มืด........ มืดเหลือเกิน........
ฉันมองอะไรไม่เห็นเลย......
        มีใครอยู่ที่นี่บ้าง...?
        แล้ว...ฉัน...มาทำอะไรที่นี่ล่ะ...?
ช่วยด้วย...ยยย!    ใครก็ด้าย.. 
ช่วยฉันที.......ช่วยฉันที...!!
           
    ...............................................เงียบ...................................................
ฮือ..ฮือ..ฮือ..ฮือ..ฮือ....
เสียงสะอึกสะอื้นร่ำไห้ของสาวน้อยผู้น่าสงสาร  เริ่มดังขึ้นจากความวังเวงที่เคยแผ่ซ่านไปทั่วทุกสารทิศ 
        น้ำตาของเด็กสาววัยดอกไม้แรกแย้มร่วงหล่นลงพื้น  โดยที่ไม่สามารถมองเห็นน้ำตาหยดนั้นเลย  และไม่มีใครรู้ว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร  แม้กระทั่งตัวเธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน  ความรู้สึกของเธอตอนนี้มีเพียงความงุนงง ความหดหู่ และแฝงไปด้วยความโศกเศร้า
อันที่จริงชีวิตของเธอตอนนี้น่าจะมีแต่ความสุขสดใส  หัวเราะเบิกบานอยู่กับเพื่อนฝูง  แต่เพราะเหตุไฉน  ทำไมเธอจึงมาอยู่ที่นี่เล่า...
        รอบกายของเธอตอนนี้มีเพียงความเงียบงัน  แม้กระทั่งเสียงน้ำตาหยดลงกระทบพื้น  ยังสัมผัสได้  ความมืดมิดทำให้ความหวาดกลัวเข้ามารุมเร้า  เกาะกินในใจของเด็กสาว  ความหนาวเหน็บเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายทำให้ตัวเธอสั่นสะท้าน...
       
เสียงสะอื้นร่ำไห้..ยังคงก้องสะท้านท่ามกลางความเงียบสงบ
       
“หนูกลัว...ฮือ..ฮือ..  แม่จ๋า ช่วยหนูด้วย..” เด็กสาวรำพันถึงแม่ผู้ให้กำเนิด ท่านเป็นบุคคลที่เธอนึกถึงมากที่สุดในตอนนี้  ท่านอาจจะช่วยเธอได้ เพราะท่านจะคอยอยู่เคียงข้างเธอเสมอ
        เวลาผ่านไปนาน....  เสียงสะอึกสะอื้น..ก็เริ่มแผ่วไปแล้ว ดูเหมือนว่าเด็กสาวกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
       
“ฉันจะออกไปจากที่นี่..ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่”  เสียงของเด็กสาวแหบแห้ง 
เด็กสาวเริ่มคิดได้ว่า  แทนที่เธอจะมัวแต่ร้องไห้ สู้หาทางออกไปจากที่นี่ดีกว่า  เธอไม่อยากจะตายอยู่ที่นี่...แบบนี้...ทั้งๆที่เธอยังไม่ได้ดิ้นรนสู้เพื่อชีวิตของเธอเลย...
    “แล้วทางออกมันอยู่ที่ไหนล่ะ... เอ..?”
เธอเริ่มก้าวเท้าที่ยืนแข็งทื่ออยู่นาน...จนจะเป็นตะคริวเสียแล้ว
    ตุ้บบบ...บ .... โอ๊ยยย...ย
ขาของเธอก้าวไปสะดุดอะไรบางอย่าง  จนทำให้เธอลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น  น้ำตาเจ้ากรรมที่ยังไม่ทันจะแห้งเหือด  ตอนนี้ดูเหมือนมันจะเอ่อล้นออกมาจากดวงตาของเธออีกแล้ว
    เธอแทบไม่อยากลุกเดินอีก  ความเข้มแข็งที่เธอเพิ่งเริ่มสร้าง  ตอนนี้ล้มครืนไม่เป็นท่า....
“ลุกขึ้นสิ!  ลุกขึ้น  เธอต้องไม่ยอมแพ้ เธอต้องสู้”  เสียงของใครบางคนพูดขึ้น  ดูเหมือนเขาจะเฝ้ามองดูความเคลื่อนไหวของเธอนานแล้ว
“เสียงใครน่ะ  ใครกัน  ตอบฉันที”  เด็กสาวตะโกนลั่น  หวังเพียงความเชื่อเหลือจากเจ้าของเสียงนั้น
    ความหวังของเธอเริ่มบังเกิดขึ้นอีกครั้ง  เธอลุกขึ้น  และหาที่มาของเสียงนั้น  แต่ทว่าเสียงนั้นหายไปแล้ว...
“ใครกัน...  อย่าเพิ่งไปสิ  มาช่วยฉันก่อน”
    เธอเริ่มวิ่งไล่ตามหาเสียงนั้น  ความพรั่นกลัวหายไปแล้ว  ตอนนี้เธอคิดแต่เพียงว่าต้องตามหาเสียงปริศนานั้นให้เจอ...เพราะมันเป็นทางเดียว ที่เธอคิดว่าสามารถทำให้ตัวเธอหลุดพ้นจากความทรมานที่ต้องมาอยู่ในที่มืดทึม  และอับจนหนทาง
    เธอวิ่งสุดกำลังเพื่อตามหาเจ้าของเสียงนั้น  และหวังว่าจะบังเอิญวิ่งชนเจ้าของเสียงปริศนานั้นเข้าให้...  เธอวิ่งไปเรื่อยๆ พร้อมกับตะโกนร้องเรียก  เสียงของเธอดังก้องไปทั่ว 
    แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าเสียงนั้นจะตอบกลับมาเลย  ความหวังที่จะชนกับเจ้าของเสียงปริศนานั้นก็เริ่มลางเลือน  กำลังขาของเธอก็เริ่มโรยแรงไปทุกที...  ทุกที...  จากวิ่งสุดกำลัง  ก็กลายเป็นวิ่งเหยาะๆ  และก็เปลี่ยนเป็นเดินแทน  ขาของเธอเริ่มอ่อนล้าจนจะก้าวไม่ออกเสียแล้ว  แต่เธอก็พยายามลากเท้าต่อไป...
    “ฉันต้องสู้ สู้ๆๆๆ ฉันต้องไม่ยอมแพ้...”
ในใจเธอตอนนี้หวังเพียงว่า  ถ้าเธอทำตามที่เจ้าของเสียงปริศนานั้นบอก  คือไม่ยอมแพ้  และสู้ต่อไป  เขาผู้นั้นก็จะเห็นใจและหวนกลับมาช่วยเธอเป็นแน่
    แต่ขาที่หนักอึ้งของเธอตอนนี้ดูจะเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงเพราะดูเหมือนจะฝืนออกแรงก้าวเท้ามากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่ง เหนื่อยล้าขึ้นทุกที
    ตุ้บบบ...บบ
    เธอล้มลงไปนั่งกองอยู่กับพื้นอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้ดูจะแตกต่างกับครั้งแรก เพราะกำลังใจเธอมีมากกว่าครั้งก่อนมาก  แต่ร่างกายดูเหมือนจะไม่เป็นใจเอาซะเลย
    เธอนั่งแช่อย่างนั้นอยู่นาน  ในใจของเธอวุ่นวายสับสน  และนึกตำหนิตัวเองที่ต้องมาอยู่ที่นี่ 
    เธอเริ่มต้นคิดหาทางออกใหม่...คงเป็นเรื่องโง่  หากเธอยังเดินตามหาเจ้าของเสียงปริศนานั้นอีก  ทั้งๆที่อยู่ท่ามกลางความมืดมิด  เธออาจจะมาผิดทาง  และคงจะไล่ตามเขาไม่ทันแล้วแน่ๆ
“ใช่สิ..แสงสว่างไง  ถ้าเราเดินตามหาแสงสว่างไปเรื่อยๆแล้วล่ะก็  ก็คงจะเจอทางออก” ความคิดของเธอเริ่มจุดประกายขึ้นอีกครั้ง
    เธอจึงตัดสินใจรวบรวมพลังทั้งหมดลุกขึ้นยืนอีกครั้ง  คราวนี้เธอจะเดินตามหาแสงสว่างแทน  แต่เธอต้องค่อยๆก้าวไปเรื่อยๆ เพื่อพยุงร่างกายที่อ่อนล้า และไร้เรี่ยวแรง
    เธอก้าวเดิน....
    ต๊อก...แต๊ก  ต๊อก...แต๊ก 
        ...................
        ต๊อก...แต๊ก  ต๊อก...แต๊ก   
   
    “เสียงอะไรน่ะ”  เธอหยุดฟัง.................
ไม่มีเสียงอะไรหลังจากนั้นเลย  เธอจึงออกเดินต่อ
    ต๊อก...แต๊ก  ต๊อก...แต๊ก
        .................
        ต๊อก...แต๊ก  ต๊อก...แต๊ก   
    “เอ๊ะ!  เอาอีกแล้ว” เธอเริ่มเอะใจ  เสียงฝีเท้าของใครกันที่เดินตามเธอ  แต่พอเธอหยุดฟังก็ไม่ได้ยินเสียงอีกเช่นเคย 
คราวนี้เธอค่อยๆก้าว
    ต๊อก...
               
    ต๊อก...
        แต๊ก...
            แต๊ก...
“เป็นเสียงเดินแน่ๆ ใครน่ะ.. ใครเดินตามฉัน  บอกมานะ” น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ
   
แต่ไม่มีเสียงตอบรับ  เธอหวาดหวั่นพรั่นกลัว  และคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงดี  เธอตัดสินใจวิ่งหนีทั้งทีพละกำลังลดน้อยถอยลงไปทุกที  แต่เสียงวิ่งไล่ตามนั้นก็ถี่และกระชั้นชิดมากยิ่งขึ้น  เหมือนเสียงนั้นอยู่ข้างหลังเธอนั่นเอง  เมื่อวิ่งหนีไม่ได้ผล  เธอก็ตัดสินใจหันหลังไปผลักอย่างแรง  แต่ก็มีเพียงความว่างเปล่า...ทำให้เธอเกือบจะถลาล้มไป...  ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น...  ความคิดของเธอผิดหรือ...? 
“จะเป็นไปได้ยังไง  เสียงใกล้ขนาดนั้น” เธอถามซ้ำ ย้ำความคิดตัวเอง
เธอเริ่มสับสนวุ่นวาย  ใครกันที่วิ่งตามเธอ  เขาตั้งใจมาช่วยหรือมาทำร้ายเธอกันแน่...?
“ ร ร ร.หรือ...ออ ว่า  ผ ผ ผ....ผี  ผี  เหรอ....” เธอเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก ราวกับเสียงจะไม่เล็ดลอดออกมาจากลำคอของเธออย่างไรอย่างนั้น....
“ไม่ต้องกลัวฉันหรอก” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง  ทำให้เธอสะดุ้งไป  พอตั้งสติได้  เธอก็ย้อนถามเจ้าของเสียงนั้น
“เธอเป็นใคร...? มาเดินตามฉันทำไม...?” เด็กสาวเอ่ยถามด้วยความงุนงงปนสงสัย
“ฉันคือเธอ...เธอคือฉัน  ฉันไม่ได้ตามเธอ...เธอนั่นแหละที่ตามฉัน” เสียงนั้นย้อนตอบเธอ
คำตอบที่ได้กลับมานั้นทำให้เธอแปลกใจ  และงุนงงมากขึ้นไปอีก
“เธอพูดอะไร..?  ฉันไม่เข้าใจเลย เธออยู่ไหน...?เธอเป็นใครกันแน่...?” เด็กสาวเริ่มหงุดหงิด  คำตอบที่ได้มันไม่ได้ทำให้เธอเข้าใจอะไรดีขึ้นเลย
“ฉันคือเธอไงล่ะ  ฉันอยู่ในตัวของเธอ....ฉัน...คือ...จิตใต้สำนึกของเธอไงล่ะ” เสียงนั้นเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
    คำตอบนั้นทำให้เธออึ้งไป...
    “จิตใต้สำนึกเหรอ”  เธอทวนคำตอบอีกทีก่อนจะถามออกไปอีกว่า
“แล้วที่เธอบอกว่าฉันตามเธอคืออะไรล่ะ...ฉันไม่ได้ตามเธอซักหน่อย” เด็กสาวเถียงด้วยความที่ไม่เข้าใจในคำพูดนั้น
“เธอนั่นแหละตะโกนเรียกฉัน แล้วก็วิ่งตามหาฉัน  จำไม่ได้เหรอ...” เสียงนั้นกล่าวเพื่อทบทวนความทรงจำของเด็กสาว
เธอพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา...
“หรือว่า..เธอ...เธอคือเจ้าของเสียงปริศนานั่น” เด็กสาวเริ่มนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้
“ถูกต้องแล้ว...แต่ฉันไม่ได้ไปไหนเลย  ฉันอยู่กับเธอ...  เฝ้าดูเธอตลอดเวลา” เสียงนั้นกล่าวอย่างอ่อนโยน
ในใจเธอตอนนี้  เธอรู้สึกโมโหเมื่อรู้ว่าที่เธออุตสาห์เหนื่อยแรงวิ่งไล่ตาม..ที่แท้อยู่ใกล้เพียงแค่สัมผัสเท่านั้น
“แล้วทำไมเธอไม่ขานรับ  หรือบอกว่าเธออยู่กับฉันตลอดล่ะ”  เด็กสาวบ่นกะปอดกะแปด
“ไม่ต้องโกรธฉันหรอก  เธอเองต่างหากที่เอาแต่วิ่ง  แล้วก็ตะโกน  ไม่ฟังเสียงฉันเลย  อีกอย่างฉันอยากจะทดสอบเธอ” เสียงนั้นยังตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเช่นเดิม
“ทดสอบฉัน..?”  เด็กสาวเริ่มสงสัย
“ใช่...ตอนนี้เธอสอบผ่าน..! ฉันจะช่วยเธอให้ออกไปจากที่นี่  เป็นรางวัล..” เสียงนั้นกล่าว และดูเหมือนจะจุดประกายความหวังครั้งสุดท้ายของเธอ
“จริงเหรอ...เธอช่วยฉันได้เหรอ..” น้ำเสียงตื่นเต้นของเด็กสาวแสดงถึงความดีใจของเธออย่างสุดซึ้ง
เธอรู้สึกดีใจจนอยากจะกระโดด..มันเป็นประโยคที่ไพเราะมากที่สุดเท่าที่เคยได้ฟังมาทั้งชีวิต
“ฉันจะได้ออกไปจากที่นี่แล้ว  ไชโย...! แม่จ๋า  หนูคิดถึงแม่”  เด็กสาวกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข  เมื่อคิดว่าเธอจะได้ออกไปจากที่นี่  ออกไปจากความโหดร้าย  ความน่ากลัวเช่นนี้  เธออยากกลับไปซบในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นของแม่
“เอ๊ะ..! เดี๋ยว  แล้วที่เธอบอกว่าฉันสอบผ่านน่ะ  คืออะไรล่ะ  ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย” เด็กสาวเริ่มฉุกคิดว่าเธอทำอะไร..ที่ไหน..ยังไง..และเมื่อไหร่..?
“ทำสิ...เธอทำให้ฉันได้รู้ว่าเธอเข้มแข็งไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค แล้วเธอก็รู้สึกผิดที่มาที่นี่ใช่มั๊ยล่ะ  และที่สำคัญในยามที่อับจน  เธอยังนึกถึงบุคคลผู้ที่สำคัญต่อชีวิตของเธออยู่ นั่นก็คือแม่ของเธอ  และมันก็ทำให้ฉันเข้าใจอะไรดีขึ้น”
       
“แค่นี้ก็สอบผ่านแล้วเหรอ” เด็กสาวถามย้ำอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจยิ่งขึ้น
       
        “ใช่แล้วล่ะ”  จิตใต้สำนึกตอบ
“ฉันอยากกลับบ้านแล้วล่ะ...ช่วยบอกทางออกไปสู่แสงสว่างแก่ฉันทีเถอะ..” เด็กสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเว้าวอน  เธอไม่อยากจะอยู่ที่นี่แล้วแม่เพียงเสี้ยวนาที
“ได้จ้ะ..ง่ายๆ  แสงสว่างอยู่ใกล้นิดเดียว เพียงแค่เธอลืมตา” จิตใต้สำนึกชี้ทางสว่างแก่เด็กสาวผู้ซึ่งยังตกอยู่ในวังวนของความมืดมิด
        “ลืมตา..”  เธอทวนคำด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“ใช่..เธอกำลังหลงทางอยู่ในความมืดมิด  ถ้าเธอไม่มีความเข้มแข็งพอเธอก็จะยังหลงทางต่อไป  จะไม่มีทางพบกับแสงสว่างได้เลย  เอาล่ะไปเถอะ..เมื่อเธอออกไปแล้วก็จะเข้าใจที่ฉันพูดเอง” จิตใต้สำนึกกล่าว  ถึงแม้ว่าเขาจะรู้อยู่แก่ใจดีว่าเด็กสาวไม่มีทางเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แต่อีกไม่นานเด็กสาวก็จะเข้าใจด้วยตัวของเธอเอง
        “ขอบใจนะ  ที่ช่วยฉัน” เด็กสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ตื้นตัน เพราะเธอรู้ดีว่าเขาคนนั้นเป็นผู้มีพระคุณต่อเธออย่างใหญ่หลวง
“ไม่เป็นไร  ความจริงเพราะเธอต่างหากที่เป็นคนดี  ทำให้ฉันรู้ว่าฉันก็เป็นจิตใต้สำนึกที่ดีของเธอไงล่ะ  ถ้าเธอไม่เป็นคนดี  ฉันก็เป็นจิตใต้สำนึกที่ไม่ดีด้วย และฉันก็คงไม่สามารถพาเธอออกไปจากที่นี่ได้ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวเธอเองต่างหาก อีกอย่าง  คนที่สร้างฉันขึ้นมาก็คือแม่ของเธอ เอาเถอะ..ถึงเวลาที่เธอต้องไปแล้ว”  จิตใต้สำนึกกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นแต่เด็กสาวสามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความปรารถนาดีของเขา
“เดี๋ยว..!  แล้วฉันจะได้เจอเธออีกมั๊ยล่ะ” เด็กสาวโพล่งออกมา ด้วยความที่กลัวว่าจะไม่ได้พบกับผู้ที่มีพระคุณอีก
        “ก็บอกแล้วไง..ว่าฉันอยู่ในตัวเธอ  อยู่เฝ้ามองเธอเสมอ  เพราะฉันคือเธอ...เธอคือฉัน..ไงล่ะ”
        “อืม..แล้วฉันจะคิดถึงเธอนะ”
       
        “เอาล่ะ..ได้เวลาไปจริงๆแล้วสินะ รีบไปเถอะ”
แสงสว่างจ้าสาดแสงมาจากหน้าต่างทะลุผ่านม่านตาของเด็กสาว      ทำให้เธอตื่นจากห้วงแห่งความฝัน...
        รอบกายของเธอเป็นเพื่อนหญิงชายสามสี่คนที่เจอกันที่ผับเมื่อ สองอาทิตย์ก่อน  พวกเขากำลังเมาไม่ได้สติด้วยฤทธิ์ยา  เธอย้อนนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อคืนที่เธอเพิ่งอาละวาดด่าทอบุคคลผู้ซึ่งเป็นแม่  เพราะความที่แม่ของเธอเป็นห่วงจึงไม่ให้เงินมาเที่ยว  เธอจึงตัดสินใจขโมยเงินแล้วออกมาหาความสำราญ  โดยไม่ได้คิดถึงจิตใจผู้เป็นแม่เลยแม้แต่น้อย...และแล้วเธอก็มาอยู่ที่ห้องๆนี้ตามคำชักชวนของเพื่อน 
        โชคยังดีที่เธอเมาหลับไปเสียก่อน  ไม่เช่นนั้นเธอคงถูกเพื่อนชักชวนให้ลองยาเป็นแน่
ตอนนี้เธอเข้าใจดีแล้วที่จิตใต้สำนึกบอกเธอว่าเธอกำลังหลงทางอยู่ในความมืด  นั่นก็คือเธอกำลังพลัดหลงเข้าไปในเส้นทางของความเสื่อมโทรมในสังคม  เธอกำลังจะตกเป็นเหยื่อมรณะของยาเสพติด  ถ้าเธอไม่มีจิตใต้สำนึกที่ดีพอที่จะระลึกได้ว่ามันเป็นสิ่งผิด  เธอก็คงจะต้องหลงทางอยู่ในความมืดมิดนั้นต่อไป
        เธอนึกขอบคุณจิตใต้สำนึกที่ช่วยทำให้เธอพบทางสว่าง
        ไม่ใช่สิ...! อันที่จริงบุคคลที่ควรจะขอบคุณมากที่สุดคือแม่  แม่ต่างหากที่เป็นคนปลูกจิตสำนึกของเราขึ้นมา
       
“แม่..”  เธออุทานออกมา  ความคิดชั่วขณะนั้นก็แว่บเข้ามา
        เด็กสาวโซเซลุกขึ้นและรีบวิ่งออกจากประตูห้องนั้นไป  เธอก้าวออกมาสู่โลกภายนอกเพื่อเดินทางกลับบ้าน  ระหว่างทางกลับบ้านนั้น เธอคิดว่าเช้าวันนี้  เป็นเช้าวันที่สดใสมากที่สุดในชีวิต  อากาศช่างสดชื่นอะไรเช่นนี้  แสงแดดที่เคยบ่นเสมอว่าร้อนนัก  บัดนี้ดูเหมือนมันอบอุ่นเหลือเกิน
        ภายในใจเธอตอนนี้มีความคิดที่จะกลับไปขอโทษ  บุคคลผู้ซึ่งมีพระคุณกับเธอมากที่สุด  และเธอก็จะปรับปรุงตัวเป็นคนดี  ไม่ทำให้จิตใต้สำนึกที่ดีที่แม่อุตสาห์ปลูกฝังมาต้องสูญสลายไป............
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น