เรื่องรัก
                        เช้าวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส สายลมพัดใบไม้ส่ายไปมาเสมือนกับว่ามันมีชีวิต  เรือนพักหลังใหญ่มีคนชราอาศัยอยู่เต็มไปหมด มองดูแล้วก็น่าอนิจจาคนชราหล่าวนี้คงถูกลูกหลานพามาปล่อยไว้ที่แห่งนี้ที่ๆหลายคนเรียกว่า 
“บ้านพักคนชรา”    คุณตาสมชายก็เช่นกัน แกอยู่ตัวคนเดียวมานานแล้วเพราะแกไม่มีครอบครัวเหมือนกับคนอื่นๆ หรือเรียกง่ายๆว่าแกไม่เคยมีคนที่แกรักเลยซักคน อยู่ที่นี่แกก็ได้คนชราอื่นๆเป็นเพื่อนคุยบ้างทำโน่นทำนี่บ้างตาภาษาคนแก่ๆ  ที่บ้านพักคนชราแห่งนี้มีทั้งชายและหญิง แต่ก็แยกเรือนกันอยู่เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย จะได้เจอกันบ้างก็ช่วงทานอาหารเท่านั้น คุณยายจันทร์ก็เป็นคนแก่อีกคนหนึ่งที่ถูกลูกหลานพามาปล่อยไว้ที่นี่เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ยายจันทร์เป็นคนแก่ที่ไม่ค่อยพูดค่อยจากับใคร แก่ชอบปลูกต้นไม้ คงมีแต่ต้นไม้เท่านั้นที่เป็นเพื่อนคลายเหงาของแก                                 
                        9โมงเช้าแล้วได้เวลาทานอาหารเช้า คนชราถูกพามารวมกันที่โรงอาหาร ตาสมชายเดินถือถาดอาหารเข้าแถวรับอาหารเช่นเดิมกับทุกๆวัน  เมื่อเจ้าหน้าที่ตักข้าวใส่ถาดให้แกแล้ว แกก็เดินไปที่โต๊ะอาหารที่มีเพื่อนของแกนั่งอยู่ก่อนแล้ว
                   
“ เอ็งดูนางคนนั้นสิสงสัยว่าเพิ่งเข้ามาอยู่ที่นี่นะ เพราะข้าไม่เคยเห็นเลยว่ะ”  เสียงตาแม้นพูดขึ้น
                   
“ เอ่อใช่ว่ะข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน”  ตาก้อนพูดขึ้น ทำให้สายตาของตาสมชายมองไปทางผู้หญิงที่ตาแม้นกับตาก้อนพูดถึง
                        เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วคืนนี้ท้องฟ้าเงียบเหงาไม่มีดวงดาวเลยสักดวง ตาสมชายนั่งอยู่ที่ริมระเบียงในใจกำลังครุ่นคิดถึงหญิงชราเมื่อตอนทานข้าว  ทุกๆวันในตอนทานข้าวตาสมชายก็จะแอบมองยายจันทร์อยู่เสมอๆ และในตอนค่ำคืนก็จะออกไปนั่งดูดาวที่ริมระเบียงและก็คิดถึงหญิงชราคนนั้นตลอด แกก็สงสัยใจตัวเองเหมือนกันว่าแกเป็นอะไรทำไมถึงต้องไปคิดถึงยายคนนั้นด้วย  แกก็ไม่เคยมีความรู้ประหลาดอย่างนี้กับใครซะด้วย หรือคงจะเป็นเพราะว่าแกตกหลุมรักยายจันทร์เข้าแล้ว
                   
“ไม่ซิฉันไม่ได้รักยายซักหน่อย” แกพูดกับตัวเอง
                        เวลาผ่านไปเรื่อยๆคนชราคนอื่นๆก็ปฎิบัติกิจวัฒน์ประวันกันอย่างปกติ ตาสมชายก็เช่นกัน แกยังคอยแอบมองยายจันทร์ตลอดในช่วงเวลาเล็กน้อยตอนทานข้าวมันทำให้แกมีความสุขทุกครั้งที่แกได้มองยายจันทร์ทำโน่นทำนี่
                   
“หรือว่าฉันรักยายจริงนะๆ” แกพูดขึ้นในใจ แกเลยตัดสินใจที่จะบอกความรู้สึกที่แกมีให้กับยายจันทร์ได้รับรู้ แต่แกเป็นคนที่ไม่เคยพูดกับผู้หญิงซักคนนอกจากแม่และก็ญาติๆของแก่ มีทางเดียวที่แกจะบอกกับยายจันทร์ได้ ก็คือพับนกกระดาษ แกเลยเริ่มพับนกตัวแรกโดยที่เขียนความรู้สึกที่แกมีให้กับยายจันทร์ไว้ในกระดาษที่แกใช้พับนก
                   
“ฉันแอบมองยายทุกวันเลยนะ แต่ยายก็คงไม่รู้หรอก” นกกระดาษตัวแรกถูกนำไปใส่ในขวดโหล
                        ตาสมชายหวังหวังว่านกกระดาษหรือที่แก่เรียกมันว่านกความรู้สึกที่อยู่ในขวดโหลนั้นจะเป็นตัวแทนคำพูดที่แกมีให้กับยายจันทร์ได้รับรู้ แกจะพับนกความรู้สึกจนเต็มโหลแล้วก็จะนำไปให้ยายจันทร์
                   
“วันนี้ฉันได้ยินเพื่อนๆยายพูดกันว่ายายไม่สบาย ฉันก็เป็นห่วงยายกลัวว่ายายจะเป็นอะไรมาก หายเร็วๆนะยาย”  ถ้อยคำที่มันกลั่นมาจากความรู้สึกของตาสมชายได้ถูกระบายลงในนกความรู้สึกตัวที่สอง
                   
“คืนนี้อากาศหนาว ฉันกลัวว่ายายจะเป็นหวัดอีกก่อนนอนอย่าลืมห่มผ้าด้วยนะยาย” นกความรู้สึกตัวที่สามถูกใส่ลงในขวดโหล
                        จนเดี๋ยวนี้การพับนกความรู้สึกได้กลายเป็นกิจวัฒน์ประจำวันอีกอย่างหนึ่งของแก่ไปแล้ว วันแล้ววันเล่าแกก็ยังคงพับนกความรู้เหล่านั้นใส่ขวดโหล อีกไม่กี่ตัวแกก็คงจะได้นำขวดโหลที่เต็มไปด้วยนกความรู้สึกของแกไปให้กับยายจันทร์สักที
                        เวลาผ่านไปเรื่อยๆความรู้สึกที่แกมีให้กับยายจันทร์ก็เพิ่มทวีคูณมากขึ้นกว่าเดิมที่แกเคยมีนี้วันนี้และสินะที่แกจะพับนกความรู้สึกตัวสุดท้ายสักที
\"ฉันรักยายนะ” และแล้วนกความรู้สึกตัวสุดท้ายก็ลงไปอยู่ในขวดโหลแกมีความสุขมากที่วันพรุ่งนี้แกจะได้เปิดเผยความในใจของแกสักที
                      เช้าวันนี้ฟ้ามืดครึ้มเมฆก่อตัวกันดำมืดทีเดียว และไม่ช้าฝนก็ตกลงมา ตาสมชายตื่นนอนแต่เช้าแต่ที่จริงแล้วแกก็นอนหลับๆตื่นๆอย่างนี้ทั้งคืน คงเป็นเพราะแกตื่นเต้นกะมังที่แกจะได้บอกความรู้ที่แกมีให้กับยายจันทร์ได้รับรู้ 9โมงเช้าได้เวลาแห่งความสุขของแกเพราะเป็นเวลาที่แกเฝ้าคอยมานานแสนนานแกหยิบขวดโหลนกความรู้สึกไปด้วยในตอนทานอาหาร เพื่อที่แกจะได้มอบมันไว้ให้กับยายจันทร์ แกเดินตากฝนไปโรงอาหารโดยแกเอาขวดโหลที่เต็มไปด้วยนกความรู้สึกใส่เข้าไปซุกในเสื้อของแกคงเป็นเพราะแกกลัวมันจะเปียกฝน
                      ดำเนินไปอย่างปกติอย่างวันเก่าๆที่มันเคยเป็นมาตาสมชายเดินไปหยิบถาดข้าวแล้วก็เดินไปเข้าแถวเพื่อรับอาหารเจ้าหน้าที่ตักข้าวใส่ถาดตาสมชายเหมือนทุกๆวัน เมื่อได้รับข้าวแล้วตาสมชายก็เดินไปที่โต๊ะอาหารและในขณะเดียวกันนั้นเอง
                 
“นี่เธอรู้รึเปล่าว่าเมื่อวานยายจันทร์ได้ไปสบายแล้วล่ะ” เสียงยายหอมเพื่อนสนิทของยายจันทร์พูดขึ้นมา
                 
“จริงสิเป็นอะไรตายล่ะแก” ยายหงบพูดถาม
                 
“ก็โรคหัวใจน่ะสิยายจันทร์เค้าเป็นมาตั้งนานแล้วล่ะ อาการก็เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายมาตลอดมาเมื่อวานนี่ล่ะที่ยายจันทร์คงมาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว”  ยายหอมตอบกลับไป
                  ตาสมชายได้ยินที่ยายหอมพูดกับยายหงบแล้วก็วางถาดข้าวทิ้งไว้บนโต๊ะแล้วรีบเดินออกจากโรงอาหารทันที ฝนยังคงตกอยู่เหมือนเดิมขวดโหลนกความรู้สึกก็ยังคงอยู่ในเสื้อตาของแกเหมือนเดิม เรือนพักขณะนี้ช่างเงียบเหงาเหลือเกินเพราะบรรดาตาๆยายๆทั้งหลายต่างก็ไปรวมตัวกันอยู่ที่โรงอาหาร แกเดินเข้าไปในห้องพักแล้วนั่นลงบนเตียงนอน น้ำตามันเอ่อล้นออกมา ทำไมเหมือนกับว่าโชคชะตาจงใจกลั่นแกล้งแกเหลือเกิน คืนนี้ที่วัดข้างๆบ้านพักคนชราจัดงานศพของยายจันทร์  แกจึงตั้งใจว่าไปเห็นหน้าคนที่แกรักเป็นครั้งสุดท้าย
แกเดินถือขวดโหลนกความรู้สึกไปด้วยฝนยังคงตกอย่างหนักแกเดินตากฝนเข้าศาลาที่ตั้งศพของยายจันทร์ แกเดินเข้าไปที่ข้างโลงศพแล้ววางขวดโหลนกความรู้สึกไว้ที่ข้างโลงศพยายจันทร์
                 
“ยายจ๋าวันนี้ฉันมีอะไรจะให้ยายด้วยล่ะนะ ยายรู้บ้างไหมว่าฉันน่ะรักยายมากแต่ฉันก็ไม่เคยที่จะได้บอกยายออกไปทุกๆความรู้สึกของฉันที่มีต่อยายน่ะมันอยู่ในขวดโหลขวดนี้ล่ะนะยาย ลองเปิดมันอ่านดูนะแล้วยายจะได้รู้ความรู้สึกทั้งหมดของฉันไงล่ะ” แกพูดออกมาอย่างมีความสุขที่ได้บอกความรู้สึกที่แกมีให้คนที่แกรักได้รับรู้แม้ว่ามันจะเหมือนกับแกพูดกับลมกับอากาศเท่านั้น น้ำตาของแกยังคงไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง แกเดินตากฝนออกจากศาลาวัดไปและก็ไม่ได้กลับเข้าไปในบ้านพักคนชราแห่งนั้นอีกเลย
                                                                                             
เจ้าชายน้อย
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น