“สวัสดีจ้ะ  ภัทร์
เป็นไงบ้าง  คงสบายดีสินะ  อากาศที่เชียงใหม่ตอนนี้คงเริ่มหนาวแล้วหละสิ  ส่วนที่นี้ก็อย่างที่รู้ๆกันนั่นแหละ  ทั้งปีมีอยู่ฤดูเดียว  ก็ฤดูร้อนไงจ๊ะ  อิจฉาภัทร์จังที่ได้เห็นดอกไม้เมืองหนาวสีสวยๆทุกวัน  เห็นทีว่างๆคงต้องหนีรถติดในกรุงเทพฯไปหาภัทร์ที่เชียงใหม่บ้างแล้วหละ  เตรียมตัวเป็นไกด์พาเที่ยวรอบเมืองได้เลย
แล้วเจอกันนะ
      การบูร”
    บูรณิตถ์จบข้อความในไปรษณียบัตรลงเพียงเท่านี้  เธอนั่งจ้องคำว่า “แล้วเจอกันนะ” ที่เธอใช้ลงท้ายข้อความ  เมื่อก่อนตอนที่เขายังอยู่  บูรณิตถ์ลงท้ายข้อความในจดหมายและในไปรษณียบัตรทุกฉบับที่เธอส่งให้เพื่อนว่า “คิดถึงนะ”  แต่ตอนนี้เธอกลับเปลี่ยนมาใช้คำว่า “แล้วเจอกันนะ”แทน  เธอไม่อยากใช้คำว่า “คิดถึงนะ”  เพราะมันทำให้เธอนึกถึงคนๆหนึ่งที่เธอคิดถึงอยู่ทุกลมหายใจ  คนที่ต่อให้เธอเขียนจดหมายลงท้ายด้วยคำว่า “คิดถึงนะ”ส่งไปให้เขาเป็นล้านฉบับเขาก็ไม่ตอบกลับมา  หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเขาจะไม่ได้รับจดหมายเหล่านั้นและไม่สามารถตอบกลับมาให้เธอได้แม้แต่ฉบับเดียว
    บูรณิตถ์หยิบกล่องไม้สีน้ำตาลออกมาจากลิ้นชักโต๊ะทำงานในห้องนอนของเธอ  เธอเปิดกล่องไม้ที่ดูบอบบางใบนั้น  ซองจดหมายขนาดต่างๆวางอยู่ก้นกล่องเป็นปึกหนา  บางซองก็ประทับตราไปรษณีย์ในประเทศ  แต่บางซองก็ถูกส่งมาจากต่างประเทศ  นอกจากจดหมายเหล่านั้นแล้ว  ภายในกล่องยังมีไปรษณียบัตรและบัตรอวยพรสีสดใสนับสิบใบกองอยู่  ทั้งหมดนี้ล้วนถูกส่งมาจากชายหนุ่มคนเดียวกัน  คนที่บูรณิตถ์คิดถึงอยู่ทุกลมหายใจถึงแม้เขาจะจากเธอไปแล้วก็ตาม  ชายหนุ่มที่มีชื่อว่า “เอกวิชชา”
    บูรณิตถ์ดูวันที่ที่ประทับอยู่บนซองจดหมายเหล่านั้น  ก่อนปล่อยใจให้คิดไปถึงเรื่องราวในวันก่อนๆ  วันเวลาที่เธอยังมีเอกวิชชาอยู่ข้างกาย
    หลายปีก่อนหน้านี้  บูรณิตถ์ยังเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง  ด้วยความเป็นคนขี้อายและไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  พอมาเจอนักศึกษาในมหาวิทยาลัยที่แต่ละคนมั่นใจในตัวเองทั้งนั้น  บูรณิตถ์ยิ่งรู้สึกกลัวมากยิ่งขึ้นไปอีก  เธอไม่กล้าเข้าไปผูกมิตรกับใครก่อน  การรับน้องของมหาวิทยาลัยไม่ช่วยให้บูรณิตถ์ได้เพื่อนใหม่เลยสักคน
    และแล้วฟ้าก็ส่งคนขี้เล่น  มนุษยสัมพันธ์ดีอย่าง ”เอกวิชชา” มาเป็นเพื่อนคนแรกในรั้วมหาวิทยาลัยของบูรณิตถ์  เมื่อวันหนึ่งบูรณิตถ์ต้องไปเรียนวิชาภาษาอังกฤษที่อาคารเรียนรวมของมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก  ด้วยความขี้อายและไม่มั่นใจในตัวเองทำให้บูรณิตถ์ไม่กล้าเอ่ยปากถามนักศึกษาที่เดินผ่านไปมาว่าห้องเรียนภาษาอังกฤษไปทางไหน
    เมื่อคิดมาถึงตอนนี้  บูรณิตถ์ยิ้มให้กับตนเอง  เธอยังจำได้ดีถึงวันที่เธอพบกับเอกวิชชาเป็นครั้งแรก 
    บูรณิตถ์เดินไปตามทางเดินของอาคารเรียนรวม  ใบหน้าของเธอมีเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้นเต็มไปหมด  นักศึกษาเดินสวนกับเธอไปคนแล้วคนเล่าเธอก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามสักที  จนมาถึงบันไดขึ้นชั้น 2  นักศึกษาชายกลุ่มใหญ่ยืนขวางอยู่  เธอไม่กล้าเอ่ยปากขอให้พวกเขาเขยิบไปจึงได้แต่ยืนเก้ๆกังๆอยู่แถวนั้น  จนเอกวิชชาหันมาเห็นเธอเข้าจึงถามว่า
                “มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”  ด้วยความไม่คุ้นชินกับการถูกคนแปลกหน้าซักถาม  บูรณิตถ์จึงได้แต่ยืนอึ้งจนเอกวิชชาสังเกตเห็นหนังสือเรียนภาษาอังกฤษที่เธอถืออยู่  เขาจึงรู้จุดประสงค์ของเธอ 
                “อ้อ!จะไปเรียนภาษาอังกฤษเหรอครับ  กำลังหาเพื่อนเรียนอยู่พอดี  เพื่อนผมมันวางแผนโดดกันหมดแล้ว  เดี๋ยวไปเรียนด้วยกันนะครับ”  เสียงดังมาจากกลุ่มเพื่อนของเขาว่า
                “อ้าว!ไอ้หน้าหม้อ  ทิ้งเพื่อนนี่หว่า”  เอกวิชชาตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มว่า
                “เออ! ขอเป็นเด็กดีสักวันแล้วกัน”
    จากวันนั้น  บูรณิตถ์จึงมีเอกวิชชาเป็นเพื่อนเรียนภาษาอังกฤษ  ถึงแม้ทั้งสองคนจะเรียนคนละคณะ  แต่การพบปะกันในห้องเรียนภาษาอังกฤษที่นักศึกษาต้องลงเรียนในเทอมใดเทอมหนึ่งสัปดาห์ละ 2 ครั้งก็ทำให้ทั้งคู่สนิทสนมกันมากขึ้นจนถึงขั้นสนิทกัน
    “การบูร” 
                ถึงแม้ไม่หันไปดู  บูรณิตถ์ก็พอจะรู้ว่าเจ้าของเสียงเรียกนั้นคือใคร  เพราะทั้งมหาวิทยาลัยมีคนเรียกชื่อเล่นของเธอเพียงคนเดียว  ส่วนนอกนั้นเต็มใจจะเรียกเธอสั้นๆว่า “นิด”มากกว่า  บูรณิตถ์ชะลอฝีเท้าเพื่อให้เอกวิชชาเดินมาทันเธอ 
                “คะแนนสอบเป็นไงบ้าง”เอกวิชชาตั้งคำถาม 
                “ก็ดีนะ  แล้วของเอกหละ”บูรณิตถ์ตอบก่อนถามกลับ 
                “สบายอยู่แล้ว” 
                นี่แหละน่า  เอกวิชชา  อัธยาศัยดี  ขี้เล่น  แถมยังหัวดี  เรียนเก่งอีกต่างหาก  แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาเนื้อหอมในหมู่สาวๆได้ยังไง 
                บูรณิตถ์เคยตามเพื่อนๆคณะเดียวกันไปดูเอกวิชชาแข่งบาสเกตบอลในงานกีฬาของมหาวิทยาลัยอยู่ครั้งหนึ่ง  ถึงแม้วันนั้นจะเป็นการแข่งขันระหว่างคณะรัฐศาสตร์กับคณะนิติศาสตร์  แต่เพื่อนๆของบูรณิตถ์ก็พร้อมใจกันเชียร์ทีมคู่แข่งอย่างทีมนิติศาสตร์  ก็จะไม่ให้เชียร์ได้ยังไงมีนายเอกวิชชาเป็นตัวเรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆอยู่ทั้งคน 
                การแข่งขันวันนั้นจบลงโดยที่ชัยชนะตกเป็นของทีมนิติศาสตร์  เอกวิชชาเดินเข้ามาหาบูรณิตถ์พร้อมทักด้วยน้ำเสียงลิงโลด 
                “ดีใจจังที่การบูรมาเชียร์” 
                บูรณิตถ์ได้แต่ยิ้มตอบก่อนหันไปมองรอบๆโรงยิมอย่างหวาดๆก็เพราะสายตาของสาวๆนับสิบที่กำลังจ้องมาที่เธอนั่นไง 
              “เพราะการบูรมาเชียร์นะเนี่ย  เอกเลยชูตลงตั้งหลายลูก  ไปกินข้าวฉลองกันดีกว่า  เดี๋ยวเอกเป็นเจ้ามือเอง” 
                ว่าแล้วเอกวิชชาก็จูงมือบูรณิตถ์ออกไปจากโรงยิม  ทิ้งให้สาวๆในโรงยิมมองตามการบูรไปอย่างอาฆาตแค้น  ผลจากการกระทำครั้งนั้น  เช้าวันรุ่งขึ้น  บูรณิตถ์ได้รับของฝากเป็นรอยข่วน 2- 3 รอยบนใบหน้าพร้อมคำขู่ไม่ให้ยุ่งกับเอกวิชชาจากรุ่นน้องปี 2 ร่วมคณะ
   
              เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้บูรณิตถ์คิดไปต่างๆนาๆว่า
              “เธอนี่นะ  ไม่ได้เรื่องสักอย่างๆ  เรียนก็ไม่เก่ง  กีฬาก็ไม่ได้เรื่อง  แถมยังไม่กล้าแสดงออกเหมือนชาวบ้านเขาซักอย่าง  ไม่สมกับชื่อบูรณิตถ์  หญิงผู้เพียบพร้อมเลย  ผิดกับเอกวิชชาลิบลับ  ขานั่นทั้งหล่อ  ทั้งเก่ง  หัวก็ดี  แถมยังเรียนเก่งสมชื่ออีก  สาวๆงี้กรี๊ดตรึม  อย่างเธอหนะดูยังไงก็ไม่เหมาะสมกับเขาสักอย่าง  ก็สมควรแล้วหละที่โดนแบบนี้” 
              แต่ดูเหมือนว่าเอกวิชชาจะไม่คิดอย่างนั้นพอเขารู้ว่ามีแฟนคลับของเขามาทำร้ายบูรณิตถ์  เขาแทบจะมาเฝ้าบูรณิตถ์ทั้งวัน  ถ้าวันไหนเอกวิชชาไม่ว่างเขาก็จะส่งเพื่อนของเขามาเฝ้าแทนจนบูรณิตถ์รู้สึกเกรงใจ  นอกจากนั้น  ทุกเย็นเอกวิชชายังไปส่งบูรณิตถ์จนถึงหอพักข้างมหาวิทยาลัย  เพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะปลอดภัยจากแฟนคลับของเขา
    เอกวิชชายังคงปฏิบัติต่อบูรณิตถ์เหมือนเดิมทุกวัน  สร้างความลำบากใจให้กับบูรณิตถ์เป็นอย่างมาก  จนในเย็นวันหนึ่งระหว่างทางกลับหอพัก  บูรณิตถ์จึงเอ่ยปากบอกกับเอกวิชชาว่า
               
                “เรารู้นะว่าเอกเป็นห่วงเรา  แต่เอกทำแบบนี้มันทำให้เรารู้สึกเกรงใจเอก  รู้สึกเหมือนกับว่าเรากำลังรบกวนเอก  ที่เราถูกคนอื่นรังแกมันก็ไม่ใช่เพราะเอกหรอก  มันเป็นเพราะเราอ่อนแอเองต่างหาก  เราไม่มั่นใจในตัวเองเลยเราถึงต้องพึ่งพาเอกอยู่ตลอดเวลา  ไปๆมาๆมันก็จะกลายเป็นว่าเรากลายเป็นคนฉุดเอก  เทอมหน้าเอกก็ต้องไปฝึกงานแล้วไม่ใช่เหรอ  เอกก็ต้องใช้เวลาเตรียมตัวมากๆ  เรารู้สึกเหมือนกับว่าทำให้เอกมาเสียเวลากับเรา” 
               
                  บูรณิตถ์พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้  เอกตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตกใจ
               
                “การบูร  อะไรทำให้การบูรคิดแบบนั้น  เอกไม่เคยคิดว่าการบูรทำให้เอกเสียเวลาเลยนะ  ที่เอกทำให้การบูรเอกเต็มใจจริงๆนะ  การบูรอย่าร้องไห้สิ  การบูรร้องไห้แล้วเอกรู้สึกเหมือนทำอะไรผิด  เงียบซะนะ”  เอกวิชชารอจนบูรณิตถ์หยุดสะอื้นแล้วจึงพูดต่อ 
                “ส่วนเรื่องไปฝึกงาน  เอกก็กำลังจะบอกการบูรเรื่องนี้แหละ” บูรณิตถ์มองหน้าเอกวิชชาด้วยความสงสัย
                “เทอมหน้าเอกต้องไปฝึกงานสำนักงานทนายความ  การบูรก็ต้องไปฝึกงานที่สถานทูต  เวลาเจอกันก็คงน้อยลง  เอกก็คงไม่ได้มาคอยดูแลการบูรแบบนี้  แต่เอกรักการบูรนะ  การบูรเป็นแฟนกับเอกได้ไหม” 
                  เอกวิชชาหันมามองหน้าบูรณิตถ์ก่อนบอกต่อว่า
                  “เอกจะได้แน่ใจว่าระหว่างที่เราไม่ได้เจอกัน  จะไม่มีใครมาแย่งการบูรไปจากเอก”
                  จากคำขอในเย็นวันนั้นของเอกวิชชา  วันต่อมาบูรณิตถ์กับเอกวิชชาก็เปิดตัวกับเพื่อนๆทุกคนว่า  พวกเขาคบกันในฐานะ “แฟน” ไม่ใช่เพื่อนอีกต่อไป
   
                  การฝึกงานของทั้งสองคนผ่านไปได้ด้วยดี  เอกวิชชาจบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับ 1  ในขณะที่บูรณิตถ์ก็จบการศึกษาด้วยคะแนนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ  หลังจบการศึกษาเอกวิชชาได้ทำงานในสำนักทนายความที่เขาเคยไปฝึกงาน  ในขณะที่  บูรณิตถ์ได้ทำงานในบริษัทเอกชนที่เป็นสาขาของบริษัทยักษ์ใหญ่ของต่างชาติ  หลังจากเข้าทำงานได้ไม่นาน  เอกวิชชาก็ได้สวมแหวนหมั้นเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของบูรณิตถ์ต่อหน้าญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย  วันนั้นเป็นวันที่บูรณิตถ์มีความสุขมาก
   
                  แต่ความสุขก็อยู่กับบูรณิตถ์ไม่นาน  เมื่อคนรักเรียนอย่างเอกวิชชาได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาโทด้านกฎหมาย ณ กรุงลอนดอน  ประเทศอังกฤษ  เอกวิชชาดีใจมาก  บูรณิตถ์จึงจำต้องกล้ำกลืนความเสียใจไว้และให้เขาไปเรียนต่อตามความต้องการ  ในวันเดินทางของเอกวิชชานั้น  บูรณิตถ์ไปส่งเอกวิชชาที่สนามบิน  เอกวิชชาดึงบูรณิตถ์ไปกอดก่อนกระซิบที่ข้างหูว่า  “รอเอกนะ  การบูร  2ปี  ให้เวลาเอก 2 ปีเท่านั้น  แล้วเอกจะกลับมาแต่งงานกับการบูร  ถึงวันนั้นเราจะไม่พรากจากกันอีก”  บูรณิตถ์ยิ้มให้เอกวิชชาและพยักหน้าอย่างเชื่อในคำสัญญานั้น
   
                    บูรณิตถ์พยายามปลอบใจตัวเองว่า 2 ปีแค่แป๊บเดียว  เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว  เธอพยายามหาอะไรทำให้ยุ่งอยู่เสมอ  ขยันทำงาน  หมั่นไปเยี่ยมพ่อแม่ของเอกวิชชาเผื่อท่านจะเหงา  เอกวิชชาก็ขยันเขียนจดหมายส่งข่าวคราวให้เธอรู้  เขาลงท้ายจดหมายทุกฉบับของเขาด้วยคำว่า “รักนะครับ”  และบูรณิตถ์ก็ไม่ลืมที่จะตอบจดหมายของเอกวิชชากลับไป  พร้อมกับลงท้ายจดหมายว่า “คิดถึงนะคะ” ทุกฉบับ  บูรณิตถ์อ่านจดหมายของเอกวิชชาด้วยรอยยิ้มทุกครั้ง  เธอเก็บรวบรวมจดหมายของเอกวิชชาไว้ในกล่องไม้สีน้ำตาลและเอาออกมาอ่านเสมอเมื่อต้องการกำลังใจ
   
                    บูรณิตถ์มีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศอยู่เสมอเพราะต้องไปติดต่อกับสำนักงานใหญ่ของบริษัทแม่  แต่เธอก็ไม่มีโอกาสเดินทางไปกรุงลอนดอนที่เอกวิชชาอยู่เลยสักครั้ง  บูรณิตถ์ได้เมล็ดพันธุ์ดอกฟอร์เก็ท มี นอท (Forget Me Not)มาจากภัทราเพื่อนที่ทำกิจการสวนดอกไม้ที่เชียงใหม่  เธอจึงแบ่งเมล็ดพันธุ์ส่วนหนึ่งส่งไปให้เอกวิชชา  อีกส่วนหนึ่งเธอก็ลงแปลงปลูกไว้เอง
   
                    วันหนึ่ง  หลังจากที่เอกวิชชาเดินทางไปเรียนต่อเป็นเวลา 1 ปีพอดี  บูรณิตถ์ได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากต่างประเทศที่ทำให้เธอต้องเดินทางไปกรุงลอนดอน  แต่เป็นการเดินทางด้วยเหตุที่เธอไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด  เสียงสุภาพสตรีสูงอายุท่านหนึ่งพูดภาษาอังกฤษสำเนียงฟังยากมาตามสาย  จับใจความได้ว่า “ฉันเป็นเจ้าของบ้านที่เอกวิชชาเช่าอยู่  บังเอิญฉันพบที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์นี้ในลิ้นชักโต๊ะของเอกวิชชา  ฉันจึงติดต่อมาบอกข่าวให้คุณทราบว่า เอกวิชชาเสียชีวิตแล้วเมื่อเช้านี้  ขอให้คุณช่วยมาจัดการด้วย”  บูรณิตถ์แทบจะหมดสติลงตรงนั้น  วันรุ่งขึ้น  เธอจึงรีบเดินทางไปยังกรุงลอนดอนเพื่อดูหน้าคนที่เธอรักมากที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย  เธอจัดการพิธีศพของเอกวิชชาแทนพ่อแม่ของเขา  เธอจัดการให้มีการเผาศพเขาที่นั้นและนำเพียงเถ้ากระดูกของเขากลับเมืองไทย  คุณนายเจ้าของบ้านที่เอกวิชชาเช่าอยู่นั้นเล่าให้เธอฟังว่า
                    “เอกวิชชาเขาคงรักเธอมากนะ  วันที่เขาตายเขาออกไปเก็บดอกฟอร์เก็ท มี นอทในสวนหลังบ้านทั้งๆที่ข้างนอกอากาศหนาวมาก  เขาสุขภาพไม่ดีตั้งแต่มาถึงที่นี่ใหม่ๆ  แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้รู้ตัวเลยนะว่า  เขาเป็นโรคหอบหืด” 
                   
                    “ค่ะ  ตอนอยู่เมืองไทยเขาสุขภาพดีมาก  เขาเล่นกีฬาสม่ำเสมอ” บูรณิตถ์บอกกับหญิงชราเจ้าของบ้าน 
                    “ฉันเสียใจด้วยจริงๆนะ”  หญิงชราบอกก่อนปล่อยให้บูรณิตถ์อยู่ในห้องของเอกวิชชาเพียงลำพังเพื่อเก็บข้าวของ  บูรณิตถ์เหลียวมองรอบห้องที่เคยเป็นของเอกวิชชา  เธอเห็นดอกฟอร์เก็ท มี นอทหอบใหญ่ที่เอกวิชชาออกไปเก็บในวันที่เขาเสียชีวิตวางอยู่บนโต๊ะทำงานริมหน้าต่าง  หญิงชราเจ้าของบ้านคงเป็นคนนำมาวางไว้ให้  ดอกฟอร์เก็ท มี นอท ที่เขาปลูกขึ้นจากเมล็ดที่เธอส่งมาให้  เอกวิชชาเคยบอกกับหญิงชราเจ้าของบ้านไว้ตอนที่เขามาขอพื้นที่สำหรับปลูกดอกไม้ในสวนว่า
                   
                    “คู่หมั้นของผม เธอส่งเมล็ดมาให้ผมปลูก  ผมจะปลูกและส่งดอกไม้กลับไปให้เธอ  ให้เธอรู้ว่าผมไม่เคยลืมเธอเลย” 
บูรณิตถ์ร้องไห้อย่างสุดกลั้นกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับเธอ
    เมื่อคิดมาถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น  น้ำตาของบูรณิตถ์ก็ไหลออกมาจนหยดลงบนหลังมือของเธอ  บูรณิตถ์ตกใจเหลียวมองรอบกายเห็นว่าความมืดค่อยๆโรยตัวปกคลุมรอบบ้าน  บูรณิตถ์ปาดน้ำตาบนใบหน้าออกและเก็บซองจดหมายใส่กล่อง  1 ปีแล้วสินะที่เอกวิชชาจากไป  เช้านี้เองที่เธอไปทำบุญให้เขาพร้อมกับไปสรงน้ำโกศเก็บกระดูกของเขาที่วัด  ถ้าวันนี้  เอกวิชชายังมีชีวิตอยู่  มันจะเป็นวันที่เอกวิชชาเดินทางกลับเมืองไทยหลังจบการศึกษา  แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น  บูรณิตถ์คิดถึงเอกวิชชาอย่างเศร้าสร้อย 
                “เพิ่งจะ 6 โมงเอง  ออกไปทิ้งจดหมายก่อนดีกว่า”  บูรณิตถ์เดินออกจากห้อง  แวะบอกกับแม่ของเธอก่อนที่จะออกจากบ้านว่า
                “แม่คะ  การบูรไปส่งจดหมายก่อนนะคะ  เดี๋ยวกลับมา” 
                “เดินระวังๆนะลูก” 
                “ค่ะ  แม่”
   
                  บูรณิตถ์เดินมาตามถนนในหมู่บ้านจัดสรรจนถึงร้านค้าแห่งหนึ่ง  หน้าร้านค้าแห่งนั้นมีตู้ไปรษณีย์อยู่  ขณะที่บูรณิตถ์กำลังเดินไปที่ตู้ไปรษณีย์  รถยนต์คันหนึ่งแล่นออกนอกเส้นทางที่มันควรจะไปพุ่งเข้ามาชนบูรณิตถ์อย่างแรง  เนื่องจากคนขับสติเลอะเลือนจากฤทธิ์แอลกอฮอล์  ไปรษณียบัตรพิมพ์รูปทุ่งดอกฟอร์เก็ท มี นอทในมือของบูรณิตถ์ปลิวไปไกล  ร่างของบูรณิตถ์ไถลครูดไปกับพื้นถนน  สติของบูร-ณิตถ์ริบหรี่  แต่ก่อนที่สติจะดับวูบลงนั้น  บูรณิตถ์เห็นเอกวิชชามายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับยื่นมือมาให้  บูรณิตถ์ยื่นมือไปจับมือนั้นพร้อมกับคิดว่า
                    “ในที่สุด  เอกก็ทำตามสัญญา  2ปีตามสัญญา  เราจะไม่พรากจากกันอีก”  แล้วสติของเธอก็ดับวูบลงพร้อมกับการหยุดเต้นของหัวใจ
                    กฤตยพงศ์หยิบกล่องไม้สีน้ำตาลออกมาจากลิ้นชักโต๊ะทำงานของพี่สาว  เขาเดินไปบอกแม่ว่า
                    “แม่ครับ  ของสำคัญของพี่การบูร” 
                    แม่ของเขาเพียงหันมามองแล้วบอกว่า
                    “กฤษณ์จัดการให้แม่ที  เอาไปเผาพร้อมกับพี่เขาเสียก็ได้  เขาคงอยากเอาไปด้วย” 
   
                    นับตั้งแต่  บูรณิตถ์ประสบอุบัติเหตุรถชนจากไปเมื่อ 7 วันก่อน  แม่ของเขาก็อยู่ในอาการเศร้าซึม  พ่อแม่ของพี่เอกวิชชาก็เสียใจไม่แพ้กันเพราะท่านทั้งสองรักพี่สาวราวกับลูกสาว  ท่านคงทำใจไม่ได้ที่คู่หมั้นของลูกชายเสียชีวิตในวันครบรอบ1ปีของการจากไปของลูกชาย 
                    วันนี้ซึ่งเป็นวันประชุมเพลิงศพของพี่สาวเขา  พวกท่านก็เหมือนจะยังไม่คลายจากความเศร้าโศกเสียใจ
   
                    ที่วัด  กฤตยพงศ์โยนกล่องไม้สีน้ำตาลลงในกองเพลิงพร้อมกับดอกไม้จันทน์  อีกสามวันเขาก็ต้องมาเก็บเถ้าถ่านที่เคยเป็นร่างของพี่สาวของเขาไปลอยอังคารพร้อมกับเถ้าถ่านจากร่างของพี่เอกวิชชา  ผู้ชายที่พี่สาวเขารักมากที่สุด
                    ริมทะเล  บุคคลสี่คนยืนอยู่ริมทะเลด้วยอารมณ์เดียวกัน  คือโศกเศร้าเสียใจ  วันนี้เป็นวันที่ทั้ง 4 คนตกลงกันว่าจะเอากระดูกของเอกวิชชาและบูรณิตถ์มาลอยอังคาร  วันนี้  คลื่นลมสงบอย่างประหลาดคล้ายจะเปิดทางให้การเดินทางของทั้งคู่เป็นไปอย่างราบรื่น  กฤตยพงศ์ลงเรือไปพร้อมกับแม่ของเขาและพ่อแม่ของพี่เอกวิชชา  ไม่มีใครคุยกัน  ทุกคนต่างกำลังสะกดอารมณ์เสียใจไว้ทั้งนั้น
   
                    ห่างจากฝั่งทะเลมาพอสมควร  ทั้งสี่คนมีเถ้าถ่านของเอกวิชชาและบูรณิตถ์อยู่ในมือ กฤตยพงศ์อธิษฐานกับเถ้าถ่านที่ปนไปด้วยกลีบกุหลาบในมือ 
                    “ดูแลพี่การบูรด้วยนะครับ  พี่เอก”  ก่อนที่จะปล่อยเถ้าถ่านเหล่านั้นลงทะเล 
                    ลมทะเลที่สงบมาตลอดทั้งวันกลับพัดมาแผ่วเบา  คล้ายจะตอบคำอธิษฐานของกฤตยพงศ์
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น