ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนเลย ฉันชื่ออริส หรือว่าคุณจะเรียกยายตัวแสบหรือยายบ๊องก็ตามใจคุณ ทำไมถึงเรียกเรื่องนี้ว่าThis my loveเรื่องเล่าของเด็กน้อยน่ะเหรอ ก็เพราะว่าฉันเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะโตเป็นผู้ใหญ่เมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมาก่อนที่จะลงมือเขียนเรื่องนี้น่ะสิ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วฉันเพิ่งจะไปเที่ยวไหนต่อไหน เถลไถลจนกระทั่งค่ำจึงกลับบ้าน พอกลับมาก็เจอกัณฑ์เทศน์ชุดใหญ่จากแม่ ที่ฉันเพิ่งรู้ซึ้งว่าเกิดจากความเป็นห่วงที่แม่มีต่อฉันซะมากมาย มันทำให้ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต
              ความจริงฉันเป็นคนที่ค่อนข้างจะเอาแต่ใจตนเอง เพราะว่าพ่อและแม่แยกทางกันตั้งแต่ฉันยังไม่รู้ความอะไร ฉันโตมากับบรรดาป้าและน้าที่แสนจะเอาใจหลานสาวคนเล็ก(ในตอนนั้น) และก๋ง(ตา)ที่แสนจะรักฉันยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด มีแม่ที่เข้มแข็งและน่าภาคภูมิใจเป็นคนเลี้ยงดู ชีวิตฉันดูๆไปมันก็ไม่น่ารันทดอะไร แตกต่างจากเด็กคนอื่นในกรณีเดียวกันที่ขาดทั้งความรักและความเอาใจใส่จากคนรอบๆข้าง
            คุณคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมที่ฉันจะบอกว่าฉันเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก เพราะในชีวิตฉัน(ส่วนมาก)จะเจอแต่เรื่องดีๆ เริ่มจากมีแม่ที่ดี
เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง อดทน เสียสละได้ในบ้างครั้งเพื่อลูก ชีวิตแม่ฉันนี่น่าเอามาเขียนนิยาย รับรองได้ว่าคุณจะต้องน้ำตาท่วมแน่ๆถ้าได้อ่าน เพราะแค่ฉันฟังแม่+คนอื่นๆเล่า ฉันยังทึ่งไม่หายว่าแม่ฉันต้องเจออะไรต่อมิอะไรขนาดนี้เลยเหรอ สิ่งแวดล้อมที่โตมาก็ดี มีบทเรียนชีวิตต่างผ่านเข้ามาให้ฉันได้เรียนรู้โดยที่ไม่ต้องเจอกับตัวเอง เพื่อนที่ดี ดีซะจนฉันไม่อยากจะเชื่อว่าจะหาเพื่อนที่ดีกว่านี้ได้ที่ไหน ฉันมีเพื่อนมากมายมากหน้าหลายตา ทั้งเพื่อนสมัยเด็ก เพื่อนเที่ยว เพื่อนค่าย เพื่อนที่โรงเรียนและเพื่อนตาย
            ชีวิตตอนเด็กก็ดูไม่มีอะไรน่าพิเศษ ฉันมีชีวิตที่ไม่แตกต่างจากเด็กทั่วๆไป ไปเรียนหนังสือ กิน นอน เล่น นี่คือกิจวัตรประจำวัน
โดยมีงานอดิเรกคือการนั่งมองพ่อแม่(คนอื่น)มารับลูก    แล้วก็นึกถึงตัวเอง    โดยแอบหวังลึกๆว่าจะมีวันแบบนั้นบ้างแม้จะรู้ดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้       
            หัวใจฉันตอนเด็กๆมันบอบบางซะจนน่ากลัว กลัวว่ามันจะแตกสลายไปในวันใดวันหนึ่ง ทุกๆวันฉันจะเฝ้ามองความรักของคนอื่น
แล้วเฝ้าถามหัวใจเหงาๆของตัวเองว่า จะมีวันไหนบ้างไหมที่ฉันจะได้เจอความอบอุ่นที่ฉันมีสิทธิได้แค่เฝ้ามองแบบนี้ จะมีวันไหนบ้างไหมที่ฉันจะได้รับไออุ่นจากหัวใจของใครคนหนึ่งเพื่อให้หัวใจที่หนาวเย็นของฉันอบอุ่นขึ้นมาบ้าง และก็ไม่เคยได้คำตอบ
            จนกระทั่งฉันเลิกที่จะเฝ้าถามแต่ยังไม่เลิกที่จะเฝ้าคอย ฉันยังคงนั่งเงียบๆและเฝ้ามองความรักของผู้คนต่างๆ คุณเป็นแบบฉันไหม เวลาที่เห็นคนรักกันแล้วคุณจะรู้สึกดี เหมือนว่าไอรักจากคนเหล่านั้นมันกระจายอยู่เต็มทุกอณูของอากาศ มากซะจนคุณสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่เขาสื่อถึงกัน แต่มันกลับไม่ซึมเข้าสู่ก้นบึ้งของหัวใจ ณ ที่แห่งนั้นมันยังคงหนาวเย็นอยู่เสมอ สมัยประถมฉันยังคงไม่คิดอะไรมาก    ยังคงใช้ชีวิตไปวันๆเพื่อค้นหาว่าฉันเกิดมาทำไม
    จนกระทั่งฉันขึ้นมัธยม ฉันเริ่มที่จะเป็นแบบเด็กผู้หญิงทั่วๆไป นั่นคือการอยากมีคนรัก ที่เขาเรียกกันว่าแฟนนั่นเอง แต่ขอโทษ
..ทุกวันนี้ฉันก็ยังหาแบบที่เป็นตัวเป็นตนไม่ได้ ตอนสมัยเป็นสาวๆ(ม.ต้น) ฉันก็แอบชอบคนนู้นคนนี้ไปให้วุ่นวายตามประสาเด็กน้อยที่อยากมีความรัก แอบชอบเพื่อนต่างห้อง เพื่อนในห้อง รุ่นพี่ ข้อเสียฉันมีอยู่ 1 ข้อที่สำคัญแก้เท่าไรก็ไม่หายคือ ฉันเป็นโรคภูมิแพ้ขนาดหนัก
แพ้ผู้ชายหน้าตาดี โดยเฉพาะขาว ตี๋ สูง ใส่แว่น เห็นแบบนี้ทีไรหัวใจละลายลงไปกองกับพื้นทุกที ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่
                ความรักของฉันในสมัยสาวๆมันเกิดแบบรวดเร็วและก็จากไปเร็ว เหมือนกับการที่เล่นดอกไม้ไฟเปี๊ยบ
เลย มันน่าตื่นตาตื่นใจในตอนแรก ทันทีที่เห็นประกายไฟที่น่าตื่นตาตื่นใจและงดงาม  แต่ทันที่แสงจากดอกไม้ไฟดับลงมันก็ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกต่อไป เหลือไว้เพียงความทรงจำว่ามันเคยสวยงามแค่ไหนในใจของเราเท่านั้น ทุกครั้งที่อกหักฉันจะฟูมฟายแทบตายทุกที จนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ราวๆสัก 4-5 เดือนได้ที่ฉันได้รู้ว่าความรักคืออะไร ความสุขที่เกิดความความรักหน้าตามันเป็นยังไง เขาคนนั้นทำให้ฉันได้รู้ว่าการได้รักใครสักคนมันเป็นความสุขใจแค่ไหน อยากรู้แล้วใช่ไหมหล่ะว่าเขาเป็นใคร เอาหล่ะจะเล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละ
    ฉันเจอเขาครั้งแรกตอนที่เรียน ม.1 คุณอย่ามาหาว่าฉันแก่แดดหล่ะ ฉันไม่ได้ไปจีบเขาตั้งแต่ในตอนนั้นหรอก แม่บังคับให้ฉันไปเรียนพิเศษกับอาจารย์คนหนึ่ง เรียนพิเศษวิทย์ตอนเย็นหลังเลิกเรียนคุณก็น่าจะรู้นะว่ามันทรมานเพียงใด แทนที่จะได้กลับบ้านไปนั่งดูโทรทัศน์ แต่กลับต้องมานั่งจุ้มปุ๊กเรียนพิเศษ เขาคนนั้นเป็นหลานอาจารย์ในโรงเรียนนั่นแหละ ฉันขอเรียกเขาว่าแมวหล่ะกัน เพราะตอนนี้ฉันเรียกเขาว่าแมว เนื่องจากพ่อคุณขี้อ้อนเหลือเกินเหมือนแมวไม่มีผิด เพื่อนที่เรียนพิเศษตอนนั้นก็ลูกๆหลานๆ อาจารย์ในโรงเรียนทั้งนั้น รวมทั้งฉันด้วย
              ตอนเข้าไปวันแรกรู้สึกว่าตัวเองเป็นมนุษย์ประหลาดเลย เพราะเขารู้จักกันหมด ยกเว้นฉันที่ไม่รู้จักใครเลย นายแมวเนี่ยดูสะดุดตาที่สุด เนื่องมาจากความสูง+ความขาว เหมือนนกกระยางมากๆ เขานั่งทำหน้าเฉยราวกับว่าไม่มีความรู้สึก ถ้าคุณนึกภาพเขาไม่ออกก็ให้นึกถึงนกกระยางขายาวมากๆ มีความสูงสัก 178 ได้ กำลังยืนทำหน้าไร้ความรู้สึกอยู่
บิงโก! นั่นแหละแบบนั้นเลย 
                ตอนแรกๆฉันก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก เพราะดูท่าว่าเขาจะเป็นมนุษย์น้ำแข็งเกินไป จนผ่านไปสัก 2-3 เดือนก็เริ่มสนิทกัน ฉันถึงได้รู้ว่าอีตานี่ไม่ได้เฉยอย่างท่าทีภายนอกเลยแม้แต่นิดเดียว
.. กวนประสาทเป็นที่หนึ่ง ปากเสียตามมาเป็นที่สอง ทำไม๊ทำไมมันช่างขัดแย้งกับบุคลิกภายนอกได้ซะขนาดนั้น ทุกวันนี้ฉันก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี สมัยสาวๆฉันเป็นคนที่ค่อนข้างจะสปอร์ตกับเพื่อนมาก ทุกวันฉันจะมีขนมมาเลี้ยงเพื่อนที่เรียนพิเศษด้วยกัน จนนานๆเข้าก็เลิกเลี้ยงไปเพราะโดนแม่ตัดค่าขนม ช่วง ม.ต้นที่เรียนพิเศษด้วยกันไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เพราะถึงแม้จะเรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่ก็อยู่กันคนละห้อง แถมฉันยังไปเครซี่หนุ่มต่างห้องคนหนึ่งอยู่อีกต่างหาก ฉันกับนายแมวก็ดูท่าว่าจะเป็นเพื่อนธรรมดากันอยู่อย่างนั้นต่อไป เพราะหลังจากที่ฉันอกหัก ฉันก็ไปชอบรุ่นพี่และใครต่อใครเขาไปทั่ว จนไม่ใส่ใจนกกระยางผู้เย็นชาที่เจอหน้ากันทุกเย็น
                พอเข้า ม.3 อาจารย์ที่สอนพิเศษฉันก็ย้ายวันให้พวกฉันไปเรียนเสาร์-อาทิตย์แทน เพราะฉะนั้นฉันก็จะเจอเขาน้อยลงวันธรรมดาน่ะเหรอ ก็แทบไม่ได้เจอกันเพราะเรียนกันคนละห้อง แต่การที่เรียนวันเสาร์นี่แหละที่ทำให้ฉันได้เห็นมุมต่างๆของเขาที่วันธรรมดาฉันไม่เคยได้เห็นที่โรงเรียน แววตาที่ส่องเป็นประกาย เสียงหัวเราะ รอยยิ้มที่อ่อนโยน สิ่งเหล่านี้ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะทำเป็น มันเป็นภาพที่แปลกตาและน่าแปลกใจ เหมือนกับว่า 5 วันที่ผ่านมาคุณเจอคนคนหนึ่งหน้าตาแบบนี้ เย็นชากับคนรอบข้าง แต่พอวันเสาร์กลับเป็นคนที่อ่อนโยน น่ารัก เหมือนเป็นคนละคนทั้งๆที่หน้าตาก็แบบเดิม เหมือนกับคนที่คุณเจอมาตลอด 5 วัน จะเป็นฝาแฝดก็ไม่มีทางเป็นไปได้
(เพราะเขาไม่มี)เขาเป็นเหมือนกับหนังสือเล่มหนึ่งที่ต่อให้คุณอ่านไปจนตายก็ไม่เข้าใจ มันจึงกลายเป็นจุดที่ทำให้ฉันเฝ้าสังเกตเขาทุกวัน
ทีละเล็กทีละน้อย จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องมองหาเขาก่อนใคร ยิ่งเฝ้ามองยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งค้นหายิ่งสงสัย แต่ความรู้สึกหนึ่งกลับค่อยก่อตัวขึ้นในหัวใจฉันโดยที่ฉันเองไม่เคยรู้สึกตัว เป็นความรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ๆเขา อยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆเพื่อที่จะได้เห็นรอยยิ้มของเขาอีก ได้เห็นแววตาอ่อนโยนแม้ว่าดวงตาคู่นั้นจะไม่มองมาที่ฉันก็ตาม ความรู้สึกนี้ยังคงแฝงตัวอยู่โดยที่ฉันไม่ได้คิดระแวงเลยว่าตัวเองกำลังตกหลุมรักอยู่ ฉันก็ยังคงเป็นฉันที่เที่ยวมองหาหนุ่มหล่อมาให้หัวใจตัวเองละลายเล่นวันละสามเวลา เที่ยวกรี๊ดคนนู้นคนนี้อย่างสนุกสนาน และก็เบื่อไปเอง พอเบื่อก็มองหาหนุ่มๆคนใหม่ และก็เบื่อ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แบบอินฟีนีตี้ เป็นวงจรที่ช่างไร้สาระจริงๆ
                แต่ฉันรู้ลิมิตความรู้สึกตัวเองดี ว่าอยู่ที่แค่ไหน ต่อให้ฉันทำท่าคลั่งแทบเป็นแทบตาย ความรู้สึกจริงก็แค่ปลื้ม ประทับใจ เท่านั้น ไม่เคยมีคนไหนที่ฉันคิดจะรักจริงๆจังๆเลยสักคน จนพอจะจบ ม.ต้นนั่นแหละ ฉันถึงรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง เมื่อรู้ว่าต่อไปนี้ฉันจะไม่มีเขามาให้เห็นหน้าทุกๆวันอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อเขาเลือกที่จะไปเรียนต่อที่อื่น ในขณะที่ฉันยังคง
เรียนต่อที่โรงเรียนเดิม ของขวัญชิ้นแรกที่ฉันให้เขาคือ ดอยลี่ที่อาจารย์ให้ถักในชั่งโมงยุวกาชาด เป็นดอยลี่ที่ฉันถักเองเป็นชิ้นแรกและตั้งใจทำเต็มที่ ฉันให้เขาในวันที่ 31 มีนาคมเป็นวันจบการศึกษา นักเรียนทุกคนต้องมาเอาใบประกาศที่โรงเรียน ฉันเอาไปใส่กระเป๋าเสื้อเขาโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ เพราะกลัวว่าตัวเองจะหลุดพูดความรู้สึกของตัวเองออกมา
              ฉันเคยคิดว่าพอนานๆไปความรู้สึกของฉันมันจะกลับไปสู่สภาพเดิม สายตาที่ฉันมองเขามันจะเหลือเพียงแววตาที่มีให้สำหรับเพื่อน แต่ฉันคิดผิด ทุกวันความคิดถึงที่มีมันกลับเพิ่มพูนซะมากมายจนบางครั้งฉันต้องแอบปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบๆคนเดียว
สิ่งเดียวที่ยังคงเชื่อมต่อฉันกับเขาไม่ให้ลืมอีกคนไปได้ นั่นก็คือโทรศัพท์ คงไม่ต้องบอกนะว่าใครเป็นฝ่ายโทร ฉันเป็นคนโทรไปหาเขาก่อนเสมอ แทบนับครั้งได้เลยที่เขาโทรมาหาฉัน(เสียดายไม่ได้จดไว้) ฉันเริ่มที่จะระบายความรู้สึกของตัวเองลงในไดอารี่ เขียนไม่ทุกวัน แต่จะเขียนทุกครั้งที่อยากจะระบายอะไรแต่พูดอะไรกับใครไม่ได้ จนทุกวันนี้ฉันเริ่มเขียนเล่มที่ 7 แล้ว พอเขียนจบเล่มหนึ่งก็เอาไปลอยลงน้ำตรงคลองที่ไหลผ่านกลางโรงเรียน เหมือนต้องการปล่อยให้ความรู้สึกของตัวฉันเองไปตามกระแสน้ำ ทุกๆครั้งที่โทรไปฉันพยายามจำกัดความรู้สึกตัวเองให้อยู่ที่คำว่าเพื่อน มันก็สำเร็จบ้าง มีหลุดๆออกไปให้เขาสงสัยบ้างเป็นระยะๆ แต่ฉันก็หาข้อแก้ตัวได้ทุกครั้งร่ำไป ที่ไม่อยากให้เขารู้เพราะกลัวว่าช่องว่างที่มันมีอยู่มันจะกว้างกว่านี้ กลัวที่เขาจะหายไปจากชีวิต กลัวที่วันพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาจะไม่มีเขาอยู่ในชีวิต กลัวว่าเขาจะทำใจปรับความรู้สึกไม่ได้และเลี่ยงที่จะไม่พูดกัน ที่ทำได้จึงแค่แอบรัก แอบส่งความห่วงใยไปให้ผ่านถ้อยคำที่พยายามให้แนบเนียนที่สุด ว่าไม่มีความรู้สึกใดแอบแฝงนอกจากคำว่า”เพื่อน” ฉันทำอย่างนี้อยู่ 2 ปีเต็ม แอบรัก แอบเฝ้ามองอยู่ห่าง ไม่ถอยออกห่างแต่ก็ไม่เข้าไปใกล้ รักษาระยะห่างระหว่างฉันและเขาเสมอ
                จนกระทั่งเมื่อต้นปีนี้ มีพี่คนหนึ่งเขาพูดให้ฉันฟังโดยที่ไม่ได้ตั้งใจว่าคนที่กล้าที่จะรักใครก็ต้องกล้าที่จะเสียใจ คนที่กล้าหาญต้องกล้าบอกใครต่อใครว่าตัวเองอ่อนแอ น้ำตาไม่ใช่เครื่องหมายของคนอ่อนแอ แต่เป็นสิ่งที่คนเข้มแข็งไว้ใช้ระบายความอัดอั้นตันใจ เมื่อเรารักใครก็ต้องกล้าที่ให้เขาได้รับรู้ กล้าที่จะฟังคำตอบจากปากเขาแม้ว่าจะเป็นคำที่ไม่อยากจะฟัง เพราะความจริงก็ยังคงเป็นอยู่วันยันค่ำ จะรอเวลาให้ตัวเองต้องทรมานทุรนทุรายกังวลกลัวกับคำตอบไปทำไม สู้ฟังเสียตั้งแต่วันนี้ เพราะมันอาจเป็นคำตอบที่เราอยากฟัง ถ้าไม่ใช่เราก็จะมีเวลาตัดใจได้ทัน พอพี่เขาพูดจบฉันได้แต่นั่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก เย็นนั้นฉันโทรหาเขาพูดแบบทีเล่นทีจริงว่า “รัก”  และค่อยๆพยายามหาทางบอกให้เขารู้ตัวไปเรื่อยๆแบบแนบเนียนที่สุด
                จนกระทั่งวันที่ 21 มิถุนายน  ฉันตัดสินใจบอกอย่างจริงๆจังๆ ถามว่าเขารู้มาตลอดใช่ไหมว่าฉันรู้สึกอย่างไง เขายอมรับและบอกว่าจะแกล้งโง่ทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อไปเรื่อยๆ และที่สำคัญเขาให้ฉันได้แค่เพื่อนคนหนึ่ง วินาทีที่ฟังยอมรับแบบหน้าด้านๆเลยว่าฉันไม่รู้เรื่องว่าเขาพูดอะไรต่อจากนั้น หูอื้อ ตาลาย เขาถามอะไรก็เออออไปแบบที่ไม่รู้เรื่องอะไรและรีบหาเรื่องวางหูไปนอนช็อกทั้งคืน วันรุ่งขึ้นฉันไปเรียนในสภาพไร้วิญญาณ เรียน ทำทุกอย่างเป็นปกติแต่ไร้ชีวิต ทำเอาเพื่อนๆแปลกใจไปตามๆกันเพราะปกติฉันเป็นคนที่พูดมากและเสียงดังที่สุดในกลุ่ม พอโรงเรียนเลิกวันนั้นฉันตรงดิ่งกลับบ้านทันที ทั้งที่ปกติจะต้องหาเรื่องอยู่โรงเรียนกับเพื่อนจนเย็นถึงกลับบ้านได้ทุกวัน พอถึงบ้านฉันนั่งจมกับความคิดตัวเองอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วก็โทรศัพท์ไปร้องไห้ให้ยัยบาสฟังพอเช็ดน้ำตาแห้งก็ร้องใหม่ ทำแบบนี้อยู่ 2-3 รอบ ถึงมีกะจิตกะใจไปทำอย่างอื่น
                  พอวันต่อมาอาการฉันก็เป็นแบบเดิม แต่คราวนี้ฉันร้องไห้คนเดียว และเริ่มคิดอะไรได้ว่าตัวฉันเองจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อวันนี้  ฉันโทรไปบอกเขาว่าฉันหมดความพยายามที่จะทำอะไรแล้วในเมื่อ 3 ปีที่ฉันทำไปมันไม่มีค่า ไม่มีความหมายอะไรเลย ฉันก็จะเลิกทำ แต่ทุกวันนี้ฉันก็ยังทำไม่ได้อย่างปากว่า ต่อให้เจ็บปวดแค่ไหนฉันก็จะฝืนทำให้ ถ้าเขาต้องการ ฉันยังคงเป็นห่วงเขาอยู่ทุกลมหายใจ ยังคงรักเขาเหมือนเดิม ไม่เพิ่มเติมแต่ก็ไม่ลดลง ฉันบังคับความรู้สึกของตัวเองให้มีอยู่เท่าเดิม ถ้าจะถามว่ารักเขาตรงไหน ฉันก็ตอบว่าไม่รู้ ถ้าถามว่าเพราะเขาเป็นคนดีที่สุดที่ฉันเจอใช่ไหม ก็ไม่ใช่ ฉันไม่รู้เหตุผลที่รักเขา รู้แค่ว่ารักเท่านั้นเอง ทุกสิ่งที่ฉันทำให้เขาฉันจะเฝ้าทบทวนแล้วทบทวนอีกว่ามันดีที่สุด ให้ของขวัญเขาก็บรรจงเลือกแล้วเลือกอีกว่ามันเหมาะกับเขา เลือกแม้กระทั่งกระดาษห่อของขวัญ เขาจะเคยสังเกตไหมนะ ว่ากระดาษห่อของขวัญสีขาวนั้น มีตัวหนังสือสีเงินจางๆว่า ” With love” เป็นห่วงเขาไปซะทุกเรื่องแม้กระทั่งเรื่องเรียน
                  แต่แล้ววันหนึ่งฉันก็ได้รู้จากเพื่อนคนหนึ่งว่าเขามีเจ้าของแล้ว เป็นคนคนเดียวกับที่เขาบอกฉันว่าเป็นเพื่อน ต้องขอขอบคุณที่เป็นห่วงความรู้สึกฉัน แต่ฉันทำใจได้นานแล้วที่จะไม่ร้องไห้เหมือนเด็กไม่รู้จักโต เมื่อวานมันคืออดีตมันผ่านไปแล้ว พรุ่งนี้ยังมาไม่ถึงก็ช่างหัวมันไปก่อน ดังนั้นฉันควรใช้ชีวิตที่มีกับวันนี้ ฉันจะดำรงอยู่ด้วยลมหายใจของตัวเอง เพื่อตัวเอง แต่ถ้าจะให้ตัดใจฉันกลับทำไม่ได้ เหมือนจะขาดใจตายซะดื้อๆ และแล้วความรักของเขาก็กลายเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่าน เหลือไว้แต่รอยแค้นในใจเขาเท่านั้น แต่จะให้ฉันทำอย่างไรหล่ะ ปลอบใจเขาทั้งที่ตัวเองยังเจ็บปางตายเนี่ยนะ ฉันก็เลยปล่อยให้เขาแก้ปัญหาของตัวเองไปเรื่อยๆ ให้คำแนะนำเพื่อที่หาทางออกที่เขาจะสบายใจที่สุดบ้างเป็นบางครั้งที่เข้มแข็งพอ แม้วันที่กำลังนั่งเขียนอยู่นี่ก็เถอะ ฉันก็ยังตัดใจไม่ได้เลย
    การที่ต้องมานั่งห่วงเขาทำให้ฉันได้รู้ว่าการที่เรารักและเป็นห่วงใครสักคนมันเหนื่อยหนักหนาสาหัสสากรรจ์แค่ไหน แล้วแม่หล่ะ แม่ห่วงฉันในทุกๆเรื่องอยู่แล้วยังต้องมาเป็นห่วงเวลาที่ฉันทำตัวเหลวไหลอีก แม่จะเหนื่อยสักแค่ไหน ต่อไปนี้ฉันจะเริ่มปฏิวัติตัวเองซะที วันพรุ่งนี้ฉันจะทำตัวเป็นลูกที่ดีกว่านี้ เมื่อไรที่รู้สึกว่าใครรักเราน้อยลงฉันจะรักตัวเองเพิ่มขึ้นและนั่นจะทำให้ฉันรู้ว่าแม่รักและหวังดีกับฉันมากเท่าไร เพราะแม่จะรักเราเท่ากับเรารักตัวเองคูณด้วย 1000 เสมอ ฉันอยากให้ทุกคนกล้าที่จะรักใคร ลองมองไปรอบๆตัวคุณดูสิ เขาคนนั้นจะแฝงตัวอยู่รอบๆตัวคุณนั่นแหละ เพียงแต่รอเวลาที่พระเจ้ากำหนดให้เขาพบคุณเท่านั้น ถ้ายังไม่เจอก็แสดงว่าพระเจ้าคงเล็งไว้แล้วว่ายังไม่ถึงเวลา ถ้าอกหักนั่นแสดงว่าพระเจ้าคงคิดว่าเขาไม่คู่ควรกับคุณ เขายังดีไม่พอที่จะเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างคุณชั่วชีวิต จงภูมิใจเถิดที่พระเจ้ารักเรามากกว่าใครๆถึงได้พยายามคัดเลือกคนที่ดีที่สุดให้เรา คิดซะว่าชีวิตนี่คือบททดสอบจากพระเจ้า ความรักก็เป็นหนึ่งในบททดสอบนั้น
ลองท้าทายทำบททดสอบที่แสนยากนี่ให้สำเร็จสิ ต่อไปคุณก็จะกล้าที่จะต่อกรกับพระเจ้า เพราะไม่ว่าบททดสอบไหนๆเราก็กล้าที่จะเผชิญหน้าและทำมันอย่างเต็มความสามารถ ต่อไปนี้เต็มที่เลยนะพระเจ้า
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น