลโชยเข้าจมูก  ทำให้รู้สึกผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทางได้เป็นอย่างดี
เกาะพยาม    สวรรค์ของฉันแห่งนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง    ทะเลก็ยังเป็นทะเลผืนเดิม  หาดทรายสีดำและหาดทรายสีแดงก็ยังคงไม่เปลี่ยนสี  ความงดงามนั้นยังมั่นคงอยู่คู่เกาะพยามไม่ต่างไปจากปีที่ผ่านมาแม้สักนิด
นี่แหละ  ที่นี่ประเทศไทย
บางคนยอมเสียเงินเพื่อที่จะไปท่องเที่ยวต่างประเทศ  ทั้ง ๆ ที่ในเมืองไทยนั้นยังมีสถานที่สวยงามอีกมากมายรอให้ไปเยือน มีผู้คนอีกจำนวนมากที่ยังไม่ทราบว่าในบ้านเมืองเรานั้นยังมีสิ่งแปลกใหม่ ให้ชื่นชม    จึงพากันทำตามค่านิยมเพราะคิดว่าในเมืองไทยนั้นไม่มีอะไรน่าสนใจ
                                                                        ********
ชายหญิงสามสี่คนต่างหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานริมหาด  โดยมิได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางแม้แต่อย่างใด  หนึ่งในนั้น  พี่ต้น  ชายหนุ่มที่ฉันหลงรักมาตลอด  บุคลิกร่าเริงปนตลก  และแววตาแฝงความอบอุ่นนั้น  ที่ฉันมองกี่ครั้งก็ไม่รู้สึกเบื่อ
ฉันพบพี่ต้นครั้งแรกตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยฯ  ความหล่อเหลานั้นสะดุดใจฉันยิ่งนัก  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฉันก็แอบมองเขามาตลอดโดยมิกล้าเข้าไปพูดคุย สาเหตุก็เพราะว่าพี่ต้นเป็นคนหน้าตาดี  มีสาว ๆ  มากหน้าหลายตามาติดพันมากมาย  ทำให้ฉันรู้สึกกลัว  กลัวว่าจะไม่ได้รับไมตรีจิตตอบ    แต่พี่ต้นก็ไม่เคยสนใจสาวคนใหนเป็นพิเศษ  ตัวฉันเองก็ใช่ย่อยซะเมื่อไหร่  มีคนมาชอบฉันมากมาย  แต่ตอนนี้ฉันก็ไม่อยากสนใจใคร  เพราะฉันมีคนที่หมายปองคือพี่ต้นของฉันอยู่แล้ว
บางครั้งฉันก็อดคิดตามเพื่อน ๆ  ของพี่ต้นไม่ได้  ที่พวกเขาต่างแซวกันเล่น ๆ ว่าพี่ต้นเป็นเกย์  ถึงไม่ยอมมีแฟนกับเขาเสียที
เป็นความบังเอิญที่เพื่อนของฉันรู้จักกับพี่ต้น  เราเลยได้มีโอกาสพูดคุยกัน  จวบจนเวลาผ่านไปสองปี  ฉันจบออกมาจนทำงานทำการ  ฉันก็ยังไม่ได้แอ้มพี่ต้น  อย่าเพิ่งเข้าใจผิดคิดว่าฉันเป็นคนแก่แดดไปซะก่อน  ฉันหมายความว่ายังไม่ได้ครอบครองเป็นแฟนต่างหาก  แต่สิ่งที่ทำให้ฉันปวดใจมากที่สุดก็คือ  สาวข้างกายคนนั้น  จะเป็นแฟนของพี่ต้นหรือเปล่าฉันก็ไม่ทราบ  แต่ฉันเห็นพี่ต้นสนิทสนมกับสาวคนนี้เป็นพิเศษ  แต่ไม่ว่าอย่างไร    ฉันก็ยังคงเฝ้ารอ  ด้วยหวังว่าพี่ต้นคงจะเห็นใจและยอมคบกับฉันในสักวัน
เพี๊ยะ!  ฉันสะดุ้งเมื่อมือนุ่ม ๆ  ตบมาที่หัวไหล่ของฉัน
“ติ๊ก  มานั่งทำอะไรอยู่ที่นี่  เพื่อน  ๆ  เขาตามหาอยู่”    พี่ต้นทำเสียงอ่อนหวานใส่ฉัน  ดูสิ  มีคนรู้ใจแล้วยังจะมาทำดีกับฉันอยู่อีก
“ทำไมหยอกกันแรงจังล่ะพี่ต้น?” ฉันแกล้งตัดพ้อ เพราะพี่ต้นชอบหยอกล้อฉันแรง ๆ อยู่เสมอ  พี่ต้นหัวเราะร่วนอวดไรฟันขาวสะอาดก่อนจะดึงมือฉันให้ลุกขึ้น  ฉันอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าพี่ต้นน่าจะมีใจกับฉันอยู่บ้าง
เราสองคนเดินลัดเลาะไปตามชายหาด  สีเขียวรื่นจากเหล่าพืชพรรณทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตามองแล้วชวนให้อิ่มเอมหัวใจยิ่งนัก  ผืนน้ำใสสะอาดตาจนมองเห็นโขดหินที่ซ่อนอยู่เบื้องล่างซัดมากระทบผืนเท้า  ยิ่งมีหนุ่มหล่อเดินอยู่เคียงข้างด้วยแล้ว  อะไรก็ดูโรแมนติกไปหมด
เย็นนั้นเราทานอาหารกันริมหาด  เป็นอาหารที่ทำขึ้นอย่างง่าย ๆ  แต่ทว่ากลับมีความอร่อยไม่แพ้ภัตตาคารหรู ๆ  ทั้งนี้คงเป็นเพราะพวกเราอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของธรรมชาติ  สายน้ำ  แมกไม้  เลยทำให้เจริญอาหารได้ง่าย    ตกกลางคืนนอนฟังเสียงคลื่นที่บังกะโลเล็ก ๆ  เพื่อเก็บแรงไว้ชมความงดงามในดินแดนแห่งท้องทะเลอันดามันกลางฤดูหนาวเมื่อยามที่แสงแห่งวันใหม่มาเยือน
                                                                                *******
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะพยามนั้นประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่มากมาย  เช่น  เกาะทรายดำ  เกาะที่มีหาดทรายสีดำสนิท  เกาะไฟไหม้ที่หาดนั้นประกอบไปด้วยหินมนเงา  เกาะช้างฯลฯ
ณ  เกาะช้าง  คณะของฉันเดินผ่านใต้ร่มเงาของทิวมะพร้าวสูงลิบลิ่ว  ยอดของมันไหวลู่ไปตามแรงลม  จนฉันหวั่นเกรงว่ามันจะเอนราบลงมาทับพวกเราหรือลูกของมันร่วงหล่นลงมาที่ศรีษะของคนใดคนหนึ่งผู้โชคดี
กลิ่นหอมอบอวลลอยตามสายลมมากระทบจมูก  ฉันแหงนหน้ามองตามกลิ่นที่มา  ผลสุกของผลไม้ชนิดหนึ่งแขวนตัวเองอยู่เต็มต้น  บ้างก็สีเหลืองนวล  บ้างก็สีแดง  เสียงพี่ต้นสอบถามจากชาวสวนก็ได้ความว่ามันคือผลของ “กาหยู” หรือที่ภาษาภาคกลางเรียกว่า มะม่วงหิมพานต์  ส่วนพังงาเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  “กาหยี”
มาเที่ยวคราวนี้นับว่าคุ้ม  เพราะว่าฉันได้ความรู้ใหม่ติดตัวกลับบ้าน  ฉันก็เพิ่งเห็นนี่แหละว่ามะม่วงหิมพานต์มีผลเป็นอย่างนี้นี่เอง    ชาวสวนคนหนึ่งยื่นผลสุกให้พวกเราลองชิม    ฉันไม่เคยได้ลิ้มรสของมันก่อนแปรรูปมาก่อน  แต่พอได้ลองชิมลิ้นของฉันก็สัมผัสได้ถึงความหวานหอมชื่นใจ ชาวสวนบอกฉันว่าส่วนที่เป็นเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ไม่ใช่ส่วนที่เป็นผลสุก  แต่จะเป็นเม็ดที่ยื่นออกมานอกผล  เมื่อปลิดออกมาจากผลสุกแล้วจะนำมาตากแห้งหลังจากนั้นจึงส่งเข้าโรงอบอีกทีหนึ่ง 
 
ฉันเห็นแล้วรู้สึกทึ่งในความฉลาดของธรรมชาติที่สร้างสิ่งซับซ้อนขึ้นมาบนโลกใบนี้  ต่อให้มนุษย์มีวิทยาการล้ำหน้าอย่างไร  ก็ไม่อาจจะอยู่เหนือธรรมชาติไปได้    เพราะธรรมชาตินั้นเป็นผู้ควบคุมความเป็นไปของชีวิตมนุษย์ให้ดำเนินไปตามบทบาทของแต่ละคน
ฉันเองก็คงเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ถูกธรรมชาติกำหนดขึ้นมาให้เป็นฉันอยู่ทุกวันนี้เหมือนกัน
ดวงตะวันโบกมืออำลาพวกเราไปอีกหนึ่งวัน ฉันแทบหมดแรงเมื่อลงจากจุดชมวิวที่อ่าวไข่บนเกาะช้าง  สายลมพัดมากระทบกายจนฉันต้องรีบสูดความสดชื่นเข้าจนเต็มปอด  สายตาเหลือบสังเกตเห็นพี่ต้นปาดเหงื่อที่ไหลย้อยตามใบหน้า  คนอะไรดูดีแม้กระทั่งตอนเหนื่อย  นี่ฉันคลั่งเขามากไปหรือเปล่านะ
พวกเราดั่งถูกสะกดให้ตกอยู่ภายใต้อ้อมกอดของธรรมชาติ  หาดทราย  สายลม  เกลียวคลื่น  และขุนเขา  จนเวลาผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว  มารู้ตัวอีกทีก็ได้เวลาที่จะต้องกล่าวอำลาความเป็นอยู่  กลิ่นไอทะเล  และกลิ่นกาหยู  ณ  เมืองระนองแห่งนี้  ทั้ง ๆ  ที่ฉันไม่อยากจากไปเลย  ฉันสัญญากับท้องทะเลว่าถ้ามีโอกาสฉันจะย้อนกลับมาเยือนอีก
หลังจากนี้ก็ต้องกลับไปต่อสู้กับสังคมที่ยุ่งเหยิงในเมืองหลวงกันต่อไป
   
                                                                              *******
กรุงเทพฯ
“จริงหรือ  ที่ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพี่ต้น?”
ฉันถามพี่ต้นด้วยหัวใจพองโต  ในขณะที่เราดื่มกินสังสรรค์กัน  หลังจากรู้ว่าสิ่งที่ฉันกลัวนั้นไม่เป็นความจริง
“ก็ใช่น่ะสิ  ทำไมหรือ?”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก  เห็นสนิทสนมกันออกปานนั้น”  แต่จริง ๆ  แล้วหัวใจฉันแทบจะกระเด็นกระดอนออกมาข้างนอกด้วยความหวังที่รออยู่ข้างหน้า
“แล้วพี่ต้นไม่คิดจะมีแฟนกับเขาบ้างหรือ?”  ฉันถามโดยหมายถึงตัวเอง
“ที่ผ่านมาพี่ยังไม่เจอคนที่ใช่น่ะสิ  พี่ค่อนข้างจะเบื่อผู้หญิงน่ะ  จู้จี้จุกจิก  แต่ว่าตอนนี้พี่คิดว่าพี่เจอแล้ว  และเขาก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลด้วย” 
พี่ต้นพูดโดยไม่สบตาฉัน  ฉันสังเกตเห็นหน้าพี่ต้นแดงก่ำ
ฉันอยากจะลุกเต้นท่าม้าย่องให้หายคลั่ง  พี่ต้นจะต้องแอบมีใจกับฉันแน่ ๆ  แต่คงไม่กล้าแสดงออก  ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันจะเป็นคนเริ่มต้นเอง  สมัยนี้สิทธิมนุษย์เท่าเทียมกันหมด  ใครบอกก่อนก็ไม่เห็นเสียหายนี่นา
“คนเราสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ  พี่ก็เลยต้องดูนาน ๆ  หน่อย”  คราวนี้พี่ต้นพูดพลางจ้องหน้าฉัน
ฉันชักมือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก  พี่ต้นจะต้องเป็นอย่างที่ฉันคิดไว้จริง ๆ  คิดได้ดังนั้นจึงเริ่มขยับตัวเองเข้าไปใกล้พี่ต้นอีกนิด  เพื่อที่จะพร่ำพรรณณาบอกความในใจแก่พี่ต้นให้หมดเปลือก
“พี่ต้นรู้อะไรไม๊  ติ๊กแอบชอบพี่ต้นมานานแล้ว  แต่ไม่กล้าแสดงออก  กลัวว่าพี่ต้นจะรังเกียจ”
ฉันเริ่มจู่โจม  ในขณะที่พี่ต้นนั่งตัวแข็งทื่อ  เหมือนตกตะลึงในสิ่งที่ได้ยิน
“ถ้าพี่ต้นมีความรู้สึกเหมือนกับติ๊ก  จะมัวปิดบังอยู่ทำไมล่ะ  ทำไมเราถึงไม่ทำตามที่ใจเราต้องการ”
ความรักเข้าครอบงำฉันจนหน้ามืดตามัว    มือไม้ไม่อยู่นิ่งเริ่มไต่ยั้วเยี้ยไปตามเนื้อตัวของพี่ต้น 
             
ทันใดนั้น! 
               
พล็อก!
               
เสียงหมัดกระทบใบหน้าฉันอย่างแรง ฉันถลาเหมือนนกปีกหักกระเด็นตกจากโซฟาลงไปกองอยู่ที่พื้น
   
“เฮ้ย!  ไอ้บ้าติ๊ก  ทำอะไรเนี่ย?”  พี่ต้นฉุนเฉียวใส่ฉัน
   
“โอย!  ตัวเองน่ะ  เขาเจ็บนะ  หยอกกันแรง  ๆ  อีกแล้ว ไม่ชอบทำไมถึงไม่บอกกันดี ๆ  อูย”
   
“ไม่ได้หยอกโว้ย  แต่เอาจริง  กูไม่ได้เป็นอย่างที่มึงคิดนะ  กูแค่รักมึงเหมือนน้องเหมือนนุ่งคนหนึ่ง”
   
“นี่มึงเป็นเกย์หรือวะ  เสียดายหน้าหล่อ ๆ  ของมึงจริง ๆ”
   
พี่ต้นพูดได้แค่นั้นแล้วใส่คันเร่งที่ฝีเท้าออกจากห้องผม  เอ้ย  ฉันไป  โดยไม่หันหลังกลับมามองอีก
ผม  เอ้ย  ฉันแค่มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงอยู่ตลอดเวลาก็เท่านั้น  แล้วฉันก็ชอบผู้ชายหล่อ ๆ  คุณคิดว่าฉันผิดปกติหรือเปล่าล่ะ  ตัวเอง???
                                                                                ********
ฉันต้องหยุดรำลึกถึงความหลังไว้แค่นั้น  เมื่อพระอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้า
   
ณ  วันนี้  ฉันย้อนกลับมาที่เดิม  บรรยากาศเก่า ๆ  ช่วยให้ภาพในอดีตนั้นผุดขึ้นมาในความทรงจำ
   
ตรงเบื้องหน้าฉันมีชายหญิงสองคนเดินเคลียคลอกันอย่างมีความสุขริมหาด    ช่างโรแมนติกดีเหลือเกิน
   
ถ้าฉันมีจิตใจที่ปกติ  ฉันก็คงจะมีโอกาสได้สัมผัสความสุขแบบนี้บ้าง  แต่มันก็สายไปเสียแล้ว  สำหรับชีวิตฉันในชาตินี้
   
การใช้ธรรมะเป็นที่พึ่งเปรียบเสมือนแสงเทียนนำทางให้ฉันตาสว่าง    ช่วยให้ฉันได้มีโอกาสทบทวนตัวเองในอดีต  ฉันมองข้ามความรักของคนที่รักฉันมากที่สุดและก็ไม่เคยรังเกียจว่าตัวฉันจะเป็นอย่างไร  เขาเหล่านั้นอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก  ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันไม่เคยคิดที่จะตอบแทนความรักนั้น  แต่ตรงกันข้ามฉันกลับไขว่คว้าหาความรักที่ผิด ๆ  มาตลอด 
   
หลังจากบวชเรียนให้พ่อแม่คราวนี้ฉันตั้งใจไว้ว่าจะหันหน้าเข้าหาพระธรรมตลอดชีวิต  ละทิ้งจากความลุ่มหลงมัวเมาทั้งสิ้น 
   
ฉันเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ทำไม่ได้อย่างฉัน    แต่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม    ขออย่าให้สังคมเดือดร้อนก็พอ  คงไม่มีใครอยากเกิดมาเป็นอย่างฉันหรอก  ถ้าทุกคนเลือกเกิดได้
                                                                                *******
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น