Remember the promise...รักษาสัญญา - Remember the promise...รักษาสัญญา นิยาย Remember the promise...รักษาสัญญา : Dek-D.com - Writer

    Remember the promise...รักษาสัญญา

    เป็น Sad Ending Story ที่สมหวัง อ่านแล้วอาจจะงง ลองเข้าไปอ่านแล้วกันค่ะ ชอบไม่ชอบก็บอกมาได้ จะได้เก็บไปปรับปรุง ขอบคุณค่ะ

    ผู้เข้าชมรวม

    437

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    437

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  7 ธ.ค. 46 / 16:16 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      “สวัสดีจ้ะ   ภัทร์
      เป็นไงบ้าง   คงสบายดีสินะ   อากาศที่เชียงใหม่ตอนนี้คงเริ่มหนาวแล้วหละสิ   ส่วนที่นี้ก็อย่างที่รู้ๆกันนั่นแหละ   ทั้งปีมีอยู่ฤดูเดียว   ก็ฤดูร้อนไงจ๊ะ   อิจฉาภัทร์จังที่ได้เห็นดอกไม้เมืองหนาวสีสวยๆทุกวัน   เห็นทีว่างๆคงต้องหนีรถติดในกรุงเทพฯไปหาภัทร์ที่เชียงใหม่บ้างแล้วหละ   เตรียมตัวเป็นไกด์พาเที่ยวรอบเมืองได้เลย
      แล้วเจอกันนะ
            การบูร”

          บูรณิตถ์จบข้อความในไปรษณียบัตรลงเพียงเท่านี้   เธอนั่งจ้องคำว่า “แล้วเจอกันนะ” ที่เธอใช้ลงท้ายข้อความ   เมื่อก่อนตอนที่เขายังอยู่  บูรณิตถ์ลงท้ายข้อความในจดหมายและในไปรษณียบัตรทุกฉบับที่เธอส่งให้เพื่อนว่า “คิดถึงนะ”   แต่ตอนนี้เธอกลับเปลี่ยนมาใช้คำว่า “แล้วเจอกันนะ”แทน   เธอไม่อยากใช้คำว่า “คิดถึงนะ”   เพราะมันทำให้เธอนึกถึงคนๆหนึ่งที่เธอคิดถึงอยู่ทุกลมหายใจ   คนที่ต่อให้เธอเขียนจดหมายลงท้ายด้วยคำว่า “คิดถึงนะ”ส่งไปให้เขาเป็นล้านฉบับเขาก็ไม่ตอบกลับมา   หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเขาจะไม่ได้รับจดหมายเหล่านั้นและไม่สามารถตอบกลับมาให้เธอได้แม้แต่ฉบับเดียว
          บูรณิตถ์หยิบกล่องไม้สีน้ำตาลออกมาจากลิ้นชักโต๊ะทำงานในห้องนอนของเธอ   เธอเปิดกล่องไม้ที่ดูบอบบางใบนั้น   ซองจดหมายขนาดต่างๆวางอยู่ก้นกล่องเป็นปึกหนา   บางซองก็ประทับตราไปรษณีย์ในประเทศ   แต่บางซองก็ถูกส่งมาจากต่างประเทศ   นอกจากจดหมายเหล่านั้นแล้ว   ภายในกล่องยังมีไปรษณียบัตรและบัตรอวยพรสีสดใสนับสิบใบกองอยู่   ทั้งหมดนี้ล้วนถูกส่งมาจากชายหนุ่มคนเดียวกัน   คนที่บูรณิตถ์คิดถึงอยู่ทุกลมหายใจถึงแม้เขาจะจากเธอไปแล้วก็ตาม   ชายหนุ่มที่มีชื่อว่า “เอกวิชชา”
          บูรณิตถ์ดูวันที่ที่ประทับอยู่บนซองจดหมายเหล่านั้น   ก่อนปล่อยใจให้คิดไปถึงเรื่องราวในวันก่อนๆ   วันเวลาที่เธอยังมีเอกวิชชาอยู่ข้างกาย

          หลายปีก่อนหน้านี้   บูรณิตถ์ยังเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง   ด้วยความเป็นคนขี้อายและไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว   พอมาเจอนักศึกษาในมหาวิทยาลัยที่แต่ละคนมั่นใจในตัวเองทั้งนั้น   บูรณิตถ์ยิ่งรู้สึกกลัวมากยิ่งขึ้นไปอีก  เธอไม่กล้าเข้าไปผูกมิตรกับใครก่อน  การรับน้องของมหาวิทยาลัยไม่ช่วยให้บูรณิตถ์ได้เพื่อนใหม่เลยสักคน
          และแล้วฟ้าก็ส่งคนขี้เล่น   มนุษยสัมพันธ์ดีอย่าง ”เอกวิชชา” มาเป็นเพื่อนคนแรกในรั้วมหาวิทยาลัยของบูรณิตถ์   เมื่อวันหนึ่งบูรณิตถ์ต้องไปเรียนวิชาภาษาอังกฤษที่อาคารเรียนรวมของมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก   ด้วยความขี้อายและไม่มั่นใจในตัวเองทำให้บูรณิตถ์ไม่กล้าเอ่ยปากถามนักศึกษาที่เดินผ่านไปมาว่าห้องเรียนภาษาอังกฤษไปทางไหน

          เมื่อคิดมาถึงตอนนี้   บูรณิตถ์ยิ้มให้กับตนเอง   เธอยังจำได้ดีถึงวันที่เธอพบกับเอกวิชชาเป็นครั้งแรก  

          บูรณิตถ์เดินไปตามทางเดินของอาคารเรียนรวม   ใบหน้าของเธอมีเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้นเต็มไปหมด   นักศึกษาเดินสวนกับเธอไปคนแล้วคนเล่าเธอก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามสักที   จนมาถึงบันไดขึ้นชั้น 2   นักศึกษาชายกลุ่มใหญ่ยืนขวางอยู่   เธอไม่กล้าเอ่ยปากขอให้พวกเขาเขยิบไปจึงได้แต่ยืนเก้ๆกังๆอยู่แถวนั้น   จนเอกวิชชาหันมาเห็นเธอเข้าจึงถามว่า

                      “มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”   ด้วยความไม่คุ้นชินกับการถูกคนแปลกหน้าซักถาม   บูรณิตถ์จึงได้แต่ยืนอึ้งจนเอกวิชชาสังเกตเห็นหนังสือเรียนภาษาอังกฤษที่เธอถืออยู่   เขาจึงรู้จุดประสงค์ของเธอ  

                      “อ้อ!จะไปเรียนภาษาอังกฤษเหรอครับ   กำลังหาเพื่อนเรียนอยู่พอดี   เพื่อนผมมันวางแผนโดดกันหมดแล้ว  เดี๋ยวไปเรียนด้วยกันนะครับ”  เสียงดังมาจากกลุ่มเพื่อนของเขาว่า
                       “อ้าว!ไอ้หน้าหม้อ   ทิ้งเพื่อนนี่หว่า”  เอกวิชชาตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มว่า
                       “เออ! ขอเป็นเด็กดีสักวันแล้วกัน”

          จากวันนั้น   บูรณิตถ์จึงมีเอกวิชชาเป็นเพื่อนเรียนภาษาอังกฤษ   ถึงแม้ทั้งสองคนจะเรียนคนละคณะ  แต่การพบปะกันในห้องเรียนภาษาอังกฤษที่นักศึกษาต้องลงเรียนในเทอมใดเทอมหนึ่งสัปดาห์ละ 2 ครั้งก็ทำให้ทั้งคู่สนิทสนมกันมากขึ้นจนถึงขั้นสนิทกัน

          “การบูร”  
                      ถึงแม้ไม่หันไปดู  บูรณิตถ์ก็พอจะรู้ว่าเจ้าของเสียงเรียกนั้นคือใคร   เพราะทั้งมหาวิทยาลัยมีคนเรียกชื่อเล่นของเธอเพียงคนเดียว   ส่วนนอกนั้นเต็มใจจะเรียกเธอสั้นๆว่า “นิด”มากกว่า   บูรณิตถ์ชะลอฝีเท้าเพื่อให้เอกวิชชาเดินมาทันเธอ  
                      “คะแนนสอบเป็นไงบ้าง”เอกวิชชาตั้งคำถาม  
                      “ก็ดีนะ  แล้วของเอกหละ”บูรณิตถ์ตอบก่อนถามกลับ  
                      “สบายอยู่แล้ว”  
                      นี่แหละน่า   เอกวิชชา   อัธยาศัยดี   ขี้เล่น  แถมยังหัวดี  เรียนเก่งอีกต่างหาก   แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาเนื้อหอมในหมู่สาวๆได้ยังไง  

                      บูรณิตถ์เคยตามเพื่อนๆคณะเดียวกันไปดูเอกวิชชาแข่งบาสเกตบอลในงานกีฬาของมหาวิทยาลัยอยู่ครั้งหนึ่ง   ถึงแม้วันนั้นจะเป็นการแข่งขันระหว่างคณะรัฐศาสตร์กับคณะนิติศาสตร์   แต่เพื่อนๆของบูรณิตถ์ก็พร้อมใจกันเชียร์ทีมคู่แข่งอย่างทีมนิติศาสตร์   ก็จะไม่ให้เชียร์ได้ยังไงมีนายเอกวิชชาเป็นตัวเรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆอยู่ทั้งคน  
                      การแข่งขันวันนั้นจบลงโดยที่ชัยชนะตกเป็นของทีมนิติศาสตร์   เอกวิชชาเดินเข้ามาหาบูรณิตถ์พร้อมทักด้วยน้ำเสียงลิงโลด  
                      “ดีใจจังที่การบูรมาเชียร์”  
                      บูรณิตถ์ได้แต่ยิ้มตอบก่อนหันไปมองรอบๆโรงยิมอย่างหวาดๆก็เพราะสายตาของสาวๆนับสิบที่กำลังจ้องมาที่เธอนั่นไง  
                     “เพราะการบูรมาเชียร์นะเนี่ย   เอกเลยชูตลงตั้งหลายลูก   ไปกินข้าวฉลองกันดีกว่า   เดี๋ยวเอกเป็นเจ้ามือเอง”  
                      ว่าแล้วเอกวิชชาก็จูงมือบูรณิตถ์ออกไปจากโรงยิม   ทิ้งให้สาวๆในโรงยิมมองตามการบูรไปอย่างอาฆาตแค้น   ผลจากการกระทำครั้งนั้น   เช้าวันรุ่งขึ้น   บูรณิตถ์ได้รับของฝากเป็นรอยข่วน 2- 3 รอยบนใบหน้าพร้อมคำขู่ไม่ให้ยุ่งกับเอกวิชชาจากรุ่นน้องปี 2 ร่วมคณะ
          
                    เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้บูรณิตถ์คิดไปต่างๆนาๆว่า
                    “เธอนี่นะ   ไม่ได้เรื่องสักอย่างๆ   เรียนก็ไม่เก่ง   กีฬาก็ไม่ได้เรื่อง  แถมยังไม่กล้าแสดงออกเหมือนชาวบ้านเขาซักอย่าง  ไม่สมกับชื่อบูรณิตถ์  หญิงผู้เพียบพร้อมเลย   ผิดกับเอกวิชชาลิบลับ   ขานั่นทั้งหล่อ  ทั้งเก่ง   หัวก็ดี   แถมยังเรียนเก่งสมชื่ออีก   สาวๆงี้กรี๊ดตรึม  อย่างเธอหนะดูยังไงก็ไม่เหมาะสมกับเขาสักอย่าง   ก็สมควรแล้วหละที่โดนแบบนี้”  

                     แต่ดูเหมือนว่าเอกวิชชาจะไม่คิดอย่างนั้นพอเขารู้ว่ามีแฟนคลับของเขามาทำร้ายบูรณิตถ์   เขาแทบจะมาเฝ้าบูรณิตถ์ทั้งวัน   ถ้าวันไหนเอกวิชชาไม่ว่างเขาก็จะส่งเพื่อนของเขามาเฝ้าแทนจนบูรณิตถ์รู้สึกเกรงใจ   นอกจากนั้น   ทุกเย็นเอกวิชชายังไปส่งบูรณิตถ์จนถึงหอพักข้างมหาวิทยาลัย   เพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะปลอดภัยจากแฟนคลับของเขา
          เอกวิชชายังคงปฏิบัติต่อบูรณิตถ์เหมือนเดิมทุกวัน  สร้างความลำบากใจให้กับบูรณิตถ์เป็นอย่างมาก  จนในเย็นวันหนึ่งระหว่างทางกลับหอพัก   บูรณิตถ์จึงเอ่ยปากบอกกับเอกวิชชาว่า
                      
                      “เรารู้นะว่าเอกเป็นห่วงเรา   แต่เอกทำแบบนี้มันทำให้เรารู้สึกเกรงใจเอก   รู้สึกเหมือนกับว่าเรากำลังรบกวนเอก   ที่เราถูกคนอื่นรังแกมันก็ไม่ใช่เพราะเอกหรอก   มันเป็นเพราะเราอ่อนแอเองต่างหาก   เราไม่มั่นใจในตัวเองเลยเราถึงต้องพึ่งพาเอกอยู่ตลอดเวลา   ไปๆมาๆมันก็จะกลายเป็นว่าเรากลายเป็นคนฉุดเอก   เทอมหน้าเอกก็ต้องไปฝึกงานแล้วไม่ใช่เหรอ   เอกก็ต้องใช้เวลาเตรียมตัวมากๆ   เรารู้สึกเหมือนกับว่าทำให้เอกมาเสียเวลากับเรา”  
                      
                        บูรณิตถ์พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้   เอกตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตกใจ
                      
                       “การบูร   อะไรทำให้การบูรคิดแบบนั้น   เอกไม่เคยคิดว่าการบูรทำให้เอกเสียเวลาเลยนะ   ที่เอกทำให้การบูรเอกเต็มใจจริงๆนะ   การบูรอย่าร้องไห้สิ   การบูรร้องไห้แล้วเอกรู้สึกเหมือนทำอะไรผิด   เงียบซะนะ”  เอกวิชชารอจนบูรณิตถ์หยุดสะอื้นแล้วจึงพูดต่อ  

                       “ส่วนเรื่องไปฝึกงาน   เอกก็กำลังจะบอกการบูรเรื่องนี้แหละ” บูรณิตถ์มองหน้าเอกวิชชาด้วยความสงสัย
                       “เทอมหน้าเอกต้องไปฝึกงานสำนักงานทนายความ   การบูรก็ต้องไปฝึกงานที่สถานทูต   เวลาเจอกันก็คงน้อยลง   เอกก็คงไม่ได้มาคอยดูแลการบูรแบบนี้   แต่เอกรักการบูรนะ  การบูรเป็นแฟนกับเอกได้ไหม”  
                        เอกวิชชาหันมามองหน้าบูรณิตถ์ก่อนบอกต่อว่า
                        “เอกจะได้แน่ใจว่าระหว่างที่เราไม่ได้เจอกัน   จะไม่มีใครมาแย่งการบูรไปจากเอก”
                        จากคำขอในเย็นวันนั้นของเอกวิชชา   วันต่อมาบูรณิตถ์กับเอกวิชชาก็เปิดตัวกับเพื่อนๆทุกคนว่า  พวกเขาคบกันในฐานะ “แฟน” ไม่ใช่เพื่อนอีกต่อไป
          
                         การฝึกงานของทั้งสองคนผ่านไปได้ด้วยดี   เอกวิชชาจบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับ 1  ในขณะที่บูรณิตถ์ก็จบการศึกษาด้วยคะแนนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ   หลังจบการศึกษาเอกวิชชาได้ทำงานในสำนักทนายความที่เขาเคยไปฝึกงาน   ในขณะที่  บูรณิตถ์ได้ทำงานในบริษัทเอกชนที่เป็นสาขาของบริษัทยักษ์ใหญ่ของต่างชาติ  หลังจากเข้าทำงานได้ไม่นาน   เอกวิชชาก็ได้สวมแหวนหมั้นเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของบูรณิตถ์ต่อหน้าญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย   วันนั้นเป็นวันที่บูรณิตถ์มีความสุขมาก
          
                         แต่ความสุขก็อยู่กับบูรณิตถ์ไม่นาน   เมื่อคนรักเรียนอย่างเอกวิชชาได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาโทด้านกฎหมาย ณ กรุงลอนดอน  ประเทศอังกฤษ   เอกวิชชาดีใจมาก   บูรณิตถ์จึงจำต้องกล้ำกลืนความเสียใจไว้และให้เขาไปเรียนต่อตามความต้องการ   ในวันเดินทางของเอกวิชชานั้น   บูรณิตถ์ไปส่งเอกวิชชาที่สนามบิน   เอกวิชชาดึงบูรณิตถ์ไปกอดก่อนกระซิบที่ข้างหูว่า  “รอเอกนะ   การบูร  2ปี  ให้เวลาเอก 2 ปีเท่านั้น   แล้วเอกจะกลับมาแต่งงานกับการบูร   ถึงวันนั้นเราจะไม่พรากจากกันอีก”   บูรณิตถ์ยิ้มให้เอกวิชชาและพยักหน้าอย่างเชื่อในคำสัญญานั้น
          
                          บูรณิตถ์พยายามปลอบใจตัวเองว่า 2 ปีแค่แป๊บเดียว  เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว   เธอพยายามหาอะไรทำให้ยุ่งอยู่เสมอ   ขยันทำงาน   หมั่นไปเยี่ยมพ่อแม่ของเอกวิชชาเผื่อท่านจะเหงา   เอกวิชชาก็ขยันเขียนจดหมายส่งข่าวคราวให้เธอรู้  เขาลงท้ายจดหมายทุกฉบับของเขาด้วยคำว่า “รักนะครับ”  และบูรณิตถ์ก็ไม่ลืมที่จะตอบจดหมายของเอกวิชชากลับไป   พร้อมกับลงท้ายจดหมายว่า “คิดถึงนะคะ” ทุกฉบับ   บูรณิตถ์อ่านจดหมายของเอกวิชชาด้วยรอยยิ้มทุกครั้ง   เธอเก็บรวบรวมจดหมายของเอกวิชชาไว้ในกล่องไม้สีน้ำตาลและเอาออกมาอ่านเสมอเมื่อต้องการกำลังใจ
          
                          บูรณิตถ์มีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศอยู่เสมอเพราะต้องไปติดต่อกับสำนักงานใหญ่ของบริษัทแม่   แต่เธอก็ไม่มีโอกาสเดินทางไปกรุงลอนดอนที่เอกวิชชาอยู่เลยสักครั้ง   บูรณิตถ์ได้เมล็ดพันธุ์ดอกฟอร์เก็ท มี นอท (Forget Me Not)มาจากภัทราเพื่อนที่ทำกิจการสวนดอกไม้ที่เชียงใหม่  เธอจึงแบ่งเมล็ดพันธุ์ส่วนหนึ่งส่งไปให้เอกวิชชา   อีกส่วนหนึ่งเธอก็ลงแปลงปลูกไว้เอง
          
                          วันหนึ่ง  หลังจากที่เอกวิชชาเดินทางไปเรียนต่อเป็นเวลา 1 ปีพอดี  บูรณิตถ์ได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากต่างประเทศที่ทำให้เธอต้องเดินทางไปกรุงลอนดอน   แต่เป็นการเดินทางด้วยเหตุที่เธอไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด  เสียงสุภาพสตรีสูงอายุท่านหนึ่งพูดภาษาอังกฤษสำเนียงฟังยากมาตามสาย   จับใจความได้ว่า “ฉันเป็นเจ้าของบ้านที่เอกวิชชาเช่าอยู่   บังเอิญฉันพบที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์นี้ในลิ้นชักโต๊ะของเอกวิชชา   ฉันจึงติดต่อมาบอกข่าวให้คุณทราบว่า เอกวิชชาเสียชีวิตแล้วเมื่อเช้านี้  ขอให้คุณช่วยมาจัดการด้วย”  บูรณิตถ์แทบจะหมดสติลงตรงนั้น   วันรุ่งขึ้น  เธอจึงรีบเดินทางไปยังกรุงลอนดอนเพื่อดูหน้าคนที่เธอรักมากที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย   เธอจัดการพิธีศพของเอกวิชชาแทนพ่อแม่ของเขา   เธอจัดการให้มีการเผาศพเขาที่นั้นและนำเพียงเถ้ากระดูกของเขากลับเมืองไทย   คุณนายเจ้าของบ้านที่เอกวิชชาเช่าอยู่นั้นเล่าให้เธอฟังว่า

                           “เอกวิชชาเขาคงรักเธอมากนะ   วันที่เขาตายเขาออกไปเก็บดอกฟอร์เก็ท มี นอทในสวนหลังบ้านทั้งๆที่ข้างนอกอากาศหนาวมาก   เขาสุขภาพไม่ดีตั้งแต่มาถึงที่นี่ใหม่ๆ  แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้รู้ตัวเลยนะว่า  เขาเป็นโรคหอบหืด”  
                          
                           “ค่ะ  ตอนอยู่เมืองไทยเขาสุขภาพดีมาก  เขาเล่นกีฬาสม่ำเสมอ” บูรณิตถ์บอกกับหญิงชราเจ้าของบ้าน  
                           “ฉันเสียใจด้วยจริงๆนะ”  หญิงชราบอกก่อนปล่อยให้บูรณิตถ์อยู่ในห้องของเอกวิชชาเพียงลำพังเพื่อเก็บข้าวของ   บูรณิตถ์เหลียวมองรอบห้องที่เคยเป็นของเอกวิชชา   เธอเห็นดอกฟอร์เก็ท มี นอทหอบใหญ่ที่เอกวิชชาออกไปเก็บในวันที่เขาเสียชีวิตวางอยู่บนโต๊ะทำงานริมหน้าต่าง   หญิงชราเจ้าของบ้านคงเป็นคนนำมาวางไว้ให้   ดอกฟอร์เก็ท มี นอท ที่เขาปลูกขึ้นจากเมล็ดที่เธอส่งมาให้  เอกวิชชาเคยบอกกับหญิงชราเจ้าของบ้านไว้ตอนที่เขามาขอพื้นที่สำหรับปลูกดอกไม้ในสวนว่า
                          
                           “คู่หมั้นของผม เธอส่งเมล็ดมาให้ผมปลูก  ผมจะปลูกและส่งดอกไม้กลับไปให้เธอ   ให้เธอรู้ว่าผมไม่เคยลืมเธอเลย”  
      บูรณิตถ์ร้องไห้อย่างสุดกลั้นกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับเธอ

          เมื่อคิดมาถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น  น้ำตาของบูรณิตถ์ก็ไหลออกมาจนหยดลงบนหลังมือของเธอ   บูรณิตถ์ตกใจเหลียวมองรอบกายเห็นว่าความมืดค่อยๆโรยตัวปกคลุมรอบบ้าน  บูรณิตถ์ปาดน้ำตาบนใบหน้าออกและเก็บซองจดหมายใส่กล่อง   1 ปีแล้วสินะที่เอกวิชชาจากไป   เช้านี้เองที่เธอไปทำบุญให้เขาพร้อมกับไปสรงน้ำโกศเก็บกระดูกของเขาที่วัด   ถ้าวันนี้  เอกวิชชายังมีชีวิตอยู่   มันจะเป็นวันที่เอกวิชชาเดินทางกลับเมืองไทยหลังจบการศึกษา   แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น   บูรณิตถ์คิดถึงเอกวิชชาอย่างเศร้าสร้อย  

                       “เพิ่งจะ 6 โมงเอง  ออกไปทิ้งจดหมายก่อนดีกว่า”  บูรณิตถ์เดินออกจากห้อง   แวะบอกกับแม่ของเธอก่อนที่จะออกจากบ้านว่า
                       “แม่คะ  การบูรไปส่งจดหมายก่อนนะคะ  เดี๋ยวกลับมา”  
                       “เดินระวังๆนะลูก”  
                       “ค่ะ  แม่”
          
                         บูรณิตถ์เดินมาตามถนนในหมู่บ้านจัดสรรจนถึงร้านค้าแห่งหนึ่ง  หน้าร้านค้าแห่งนั้นมีตู้ไปรษณีย์อยู่  ขณะที่บูรณิตถ์กำลังเดินไปที่ตู้ไปรษณีย์   รถยนต์คันหนึ่งแล่นออกนอกเส้นทางที่มันควรจะไปพุ่งเข้ามาชนบูรณิตถ์อย่างแรง   เนื่องจากคนขับสติเลอะเลือนจากฤทธิ์แอลกอฮอล์   ไปรษณียบัตรพิมพ์รูปทุ่งดอกฟอร์เก็ท มี นอทในมือของบูรณิตถ์ปลิวไปไกล   ร่างของบูรณิตถ์ไถลครูดไปกับพื้นถนน  สติของบูร-ณิตถ์ริบหรี่   แต่ก่อนที่สติจะดับวูบลงนั้น   บูรณิตถ์เห็นเอกวิชชามายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับยื่นมือมาให้   บูรณิตถ์ยื่นมือไปจับมือนั้นพร้อมกับคิดว่า
                          “ในที่สุด  เอกก็ทำตามสัญญา  2ปีตามสัญญา  เราจะไม่พรากจากกันอีก”  แล้วสติของเธอก็ดับวูบลงพร้อมกับการหยุดเต้นของหัวใจ

                          กฤตยพงศ์หยิบกล่องไม้สีน้ำตาลออกมาจากลิ้นชักโต๊ะทำงานของพี่สาว  เขาเดินไปบอกแม่ว่า
                           “แม่ครับ  ของสำคัญของพี่การบูร”  
                          แม่ของเขาเพียงหันมามองแล้วบอกว่า
                          “กฤษณ์จัดการให้แม่ที  เอาไปเผาพร้อมกับพี่เขาเสียก็ได้  เขาคงอยากเอาไปด้วย”  
          
                           นับตั้งแต่  บูรณิตถ์ประสบอุบัติเหตุรถชนจากไปเมื่อ 7 วันก่อน   แม่ของเขาก็อยู่ในอาการเศร้าซึม  พ่อแม่ของพี่เอกวิชชาก็เสียใจไม่แพ้กันเพราะท่านทั้งสองรักพี่สาวราวกับลูกสาว   ท่านคงทำใจไม่ได้ที่คู่หมั้นของลูกชายเสียชีวิตในวันครบรอบ1ปีของการจากไปของลูกชาย  
                          วันนี้ซึ่งเป็นวันประชุมเพลิงศพของพี่สาวเขา   พวกท่านก็เหมือนจะยังไม่คลายจากความเศร้าโศกเสียใจ
          
                          ที่วัด   กฤตยพงศ์โยนกล่องไม้สีน้ำตาลลงในกองเพลิงพร้อมกับดอกไม้จันทน์   อีกสามวันเขาก็ต้องมาเก็บเถ้าถ่านที่เคยเป็นร่างของพี่สาวของเขาไปลอยอังคารพร้อมกับเถ้าถ่านจากร่างของพี่เอกวิชชา  ผู้ชายที่พี่สาวเขารักมากที่สุด


                           ริมทะเล  บุคคลสี่คนยืนอยู่ริมทะเลด้วยอารมณ์เดียวกัน  คือโศกเศร้าเสียใจ   วันนี้เป็นวันที่ทั้ง 4 คนตกลงกันว่าจะเอากระดูกของเอกวิชชาและบูรณิตถ์มาลอยอังคาร   วันนี้  คลื่นลมสงบอย่างประหลาดคล้ายจะเปิดทางให้การเดินทางของทั้งคู่เป็นไปอย่างราบรื่น   กฤตยพงศ์ลงเรือไปพร้อมกับแม่ของเขาและพ่อแม่ของพี่เอกวิชชา  ไม่มีใครคุยกัน  ทุกคนต่างกำลังสะกดอารมณ์เสียใจไว้ทั้งนั้น
          

                           ห่างจากฝั่งทะเลมาพอสมควร   ทั้งสี่คนมีเถ้าถ่านของเอกวิชชาและบูรณิตถ์อยู่ในมือ กฤตยพงศ์อธิษฐานกับเถ้าถ่านที่ปนไปด้วยกลีบกุหลาบในมือ  

                          “ดูแลพี่การบูรด้วยนะครับ  พี่เอก”  ก่อนที่จะปล่อยเถ้าถ่านเหล่านั้นลงทะเล  

                           ลมทะเลที่สงบมาตลอดทั้งวันกลับพัดมาแผ่วเบา  คล้ายจะตอบคำอธิษฐานของกฤตยพงศ์

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×