เดินไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของหมู่บ้านยักษ์ก็จะถึงทุ่งหญ้านิค เนื่องจากทุ่งหญ้านิคอยู่ติดกับบึงกบ ดังนั้นพื้นดินบริเวณนั้นจึงชื้นมาก
ซึ่งสามารถดูได้จากต้นหญ้าที่ขึ้นสูงกว่าทุ่งหญ้าทั่วไป แต่ไหนแต่ไรมาก็มีน้อยคนนักที่จะเดินผ่านทุ่งหญ้าแห่งนี้ แต่พักหลังนี้อาณาจักรลูกัส
ได้สร้าง “ท่าเรือเปโป้” ซึ่งเป็นท่าเรือแห่งเดียวบนแผ่นดิน จึงทำให้พ่อค้าและนักผจญภัยไม่น้อยที่เริ่มเดินทางผ่านทุ่งหญ้านิค
ท่าเรือเปโป้เป็นท่าเรือที่สวยงามมาก แค่มองก็รู้ว่าอาณาจักรลูกัสทุ่มเทกายใจสร้างท่าเรือนี้ขนาดไหน สิ่งก่อสร้างของที่นี่เป็นสีฟ้า ส่วนพื้น
เป็นสีเทาอ่อน ดูแล้วสบายตา บรรยากาศเช่นนี้ทำให้นึกถึงฤดูร้อนที่เย็นสบาย
ที่ใดมีท่าเรือที่นั่นก็ย่อมต้องมีเรื่องราวผจญภัยที่เล่าต่อกันมา ไม่เว้นแม้แต่ท่าเรือเปโป้ ที่นี่ก็มีเรื่องราวประสบการณ์การผจญภัยของเหล่า
กะลาสีชรามากมาย
เมื่อเวลาล่วงเลยไปอย่างไร้ปราณีทำให้พวกเขาแก่เฒ่าจนออกเรือผจญภัยไม่ได้อีก พวกเขาจึงได้แต่มานั่งฆ่าเวลาอยู่ในร้านเหล้า พูดคุยถึง
เรื่องราววีรกรรมครั้งสมัยยังหนุ่มอย่างออกรส มันไม่สำคัญหรอกว่าเรื่องที่เล่านั้นจะมีส่วนที่จริงเท็จสักแค่ไหน แต่การผูกเรื่องราวเดินทางผจญ
ภัยอย่างมีสีสรรนี่สิที่ดึงดูดความสนใจของคนรุ่นหนุ่มสาว ทำให้พวกเขาอยากจะลองพิสูจน์ความกล้าของตัวเอง
“ในโลกนี้มีเงือกอยู่จริงๆ” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นของปีเตอร์แดงกล่ำด้วยความโกรธ
“ฮ่าฮ่า เล่นพูดแต่ปากแบบนี้ใครเขาจะไปเชื่อล่ะลุง” กะลาสีวัยกลางคนที่นั่งตรงข้ามปีเตอร์ มือถือแก้วเบียร์ที่เพิ่งสั่ง พูดจาถากถางอย่างไม่
เกรงใจ
“แกพูดให้มันน้อยๆหน่อยไม่ได้รึไงคริส” เจ้าของร้านเหล้าเอ่ยปากปรามคริส เขารู้ดีว่าคริสปากไม่สร้างสรค์ขนาดไหน แล้วปีเตอร์ก็เป็นคนขี้
โมโหด้วย ขืนนิ่งเฉยไม่พูดห้ามปรามพวกเขา อีกสักเดี๋ยวต้องเป็นเรื่องแน่
“เฮอะ ฉันก็ไม่ได้อยากจะหาเรื่องหรอกนะ แต่คนเราจะพูดอะไรมันต้องมีหลักฐานสิ ถ้าใต้ทะเลสกายวอล์คเกอร์มีเงือกอยู่จริง งั้นนอกจากตา
เฒ่านี่แล้ว มีใครเคยเห็นอีกบ้างล่ะ” เถ้าแก่ร้านเหล้าจ้องคริสเขม็ง และพูดด้วยความโมโห
“ฉันขอเตือนนายนะคริส หากนายยังอยากนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่นี่อีกล่ะก้อ ทางที่ดีนายหุบปากแมวๆของนายซะ”
คริสทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่พอนึกถึงตอนที่เถ้าแก่ร้านเหล้าหักขาคนที่มาก่อกวนในร้านจนหักเมื่อสองสามวันก่อน จึงยอมหุบปากถึง
แม้จะไม่ค่อยพอใจนัก หนุ่มที่นั่งอยู่อยู่ที่มุมร้าน ดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้นจับตามองเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่อย่างเงียบๆ แต่พอปีเตอร์เดินโซเซ
ออกจากร้านเหล้า เขาก็จากไปอย่างเงียบๆ
แสงจันทร์กระจ่างที่สาดส่องถนนบนท่าเรือเปโป้ซึ่งว่างเปล่าไร้ผู้คน ต่างกับตอนกลางวันที่มีผู้คนขวักไขว่คึกคัก เสียงสะอึกสะอื้นเบาๆดังมา
จากมุมมืดแห่งหนึ่งของท่าเรือทำลายความเงียบสงัดของคืนอันเงียบสงบ
“ทำไม...ทำไมเธอ...ถึงยังไม่มา...ทำไมไม่มารับฉันไปสักที...” ปีเตอร์นั่งหดตัวซุกอยู่ในกองลังไม้ข้างท่าเรือ น้ำตาปริ่มเอ่อเล้นขอบตาอัน
เหี่ยวย่น ร่วงพลูดุจน้ำฝนรตกลงมาชะผืนดินอันแห้งแล้ง จนดินซับน้ำไม่ทันท่วมเจิ่งนอง
เงาดำตะคุ่มค่อยๆปรากฏออกมาจากหัวมุมถนนพร้อมกับเสียงฝีเท้า ปีเตอร์เงยหน้าขึ้นมอง สายตาจับจ้องผู้ที่มา
ชายหนุ่มคนนั้นมีผมสีทองเป็นประกายดุจดวงอาทิตย์ ถึงแม้ว่าในตอนนี้ปีเตอร์ยังคงสะลึมสะลืออยู่ แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าหนุ่มน้อยคนนี้เป็นคน
ต่างถิ่น
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น