คืนพระจันทร์เสี้ยว - คืนพระจันทร์เสี้ยว นิยาย คืนพระจันทร์เสี้ยว : Dek-D.com - Writer

    คืนพระจันทร์เสี้ยว

    ความรักอีกแบบหนึ่งในสังคมอีกแห่ง ในอีกยุคสมัยหนึ่ง น่ารักอีกแบบหนึ่ง แต่...

    ผู้เข้าชมรวม

    1,069

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    1.06K

    ความคิดเห็น


    6

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  29 พ.ค. 46 / 20:11 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      คืนพระจันทร์เสี้ยว

      เอกสัณห์  ชินอัครพงศ์ แปล


      1.
      ข้าวสาลีเก็บเกี่ยวหมดแล้ว ผู้คนต่างดูซูบผอมลงไปไม่น้อย
      ดวงอาทิตย์สาดแสงส่อง ทั่วบริเวณท้องทุ่งสงบเงียบ นาข้าวสาลีเป็นแนวยาวไกลพันลี้ที่เคยเป็นสีทองเหลืองอร่ามกลับกลายเป็นสีเทาคล้ำเกลื่อนทุ่ง เป็นเวลาร่วมเจ็ดวันเจ็ดคืนมาแล้วที่ผู้คนในหมู่บ้านทั้งชายและหญิงไม่ได้นอนหลับอย่างสบายเลยแม้แต่สักคืนเดียว พอมาถึงวันนี้แต่ละคนจึงเหมือนได้ปลดแอกออกจากบ่า หัวถึงหมอนก็หลับสนิทเป็นตาย
          ดวงอาทิตย์ค่อย ๆเคลื่อนสูงขึ้นอย่างช้า ๆ วันวานผู้คนยังส่งเสียงฮาเฮ ม้ายังส่งเสียงร้องดังทั่วหมู่บ้าน แต่วันนี้แม้แต่เงาผู้คนก็ไม่มีสักคนให้เห็น ตามหัวตลาด สนามหญ้า ที่ไหนไหนก็มีแต่ความเงียบ คล้ายกับผู้คนทั้งหมู่บ้านกินยานอนหลับกันทุกคน จะปลุกจะเรียกอย่างไรก็คงไม่มีใครตื่น บรรดาสัตว์เลี้ยงทั้งหลาย ไก่เอย เป็ดเอย หมูเอยแต่ละตัวยังกับร่วมรับเอาความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของผู้เป็นเจ้าของมันไปด้วย ต่างก็นอนเงียบไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย
          -----------------------------------------------

          ใกล้จะถึงยามเที่ยง บรรดาแม่บ้านทั้งหลายจึงค่อย ๆลุกขึ้นบิดขี้เกียจ ยืดแข้งยืดขา ออกไปหอบหาไม้ฟืนจากลานบ้านมาหุงหาอาหาร พวกผู้ชายก็เช่นกัน ค่อย ๆตื่นจากหลับไหล แต่ก็ไม่ได้รีบลุกจากที่นอน คงเอนหลังสูบบุหรี่และดีดลูกคิดในท้องคิดคำนวณไปด้วยพร้อม ๆกับพ่นควันบุหรี่ออกมา (การสูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง) คาดดูจากผลผลิตในปีนี้น่าจะได้ส่วนแบ่งข้าวสักเท่าใด
          บรรดาสมาชิกในหมู่บ้าน เด็กหนุ่ม ๆ ดูจะตื่นเช้ากว่าใครทั้งหมด พวกเขาดูเหมือนแม้จะทำงานมาอย่างหนักทั้งวันก็ไม่ได้ทำให้เหน็ดเหนื่อยหมดเรี่ยวหมดแรงแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับทำให้มีพลังเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อใดพวกเขาก็ยังคงมีสภาพที่สดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ และจะไปพบกันโดยไม่ต้องนัดหมายตามที่ต่าง ๆ ที่ลานบ่อน้ำกลางหมู่บ้าน ใต้ต้นหลิ่วหรือที่เงียบ ๆแห่งอื่น ๆ


      2.
      ใกล้ ๆ ลานนวดข้าว
          “เสี่ยวเหลียน คืนนี้ที่อำเภอมีหนังมาฉาย” คนพูดเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อจินเฉวียน เขาสวมเสื้อกล้ามสีแดง เปิดให้เห็นหัวไหล่และแขนที่แข็งแกร่ง ดวงตาสองข้างส่งประกายแวววาวอยู่บนใบหน้าดำมัน
          “เธออย่ามาหลอกฉันเลย” เสี่ยวเหลียนเด็กสาววัยสิบแปด เอามือจับหางเปียยาวของเธอ ดูไปแล้วเธอยังคงเป็นเด็กสาวไร้เดียงสา
          “ฉันเคยโกหกใครเมื่อไหร่กัน” เด็กหนุ่มเริ่มร้อนใจเมื่อถูกกล่าวหาว่าโกหก ถมึงทึงทำตาโตราวกันลูกกระพรวน
          “จริง ๆเหรอ หนังอะไร”
          “เรื่อง รักที่ถูกลืม น่าดูนะ ไปดูด้วยกันมั้ย”
          “ฉัน… … “
          “ไปเถอะน่า นะ”
          “ฉัน … ไม่ไป สองวันนี้ทำฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
          “โธ่ ไปดูหนังก็เป็นการพักผ่อนแล้ว จะคอยให้พวกฉายหนังมาถึงหมู่บ้านเราละก็ไม่รู้จะเป็นเมื่อไหร่ เดือนไหน ปีไหน”
          “แม่ฉันไม่อนุญาตให้ฉันไปดูหนังที่หมู่บ้านอื่นหรอก”
          “ทำไม”
          “แม่บอกว่า ดึกดื่นเที่ยงคืนเป็นผู้หญิง อาจหาญออกไปเที่ยวตะรอน ๆจะได้อะไรดีกลับมา อีกอย่างเกิดไปพบพวกนักเลงหัวไม้เข้าจะทำยังไง”
          “ก็มีฉันไปด้วยเธอยังจะไปกลัวอะไร”
          “เธอเหรอ” เสี่ยวเหลียนหัวเราะ
          “เธอไม่เชื่อฉันหรือไง อย่าว่าแต่จิ้กโก๋เล็ก ๆคนเดียวเลย แขนทรงพลังของฉันต่อให้สามหรือสี่คนยังสบาย ๆไม่มีปัญหา” จินเฉวียนพูดอย่างมั่นใจตนเอง พร้อมกับชูแขนที่มีกล้ามเป็นมัดขึ้นให้ดูด้วย
          เสี่ยวเหลียนเอามือปิดปากหัวเราะคิก ๆ
          “เธอหัวเราะอะไร”
          “แม่ฉันบอกว่า … บอกว่า เธอก็ไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกัน”
          “อะไรนะ ฉันไม่ใช่… “
          “แม่ยังบอกฉันอีกว่า … “
          “แม่บอกว่าอะไร” จินเฉวียนรู้สึกอึดอัดใจหน้าแดงก่ำ
          “ฉันไม่พูดแล้ว” เสี่ยวเหลียนสะบัดหางเปียไปข้างหลัง มองเขาแล้วก็หัวเราะอีก
          “พูดเถอะ ยังจะมาทำเป็นลับลมคมในกับฉันอีก”
          “พูดไป เดี๋ยวก็ทำให้เธอโกรธฉันเปล่า ๆ”
          “ไม่โกรธหรอกน่า เธอพูดมาเถอะ”
          “แม่ฉันบอกว่า ให้อยู่ห่าง ๆเธอไว้อย่ายุ่งกับเธอให้มากนัก”
          “แม่เธอ เฮ้อ… แล้วเธอก็เชื่อแกจริง ๆ”
          “ฉัน… “
          “เสี่ยวเหลียน เธอบอกฉันหน่อยสิว่า เธอรู้สึกอย่างไรกับฉัน”
          “ฉัน ฉันไม่รู้”
          ………………………………………..
          คำสนทนาของทั้งสองคนจบลงอย่างนี้ :
          “งั้น เราตกลงเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน กินข้าวแต่วันหน่อย ฉันจะคอยเธอที่ทางเข้าหมู่บ้าน ไม่พบไม่กลับ”
          “แม่จะต้องถามฉันแน่ว่า ไปไหน”
          “โธ่ … เธอก็ไม่รู้จักบอกแกไปเหรอว่า เธอจะไปเยี่ยมคุณย่า”
          “ชิชะ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่า ไม่เคยโกหกใคร”

      3.
      จินเฉวียนรอเสี่ยวเหลียนที่ปากทางเข้าหมู่บ้านจนเธอมา แล้วทั้งสองคนก็เดินเท้าไปด้วยกัน ถนนใหญ่ทอดยาวออกไปไกล นอกจากต้นหยางเล็ก ๆที่เพิ่งปลูกสองข้างทางกับดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก รอบข้างว่างเปล่าไร้ผู้คน
          พฤติกรรมเช่นนี้เป็นสิ่งแปลกสำหรับการเป็นสมาชิกคอมมูน เด็กสาวเดินทางฝั่งซ้ายของถนนเธอสวมเสื้อลายดอกไม้สีแดง นุ่งกางเกงสีเทา เด็กหนุ่มเดินฝั่งขวาของถนน สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เพิ่งซื้อมาใหม่ นุ่งกางเกงสีน้ำเงิน ต่างคนต่างเดินกันคนละฝั่งถนน เด็กสาวเดินคล้อยตามหลัง เด็กหนุ่มเดินค่อนนำไปข้างหน้า ทั้งสองคนรู้สึกว่าการทำอย่างนี้จะปลอดภัยที่สุดหากมีคนอื่นผ่านมา หรือสองข้างทางมีผู้คนพบเห็นก็ย่อมคิดว่าทั้งสองคนเป็นเพียงคนเดินทางที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ต่างคนต่างเดินผ่านไปตามถนนเท่านั้น
          เมื่อเดินไปได้ระยะหนึ่ง พอแน่ใจแล้วว่าจะไม่พบกับคนในหมู่บ้านเดียวกันแล้ว ทั้งสองจึงข้ามมาเดินฝั่งเดียวกัน
          จินเฉวียนเป็นเด็กหนุ่มที่เฉลียวฉลาด เขาเคยทำงานเป็นคนงานชั่วคราวของกองกิจการหมู่บ้าน เคยไปก่อสร้างอาคารให้กับทางการในตัวอำเภอ ทั้งยังเคยไปทำงานเป็นคนงานหม้อไอน้ำของทางการส่วนกลางที่ปักกิ่ง ในปีหนึ่งหนึ่งใช้เวลาสามถึงหกเดือนที่เขาจะต้องติดตามพวกช่างชำนาญงานหลาย ๆด้านเดินทางไปทำงานตามที่ต่าง ๆชาวบ้านในหมู่บ้านต่างก็คุยกันว่า จินเฉวียนเป็นคนที่เรียนอย่างก็เป็นอย่าง มีพลัง มีเรี่ยวแรง อีกทั้งยินดีและกล้าที่จะขายแรงของตัวเองด้วย ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่หาคนเปรียบยาก อนาคตจะต้องก้าวหน้าอย่างแน่นอน เขามีประสบการณ์มากมาย ความรู้กว้างไกล อีกทั้งยังรู้อะไร ๆเกี่ยวกับ “เรื่องของส่วนกลาง”ไม่น้อยทีเดียว
          “เสี่ยวเหลียน ตงเทียน ปีนี้ถ้าหากฉันได้ไปทำงานเป็นคนคุมหม้อไอน้ำที่ปักกิ่งอีกละก็เราไปด้วยกันสักหน ฉันจะพาเธอไปเที่ยวเอง” จินเฉวียนพูดชวนด้วยน้ำใสใจจริง
          “มีอะไรน่าเที่ยว ฉันไม่เห็นอยากไปเลย” เด็กสาวพูดอย่างแต่ใจกลับคิดอีกอย่าง
          “ที่เที่ยวนะเหรอ มีตั้งมากมาย กู้กง  เป่ยห่าย  อวี๋เหอเอวี๋ยน  เทียนถาน  ยังมีอีกนะที่ใกล้ ๆเทียนถานยังมีพิพิธภัณฑ์ทางธรรมชาติด้วย ฉันเคยไปมาหนหนึ่ง ได้รับความรู้เยอะแยะเลย” เขาพูดพร้อมกับอ้าแขนออกเปรียบเทียบให้เธอดู “มีซากไดโนเสาร์ด้วยนะ ยาวขนาดนี้ ใหญ่ขนาดนี้ เธอรู้หรือเปล่าว่าอะไรคือไดโนเสาร์”
          เสี่ยวเหลียนส่ายหน้า
          “มันเป็นสัตว์ประหลาดที่เกิดขึ้นมาเมื่อหลายแสนหลายล้านปีมาแล้วโน่น ปัจจุบันสูญพันธ์ไปนานแล้ว ซากที่ว่าก็คือกระดูกของมันที่กลายเป็นหินแล้ว”
          “งั้นฉันไม่ไปดูหรอก น่ากลัวออกจะตาย”
          “ถ้าเธอกลัวละก็ เราไม่ไปดูก็ได้ … ใช่แล้วเราต้องไปดูท้องฟ้าจำลอง”
          “อะไรคือท้องฟ้าจำลอง”
          “ท้องฟ้าจำลองก็คือ ห้องใหญ่ ๆขนาดของมันใหญ่กว่าบ้านของเราสักสิบเท่าได้ คนที่เข้าไปชมพอเข้าไปหาที่นั่งได้แล้วไฟก็จะดับ เหนือหัวเราขึ้นไปจะค่อย ๆมีท้องฟ้า ดวงดาว ดวงจันทร์และจะมีคนคอยอธิบายให้เราเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า ฟ้าคืออะไร ดินคืออะไร บนดวงจันทร์มีอะไร เป็นอย่างไร… “
      “จริงเหรอ แล้วบนดวงจันทร์มีเซียนฉางเอ๋อร์ มั้ย”
      “ไม่ … ไม่มี นั่นมันนิทานห่างหาก”
      “แล้วมีเทพกระต่ายมั้ย”
      “โธ่ ฉันบอกเธอแล้วไงว่ามันเป็นเป็นแค่นิทาน ดวงจันทร์ก็คือดวงจันทร์ ดวงจันทร์น่ะ”
      “ไม่เห็นน่าตื่นเต้นเลย ย่าบอกว่า ฉางเอ๋อร์… “
      “ย่าเธอน่ะแกเล่านิทาน ท้องฟ้าจำลองเขาพูดกันแต่เรื่องจริง เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทั้งนั้น…. ฉันจำได้แล้ว เขาพูดกันว่าดวงจันทร์ก็เหมือนโลก เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบสุริยะ ไม่มีแสงในตัวเอง … “
      “ไม่มีแสง แล้วมันสว่างได้อย่างไรล่ะ”
      “แสงสว่างของดวงจันทร์เป็นแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์น่ะ… “
      เธอฟังเขาพูดเรื่องอื่น ๆอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับระบบสุริยะจักรวาล ทางช้างเผือก เขามีความรู้ไม่น้อยจริง ๆ
      “อืม … ในเมืองดีจริง ๆ” เสี่ยวเหลียนพูดแล้วก็ถอนใจ
      “เธอคิดว่าฉันสามารถทำงานเป็นคนงานในเมืองได้มั้ย”
      จินเฉวียนชะงักนิดหนึ่ง เขาไม่อยากทำให้เธอรู้สึกผิดหวังและไม่อยากจะโกหกเธอด้วย เพื่อปิดบังและปลอบใจเธอจึงถามเธอว่า
      “ทำไม เธอไม่อยากทำงานในหมู่บ้านแล้วเหรอ”
      “เหนื่อยออกจะตายไป” เสี่ยวเหลียนถอนหายใจแล้วพูด “พ่อฉันรับเหมาที่นาไว้ตั้งสิบโหม่ว แต่ละวันไม่เคยปล่อยให้ว่างเลยแม้อึดใจเดียว”
      “พ่อของเธอก็ทารุณเกินไปจริง ๆ” เด็กหนุ่มแสดงความเห็นใจเธออย่างที่สุด
      “พ่อบอกว่า ตอนนี้นโยบายส่วนกลางกำลังให้โอกาส ถ้าไม่รีบฉวยไว้เอาชีวิตเข้าแลกทำเก็บเอาไว้ ต่อไปนโยบายปกครองเกิดเปลี่ยนแปลงไป อยากจะทำก็คงไม่มีให้ทำแล้ว”
      “แล้วแม่เธอล่ะ เขาไม่เอาใจใส่เธอบ้างเลยหรือ”
      “แม่ฉันเหรอ แกก็คอยห่วงแต่จะหาคนมาเพิ่ม กั้นห้องทำหอให้พี่ชาย หาเมียให้ ตัวเองก็คอยจะอุ้มหลาน” เด็กหนุ่มพลอยถอนหายใจไปกับเสี่ยวเหลียนด้วย
      “เหนื่อยน่ะฉันไม่กลัวหรอก” เสี่ยวเหลียนมองดูต้นหญ้าข้างทาง แล้วก็ถอนหายใจเสียงดัง เธอพูดต่ออีกว่า “คิด ๆดูมันไม่มีความหมายเลย เกิดเป็นทั้งทีเหนื่อยยากแสนเข็ญตลอดชีวิต ก็แค่สร้างบ้านอยู่เพียงไม่กี่ห้อง”
      จินเฉวียนได้ยินเธอพูดอย่างนั้นถึงกับงุนงง เธออายุเพียงแค่นี้ ทำไมกลับมีความคิดเช่นนั้นได้ เขาอยากอธิบายเหตุผลหรือปรัชญาของการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพื่อให้เธอยอมรับและเปิดโลกของเธอเองให้กว้างขึ้น เข้าใจชีวิต เหตุผลของการมีชีวิตและรสชาติของชีวิต แต่นาเสียดายเขาเองก็จบแค่มัธยมสองเท่านั้นเอง ไม่รู้จะพูดเหตุผลอันยิ่งใหญ่นี้ได้อย่างไร
      “เสี่ยวเหลียน เธอไม่ควรจะคิดอย่างนั้น” เด็กหนุ่มพูดเลี่ยง ๆ
      “ต่อไปมันก็จะค่อย ๆดีขึ้นเอง ถึงเวลานั้นชนบทของเราก็จะมีทุกอย่างเหมือนในเมือง ใช่แล้วล่ะ เขาเรียกว่า … เรียกว่า การกำจัดช่องว่างระหว่างชนบทกับเมือง”
      จินเฉวียนคล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน ครั้งหนึ่งที่เขาไปทำงานในเมืองขณะที่พวกผู้ใหญ่ของทางการกำลังสอนนักศึกษาอยู่ เขายืนมองพวกเขาที่ริมหน้าต่างตั้งครึ่งค่อนวัน ฟังคำพูดและบทเรียนอื่น ๆมากมาย เขาจึงพูดขึ้นว่า
      “เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราไม่ต้องทำงานใช้แรงงานเพียงอย่างเดียวแล้ว ใครอยากทำงานก็ทำไม่อยากทำก็พัก อยากจะล่าสัตว์ก็ไปล่าสัตว์ อยากวาดภาพ อยากดูหนังก็ดูหนัง … อยากทำอะไรก็ทำ … “
      เสี่ยวเหลียนขมวดคิ้วหัวเราะ แล้วพูดอย่างทระนงว่า
      “พอแล้ว พอแล้ว อย่ามาโกหกฉันอีกเลย”
      “แต่มันเป็นความจริงนะ” เด็กหนุ่มย้ำอย่างจริงใจ
      “ฉันรู้ ฉันรู้ เขาเรียกว่าคอมมิวนิสต์ ตอนที่ฉันเรียนชั้นประถม ครูก็เคยพูดให้ฟัง” เด็กสาวพูดอย่างเย็นชาแล้วถอนหายใจ
      “ฉันคงจะมีชีวิตไปไม่ถึงวันนั้นหรอก”
      จินเฉวียนได้ฟังถึงกับพูดอะไรไม่ออก
      “ฉันเพียงคิดว่าเป็นคนงานในเมืองทำงานมีกำหนดเวลาแน่นอน” เสี่ยวเหลียนทอดสายตาเหม่อมองออกไปตามถนนข้างหน้า พูดเสียงเรียบ ๆต่อไป
      “ทำงานเสร็จ ใส่เสื้อผ้าสะอาด ๆไปดูหนัง ไปศูนย์วัฒนธรรม หรือไม่ก็ดูท้องฟ้าจำลองที่เธอว่า… ดูซิว่าบนดวงจันทร์มีเซียนฉางเอ๋อร์มั้ย”
      คำพูดของเธอทำให้จินเฉวียนรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
      “อย่างนั้นไม่ยาก คราวที่แล้วฉันไปในเมืองได้ยินพวกเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์วัฒนธรรมเขาพูดว่าส่วนกลางมีคำสั่งลงมาให้สร้างศูนย์วัฒนธรรมขึ้นในหมู่บ้านของเรา ให้มีโรงหนัง หอสมุด ห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ ยังไม่แน่ว่าอาจจะสร้างท้องฟ้าจำลองขนาดเล็กด้วยก็ได้ พอถึงตอนนั้นหมู่บ้านเราก็เหมือนกับในเมืองแล้ว มันก็ดีไม่ใช่เหรอ”
      “เธออย่ามาโกหกฉันเลย”
      “ฉันเคยโกหกเธอที่ไหนกัน เธอคงยังไม่ได้เห็นที่หนังสือพิมพ์ลงว่า ทางการจะสร้างความเจริญทางจิตใจใช่มั้ย สองวันก่อนที่จะเกี่ยวข้าว ฉันไปที่หน่วยกลาง มีคนกำลังจะกางหนังสือพิมพ์อ่าน แต่เขามัวแต่มวนบุหรี่สูบ ฉันก็เลยแอบดูครู่หนึ่ง โชคดีที่หนังสือพิมพ์นั่นยังอยู่ กลับไปฉันจะเอามาให้เธอดู ในหนังสือพิมพ์เขียนถึงวิทยาศาสตร์ การศึกษา สุขศึกษา เขาว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งจำเป็นที่จะสร้างความเจริญความก้าวหน้าให้กับวัฒนธรรมและจิตใจของทุกคน”
      ถูกของเขา ในหนังสือพิมพ์ลงไว้ว่าอย่างนั้นจริง เป็นไปได้ที่เขาคงจะไม่โกหก
      ทั้งสองเดินไปคุยไป คุยไปเดินไป ในที่สุดก็ถึงตัวอำเภอ

      4.
      ในตัวอำเภอมีถนนสายหลักอยู่เพียงสายเดียว
      สองฟากถนนมีร้านค้าเพียงไม่กี่ร้าน มีร้านสหกรณ์ขายอุปกรณ์ทำเกษตรหนึ่งร้าน ร้านขายของชำหนึ่งร้าน ร้านอาหารหนึ่งร้าน ร้านซ่อมจักรยานหนึ่งร้าน … ย่ำค่ำของวันนี้ ร้านค้าทุกร้านต่างปิดประตูกันหมดแล้ว
          เมื่อทางการเปิดนโยบายเสรีมากขึ้น จึงมีคนกล้าเสี่ยงทำการค้าส่วนตัวเพิ่มมากขึ้น ที่ข้าง ๆร้านอาหารกังอิ๋งเคยมีคนมาวางแผงตั้งกะทะใส่น้ำมันทอดขนมขาย ทอดพลางขายพลาง หอมกรอบอร่อยน่าทานทีเดียว นอกจากนี้ยังมีเต้าหู้ทอด ขนมเปี๊ยะทอดราดซีอิ๊วมีเครื่องเคียงพร้อมสรรพ มีคนพูดกันว่าเดือนหนึ่ง ๆพวกเขาสามารถหารายได้จากการขายขนมเหล่านี้ได้เป็นพันหยวน แต่ต่อมาหลับถูกกล่าวหาว่า “ไม่ถูกสุขอนามัย” ถูกหน่วยสาธารณะสุขตัดการจ่ายน้ำมันให้ ก็เลยต้องเลิกกิจการไปหมด
          ปัจจุบันคงเหลือแต่ตาแก่คนหนึ่ง หิ้วตะกร้าเปื้อนคราบน้ำมันใช้ผ้าขนหนูสีขาวหม่นผืนหนึ่งคลุมขนมม๋าฮวา เดินจากปลายถนนข้างหนึ่งไปยังปลายถนนอีกข้างหนึ่ง ใช้เสียงแหบ ๆของแกร้องขายขนมของแกอยู่คนเดียว แต่ก็เป็นการเพีมชีวิตชีวาให้กับสภาพเศรษฐกิจของอำเภอนี้ให้มีสีสรรขึ้นบ้างเหมือนกัน และชายแก่ขายขนมม๋าฮวาคนนี้แหละที่เป็นคนแรกที่ทั้งสองพบเมื่อเข้ามาถึงตัวอำเภอ อันที่จริงชายแก่ก็ไม่ได้สนใจจะขายแล้ว แต่พอเห็นคนทั้งสอง แกก็ส่งเสียงเรียกขึ้น
          “ม๋าฮวามั้ย กรอบ ๆนา”
          เสียงเรียกของชายแก่ช่างไม่น่าฟังเอาเลยจริง ๆ
          จินเฉวียนกับเสี่ยวเหลียนเร่งฝีเท้าเดินตรงไปยังตลาด แต่น่าแปลกที่ตลาดกลับเงียบสนิท มีเพียงเด็กเล็ก ๆไม่สวมสื้อสองสามคนคลานเล่นอยู่ข้างถนน เล่นลูกสามเหลี่ยมกันอย่างสนุกสนาน
          “ที่ไหนมีหนังฉาย เธอโกหก” เสี่ยวเหลียนทั้งโมโหทั้งร้อนรน ดวงตาทั้งสองของเธอกรอกกลิ้งไปมา เธอทำท่าจะร้องไห้เสียแล้ว
          “เขาบอกว่ามีหนังฉายนี่นา” จินเฉวียนเองก็ชักจะไม่แน่ใจขึ้นมาเหมือนกัน
          “เราไปดูที่โรงเรียนกันหน่อยดีกว่า”
          “ทุกครั้งที่คณะฉายหนังมักจะต้องไปตั้งจอที่สนามของโรงเรียน พวกเขารีบย้อนไปดูที่โรงเรียน แต่โรงเรียนเลิกแล้ว เด็ก ๆกลับบ้านกันหมด บรรดาครูต่างก็ปิดประตูบ้านกันแล้ว ประตูใหญ่ของโรงเรียนก็ใส่กลอน ไม่พบเห็นใครเลยแม้แต่เงา
          เสี่ยวเหลียนยืนซึมอยู่หน้าประตูโรงเรียนนั่นเอง แม้แต่คำตำหนิที่คิดจะว่าจินฉวียนก็พูดไม่ออก
          “เราไปถามพวกทางการดูซิ” จินเฉวียนอึดอัดจนหน้าแดง
          “ฉันไม่ไป” เสี่ยวเหลียนตะโกนเสียงดัง
          แต่ว่าจินเฉวียนตั้งใจจะไปถามให้รู้เรื่อง ในเมื่อความตั้งใจดีของเขาถูกสงสัย จะไม่ให้เขาพิสูจน์ให้เธอเห็นความจริงได้อย่างไร
          ตึกทำการของทางการอยู่ด้านตะวันออกของถนน ประตูยังคงเปิดอยู่
          จินเฉวียนเดินเข้าไปใกล้ ๆห้องทางทิศเหนือ ปีนข้ามระเบียงหินเตี้ย ๆชะโงกศรีษะเข้าไปดูทางหน้าต่าง เห็นเจ้าหน้าที่ชราคนหนึ่ง กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรอยู่ เสี่ยวเหลียนยืนมองอยู่ไกล ๆตรงลานตึก ไม่กล้าเข้าไปใกล้มากนัก
          “ใครอยู่ข้างนอก” คนที่อยู่ในตึกเงยหน้าขึ้นตะโกนถาม
          จินเฉวียนรีบกระโดดลงจากระเบียงหิน พอดีกับที่ประตูห้องก็เปิดออกพอดี พอจินเฉวียนเห็นชายชรา เขาก็รู้ทันทีว่าเจ้าหน้าที่รูปร่างอ้วนเตี้ยที่ยืนอยู่ประตูนั้นคือ หัวหน้าเหอ
          หัวหน้าเหอไม่รู้จักจินเฉวียน เขายืนถามจินเฉวียนตรงประตู
          “เธออยู่หมู่บ้านไหน มีธุระอะไร”
          “มะ… ไม่มีธุระอะไร” จินเฉวียนตอบตะกุกตะกัก
          “เราอยากถามคุณหน่อยว่า คืนนี้มีหนังมาฉายหรือเปล่า”
          “หนัง ใครบอกว่ามีหนังมาฉาย”
          “ฉันได้ยินคนในหมู่บ้านเขาพูดกัน” จินเฉวียนพยายามถามให้กระจ่างว่า กำหนดการที่จะมีหนังมาฉายนั้นเปลี่ยนไปหรือเปล่า
          “ไปเถอะ” เสี่ยวเหลียนซึ่งเดินเข้ามาใกล้ดึงชายเสื้อของจินเฉวียนเบา ๆเธอเริ่มกลัวหัวหน้าเหอขึ้นมาเสียแล้ว
          “ไม่มีเรื่องอย่างนี้หรอก” หัวหน้าเหอกวาดสายตาจากจินเฉวียนไปหาเสี่ยวเหลียน พูดขึ้นว่า
          “พวกเด็ก ๆเอ้ย วันวันจะเอาแต่ดูหนัง หนังสมัยนี้มันมีอะไรน่าดู หา ถ้าไม่ใช่หญิงงอนงอดชายตามตื๊อ ก็เป็นเธอรักเขา เขาไม่รักเธอ ดูแล้วจะได้อะไรดีขึ้นมา พวกเธอเอ๊ย งานเกี่ยวข้าวกำลังยุ่งยังไม่รู้จักกลับไปช่วยงานอีก”
          “หมู่บ้านเราเก็บเกี่ยวเสร็จหมดแล้ว” จินเฉวียนตอบส่งเดชไป
          “เสร็จหมดแล้ว พวกเธอมาจากหมู่บ้านไหน เก็บเกี่ยวเสร็จแล้วไม่มีงานอย่างอื่นทำแล้วหรือไง” หัวหน้าเหอพูดต่ออีกว่า
          “ตอนนี้ส่วนกลางกำลังขยายหนทางให้สามารถหาเงินเองได้ งานที่จะทำให้มีเงินขึ้นมามีเยอะแยะไป”
          “ส่วนกลางยังมีโครงการที่จะสร้างศูนย์วัฒนธรรมในหมู่บ้านด้วย” จินเฉวียนโต้ตอบไปด้วยความโมโห
          “ศูนย์วัฒนธรรม อ้อ เธอก็รู้ไม่น้อยเหมือนกันนี่” หัวหน้าเหอพูดพร้อมกับแย้มปากยิ้ม ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น “ขอถามหน่อยสร้างศูนย์วัฒนธรรมใครออกเงิน”
          “ทางการออกเงินซิ”
          “ทางการ แล้วเธอว่าทางการเป็นธนาคารใหญ่ เอาเงินมากองให้เธอผลาญเล่นงั้นรึ อายุยังน้อย ๆกินดื่มจนอิ่มเอมแล้วยังไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว อย่ามาทำวุ่นวายที่นี่เลย รีบกลับไปเสีย ไปซิ”
          “แล้ว… ชาวนาเขาแค่ใส่ท้องให้อิ่มก็พอแล้วหรือไง” จินเฉวียนยังไม่ยอมแพ้ โต้ตอบกลับไปอีก
          “แล้วเป็นยังไง ทำไม กินอิ่มแล้วคิดจะไปขึ้นสวรรค์หรือไง”
          เสี่ยวเหลียนส่งสายตาให้จินเฉวียนเป็นสัญญาณให้เขาไปได้แล้ว แต่จินเฉวียนไม่สนใจเขายังคงโต้ตอบหัวหน้าเหอกลับไปอีกว่า
          “ชาวนาน่ะไม่ต้องการมีชีวิตอยู่กับวัฒนธรรมสมัยใหม่บ้างหรือยังไง”
          หัวหน้าเหอมองเด็กหนุ่มหัวรั้นอย่างสำรวจตรวจสอบ ยิ้มแล้วก็พูดว่า
          “ใครบอกเธอว่าเขาไม่ต้องการชีวิตที่มีความเจริญ เธออย่ามาทำเป็นไม่รู้จักพอดีกว่า หัวหน้าหมู่บ้านของเธอก็ซื้อโทรทัศน์แล้ว ไม่ใช่เหรอ”
          “โทรทัศน์” จินเฉวียนพอได้ยินเขาว่าดังนั้นก็โมโหจนทำอะไรไม่ถูก ตะโกนออกไปว่า
          “มีโทรทัศน์ก็แค่เอาไว้ตั้งโชว์ โรงไฟฟ้าไม่ยอมจ่ายไฟให้ แล้วมีโทรทัศน์ไว้ทำอะไร”
          “ใครบอกว่าไม่จ่ายไฟให้”
          “ให้น่ะให้หรอก แต่มันก็ดึกไปหน่อย”
          “ดึกไป… “
          “อาจจะไม่ก็ได้นะ แต่ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่เขาหลับกันไปยกใหญ่ ๆแล้วไฟถึงจะมา”
          “จริงหรือ”
          “ไม่เชื่อคุณก็สอบถามดูก็ได้ ว่าใครเป็นคนดูแลไฟฟ้าในหมู่บ้าน”
          “ใคร ชื่ออะไร”
          “จ้าวกวางติ้ง”
          หัวหน้าเหอได้ยิน ก็อดหัวเราะไม่ได้ ครู่ต่อมาเขาก็พูดอย่างเป็นงานเป็นการกับจินเฉวียนว่า
          “เอาล่ะ พอแล้ว รีบไปเถอะ กลับไปทำงาน วัยหนุ่มอย่าทำเป็นอยู่สุขแล้วไม่รู้จักสุข”

      5.
      ทำไงดีล่ะ ก็คงจะต้องกลับบ้านดีที่สุด
      เด็กทั้งสองคนจึงหันหลังเดินกลับอย่างอารมณ์เสีย พอเดินไปถึงหน้าร้าน สหกรณ์การเกษตรก็พบรถบรรทุกสินค้าคันหนึ่งจอดอยู่
          “เฮ้ จินเฉวียนไปไหนกันน่ะ” พอประตูรถเปิดออก คนขับอายุประมาณยี่สิบกว่า กว่ากระโดดลงจากรถ
          “เสี่ยวเฉิน เธอมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่” เสี่ยวเฉินเป็นพนักงานขับรถของบริษัทขนส่งในตัวอำเภอเขาเคยรู้จักกับจินเฉวียนมาก่อน
          “บรรทุกสินค้ามา เพิ่งจะลงเสร็จ” เสี่ยวเฉินมองสำรวจจินเฉวียนกับเสี่ยวเหลียนแล้วถามว่า
          “พวกเธอกำลังจะไปไหนกัน”
          จินเฉวียนตอบอย่างมีอารมณ์ว่า
          “พวกเราจะมาดูหนังน่ะ แต่… มันไม่ฉายเสียแล้ว”
          “อยากดูหนังเหรอ ง่ายมาก ไป ขึ้นรถ คืนนี้ที่อำเภอถัดไปมีหนังเรื่อง รักนิรันดร์เป็นหนังญี่ปุ่น ดีมากด้วย ฉันดูมาสองรอบแล้ว”
          หนังญี่ปุ่นเรื่องนี้คงจะไม่ไปฉายในหมู่บ้านแน่นอน เด็กหนุ่มสาวทั้งสองเริ่มรู้สึกจะคัน ๆในหัวใจขึ้นมาเสียแล้ว แต่ว่าตัวเมืองที่หนังฉายนั้นอยู่ไกลออกไปอีกหลายสิบลี้  เพียงเพื่อดูหนังเรื่องเดียวจะต้องไปถึงอีกอำเภอหนึ่งมันคงจะเป็นเรื่องที่ใครคงคาดไม่ถึง
          “ไปเถอะ ไปเถอะน่า” เสี่ยวเฉินรบเร้าให้พวกเขาไป แล้วเขาก็ไปเปิดท้ายกระบะรถออก
          “ตัวเมืองไกลจากที่นี่เท่าไหร่น่ะ” เสี่ยวเหลียนถามหน้าแดง ๆเธอโตป่านนี้ยังไม่เคยมีโอกาสไปถึงเมืองนี้เลย มีครั้งหนึ่ง พี่สาวข้างบนกำลังจะแต่งงาน ฝ่ายชายพาเธอไปซื้อเสื้อผ้าในเมือง เสี่ยวเหลียนคิดจะตามพวกเขาไปเที่ยวด้วย แต่ว่าแม่ไม่อนุญาตให้เธอไป แม่บอกเธอว่าถึงเวลาที่เธอจะมีคู่ครองก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ไป พอเสี่ยวเหลียนเบะปากทำท่าน้อยใจ คุณยายซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆก็พูดว่าเขามีอายุจวนจะเจ็ดสิบแล้วยังไม่เคยไปแม้สักหนเดียว ก็เห็นยังมีชีวิตอยู่ได้ไม่เห็นเป็นไร แล้วแถมดุว่าเธอใจกล้าเกินไปแล้ว ไม่มีความเป็นผู้หญิงเอาเสียเลย ส่วนในใจเสี่ยวเหลียนนั้น ในเมืองเป็นที่ที่ไกลแสนไกล ลึกลับ น่าไปเที่ยวมากที่สุด
          “ไม่ไกลหรอก นั่งรถไป ครึ่งชั่วโมงก็ถึง” เสี่ยวเฉินบอก
          จินเฉวียนเองก็อยากไป เพียงครึ่งชั่วโมงก็ถึงในเมือง นั่งบนเก้าอี้ในโรงหนัง ดูหนังต่างประเทศ ช่างเป็นโอกาสที่ดีจริง ๆเขาหันไปมองเสี่ยวเหลียน เธอก้มหน้าแสดงความลำบากที่จะตัดสินใจ
          “แล้วจะกลับกันยังไง” จินเฉวียนถาม
          “ทันรถโดยสารเที่ยวสุดท้าย ไม่มีปัญหา เสียค่ารถนิดหน่อย ถ้าหากเธอไม่มีล่ะก็ ฉันมี” เสี่ยวเฉินใจใหญ่พอตัวทีเดียว
          “ฉันมี ฉันมี”
          “จินเฉวียนพูดพลางกระโดดขึ้นทางท้ายรถเสียงดังปึ้ง เขายื่นมือให้เสี่ยวเหลียน เธอจับมือเขาแน่น ปีนขึ้นบนรถอย่างไม่รู้ตัว
          “รถเปล่า มันกระเทือนมาก พวกเธอจับให้แน่น ๆ”
          เสี่ยวเฉินเตือนอีกสองสามคำแล้วกลับไปขึ้นนั่งตรงที่คนขับ แล้วรถก็แล่นออกไป
          เสี่ยวเหลียนนั่งขดตัวอยู่ตรงมุมหนึ่งของกระบะรถ สองมือเกาะกุมฝาข้างรถไว้แน่น ตอนแรกเธอมีอาการกลัว อย่างแรกกลัวรถกระเทือนไปมาจนทำให้เธอตกจากตัวรถ อย่างที่สองเธอกลัวว่าในเมืองคนมากเบียดกันไปเบียดกันมาอาจจะทำให้เธอพลัดหลงไป อย่างที่สามเธอกลัวว่าเมื่อดูหนังจบแล้วไม่มีรถกลับบ้าน อย่างที่สี่เธอกลัวพ่อรู้แล้วเธอจะต้องถูกพ่อตีจนขาหักแน่นอน … ครู่หนึ่งต่อมาเธอรู้สึกมั่นใจว่ารถคงไม่กระเทือนจนทำให้เธอตกจากรถแน่ เธอจึงคลายกังวลลงไปบ้าง หน้าตาที่ดูซีดเพราะความกลัวจึงค่อย ๆกลับมาเป็นสีแดงระเรื่อดังเดิม
          อย่างไรก็ตาม นี่เป็นการเสี่ยงภัยจริง ๆขอให้เป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน ชีวิตวัยรุ่นถ้าหากไม่มีการเสี่ยงภัยเลยดูมันจะไม่จืดชืดไปหน่อยหรือ เธอเงยหน้ามองจินเฉวียนอย่างพออกพอใจที่พาเธอออกมาเที่ยวเสี่ยงภัยครั้งนี้
      จินเฉวียนไม่นึกกลัวอะไรเลย เขายืนตัวตรงแน่วบริเวณช่วงหน้าของกระบะรถ สองมือกุมฝารถไว้ดูราวกับเป็นนายพลที่ยืนตรวจแถวกองทหารอยู่บนรถ จริงสิ ช่างมีส่วนคล้ายจริง ๆคิ้วของเขาดกดำ หากสวมชุดทหารละก็จะเหมือนมากทีเดียว แต่ว่าบรรดานายพลล้วนแล้วแก่แก่ทั้งนั้นคงจะไม่มีใครที่เป็นนายพลในวัยขนาดเขาหรอก
      “มาทางนี้สิ เสี่ยวเหลียน มายืนตรงนี้สบายกว่าเยอะนะ” จินเฉวียนยื่นแขนกำยำให้เธออีกครั้ง
      เสี่ยวเหลียนจับมือเขาไว้แน่น ลุกขึ้นยืนตามที่เขาบอก อา … ดีจริง ๆรถวิ่งเร็วอะไรอย่างนี้ ต้นไม้ พื้นถนน หลังคาบ้าน แวบเดียวก็ผ่านสายตาไปแล้ว ยังกับในหนังจริง ๆลมแรงที่กระทบใบหน้าทำให้ผมเธอสยายกระจาย เสื้อผ้าก็โบกสะบัด ตัวคนก็คล้ายกับกำลังจะบินได้ยังไงยังงั้น
      “พี่จินเฉวียน … “ เธอเรียกเขาคำหนึ่ง แล้วเธอก็หน้าแดง พูดอะไรไม่ออกอีก

      6.
      การได้ดูหนังในโรงหนังเช่นครั้งนี้ สำหรับเสี่ยวเหลียนแล้วเป็นครั้งแรกจริง ๆไม่มีเสียงเด็กร้องไห้เหมือนดูที่หมู่บ้าน ไม่มีเสียงผู้ใหญ่ตะโกนโหวกเหวก ฟังเสียงหนังและมองเห็นภาพอย่างชัดเจน สาวน้อยญี่ปุ่นคนนั้นช่างดีเหลือเกิน และเด็กหนุ่มก็ช่างซื่อสัตย์ต่อเธอจริง ๆแม้ว่าเธอจะเสียชีวิตไปแล้วเขาก็ยังคงรักและบูชาเธออยู่ แล้วถ้าฉันตายล่ะ ใครจะรักฉันบ้าง จินเฉวียนเหรอ …
          หลังจากหนังจบแล้วทั้งสองรีบไปที่สถานีรถโดยสารเพื่อจะกลับรถเที่ยวสุดท้ายให้ทัน แต่เมื่อเขาไปถึง รถออกไปนานแล้ว พอเธอเห็นท่าว่าจะกลับไม่ได้แน่ ๆแล้วไม่ว่าจะเป็นเด็กสาวญี่ปุ่น รักอะไรไม่รักอะไรก็ไม่มีกะจิตกะใจไปนึกไปเห็นอีกแล้ว เสี่ยวเหลียนเริ่มร้องไห้
          “เพราะเธอคนเดียว เพราะเธอคนเดียว” เสี่ยวเหลียนพูดสะอึกสะอื้นว่าจินเฉวียน จินเฉวียนเองก็เริ่มกระวนกระวาย จะทำยังไงดี จากตัวเมืองนี้ไปถึงหมู่บ้าน ระยะทางไกลมากกว่ายี่สิบลี้ ให้เดินเร็วขนาดไหน กว่าจะถึงคงครึ่งค่อนคืน
          “เสี่ยวเหลียน ถ้างั้นเราไปหาเสี่ยวเฉินดีกว่า ให้เขาช่วยหาที่พักให้เรา” จินเฉวียนเองก็คิดอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ออกเหมือนกัน
          “ฉันไม่ไป ฉันจะกลับบ้าน” เสี่ยวเหลียนสะอึกสะอื้นส่ายหน้าปฏิเสธ
          “เอาล่ะ เอาล่ะ เธออย่าร้องไห้สิ เราเดินไปพลางหารถที่เขาไปทางเดียวกันกับเรา อาศัยเขาไปสักระยะหนึ่งก็แล้วกัน”
          เสี่ยวเหลียนไม่สนใจจินเฉวียนแล้ว เธอเดินนำหน้าออกไปอย่างรีบร้อน เดินไปพลางเธอก็บ่นว่าจินเฉวียนไปพลาง
          “ต่อไปฉันจะไม่ออกมาดูหนังกับเธออีกแล้ว”
          “โธ่ ก็โทษฉันก็แล้วกัน ฉันผิดฉันผิด” จินเฉวียนรีบก้าวเท้าเดินตามหลังเธอไปติด ๆ
          ออกจากตัวเมือง เดินขึ้นถนนหลวง ไม่มีไฟข้างทางคอยส่องสว่างอีกแล้ว เสี่ยวเหลียนเงยหน้ามองดูท้องฟ้า มีเพียงดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ขึ้นในยามข้างแรม ไม่มีดวงดาว ไม่มีหมอกเมฆ มีเพียงดวงจันทร์เสี้ยวเว้าแหว่งดวงเดียวเท่านั้นเองที่ส่องแสงสีหม่น พื้นดินข้างหน้า ที่นาสองข้างทางบ้านเรือนทั้งใกล้ไกลถูกคลุมคลอบด้วยความมืดสลัวจนหมดสิ้น เธอรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที
          “จินเฉวียน เธออยู่ไหนน่ะ” เสียงเธอเริ่มสั่น
          จินเฉวียนเร่งฝีเท้าขึ้นมาใกล้เธอ ถามเธอว่า
          “เป็นอะไรเหรอ เสี่ยวเหลียน”
          “ฉัน ฉันรู้สึกกลัว” เธอหันมองรอบ ๆกายลดฝีเท้าให้ช้าลง
          “ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่นี่”
          แล้วทั้งสองก็เดินเคียงไหล่ไปพร้อมกัน
          ตอนนี้ จินเฉวียนเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เธอจะอาศัยพึ่งพิงได้ เธอเริ่มมีความรู้สึกกลัวที่จะสูญเสียเขาไป ไม่มีจินเฉวียนเธอก็ไม่มีหลักประกันความปลอดภัย เธอรู้สึกเสียใจที่เธอช่างเอาแต่ใจตัวเอง พูดจาไม่ดีกับเขาที่สถานีรถโดยสาร ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของเขาเลย และก็โทษเขาไม่ได้ด้วย ไม่ใช่ตัวเองหรอกหรือที่ยินยอมพร้อมใจมาดูหนังกับเขา จินเฉวียนก็ช่างดีจริง ๆทำกับเขาขนาดนั้นแล้ว เขาก็ยังไม่โกรธขึ้งเธอเลย
          เธอรู้สึกสบายขึ้น และรู้สึกดีใจด้วยซ้ำไป สมมุติว่า ถ้า… ถ้า … ถ้าจินเฉวียนเหมือนกับเด็กหนุ่มในหนังที่ดูมาเธอคงไม่ปฏิเสธเขาแน่ และเธอก็คงจะขาดเขาไม่ได้ โอ... ชีวิต แท้ที่จริงก็เหมือนหนัง และก็ดีอย่างนั้น สวยงามอย่างนั้นด้วย เพียงแต่บางครั้งตัวเองไม่รู้เท่านั้นเอง
          แต่ว่าเขา... เขาไม่พูดอะไรเลย หรือว่าเขาไม่รู้สึกว่าการออกมาดูหนังครั้งนี้ถึงแม้จะเป็นการเสี่ยงอยู่สักหน่อย แต่ว่ามีรสชาติไม่น้อย หรือว่า ...
          จินเฉวียนไม่มีความรู้สึกอย่างที่เสี่ยวเหลียนมีเลย เขารู้เพียงว่าเขากำลังมีภาระหนักหน่วงคือปกป้องคุ้มครองเธอกลับบ้าน และเป็นภาระที่คงจะไม่จบสิ้นลงอย่างง่ายดาย หนทางข้างหน้าอีกไกลเสี่ยวเหลียนต้องเดินไปไม่ถึงแน่
          เขาคอยเหลียวหลังกลับไปมองอยู่เรื่อย ๆในใจก็หวังว่าจะมีรถที่พอจะอาศัยโดยสารไปได้บ้าง แต่ข้างหลังก็มีแต่ความมืดปกคลุม ไม่มีร่องรอยว่าจะมีรถมาสักคัน
          “จินเฉวียน ทำไมเธอไม่พูดอะไรเลย”
          “จะให้ฉันพูดอะไรอีก ก็ฉันเป็นคนผิดทั้งนั้น”
          “ใครใช้ให้เธอพูดแต่คำนั้น จริงสิ ดวงจันทร์ที่เธอไปดูที่ท้องฟ้าจำลองน่ะ มันไม่มีอะไรเลยจริงเหรอ”
          “ไม่มีอะไรจริง ๆ”
          “ไม่ดีเลยนะ มีฉางเอ๋อร์มีต้นกุ้ยมีกระต่ายจึงจะดี”
          “เอาเถอะ งั้นมีก็มี”
          “มีอะไร”
          “เธอว่ามีอะไร ก็มีอย่างนั้น”
          เสี่ยวเหลียนเอามือปิดปากหัวเราะ
          “เธอไม่ต้องมาทำให้ฉันดีใจ จะเป็นไปได้ยังไงคิดว่ามีอะไรก็มีอย่างนั้น ดวงจันทร์น่าสงสารจะตายไป เดือนหนึ่งจะกลมก็เพียงครั้งเดียว ถูกคนอื่นรังแกร่ำไป ถ้าไม่ทางนี้เว้าก็ทางนั้นแหว่ง บางทีก็ยังถูกคนอื่นเขาบังจนมิดเลย ตัวเองยังปกป้องคุ้มครองไม่ได้เลย จะไปมีฉางเอ๋อร์ได้ยังไง”
          เสี่ยวเหลียนพูดอย่างมั่นใจในตัวเอง ดูจะเจ็บช้ำน้ำใจแทนดวงจันทร์จริง ๆ
          จินเฉวียนได้ฟังคำพูดของเธอรู้สึกไม่สบายใจด้วยเหมือนกัน
          เดิน เดิน เดินไปเรื่อย ๆทำไมถนนมันช่างยาวไกลอย่างนี้ ในที่สุดเสี่ยวเหลียนก็หยุดยืน
          “ฉันเดินไม่ไหวแล้ว”
          “ฉันแบกเธอ”
          “ไม่”
          “งั้นทำไงดีล่ะ” เด็กหนุ่มหมดปัญญาจริง ๆ
          “ฉันเหนื่อยเหลือเกิน นอนพักแถวนี้สักครู่เถอะ ได้มั้ย” เธอหันหน้าไปมองต้นไม้ริมทาง
          “ไม่ได้หรอก มันจะทำให้เธอเป็นหวัด” เขาเงยหน้ามองดูถนนข้างหน้าที่มืดสลัวพูดขึ้นว่า
          “ไปเถอะ อดทนอีกหน่อย ข้างหน้าอีกไม่ไกลมีสถานีจ่ายน้ำแห่งหนึ่ง ไปถึงที่นั่นค่อยพักสักครู่”
          เสี่ยวเหลียนกัดฟันยืดตัวขึ้นเดินต่อ
          ข้างหน้าไม่ไกลนักมีสถานีจ่ายน้ำจริง ๆจากที่นี่ไปหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลเท่าไรแล้ว จินเฉวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก
          เสี่ยวเหลียนเดินตามจินเฉวียนลงจากถนนใหญ่ไปตามร่องน้ำไหล่ทางจนถึงที่ทำการของสถานีพอถึงหน้าห้องที่ทำการ เธอก็เข่าอ่อนทรุดลงไปกองกับพื้น
          “อย่านอนลงไปนะเสี่ยวเหลียน เดี๋ยวจะเป็นหวัด มาทางนี้ นั่งลงพิงกำแพงนี่ไว้ สักครู่เดียวก็คงพอแล้ว” จินเฉวียนประคองเธอให้ลุกขึ้น
          เสี่ยวเหลียนลุกขึ้นนั่งพิงกำแพง แต่ตาเธอนั้น หลับไปแล้ว
          จินเฉวียนยืนอยู่ข้าง ๆเธอ เสี่ยวเหลียนคงเหนื่อยและง่วงนอนมาก ปล่อยให้เธอกลับสักครู่ก็ดีเหมือนกัน เขาถอดเสื้อคลุมของตัวเองออกก้มลงคลุมให้เสี่ยวเหลียน ครั้งนี้เองที่เขาได้มีโอกาสเห็นหน้าตาเสี่ยวเหลียนอย่างชัด ๆเป็นครั้งแรก ปกติพบเธอก็แค่มองผ่าน ๆไปกล้ามองเธอมากนัก ตอนนี้เธอหลับสนิท ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น จึงมีโอกาสมองดูเธอได้ ท่ามกลางแสงจันทร์สลัว จินเฉวียนพบว่าเธอเป็นคนที่สวยไม่น้อยทีเดียว ใบหน้าที่เอียงพับกับไหล่ ขนตาดกดำปิดกั้นบนดวงตาเรียวงามมีชีวิตชีวา ริมฝีปากบาง ๆที่ปิดเม้มไว้ ... รูปร่างลักษณะที่เห็นนี้ทำให้เขานึกถึงใครนะ อ๋อ เหมือนหุ่นนางแบบที่ตั้งอยู่โชว์ของบริษัทแห่งหนึ่งในเมือง หุ่นตัวนี้ก็หลับตาเช่นเดียวกับเธอตอนนี้
          แม้เสี่ยวเหลียนจะหลับไป แต่ตรงมุมปากเธอเหมือนมีรอยยิ้มคล้ายกับว่าเธอกำลังดีใจกับอะไรสักอย่าง คล้ายกับมีใครคอยเฝ้าดูแลเธออยู่ข้างกาย ซึ่งเธอไว้ใจมากและมีความสุขมาก ทันใดนั้น เธอครางเสียงเบา ๆขึ้นมาครั้งหนึ่ง ใบหน้าแสดงความรู้สึกไม่สบายออกมา เพราะอะไร อ๋อ เป็นเพราะศีรษะของเธอเอียงพับอยู่นั่นเอง ไม่มีอะไรรองรับเอาไว้ เธอคงรู้สึกปวดเมื่อยคอ
          จินเฉวียนรีบทรุดกายลงนั่งข้าง ๆเธอให้ศีรษะเธออิงไหล่ของเขาเอาไว้ ทำให้เธอสบายขึ้น เธอคงหลับอยู่อย่างสบายต่อไป ส่วนจินเฉวียนนั้นหลับไม่ได้ เขาต้องเบิ่งตาไว้คอยดูแลเธอ
          สายลมยามราตรี ผ่านพัดมาเบา ๆที่สุดจินเฉวียนก็ผลอยหลับไปด้วย ท่ามกลางกลิ่นอายน่าลุ่มหลงของรัตติกาลนี้ เด็กทั้งสองศีรษะอิงศีรษะ ไหล่แนบไหล่

      7.
      “ใครน่ะ ใครอยู่ตรงนั้น”
      เสียงตะโกนถามอยู่ไม่ไกลนัก ทำให้เด็กทั้งสองตกใจตื่น ไม่ทันที่ทั้งสองจะรู้ว่าที่นี่คือที่ไหน เกิดเรื่องอะไรขึ้น แสงสว่างจากกระบอกไฟฉายขนาดสามท่อนก็ส่องตรงมายังพวกเขาแล้ว
          เสี่ยวเหลียนตกใจส่งเสียงร้องขึ้นครั้งหนึ่ง สองมือกุมจินเฉวียนไว้แน่น
          “พวกเธอสองคนอีกแล้ว ดึกดื่นเที่ยงคืน มาทำอะไรที่นี่” หัวหน้าเหอยืนถือไฟฉายอยู่ตรงหน้าเด็กทั้งสอง
          “ไม่ ... เรา... อะไรก็... ไม่... “ จินเฉวียนรีบชี้แจง
          เสี่ยวเหลียนพอรู้ตัวว่าตัวเองกำลังเกาะกุมจินเฉวียนอยู่ก็รีบปล่อยมือลง
          “ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก” หัวหน้าเหอตวาดเสียงกร้าว
          จินเฉวียนกับเสี่ยวเหลียนรีบลุกขึ้น เสี่ยวเหลียนพอรู้ว่าเสื้อคลุมของจินเฉวียนมาอยู่กับเธอจึงรีบดึงออกอย่างเร็วแล้วโยนให้จินเฉวียนทันที
          “ไป ตามฉันกลับไปที่ทำการเดี๋ยวนี้” หัวหน้าเหอเริ่มออกคำสั่ง
          “ไม่ ฉันไม่ไป ฉันไม่ไป” เสี่ยวเหลียนร้องตะโกนเสียงดังลั่น “เราไม่ได้ทำความเลวร้ายอะไร”
          “พวกเราไปดูหนังในเมืองมาเท่านั้นเอง” จินเฉวียนบอกเสียงตะกุกตะกัก “ขากลับเรามาไม่ทันรถเที่ยวสุดท้าย จะเดินต่อไปอีกก็ไม่ไหวแล้ว”
          หัวหน้าเหอเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มองสำรวจเด็กทั้งสองอีกครั้งหนึ่ง แล้วหันกลับมาที่จินเฉวียน
          “ไม่โกหกแน่นะ”
          “รับรอง”
          “ไปดูหนังเรื่องอะไร”
          “เรื่อง รักนิรันดร์”
          หัวหน้าเหอเคยดูหนังเรื่องนี้มาแล้วเช่นกัน เขาทำเสียงขึ้นจมูกดัง “อือ... ม” เป็นเชิงยอมรับแล้วหันไปถามเสี่ยวเหลียนว่า
          “ที่เขาพูดเป็นความจริงมั้ย”
          “ใช่ เป็นความจริง”
          “เขา ... เขาไม่ได้รังแกเธอ”
          “เปล่า”
          หัวหน้าเหอถอนหายใจทีหนึ่งแล้วพูดต่อว่า
          “เด็กหนุ่มสาวอย่างพวกเธอนี่จะให้ฉันว่ายังไงดี ดูหนัง ดูหนัง ดีมั้ยล่ะ ดูจนเกิดเรื่องขึ้นมา ฉันเดาไม่ออกเลยจริง ๆว่าพวกเธอนี่คิดอะไรกันยังไง ดึกดื่นเที่ยงคืนมานั่งหลับกองกับพื้นแบบนี้ ถึงแม้จะไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายบัดสี แต่ถ้าพบเข้ากับพวกโจรผู้ร้ายเข้าจะทำยังไง โชคยังดีที่ฉันมาเจอเข้า ถ้าถูกพวกทหารจับไปล่ะก็ ป่านนี้คงถูกมัดตัวจับส่งทางการแน่”
          เสี่ยวเหลียนกลัวจนเนื้อตัวสั่นไปหมด จินเฉวียนเองก็รู้สึกว่าเหงื่อเย็น ๆออกมาตามแนวสันหลังเหมือนกัน
          “ไปเถอะ ตามฉันไปที่ทำการก็แล้วกัน” หัวหน้าเหอบอกอีก
          “ฉันไม่ไปฉันจะกลับบ้าน” เสี่ยวเหลียนพูดอย่างน่าสงสาร
          “ไปเถอะน่า” หัวหน้าเหอเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นมิตรเพื่อปลอบเธอ “ฉันไม่คิดจะทำอะไรพวกเธอหรอก ตอนนี้มันดึกมากแล้ว ปล่อยให้เธอสองคนเดินต่อไป ฉันจะวางใจได้อย่างไร ตามฉันไปที่ที่ทำการ ไปพักเสียก่อน ฟ้าสว่างค่อยไปก็ได้”
          
      8.
      หัวหน้าเหอจัดการให้เสี่ยวเหลียนไปพักในห้องทำงานห้องหนึ่งที่มีเตียงเดี่ยว แล้วหันมาหาจินเฉวียนซึ่งยืนรออยู่นอกห้องพูดว่า
          “เธอล่ะพ่อหนุ่ม ลำบากหน่อยนะ นั่งหลับเอาตรงเก้าอี้หน้าห้องนี้ก็แล้วกัน”
          จินเฉวียนผงกศีรษะรับอย่างขอบคุณ นั่งหลับในนี้ได้ดีกว่าไปนั่งหลับอยู่ข้างนอกถมไป
          เสี่ยวเหลียนนอนหลับอย่างรวดเร็ว เธอกำลังหลับและฝันหวาน เธอฝันเห็นตัวเองกำลังบินอยู่และกำลังบินตรงไปยังดวงจันทร์กลมกลมดวงนั้น ฉางเอ๋อร์ยื่นมือมารับเธอ จูงเธอก้าวเข้าไปในวังแห่งดวงจันทร์ โอ้โฮ... ช่างสวยงามอะไรอย่างนี้ ตึกรามห้องหอเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีแสงสว่างในตัวเองทั้งนั้น มีต้นไม้ดอกไม้ล้อมรอบทั้งสี่ด้าน ที่นี่มีทุกสิ่งทุกอย่าง จินเฉวียนช่างโกหกคนเก่งจริง ๆกล้าถึงกับหลอกเธอว่าบนดวงจันทร์ไม่มีอะไรเลย... แต่ว่า... นี่มันกำลังเกิดอะไรขึ้น ดวงจันทร์ทำไมสั่นสะเทือนยืนไม่อยู่เสียแล้ว คล้ายกับดวงจันทร์กำลังจะบินได้ เหมือนดาวตกที่กำลังร่วงหล่นลงไป ณ ที่ใดที่หนึ่ง โอ... ดวงจันทร์กำลังบินหนีไปแล้ว ฉันจะทำอย่างไรดี ฉันคว้ามันไว้ไม่อยู่เสียแล้ว ฉันกำลังจะร่วงหล่น...
          เสี่ยวเหลียนถูกความสูญเสียอันน่าสะพรึงกลัวปลุกให้ตื่น เธอค่อย ๆลืมตาขึ้นพบตัวเองกำลังนอนอยู่ในที่ที่ไม่เคยรู้จักคุ้นเคยมาก่อน นอกหน้าต่างท้องฟ้าสว่างแล้ว ขณะเดียวกันนั่นเองเธอก็ได้ยินเสียงจากนอกห้องเสียงของหัวหน้าเหอกำลังพูดโทรศัพท์
          “... ... ใช่แล้ว ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง เป็นสมาชิกในหน่วยของพวกคุณ ... ... สหาย คุณต้องเอาเรื่องนี้เป็นบทเรียนสำคัญเลยเชียวนา ทั้งเขตและทางการต่างย้ำเรื่องนี้มาหลายหนหลายครั้ง สร้างความรับผิดชอบ ปฏิวัติความคิด ให้ยึดมั่นหน้าที่ หละหลวมไม่ได้ คุณดูซิ ถ้าหากไม่สามารถกุมความคิด ยึดหลักปกครองให้พวกเขายึดมั่นในภาระหน้าที่ เด็กหนุ่มสาวก็จะเป็นแบบไหนกันหมด วันวันคิดแต่จะดูหนัง นี่ดีที่ไม่เกิดเรื่องขึ้น ... ... ... เอาล่ะ รีบส่งคนมาสักคนนำพวกเขากลับไป ... ... ... ต้องเน้นการศึกษาให้พวกเขาหน่อยและแน่นอนที่สุดที่คุณต้องระวังคือวิธีการกับการวางรูปแบบ แต่อย่าไปเปิดประชุมวิภาคย์ ข้อสำคัญคือต้องใช้แบบนำที่จะทำให้พวกเขามองเห็นได้อย่างชัดเจน ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ...


      จบ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×