The 14th of February
    เก้งเป็นผู้หญิงตัวเล็ก รูปร่างปราดเปรียวเหมือนชื่อของเธอ ผิวสองสี แววตาเต็มไปด้วยความอยากรู้ เธอช่างเป็นคนที่น่าค้นหาสำหรับผม ผู้ชายเงียบๆคนนี้เสียเหลือเกิน  เราเจอกันในคณะที่ผมเรียนอยู่ เธอเป็นรุ่นพี่ผมหนึ่งปี แต่ตามอายุจริงๆแล้ว เธอกลับอายุน้อยกว่าผมหนึ่งปีเช่นกัน บางครั้งผมก็กระดากอายที่จะเรียกเธอว่า”พี่เก้ง” เพราะนอกจากเธอเด็กกว่าผมแล้ว ผมยังไม่ได้รู้สึกกับเธอเช่นพี่น้อง ครับ..ผมชอบเธอ
  สำหรับน้องปี1 เมื่อเข้ามาเรียนที่มหาลัยปีแรก ก็จะได้รับการต้อนรับอย่างดีจากรุ่นพี่โดยการโดน”รับน้อง” มีอยู่วันหนึ่ง ที่ผมทนไม่ไหว วันนั้นผมไม่มีเวลากินข้าวกลางวัน เพราะรีบทำงานส่งในคาบต่อไป อันที่จริงมันก็เป็นความผิดของผมเองนั่นแหละครับ แบ่งเวลาไม่เป็น แต่ที่มันเป็นแบบนี้ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดีก็ได้ เพราะเย็นวันนั้น หลังจากวิ่งๆกันอยู่ตามปกติ ผมก็ล้มลง หมดสติไป ผมได้ยินเสียงเพื่อนๆวุ่นวายกันใหญ่ เสียงคนนั้นเรียกรุ่นพี่ คนนี้รีบหายาดม คนโน่นแอบนินทาว่า ไอ้ใจเสาะ เสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินนั้น เรียกชื่อผมเบาๆ “น้องติวๆ.. เป็นไงบ้างคะ” เสียงเก้งนั่นเอง
  ผมลืมตาขึ้นมาพบว่า ตัวเองกำลังนอนบนพื้นเย็นเฉียบ ใต้ตึกประจำคณะ รอบๆนั้น ไม่มีใครสักคน “ติวไม่ได้กินข้าวมาละสิ เป็นลมเลยเนี้ยะ” ผมหันหน้าไปตามเสียง เก้งนั่งดูผมอยู่ที่ม้านั่งข้างหลังผม “ครับ ก็รีบทำงานอ่ะครับ เลยไม่ได้ไปที่โรงอาหาร” ผมยิ้มแหยๆ “วันหลังหาอะไรรองท้องหน่อยนะ ไม่งั้นเป็นอย่างงี้อีกพี่แย่เลย แบกติวไม่ไหว” แล้วเธอก็หัวเราะออกมาเบาๆ เห็นเขี้ยวเล็กๆสองซี่ที่มุมปากทั้งสองข้าง ตากลมๆเป็นประกาย ช่างน่ารักเสียจริงๆ
แล้วเราก็คุยกันถึงหลายๆเรื่อง เก้งเป็นคนที่คุยสนุกมาก เรียกได้ว่า คุยแบบได้รสชาด เวลาคุยเรื่องสนุกๆ เธอก็ทำให้ผมหัวเราะจนท้องแข็ง แต่พอเปลี่ยนเป็นเรื่องเศร้า แววตาและน้ำเสียงของเธอก็แทบจะให้ผมร้องไห้ เราคุยกันที่ใต้ตึกนั่นจนหมดเวลารับน้อง
  “เอ่อ เดี๋ยวพี่ต้องไปแล้วล่ะ แล้วน้องติวกลับยังไงเนี้ยะ อยู่หอที่ไหนหรอ”เก้งถามพลางเก็บขวดยาเข้าที่ในกระเป๋าพยาบาล
  “อ๋อ ผมอยู่หอบ้านเรา ข้างๆมออ่ะครับ กลับกับไอ้โจ พี่รู้จักไม๊ คนที่มันที่เคราแบบเหมือนแพะอ่ะฮะ”
  เก้งพยักหน้า
  “อื้อๆ ไอ้โจ ไอ้บ้านี่เป็นเพื่อนพี่เอง เคยอยู่โรงเรียนเดียวกัน ไอ้นี่มันบ้านะ อย่าไปอยู่ใกล้มันมากล่ะ เดี๋ยวบ้าเหมือนมัน”
  เก้งส่งหลอดยาดมเล็กๆให้ผม
  “อ่ะ เอานี่ไว้นะ เผื่อเวลาไม่ได้กินข้าว จะได้กินไอ้นี่ไปก่อน ลดความหิว เพิ่มความต้านทานความอยากเป็นลม”
  ผมรีบรับมาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง
  “ขอบคุณครับ”
  เธอหัวเราะเบาๆแล้วเดินจากไป
  “พี่ไปนะ กลับบ้านดีๆล่ะ มีอะไรมาปรึกษากันได้นะ บ๊ายบาย”
  แล้วเธอก็เดินหายไปทางด้านหลังของตึก ส่วนตัวผมก็ยังกำหลอดยาดมในกระเป๋าไม่ยอมปล่อย
  ผ่านไป2เดือน กิจกรรมรับน้องหมดไปแล้ว เข้าสู่กิจกรรมรับพี่แทน ช่วงนี้เป็นการเปิดโอกาสให้รุ่นน้องแกล้งรุ่นพี่ได้ พวกเพื่อนๆในชั้นปีตกลงกันว่า เราจะเล่นละครเลียนแบบท่าทางของรุ่นพี่กัน ผมถูกเลือกให้เป็นเล่นบทของเก้ง เนื่องจากผมเป็นผู้ชายตัวไม่สูง และไม่บึกบึ้น มีผิวสองสี ผมดำ คล้ายกับเก้งเค้า ขาดไปอย่างเดียวคือแววตาช่างสงสัย ซึ่งผมคิดว่าจะต้องหัดทำให้แนบเนียนให้ได้ คงต้องทำหน้าด้านไปสักพัก แกล้งไปขอชีท ขอให้เก้งสอนเลขก็คงพอไหว จะได้รู้ว่า จริงๆเก้งทำหน้ายังไง กับแค่ไม่กี่วันเอง
  “พี่เก้งๆ มีชีทเก่าๆของวิชาอังกฤษไม๊พี่”
  ผมรีบวิ่งรี่เข้าไปหาทันทีที่เห็นหลังเธอขยับไวๆอยู่ในห้องสมุดคณะ
  “อ้าว! ติว เป็นไงมั่ง จะเอาชีทหรอ อือ..เดี๋ยวคิดก่อนนะว่ามีป่าว..อ่ะนั่ง นั่งสิ”
  เธอเลื่อนเก้าอี้ตัวข้างๆให้ผม แล้วหันไปก้มหน้าก้มตาพลิกกองชีทที่อยู่เบื้องหน้าอย่างคร่ำเคร่ง
  “เอ้า..เจอพอดีเลย นี่เตรียมมาทุกวิชาเลยนะเนี้ยะ”
  เก้งยิ้มหวาน แล้วส่งชีทภาษาอังกฤษปึกหนึ่งมาให้ผม
  “ขอบคุณครับ เอ่อ..”
  ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ แต่อยากพูดจริงๆ
  “อะไรหรอ อยากได้ชีทอะไรอีกไม๊ ติว..”
  เก้งหันหน้ามา แววตาช่างสงสัยฉายแวว
  “เปล่าครับ
ก็ว่าถามว่า มะรืนนี้วันวาเลนไทน์แล้ว พี่เก้งมีคนพาไปเที่ยวยังครับ”
  ผมยิ้มแห้งๆ
  “โอ้ย..ไม่มีหรอก พี่มีแฟนกับเค้าที่ไหนอ่ะ จะแต่งงานกับชีทวิชาประวัติศาสตร์อยู่แล้ว ดูสิ หัวฟูแล้วเนี้ยะ”
  เธอหัวเราะแล้วชี้ให้ผมดูผมที่มัดรวบอย่างหยาบๆไว้เป็นมวยที่ด้านหลัง
  “จะพาพี่ไปเดทก็ได้นะ น้องติว พี่เก้งว่างเสมอ
ฮิๆๆ”
  เก้งหัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้น
  “เดี๋ยวพี่ต้องไปแล้วล่ะ เข้าเลคเชอร์อาจารย์ภุมรินทร์ “เธอพูดเบาๆ “น่าเบื่อมากกกกกกกกก
”
  เก้งยิ้มและเดินจากไป ในใจผมอยากจะร้องไชโยออกมาดังๆ นี่ถ้าหากว่า คืนวันที่ 14 กุมภานี้ ไม่มีงานที่คณะ ที่ผมต้องเล่นเป็นเก้งละก็ ผมอาจจะลองชวนเก้งออกไปเดินเล่นแถวถนนข้าวสาร รู้มาว่า เธอชอบไปเดินเล่นแถวนั้นกับเพื่อนๆ แต่คืนวันนั้น เธออาจจะมาที่นี่พร้อมพวกรุ่นพี่ก็ได้ วันนั้นเราจะมีเซอร์ไพรส์กัน
  ผมแอบเอาหลอดยาดมที่เธอให้มาซ้อมด้วยประจำ นัยว่า เก้งเป็นหน่วยพยาบาลช่วงรับน้อง จำเป็นทีเดียวที่เธอจะต้องมีอุปกรณ์ ผมยืมกระเป๋าพยาบาลจากห้องพยาบาลมหาลัยมาเล่นไม่ได้ ก็จำต้องอาศัยยาดมไปก่อน เอาไว้วันงาน ผมมีแผนจะทำยาดมหลอดยักษ์มาเรียกเสียงฮาของทุกคน
  เย็นวันนั้น พวกเรามีคิวต้องซ้อมใหญ่กัน แต่จะเป็นที่คณะไม่ได้ เพราะจะเป็นที่สังเกตของรุ่นพี่ได้ง่าย ก็เลยตกลงใจจะขนคนทั้งหลายไปบ้านไอ้จอม เนื่องจากบ้านมันทั้งอยู่ใกล้และมีบริเวณกว้างขวาง และไอ้จอมยังเป็นหัวหน้าชั้นปี มันจึงต้องรับเอาหน้าที่ไปโดยไม่มีข้อแม้ จอมนัดทุกคนให้มาพร้อมกันที่บ้านเวลาบ่ายโมง แต่ส่วนมากก็มากันบ่ายสองตามธรรมเนียมซื้อ1แถม1 ด้วยความตื่นเต้น ผมไปถึงบ้านมันพร้อมไอ้โจราวบ่ายสองโมงครึ่ง
  ซ้อมกันจนฟ้าเริ่มมืดลง ผมกับไอ้โจยังไม่อยากกลับหอ ก็เลยนั่งเล่นที่บ้านไอ้จอมก่อน หอก็อยุ่ใกล้ๆ จะกลับเมื่อไหร่ก็ได้ ระหว่างที่กำลังนั่งเพลินๆ สายตาผมก็มองออกไปเห็นรถสีเหลืองคันหนึ่งวิ่งผ่านไป มันช่างเหมือนรถของเก้งเหลือเกิน แต่ผมอดใจไว้ไม่ถามอะไร และรอจนกว่าจะมีใครพูดออกมา
  \"พี่เก้งก็อยู่หมู่บ้านเดียวกะเราว่ะ เพิ่งนึกได้ ดีนะที่แกมาตอนที่เราซ้อมเสร็จแล้ว”
  จอมพูดพลางกระดกแก้วน้ำหวาน
  “เออ..เก้งมันอยู่ที่นี่ๆหว่า เพิ่งนึกออกเหมือนกัน”
  โจพูดออกมาบ้าง
  “แกรู้ได้ไงวะ ไอ้โจ”
  จอมสงสัย
  “เฮ้ย..เพื่อนข้าเลยเว้ย ไอ้เก้งสาวซ่าส์ ฮ่าๆๆ”
  โจหัวเราะราวกับมันมีเพชร80กะรัตแขวนคออยู่
  “เก้งมันน่ารักเว้ย..จอม ดูกวนๆแต่นิสัยมันดีมาก มันรักเพื่อนน่าดู แต่หลังๆดุมันแก่ไปเยอะ ไปยินว่า มันเป็นโรคเครียด แล้วนี่ข้าเรียนๆที่นี่ไป จะแก่ขนาดไหนกันวะ”
  โจคว้าขนมมาใส่ปากพลางพูดไป ผมได้นั่งฟังเงียบๆ และนึกเป็นห่วงเธอเหลือเกิน
  เช้าวันที่14 กุมภา ทางเดินหน้ามหาลัยที่เคยว่างเปล่าก็เต็มไปด้วยแผงขายดอกกุหลาบและตุ๊กตา มีทั้งเป็นช่อ และดอกเดี่ยวๆ ผมอยากจะซื้อสักดอกหนึ่งให้เก้ง แต่วันนี้จะหาเรื่องอะไรไปให้เค้าช่วยอีกก็นึกไม่ออก ชีทที่ขอมาแทบไม่ได้อ่านเลย
  “อ้าว
ไอ้เก้งมาเช้าเหมือนกันนี่หว่า วันนี้แปลกเว้ย”
  “แปลกไรวะ”
  ผมถามโจพร้อมกับมองตามรถของเธอ
  “อ้าว ไม่รู้ไร ไอ้เก้งตื่นสายจะตาย บ้านมันอยู่แค่นี้ มันมาเรียนสายประจำ”
  รถของเก้งเลี้ยวหายไปในที่จอดรถด้านหลัง ผมไม่กล้ามองต่อ กลัวไอ้โจจะจับได้ ผมกับโจเดินจ้ำอ่าวจนผ่านทิวต้นสนมา เกือบจะถึงหน้าคณะอยู่แล้ว เก้งก็โผล่มา
  “หวัดดี”
  เธอทักทายสั้นๆและยิ้มน้อยๆ เก้งคงจะมีเรียนตอนเช้าละมั้ง อาจารย์ที่นี่ชอบนัดเวลาแปลกๆอยู่เรื่อยนี่นา
  “ดีคร้าบบ..พี่เก้ง”
  โจยิ้มกว้างล้อเลียนเพื่อนเก่า ส่วนผมยังไม่ทันพูดอะไรเลย เธอก็เดินฉับๆหายไปในโถงลิฟท์เสียแล้ว
  “มันรีบไปไหนวะ”
  ผมกับโจมองไม่เห็นเก้งแล้ว เพราะเราเดินเลยหน้าคณะมาและกำลังตรงไปโรงอาหาร ผมได้แต่คิดว่า ขอให้เธอมีปัญหาอะไรอีกเลย ไม่ว่าเรื่องตื่นสายหรืออะไรก็ตาม
  ฟ้ามืดแล้ว พวกเราแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย แต่ไฟเวทีบนดาดฟ้ายังคงปิดเงียบ เพลงเปิดคลอไปเบาๆ ทำให้ผมผ่อนคลายไปได้พอสมควร โจช่วยผมซ้อมบทอีก2ครั้งก่อนที่เราจะขึ้นเวทีกันจริงๆ จอมนัดพวกเราว่า เมื่อพวกพี่ๆที่ถูกปิดตาขึ้นมา จะมีแสงเทียนจะค่อยๆสว่างขึ้น ให้พวกที่แสดงขึ้นไปยืนบนเวที จะไม่มีเสียงเพลง แต่จะมีสปอตไลท์ฉายไปบนเวทีพร้อมๆกับที่แต่ละคนจะขยับตัว และเสียงเพลงจะเริ่มบรรเลง ตอนนี้ผมจะกระโดดออกมาพร้อมกับชุดนางพยาบาลและยาดมหลอดยักษ์ คิดแล้วอดขำตัวเองไม่ได้ เอาเป็นว่า จะตลกให้เก้งดูเป็นการขอบคุณที่สอนการบ้านผม
  และแล้วก็มีแสงเทียนจางๆเกิดขึ้นที่ทางขึ้นดาดฟ้า ผมและพรรคพวกรีบขึ้นไปบนเวที เข้ายืนตามตำแหน่งที่จัดไว้ แต่แทนที่สปอตไลท์จะสว่าง ไฟทุกดวงกลับถูกเปิด ผมเห็นจอมวิ่งกระหืดกระหอบมา
  “พี่เก้ง พี่เก้งกินยาตาย..”
  ผมรีบกระโดดลงจากเวที ปลดผ้ากันเปื้อนและที่คาดผมออก และรีบวิ่งไปให้เร็วที่สุดเท่าที่สองขาจะไปได้ ตรงออกไปที่ประตูทางออกมหาลัย ผมวิ่งฝ่าการจราจรข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามและเรียกรถแท๊กซี่
  “พี่..ไป ..ไปเลย เดี๋ยวผมบอกว่าอยู่ไหน”
  แท๊กซี่ทำหน้าตกใจเหมือนโดนปล้น เค้าละล่ำละลักขับออกไปอย่างรวดเร็วจนตัวผมเด้งไปติดเบาะ แต่ผมไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
  “เลี้ยวซ้ายเลยพี่ ไปเลยๆ” ผมเร่งคนขับจนเค้าขมวดคิ้ว”ตรงไปครับ..นี่ๆ เลี้ยวซ้ายนี่ครับ ซอยนี้” รถเลี้ยวเข้ามาในวอยบ้านจอม ผมรีบควักเงินจากระเป๋ากางเกงส่งให้คนขับ จนทำหลอดยาดมหล่นลงพื้น ก่อนที่ผมจะก้มลงไปเก็บ แท๊กซี่คนนั้นก็ถอยไปทับมันแตกละเอียดไปกับพื้น
  “โธ่เว้ย! ไอ้บ้า ไม่ได้ดูเลย” ผมตะโกนด่ามันก่อนจะรีบวิ่งเข้าหาบ้านที่มีรถของเก้ง จนผมวิ่งมาสุดซอย มันจะสายไปรึเปล่านะ
  “พี่เก้ง..!”ผมตะโกนลั่น”พี่เก้ง! ได้ยินไม๊ครับ ผมติวนะครับ”ผมรีบเปิดประตูรั้วเข้าไป ประตูบ้านที่ถูกเปิดไว้ ภายในมีผู้หญิงวัยกลางคนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ เธอหยุดคุยและหันหน้ามามองผม
  “หนูเป็นเพื่อนเก้งรึเปล่าลูก เก้งไปโรงพยาบาลแล้วนะ อยู่ใกล้ๆนี่น่ะ โรงพยาบาลศินารานะ”
  “ครับๆ” ผมปากคอสั่น ยกมือไหว้และรีบวิ่งออกมาจากบ้านเธอ วิ่งตรงออกมาที่ถนนใหญ่ โบกไม้โบกมือเรียกแท๊กซี่ราวกับคนบ้า
  “ไปโรงบาลศินาราครับพี่ ด่วนเลยครับ” ตัวผมสั่นไปทั้งตัว มือที่มีอยู่แค่2มือก็ไม่รู้จะเอาวางไว้ไหน ผมจึงเอามือปาดเหงื่อออกแต่บางอย่างกลับไหลลงมาบนใบหน้า น้ำตานั่นเอง มันมาจากความเหนื่อยหรือความตกใจกันแน่ หรือผมรู้ตัวว่ากำลังจะสูญเสีย ความคิดสับสนมากมายอยู่ในหัว ภาพของเก้งวิ่งเข้ามามากมาย ตั้งแต่วันที่เธอมาช่วยพยาบาลผม ช่วยเอาชีทเก่าๆมาให้ ทั้งที่ไม่รู้เลยว่า นั่นเป็นแค่แผนหลอกศึกษาท่าทางของเธอเพื่อเอามาเล่นละคร ถ้าวันนี้เธอเห็นผมแสดงบนเวทีเธอจะโกรธผมไม๊  ทั้งๆที่เธออุตส่าห์ไปหามาให้ผม ช่วยอธิบายการบ้านให้ผมแท้ๆ
  “เก้ง..ผมขอโทษครับ ผมขอโทษ วันนี้ผมน่าจะชวนคุณออกไปเดินเล่น หรือ นั่งกินข้าว อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การหลอกคุณ  ผมคิดได้น้อยไป เพราะผมมันสมองอยู่แค่นี้”
  ผมร้องไห้ไม่ลืมหูลืมตา จนแท๊กซี่หันมาบอกว่า “ถึงแล้วน้องโรงบาลศินารา” ผมจึงได้เงยหน้าขึ้นและหยิบเงินให้ไป จากนั้นก็วิ่งตรงไปที่เคาเตอร์ แต่..แต่ผมไม่รู้ว่า เก้งชื่อจริงว่าอะไร
  “ขอโทษนะครับ คือว่า เมื่อสักครู่มีผู้ป่วยที่กินยาฆ่าตัวตายเข้ามามั่งไม๊ครับ คือ..คือ ผมไม่รู้ว่า เธอชื่อจริงว่าอะไรน่ะครับ เธอ..เธออายุราวๆ18-19 ครับ”
  “สักครู่นะคะ..”
  พนักงานตอบแล้วก้มหน้าก้มตาหาในคอมพิวเตอร์
  “มีหนึ่งรายนะคะ อยู่ห้องฉุกเฉินค่ะ..เดิน..”
  ทันทีที่เธอจะพูดอะไรจบ ผมก็รีบวิ่งไปหา แต่ในเมื่อไม่เคยมาก็ยากที่จะหาเจอ ผมจึงเข้าไปถามพยาบาลที่เดินอยู่
  “พี่ครับ โทษนะครับ ห้อง..ห้องฉุกเฉินอยู่ไหนครับ”
  ผมหายใจแทบไม่ทัน
  “สุดทางเดินซ้ายมือเลยค่ะ”
  พยาบาลชี้มือให้ ผมขอบคุณและวิ่งจากมาอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจ ผมก็เห็นประตูห้องฉุกเฉินเปิดอยู่เบื้องหน้า ผมก้าวเท้าเข้าไปอย่างช้าๆ เห็นม่านสีฟ้าปิดอยู่ พยาบาลกำลังวิ่งวุ่น เข็นรถใส่เครื่องอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด บางคนใส่ถุงมือเตรียมทำอะไรสักอย่าง อีกคนกำลังตัดสายยางใสๆ อีกคนเตรียมน้ำยาสีฟ้าใส่ขวด ผมกลั้นใจเดินเข้าใกล้อีกนิด ให้พอจะเห็นได้ว่า หลังม่านนั้นมีอะไรอยู่
และผมก็พบว่า ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงคนไข้นั้น คือ เก้ง เธอหลับตาสนิท
  “น้องคะ เป็นญาติผู้ป่วยรึเปล่าคะ”
  พยาบาลคนหนึ่งในนั้นถามผม
  “ครับ เป็นน้องครับ เอ่อ รุ่นน้องที่มหาลัยน่ะครับ”
  “งั้นเชิญข้างนอกเลยนะคะ เดี๋ยวเราจะทำงานนะคะ”
  ผมเห็นพยาบาลใส่ถุงมือพร้อมกันหมด ก็เลยเดินถอยหลังมาห่างๆ แต่ก็พอจะเห็นได้ว่า เค้ากำลังจะเอาสายยางใส่เข้าไปในปากของเก้ง คนที่เตรียมน้ำยาสีฟ้า รินน้ำนั่นลงไปตามท่อ สักพักเก้งก็แสดงอาการเหมือนคลื่นไส้ พยาบาลรีบเอาถาดมารอง แต่ไม่มีอะไรออกมาเลย
ผมยืนมองเค้าทำอย่างนั้นกับเก้งเป็นสิบๆรอบ เก้งจะต้องเจ็บมากแน่ๆ ตอนนี้สีหน้าของเธอเริ่มกลายเป็นสีม่วงจะด้วยพิษยาที่เธอกินเข้าไปหรือยาที่พยาบาลให้ก็ตาม เธอดูน่าสงสารมาก ตาของเธอไม่เคยลืมเลยตั้งแต่ผมมายืนดูอยู่นี่ เธอหลับหรือว่าไม่มีแรงแม้แต่ลืมตา นางพยาบาลเริ่มหยุดและคุยกัน หนึ่งในนั้นเดินไปที่โทรศัพท์ คุยอะไรอยู่สักพัก ก็เดินกลับมาบอกกับคนที่เหลือ ทุกคนพยักหน้า และผละออกมาจากเก้ง พวกเค้าเดินไปเข็นถังออกซิเจนและต่อท่อเค้ากับเก้งผมยืนตะลึงอยู่อย่างนั้น พูดอะไรไม่ออก มีเหตุผลอะไรที่เธอต้องยอมทำให้ตัวเองทรมานถึงเพียงนี้
  สักพักหนึ่ง หมอก็มาที่ห้องฉุกเฉิน
  “หมอครับ พี่เก้งจะถูกย้ายไปไหนหรอครับ”
  ผมรีบเดินเข้าไปถาม
  “ไปห้องไอซียูครับ ร่างกายเธอไม่รับยาที่เราให้เข้าไป ถ้าเธอยังเป็นอย่างนี้ก็น่าเป็นห่วงนะครับ”
  ผมหน้าเสีย
  “แต่ว่า ถ้าไปอยู่ที่นั่น ก็น่าจะดีนะครับ มีพยาบาลดูแล เครื่องมือก็ดีกว่า”
  หมอหันมาพูดกับผมก่อนที่จะ สั่งพยาบาลให้เข็นเธอไป ผมยืนมองเตียงของเธอค่อยๆเคลื่อนไป เก้งยังคงหลับตาสนิท ริมฝีปากเริ่มกลายเป็นสีม่วงอย่างเห็นได้ชัด เหงื่อไหลอยู่บนใบหน้า เหมือนคนที่เหนื่อยมาก ผมตัดสินใจเดินตามเธอไปด้วย
  “พี่เก้ง..ติวมาเยี่ยมพี่นะ พี่ไม่เป็นไรแล้วนะครับ”
  ผมเดินไปพร้อมๆกับจับที่ขอบเตียง แต่เธอก็ยังคงไม่รู้สึกตัวอยู่ดี หมอนำเธอมาถึงห้องไอซียูแล้ว มาถึงตอนนี้ผมคงเข้าไปไม่ได้ ผมจึงพูดกับเธออีกครั้งว่า
  “พี่เก้ง ผมอยู่ข้างๆพี่นะครับ พี่ต้องสู้นะครับ”
แล้วเค้าก็เข็นเตียงเธอหายไปหลังประตูสีขาว
  ผมตัดสินใจโทรหาโจกับจอม ไม่นานนักเกือบทั้งคณะก็ไปโผล่ที่หน้าห้องไอซียู เพื่อนสนิทของเก้ง ไม่ว่า จะเป็นพี่อั้ม พี่นิด หรือพี่ฟาง ตัวฮาของชั้นปี ต่างยืนเงียบ ส่วนพี่เอ้ เพื่อนผู้หญิงนั้น นั่งร้องไห้ไม่หยุดเลย
  “ไอ้บ้าติว เกือบโดนรถชนนะ แกน่ะ ข้ามไปได้ไง รถมันเยอะออกอย่างนั้นอ่ะ”
  จอมด่าผม ผมอยากจะบอกว่า ถึงผมจะโดนรถชนก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าหากตอนนั้นผมได้ไปทันช่วยเธอละก็ อะไรผมก็ยอม ผมเงยหน้ามองไปรอบตัว บรรยากาศแบบนี้เป็นสิ่งที่ผมไม่คุ้นเคยมาตลอดชีวิต ถึงแม้ผมจะไม่ได้ชีวิตที่โลดโผน แต่ความเงียบงันอย่างนี้เป็นสิ่งที่ผมไม่คาดคิดว่าจะเจอโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ผมรู้สึก “รัก” อย่างเก้ง ผู้ชายเงียบๆ แต่งตัวธรรมดา มีโลกอยู่ในหนังสือรถแข่งและเกมส์  พอรู้ตัวว่ามีความรักก็กลับอกหักตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น ผมยังไม่ได้บอกใครเลยแม้แต่ตัวเองว่า ผมจะจีบเธอแล้วนะ ผมชอบเธอมากๆ
  พยาบาลเดินออกมา บอกให้เรารู้ว่า ตอนนี้เก้งรู้สึกตัวแล้ว พวกเราเฮกันใหญ่เหมือนเธอจะกลับบ้านได้ พวกพี่อั้มขอเข้าไปเยี่ยม นางพยาบาลอนุญาต แต่บอกว่า ให้เข้าไปทีละ4คนเท่านั้น ผมไม่ได้แสดงท่าทางว่าอยากเข้าไป เพราะอยากให้พวกเพื่อนๆเก้งเข้าไปก่อน แต่พี่เอ้ก็เอ่ยปากชวนผม
  “ติวเข้าไปกับพวกพี่ไม๊”
  “เอ่อ..ไม่ล่ะครับ ผมรอหน้าห้องดีกว่า”
  ผมยิ้มก่อนที่พวกพี่อั้มจะเดินเข้าไปในห้องไอซียู
  5นาทีผ่านไป พวกพี่ๆก็เดินออกมา พี่เอ้เดินมาพูดกับผมว่า
  “ติว..พี่เก้งอยากเจอน่ะ พี่เค้าจะคุยอะไรด้วย”
  แล้วพวกพี่อั้มก็ไปคุยอาการให้พี่ชั้นปีโตๆฟัง ผมก็เลยตัดสินเดินเข้าไปข้างในห้องนั้น
  ผ่านประตูสีขาวเข้าไป นางพยาบาลบอกให้ผมเปลี่ยนรองเท้าเสียก่อน ผมถอดไปมองหาเก้งไป เธอนอนอยู่เตียงทางขวามือริมสุด ผมเดินไปเธอช้าๆ เธอยิ้มน้อยๆให้ผม
  “ขอบคุณมาก..ติว อุตส่าห์มา”
  แววตาขี้สงสัยหรี่ลงเกือบปิดสนิท
  “ครับ..”
  นั่นเป็นเพียงคำเดียวที่ผมพูดออก ทันทีที่เห็นน้ำตาค่อยๆไหลลงมา ริมฝีปากสีม่วงแห้งผาก เม็ดเหงื่อที่ก่อนหน้านี้ผุดขึ้นเต็มใบหน้า หายไปแล้ว เหลือเพียงร่องรอยของน้ำยาที่เปรอะเปื้อนอยู่ตามแก้ม
  “พี่ยังมีชีทให้ติวอีกนะ
ที่บ้านน่ะ
”
  ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเก้ง ผมอยากจะบอกว่า ผมไม่อยากได้ แต่เธอคงจะเหนื่อยเกินไปที่จะฟังผมพูดแล้ว ตอนนี้ตาของเธอหลับลงอีกครั้ง แต่เธอยังคงพูด
  “อยาก
กินน้ำส้มจังเลย
”
  “รอเดี๋ยวนะครับ..แป็บเดียวเท่านั้น”
  ผมรีบเปลี่ยนรองเท้า และวิ่งออกไปที่ตู้หยอกเหรียญที่หน้าลิฟท์ กดเอาน้ำส้มกระป๋องเย็นๆออกมา แล้ววิ่งกลับเข้าไปในห้องไอซียู เปลี่ยนรองเท้า และเปิดฝากระป๋องน้ำ
  “คนไข้ทานไม่ได้นะคะ”
  นางพยาบาลเดินมาตรงหน้า ผมไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ก็ไม่ได้ดื้อดึง กระป๋องน้ำส้มจึงยังคงปิดสนิท
  “ผมเอามาแล้วนะ พี่เก้ง”
  ผมชูกระป๋องน้ำส้มไว้ตรงหน้า เธอลืมตาขึ้นมาดูและกลืนน้ำลาย
  “แฮปปี้..วาเลนไทน์นะ ติว..ฉลอง..”
  เธอชี้มือมาที่กระป๋องน้ำส้ม
  “พี่กินไม่ได้นะฮะ หมอเค้าห้ามกิน”
  เก้งถอนหายใจและเบื้อนหน้าหนี
  “เฮ้อ
อะไรก็ห้ามนะ
ทุกคนเลย”
  ผมไม่เข้าใจว่า เก้งหมายถึงอะไร
  “พี่เก้งครับ ออกจากโรงพยาบาลผมซื้อให้พี่2โหลเลย แต่ตอนนี้พี่กินไม่ได้จริงๆนะครับ”
  เธอหันหน้ากลับมาอย่างมีความหวัง
  “งั้น..ขอจับหน่อยสิ”
  เธอยื่นมืออันสั่นเทาออกมา ผมค่อยๆประคองกระป๋องน้ำส้มไม่ให้หล่นจากมือเธอ
  “เย็น
ดี”
  เก้งค่อยๆดึงมือผมให้สูงขึ้นไปที่ใบหน้า เธอกำลังเอากระป่องน้ำส้มสัมผัสกับใบหน้าตัวเองและหลับตาพริ้ม ราวกับได้สัมผัสสิ่งที่มีค่าที่สุดในโลก ผมต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ เพราะตอนนี้ที่ใบหน้าของเธอมันกลายเป็นสีม่วงคล้ำไปหมดแล้ว ทั้งตา หู จมูก ปาก
  “ขอบคุณ
ติว”
  เธอยิ้มอีกครั้ง และส่งกระป๋องน้ำส้มให้ผม ถึงตอนนี้เธอเริ่มมีอาการอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด มือไม้เริ่มแข็งเกร็ง
  “กินสิ..กิน”
  เก้งหันมาพูดกับเป็นเชิงขอร้อง ผมจึงต้องเปิดกระป๋องน้ำส้มและดื่มอั่กๆต่อหน้าเธอ
  “ของ..ขวัญ”
  เก้งยิ้มละไม มือของเธอไม่มีอาการหงิกงอเหมือนสักครู่ ที่ดูอึดอัดเหมือนคนหายใจไม่ออกก็หายไป เหมือนกับเธอได้ผ่อนคลาย เก้งหลับตาไปอีกแล้ว แต่เดี๋ยวก็คงจะลืมตามาอีกแน่ ผมจึงหยุดดื่ม แล้วก้มลงวางกระป๋องน้ำส้มข้างๆตัว เพื่อจะได้เอื้อมมือไปกุมมือเธอที่วางทอดอยู่ใกล้ๆกับผม แต่แล้ว พอเงยหน้ามาอีกที เสียงเครื่องมือก็ดัง “ตื้ดๆๆๆๆ” ไปทั่ว ผมตกใจมากจึงพยายามจะเอื้อมมือไปจับมือเก้งเอาไว้ ผมไม่อยากให้เธอกลัว แต่พยาบาล2คนที่กรูเข้ามา ทำให้ผมเหมือนถูกผลักกระเด็นออกไป รู้สึกได้ว่า เท้าผมไปเตะกับกระป๋องน้ำส้ม น้ำส้มไหลออกมามากมาย จนนางพยาบาลเงยหน้าขึ้นมาค้อนผม ระหว่างที่ทุกอย่างดูโกลาหล ผมก็พยายามก้มลงเก็บกระป๋องน้ำส้ม แต่พยาบาลอีกคนที่รีบร้อน ก็เข็นรถเครื่องมือเข้ามาชนขาของผมพอดี \"โอ้ย..!!\" ผมร้องออกมาด้วยความเจ็บ แต่ก็ไม่ยอมปล่อยกระป๋องน้ำส้มให้หลุดมือ ผมเงยหน้าเห็นคนที่นั่งตรงเคาร์เตอร์โทรเรียกหมอที่ต่อมาอีกไม่กี่นาทีก็มาถึงเตียงของเก้ง คนมากมายไปหมดจนผมมองไม่เห็นอะไรเลย ผมทั้งตื่นเต้น กลัวและหลงทาง ผมทำอะไรไม่ถูกเลย จนนางพยาบาลคนหนึ่งก็มาเชิญผมออกไป
  ผมนั่งทรุดอยู่ตรงหน้าห้องนั้น หลังประตูสีขาว ผมได้ยินเสียงหมอสั่งพยาบาลอุตลุด เสียงเครื่องมือดังไม่หยุดหย่อน ผมกลัวเหลือเกิน กลัวว่า นี่จะเป็นการบอกลา กลัวว่านี่จะเป็นการพูดคุยกันครั้งสุดท้าย น้ำตาของผู้ชายคนหนึ่งไหลลงมาอย่างเยือกเย็น ราวกับว่า มันรู้ตัว มันรู้ว่า มันจะได้ออกมาจากสองตาของผม
  “ขอโทษนะคะ..”
  ชายหญิงคู่หนึ่งยืนเบื้องหน้าผม ใบหน้าช่างดูคล้ายเก้งเหลือเกิน ผมหลีกทางให้เค้าทั้งสอง อาศัยจังหวะตอนประตูยังไม่ปิดสนิท มองลอดเขาไปข้างในผมเห็นทั้งคู้ยืนร้องไห้ข้างๆเตียงที่คลุมผ้าขาวไว้!!!
  ทันใดนั้นทั้งโลกก็เงียบสนิท หูของผมอื้อ ตาพร่า ลิ้นแข็ง ร่างกายชาไปทั่ว ก็ไม่กี่นาทีที่แล้ว ผมยังเห็นเธออยู่กับผม เธอยังคุยกับผมและมองตา ผมได้ยินเธอบอกกับผมว่า ขอให้มีความสุข ผมยังจดจำรสหวานของน้ำส้มที่เธอบอกให้ผมลองดื่ม น้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสาย ผมเห็นแววตาซุกซนคู่นั้นมองมาที่ผม เธอเคยถามผมว่า ทำไมผมชอบดื่มแต่กาแฟ ทำไมผู้ชายไม่ชอบใส่ใจสุขภาพ ผมตอบเธอว่า จริงๆแล้วผมใส่ใจแต่ผมไม่แสดงออก เธอหัวเราะ และถามผมต่อว่า แล้วยังมีผู้ชายคนไหนไม๊ ที่ใส่ใจผู้หญิงแล้วไม่แสดงออก ผมบอกว่า ผมไม่รู้ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องนี้ ทั้งๆที่ผมรู้และรู้ด้วยว่า ควรจะทำอย่างไรต่อไป แต่ผมก็ไม่เคยสักครั้งที่จะบอกเก้ง  ผมไม่กลัวอกหักหรอก แต่ผมเพียงแต่คิดว่า เวลาสั้นๆแค่นี้มันไม่พอที่จะทำให้เธอคิดอะไรออก ไม่พอที่จะทำให้เธอพอใจหรือโกรธด้วยซ้ำ แล้วเราก็คุยกันเรื่องอื่นต่อ โดยที่ไม่ได้วนกลับมาที่เรื่องนี้อีกเลย วันนั้นที่ผมคุยกับเธอ มันเพิ่งผ่านไปเพียง3วันเท่านั้นเอง เราคงจะไม่มีโอกาสได้พูดกันอีกแล้ว..ตลอดกาล
  แล้วดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาของผม เหลือบไปเห็นกระป๋องน้ำส้มที่เธอสัมผัส กลิ้งคาอยู่ปากประตู ผมเอื้อมมือไปหยิบมันมา เอามือลูบไปเบาๆราวกับกำลังสัมผัสมือของเธอ ใบหน้าน่ารักของเธอ ผมก้มลงคร่ำครวญกับกระป๋องเปล่านั้นเหมือนคนเสียสติ เก้งคงอยากจะสอนให้ผมรู้สึกคุณค่าของการได้ลิ้มรสความหวานบ้าง เธอคงอยากให้ผมแสดงความรู้สึกออกมาให้เธอเห็น เพราะไม่ว่ากับเรื่องอะไร ผมก็ไม่เคยตั้งใจแสดงความรู้สึกออกมาให้เธอรับรู้เลยสักครั้ง แต่เธอก็ไม่เคยรำคาญผมเลย ทั้งๆที่ตลอดมา ผมเป็นฝ่ายขอ..ขออะไรต่อมิอะไรจากเธอ แต่เธอก็ช่างเป็นผู้ที่ให้จริงๆ ให้ในสิ่งที่ผมเห็นและผมไม่เห็น
  เก้งถูกพบว่า เครียดจนเสียชีวิต ไม่ใช่กินยาตาย เธอทะเลาะกับแม่เรื่องเรียนในวันนั้น เก้งเสียใจที่สุขภาพเธอไม่ดีขึ้นตามที่ได้สัญญากับแม่ไว้ แม่เธอต้องการให้เธอดรอปเรียนและพักผ่อนให้แข็งแรงเสียก่อน เธอเครียดมาก เครียดจนหายใจไม่ออก จึงไปหยิบยามากินเพื่อให้อาการดีขึ้น แต่สายไป ก่อนที่ยาจะออกฤทธิ์ เธอก็แน่นิ่งไปเสียแล้ว
  10 ปีผ่านไป เผลอแป็บเดียวก็เป็นวันที่14 กุมภาอีกแล้ว ปีนี้ผมซื้อดอกกุหลาบ มันเป็นกุหลาบช่อใหญ่ สีสด และมีกลิ่นหอม เหมาะกับหญิงสาวที่น่ารัก ผมเดินไปตามทางอิฐสีขาว ที่นำไปสู่ลานกว้าง ที่นั่นแสงอาทิตย์ยอมเช้าทอประกายสวยงามลอดลงมาตามช่องว่างของใบไม้ เป็นริ้วๆ นกร้องเพลงเพราะ แล้วผมก็พบเธอ เธอยังคงสดใสและยิ้มแย้มเช่นเดิม ผมยื่นดอกไม้ให้เธอ พร้อมกับพูดว่า
  “เก้งครับ
แฮปปี้วาเลนไทน์ ติวรักเก้งเสมอนะ
คนดี”
  ไม่มีเสียงตอบใดๆ นกน้อยยังคงร้องเพลงต่อไป ขณะที่ผู้ชายอย่างผมก็ยังร้องไห้กับวันแห่งความรักอย่างวันนี้เช่นเดิม  ผู้ชายในโลกนี้จะเสียอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ผู้หญิงที่เค้ารัก มิฉะนั้นชีวิตก็จะหมดความหมาย เช่นเดียวกับชีวิตผม...ชีวิตที่มีโอกาสแต่รั้งรอที่จะใช้มัน หลายครั้งที่คนถามผมเรื่องการดำเนินชีวิต ผมไม่อาจจะสอนใครได้ว่า ควรทำอย่างไร ก็ได้แต่บอกเค้าไปว่า ควรจะแสดงความเอาใจใส่กับสิ่งรอบตัวบ้างไม่ว่าอะไรก็ตาม เพราะเมื่อถึงเวลาที่มันขาดหายไป เวลานั้นเราจะเพิ่งรู้ตัวว่า ต้องการมันเหลือเกิน..
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น