คำสนทนา - คำสนทนา นิยาย คำสนทนา : Dek-D.com - Writer

คำสนทนา

วัยหนุ่มสาว วัยกลางคน วัยชรา เราอยู่ด้วยกันได้อย่าง....

ผู้เข้าชมรวม

799

ผู้เข้าชมเดือนนี้

0

ผู้เข้าชมรวม


799

ความคิดเห็น


7

คนติดตาม


0
เรื่องสั้น
อัปเดตล่าสุด :  30 พ.ค. 46 / 09:28 น.


ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
นิยายแฟร์ 2023
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

    “คำสนทนา”

    เอกสัณห์  ชินอัครพงศ์  แปล

        ทุกครั้งที่เขียนละครจบเรื่องหนึ่ง ผมมักจะรู้สึกคล้ายดังป่วยไข้มาแรมเดือน เมื่อยล้า เหนื่อยอ่อน แขนขาหมดเรี่ยวแรง  ภรรยาผมเธอบอกว่า มันคงเหมือนผู้หญิงตอนคลอดลูก พอทารกออกมาดูโลก แม่ก็เหนื่อยอ่อนสุดจะทานทน ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะกลับคืนสภาพเดิมได้อีกครั้ง ครั้งนี้ผมใช้เวลาเกือบจะทั้งวันทั้งคืน นานเป็นแรมเดือนเขียนบทละครหกฉาก เรื่อง “ชีวิตมนุษย์” จนสำเร็จ เมื่อผมเขียนคำว่า “จบ” ลงบนบรรทัดสุดท้ายของบทละครฉากสุดท้าย แล้ววางปากกาลง ผมรู้สึกทันทีว่าผมคล้ายกับคนเป็นอัมพาต ประสาททุกส่วนนิ่งงัน แม้แต่เวลาจะพูดก็ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเผยอริมฝีปาก วันต่อมาภรรยาผมซื้อตั๋วเดือนสำหรับเข้าสวนสาธารณะให้ผมใบหนึ่ง เธอยื่นใส่มือผม หล่อนยิ้มหวานละไมและพูดกับผมว่า “นี่ พ่อนักประพันธ์ขอมอบตั๋วลาพักคลอดให้หนึ่งใบ ให้ไปพักอยู่ไฟที่สวนสาธารณะ” ภรรยาบอกผมอย่างรักใคร่ห่วงใยและหวังดีต่อผมอย่างนี้ จะไม่ให้ผมปฏิบัติตามอย่างนอบน้อมได้อย่างไร
        สวนสาธารณะเป็นสถานที่ของคนแก่กับคนหนุ่มสาว คนแก่มาที่นี่เพื่อเดินเล่น รำมวยไท่จี๋ (ไทเก๊ก) ดื่มน้ำชา พูดคุยกัน หาความสุขให้กับชีวิตในปั้นปลาย ส่วนคนหนุ่มสาวมาที่นี่ก็เพื่อความสนุกสนาน เล่นเกม วิ่งไล่จับกัน นัดพบพลอดรักกัน หาความสนุกสนานกันอย่างที่สุด วัยกลางคนเช่นผม นอกจากจะไม่มีเวลาว่างอย่างคนชราแล้ว ยังไม่มีความคึกคะนองอย่างคนหนุ่มสาวด้วย ปกติแล้วเป็นเรื่องยากที่ผมจะย่างกรายเข้ามาในสวน แต่ครั้งนี้อุตส่าห์มาถึงสวนสาธารณะซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองแห่งนี้ได้ก็เพราะภรรยาผมอยากให้ผมได้ปลดปล่อยความตึงเครียด พักผ่อน ไม่อยากให้ผมต้องใช้สมองทำงานหนักอีก แต่ผมมันนิสัยเสีย ถึงแม้จะมาอยู่ในสวนก็ไม่ยอมหยุดใช้ “จินตนาการ” ผมมักจะนั่งเป็นเวลานาน ๆตรงเก้าอี้ใต้ร่มไม้ สังเกตดูผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอย่างตั้งอกตั้งใจ ในใจก็ครุ่นคิดว่าพวกเขาเป็นใคร มาจากไหน กำลังจะไปไหน ทำอาชีพอะไร นิสัยใจคอเป็นอย่างไร มีความต้องการสิ่งใด มีความหวังอะไร วิถีชีวิตของพวกเขาเคยผ่านทางคดเคี้ยวหรือราบเรียบ  ได้รับความทุกข์ยากลำบากหรือมีความสุขสนุกสนานมาแล้วแค่ไหนเพียงใด ผมมักจะติดตามจินตนาการของผมไปและบันทึกเกร็ดชีวิตที่ผมเองไม่รู้จักดีนัก ซ้ำยังมีความแตกต่างกันอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้อีกด้วย ผ่านการตรวจตรา ครุ่นคิดพิจารณามาหลายวัน เมื่อรวมกับประสบการณ์ในอดีต ผมรู้สึกว่าถึงแม้เขาเหล่านี้ต่างคนต่างดำเนินไปในชีวิตที่แตกต่างกัน แต่หากแบ่งตามอายุและวัยแล้ว ส่วนใหญ่ใกล้ไม่แตกต่างกันมากนัก หากจะเปรียบไป วัยหนุ่มสาวคล้ายบทกวี วัยกลางคนคล้ายนวนิยาย ส่วนวัยชราคล้ายกับบทวิเคราะห์บทความ แต่ชีวิตของคนเราทั้งชีวิตนั้นผมว่าคล้ายกับนิยายมากที่สุด
        ยามโพล้เพล้ใกล้ค่ำวันหนึ่ง ผมไปที่สวนสาธารณะนั้นอีก นั่งที่เก้าอี้ยาวตัวเดิม ผมนั่งหลับตาทำสมาธิครู่หนึ่ง ผมเกือบจะหลับอยู่แล้ว รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง ดวงไฟตามเสาไฟฟ้ากำลังส่องสว่าง ถึงตอนนี้ผมถึงได้ห็นว่าตรงเก้าอี้ทางด้านซ้ายของผมมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งมานั่งอยู่ และทางด้านขวาก็มีสามีภรรยาวัยชราคู่หนึ่งมานั่งอยู่ด้วยเช่นกัน ผมเหลือบตาแอบมองคู่หนุ่มสาวที่อยู่ทางซ้ายก่อน เด็กหนุ่มนั้นหน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อผ้าทันสมัย ท่าทางทะมัดทะแมง หญิงสาวก็หน้าตาสะสวย กิริยาอ่อนหวาน แต่งกายแลดูสดใส ท่าทางปราดเปรียว ทั้งสองจะต้องอยู่ในห้วงของความรักอย่างดูดดื่มแน่นอน อิงแอบแนบชิดกันอย่างซาบซ่านใจ เดี๋ยวหัวเราะเสียงสดใส เดี๋ยวแอบกระซิบกันเบา ๆเหมือนดั่งรอบกายเขานั้นไม่มีใครอีกแล้ว และโลกนี้ก็มีเขาเพียงสองคนเท่านั้นที่เหลืออยู่ ซ้ำทั้งสองคงยังคิดหวังจะหลอมรวมเป็นร่างเดียวกันด้วยกระมัง
        ผมเหลือบกลับมาแอบมองคู่ชราทางด้านขวาของผมบ้าง ทั้งสองรูปร่างผอมบาง ผมขาวโพลน ข้าง ๆ มีไม้เท้ายันกาย ตาเฒ่ากำลังเหม่อมองดูดวงดาวบนท้องฟ้าอย่างไม่สนใจใยดีกับสิ่งใดทั้งนั้น ส่วนยายเฒ่ากำลังหมุนหาคลื่นจากวิทยุหูฟังของแกอย่างตั้งอกตั้งใจ นาน ๆครั้งทั้งสองจึงจะพูดคุยกันสักคำหนึ่งแล้วก็เงียบกันไป ดูเหมือนทั้งคู่จะไม่พยายามสร้างความสนใจให้กับผู้อื่น และก็คงจะไม่ชอบที่จะไปรบกวนคนอื่น ๆด้วย เวลาพูดก็ใช้เสียงพูดกันค่อย ๆ
        อันที่จริงไม่ว่าผมจะคิดพิจารณาอย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่อาจคาดได้ว่า พวกเขามีอาชีพอะไร หรือแม้แต่จะคิดเดาว่าทำนั่นทำนี่ ก็ยากจะเดาได้ ผมไม่อาจหยั่งรู้ได้จริง ๆ เลยว่าพวกเขาทำอะไร ก็ได้แต่คาดเดาเอาว่า พวกเขาคงทำอะไรสักอย่างนี่แหละ เหมือนคนธรรมดาที่สุด ไม่มีอะไรพิเศษก็แล้วกัน
        พวกเขาต่างคนต่างคุยกัน แน่นอนที่สุด คำสนทนาของคู่หนุ่มสาวซึ่งเป็นคู่รักกันย่อมต้องน่าสนใจมากกว่าคู่สามีภรรยาชราที่อยู่ทางขวามือของผม และเช่นเดียวกันคำสนทนาเรื่องในครอบครัวชีวิตประจำวันของคู่ชรานั้น ยิ่งไม่น่าสนใจสำหรับคู่รักหนุ่มสาวนี้แม้แต่น้อย ส่วนผมก็เหนื่อยหน่ายกับความจำเจในอาชีพของผมเองเต็มที ย่อมอยากฟังความรู้สึก ความคิดเห็นของคนอื่น ๆ บ้าง ช่างบังเอิญที่ผมมานั่งระหว่างคนทั้งสี่ ผมจึงได้ยินทั้งทางซ้าย และทางขวา พวกเขาพูดอะไรกันหรือ ผมหลับตา แล้วฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ    

            ด้านซ้าย -----
        สาว   : “เธอชอบอยู่กับฉันมั้ย”
        หนุ่ม  : “ชอบ ฉันชอบที่สุดก็ตอนนาทีสุดท้ายที่อยู่กับเธอ”
        สาว   : “ทำไมล่ะ”
        หนุ่ม  : “นาทีสุดท้ายที่อยู่กับเธอ เธอเร่าร้อน และอาลัยอาวรณ์ฉันที่สุด”
        สาว   : “ถ้าอย่างนั้น เราก็คิดว่า ทุกนาทีที่เราอยู่ด้วยกันเป็นนาทีสุดท้ายที่อยู่ด้วยกันซิ”
        หนุ่ม  : “ดีที่สุด งั้นฉันจูบเธอนะ”
        สาว   : “นี่ ข้าง ๆ เรามีคนนะ เธอไม่อายเขาหรือไง”
        หนุ่ม  : “ไม่  ความอายมันต้องกลัวฉัน”    

            ด้านขวา -----
        ตาเฒ่า  : “เธอพูดอะไร”
        ยายเฒ่า : “เปล่า ฉันไม่ได้พูดอะไรนี่”
        ตาเฒ่า  : “เธอพูดแล้ว”
        ยายเฒ่า : “ฉันไม่ได้พูด จริง ๆ นะ”
        ตาเฒ่า  : “นั่งด้วยกันตั้งครึ่งค่อนวัน เธอไม่พูดอะไรกับฉันสักคำเลยเหรอ”
        ยายเฒ่า : “ที่ควรพูด ตอนเราเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็พูดกันหมดแล้วนี่”
        ตาเฒ่า  : “แต่เมื่อกี้ ฉันดูเหมือนได้ยินเสียงเธอพูดนี่น่า”
        ยายเฒ่า : “คงเป็นความรู้สึกของเธอเอง หรืออาจจะเป็นเสียงสะท้อนจากอดีตก็ได้”
        ตาเฒ่า  : “ไม่ใช่ ไม่ใช่ ฉันได้ยินเธอพูดกับฉันแน่ ๆ”
        ยายเฒ่า : “หรือคงจะเป็นเสียงที่แว่วมาจากวิทยุหูฟังของฉันก็ได้”
        ตาเฒ่า  : “อ๋อ ... เธอช่วยลดเสียงมันลงอีกหน่อยซิ”
        ยายเฒ่า : “นี่มันก็เบาที่สุดแล้วนะ”
        ตาเฒ่า  : “เบาอีกหน่อยเถอะ คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เรา เขากำลังหลับอยู่”

            ด้านซ้าย -----
        หนุ่ม : “ในจักรวาลมีสรรพสิ่ง เธอชอบอะไรมากที่สุด”
        สาว  : “ดวงจันทร์ แล้วเธอล่ะ”
        หนุ่ม : “ดาว ดวงที่อยู่ข้าง ๆ ดวงจันทร์”
        สาว  : “เธอเป็นดวงจันทร์ ฉันเป็นดวงดาว”
        หนุ่ม : “ฉันจะนับ หนึ่ง สอง สาม”
        สาว  : “เธอจะทำอะไร”
        หนุ่ม : “บินขึ้นไปบนท้องฟ้า”

            ด้านขวา -----
        ยายเฒ่า : “ฉันอยากจะพูดอะไรกับเธอสักหน่อย”
        ตาเฒ่า  : “ดี ดี พูดสักหมื่นคำก็ได้”
        ยายเฒ่า : “พรุ่งนี้ จะซื้อกับข้าวอะไรดี”
        ตาเฒ่า  : “เฮ้อ ไม่ได้ความ ... เต้าหู้”
        ยายเฒ่า : “จะกินเต้าหู้อีกแล้ว”
        ตาเฒ่า  : “เธอรู้มั้ย ฉีชิวป๋าย   นักปฏิวัติ ยังบอกว่าเต้าหู้จีนอร่อยที่สุดในโลก”
        ยายเฒ่า : “ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็กินทุกวันไม่ไหว”
        ตาเฒ่า  : “แล้วเธอรู้หรือเปล่า ก่อนที่เขาจะสิ้นลมหายใจ เขายังเรียกจะกินเต้าหู้เลย”
        ยายเฒ่า : “เอาละ เอาละ พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปซื้อเต้าหู้ก็แล้วกัน”

            ด้านซ้าย -----
        สาว  : “บินขึ้นไปบนท้องฟ้า ถ้าหากไปเจอกับ UFO ...”
        หนุ่ม : “เป็นไปได้ไง แต่ถ้าพบก็เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ ถ่ายภาพสักภาพนำกลับมายังโลก ป่าวประกาศให้ชาวโลกตะลึง”
        สาว  : “พวกมนุษย์ต่างดาว จะไม่จับเราไปเป็นเชลยเหรอ”
        หนุ่ม : “พวกเขามีวัฒนธรรมสูง เลิกฆ่าฟันกันมานานแล้ว และพวกเขาก็ไม่ก่อสงครามระหว่างดวงดาวอย่างแน่นอน”
        สาว  : “ถ้าเกิดมนุษย์ต่างดาวเห็นฉัน แล้วขอฉันแต่งงานจะทำไงดีล่ะ”
        หนุ่ม : “หนึ่ง ให้เธอตัดสินใจเอง สอง ก่อนที่เธอจะตัดสินใจ เธอควรรู้ก่อนว่ากฎหมายแต่งงานของเขาเป็นอย่างไร”    
        สาว  : (หัวเราะ) “เธอเชื่อจริง ๆ เหรอว่ามีมนุษย์ต่างดาว”
        หนุ่ม : “ระดับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน สิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ อย่าเพิ่งปฏิเสธ”

            ด้านขวา -----
        ยายเฒ่า : “ในวิทยุเขากำลังวิจารณ์เรื่องหูจำตัวหนังสือได้”
        ตาเฒ่า  : “เธอพูดกับฉันเหรอ”
        ยายเฒ่า : “อือ”
        ตาเฒ่า  : “สมควรถูกวิพากย์วิจารณ์ ถ้าหูจำตัวหนังสือได้ ยังจะมีตาไว้ทำอะไร”
        ยายเฒ่า : “แต่มีคนเห็นกับตาจริง ๆ นะ ว่าหูจำตัวหนังสือได้”
        ตาเฒ่า  : “เรื่อง ภูติผีปีศาจ ก็มีคนมากมายเห็นกับตา ฉันขอถามหน่อยหูของเธอจำตัวหนังสือได้มั้ย”
        ยายเฒ่า : “ฟังก็ไม่ค่อยจะได้ยินอยู่แล้ว ยังจะไปจำตัวหนังสืออะไรได้อีก”
        ตาเฒ่า  : “ก็แล้วเธอทำไมถึงยังจะไปเชื่อเรื่องพิลึก ๆ อย่างนั้นอีก”
        ยายเฒ่า : “ไม่หรอก เรื่องที่ไม่ไดประสบด้วยตนเอง ฉันก็ไม่เชื่อทั้งนั้น”

            คู่หนุ่มสาวนั่งโอบกอด จูบกันอย่างลึกซึ้งตรึงใจ ชายชรายังคงนั่งมองท้องฟ้า ยายเฒ่ายังคงตั้งอกตั้งใจฟังวิทยุของแกต่อไป ส่วนผมก็นั่งหลับตาของผมดังเดิม

            ด้านขวา -----
        ยายเฒ่า : “ในข่าวเขาบอกว่า พรุ่งนี้อากาศแจ่มใส ตากเสื้อผ้าได้อีกแล้วล่ะ”
        ตาเฒ่า  : “ตากกันทั้งปี เมื่อไม่กี่วัน ก็เพิ่งตากไปแล้ว”
        ยายเฒ่า : “ชุดหม่ากว้า  ที่เธอใส่ตอนเป็นหนุ่มน่ะยังไม่ได้ตากเลย”    
        ตาเฒ่า  : “สมัยก่อนเป็นชุดประจำชาติทีเดียวเชียวนะ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่เหมาะกับสมัยนิยมเสียแล้ว”
        ยายเฒ่า : “เปลี่ยนทรงเสียใหม่ ให้หลานใส่ก็แล้วกัน”

            ด้านซ้าย -----
        หนุ่ม : “ฉันจะตัดสูทสักชุดหนึ่ง แต่แม่ฉันไม่เห็นด้วย”
        สาว  : “ทำไม ไม่มีเงินเหรอ ฉันมี”
        หนุ่ม : “ไม่ใช่หรอก แม่ฉันแกไปเอาเสื้อกันหนาวซึ่งใส่มาแล้วสามชั่วคนจากในลังเสื้อผ้าเก่า แล้วยังให้คุณยายมาออกความเห็นเปรียบเทียบกับสูทที่ฉันอยากได้อีก”
        สาว  : “แหม ช่างน่าซาบซึ้งใจจริง ๆ”
        หนุ่ม : “ใช่แล้ว ซาบซึ้งจนน้ำตาคลอเบ้าเลย แถมแกยังให้ข้อคิดเห็นกับฉันอีกเยอะแยะมากมาย”
        สาว  : “หมายความว่าไง”
        หนุ่ม : “ก็ฉันพูดกับแกว่า ยังไง ๆ ไอ้ผ้าของสังคมยุคเก่ามันก็ทนทาน ชุดหนึ่งใส่กันได้ตั้งสามชั่วคน ทำเอาคุณยายเกือบจะลมใส่”

            ด้านขวา -----
        ยายเฒ่า : (ยื่นวิทยุหูฟังให้ตาเฒ่า) “เธอฟังซิ เพลงนี้ไม่ได้ยินมานานแล้ว”
        ตาเฒ่า  : (ฟังครู่หนึ่ง) “เพราะจริง ๆ เพลงสมัยก่อนนี่ ยังไงก็ไพเราะกว่า”
        ยายเฒ่า : “เธอก็ว่าดีงั้นเหรอ”
        ตาเฒ่า  : “ก็ดีนี่ ทำไมจะบอกว่าดีไม่ได้ ว่ากันอย่างตรงไปตรงมาก็คือ มันดีจริง ๆ”
        ยายเฒ่า : “ใช่แล้ว เพลงร่วมสมัยกับเราใคร ๆ ก็ชอบฟังกัน เหมือนเพลงปัจจุบันที่ไหน มีแต่เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ พิลึกพิลั่นชอบกล”
        ตาเฒ่า  : “ยังกับฤดูหนาวร่วงหล่นลงในน้ำแข็ง แผ่นเหล็กเคาะกระจกยังไงยังงั้นฉันไม่เคยไปฟังมันเลย แล้วก็ฟังไม่รู้เรื่องเสียด้วย”

            ด้านซ้าย -----
        สาว  : “เสื้อผ้าที่สวมใส่ได้ถึงสามชั่วคน ฉันไม่เคยเห็นจริง ๆ มันเป็นยังไง”
        หนุ่ม : “ขาดเป็นรูพรุน ก็เหมือนกับภูเขาหินข้างหน้าเรานี่แหละ มีแต่รูพรุนเต็มไปหมด แต่ว่าภูเขาหินเป็นยังงั้นน่ะ มันสวยดีหรอก”
        สาว  : “มันก็เป็นรูเป็นโพรงเหมือนกัน”
        หนุ่ม : “เป็นรอยขาดเป็นรูพรุนเหมือนกัน แต่เป็นกับเสื้อผ้าเขาเรียกว่ารูเป็นร้อยรอยเป็นพัน เป็นกับภูเขาหินเขาเรียกว่าร่องรอยงดงามตามธรรมชาติ ก็เหมือนกับสีแดงนะ สวยมาก เช่นธงแดง กุหลาบแดง แต่ฤทธิ์เหล้าทำให้จมูกแดง เป็นไง สวยมั้ย”
        สาว  : “เธอพูดอย่างนี้ รอยรูพรุนตามภูเขาหินเป็นความงดงามก็จริง แต่น่าเสียดายมันเก่าแก่เหลือเกิน”
        หนุ่ม : “ไม่หรอก มันเป็นสิ่งที่มีความเป็นสมัยใหม่มากที่สุด มันเป็นภาพวิจิตรที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และเป็นสัจธรรม เป็นเสียงดนตรีแห่งจินตนาการ เป็นบทกวีไพเราะที่ไร้อักขระ และเป็นบทละครที่ไม่มีฉาก ไม่มีบทตอน ใครบอกว่าดูไม่รู้เรื่อง ไม่ใช้จินตนาการไหนเลยจะเรียกว่าศิลปะ เธอดูภูเขาหินก้อนนี้เข้าใจมั้ยมันมีปรัชญาอะไรที่บอกเราไว้มากมาย หรือเธอว่ามันไม่นับเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง”
            ทันใดมีดาวตกผ่านม่านฟ้าทางตะวันตกเฉียงใต้ดวงหนึ่ง พวกเราทั้งห้าคน แหงนหน้ามองดวงดาวที่ตกลงมานั้นพร้อมกัน โดยมิได้นัดหมาย

            ด้านซ้าย -----
        สาว  : “ดวงดาวดวงนั้น เธอรู้มั้ยว่ามันมีชีวิตอยู่ในจักรวาลนานเท่าใด”
        หนุ่ม : “หลายพันปี หลายหมื่นปี หรืออาจจะเป็นล้านปี”
        สาว  : “แต่น่าเสียดาย ระยะเวลาที่มันพราวแสงสว่างมีเพียงชั่วครู่เท่านั้น”
        หนุ่ม : (นิ่งเงียบคล้ายกับคิดอะไรอยู่) “ชีวิตของเรามันไม่คล้ายดังดาวตกดอกหรือ…”

            ด้านขวา -----
        ยายเฒ่า : “โบราณเขาว่ากันว่า ดวงดาวร่วงหล่นจากฟ้าดวงหนึ่ง บนโลกนี้ก็จะมีคนตายไปหนึ่งคน”
        ตาเฒ่า  : “เราก็คือดวงดาวที่กำลังหมดอายุขัย”
        ยายเฒ่า : “เธอ ... กลัวตายมั้ย”
        ตาเฒ่า  : “กลัว แต่ที่กลัวมากกว่าก็คือตอนมีชีวิตอยู่ไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข”
        ยายเฒ่า : “ถ้าหากสามารถจะเป็นดาวตกดวงนั้น ก่อนจะหมดสิ้นทุกอย่างยังสามารถมีพวยแสงพุ่งออกมาให้เห็นก็สวยงามไม่น้อย”
        ตาเฒ่าผงกหัวรับ

            ด้านซ้าย -----
        สาว  : “นั่งต่ออีกสักครู่ดีมั้ย”
        หนุ่ม : “ก็ดี ยังหัวค่ำอยู่เลย เรายังมีเวลาอีกเยอะ”
        สาว  : “เมื่อครู่เธอกำลังคิดถึงอะไร”
        หนุ่ม : “คิดถึงดาวตก”

            ด้านขวา -----
        ยายเฒ่า : “ควรกลับกันแล้ว พรุ่งนี้ยังจะต้องไปซื้อเต้าหู้แต่เช้า”
        ตาเฒ่า  : “อือ ... ควรจะมีปลายหางที่สว่างไสว”
        ยายเฒ่า : “เธอพูดอะไร”
        ตาเฒ่า  : “เปล่า เปล่า ฉันไม่ได้พูดอะไร”
            แล้วทั้งสองข้างก็เงียบไม่มีเสียงพูดคุยอีก ดูเหมือนต่างคนต่างกำลังครุ่นคิดถึงอะไรอยู่ ผมล่ะ ผมก็ครุ่นคิดเช่นกัน

        ผมคิดว่าผ่านไปอีกแปดเก้าสิบปี ถ้าหากผู้คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ค่อย ๆ หมดสิ้นสูญหายไป แล้วมีคนอีกพวกหนึ่งเข้ามาอยู่ในโลกนี้แทน แต่ก็คงดำเนินชีวิตไปเหมือนเดิม ในที่สุดก็คงจะมีวัยหนุ่มสาว วัยกลางคน วัยชรา และก็ยังคงเหมือนกับในโลกวรรณศิลป์ที่มีบทกวี เรื่องสั้น นิยาย บทความ หากไม่เห็นความสำคัญของวัยหนุ่มสาว โลกก็คงจะหยุดหมุน และถ้าหากผละทิ้งวัยชราไป โลกนี้คงหมุนไปอย่างแคว้งคว้างไร้แกนนำ ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน อนาคต วัยหนุ่มสาวจะมีความแตกต่างกันกับวัยชราอย่างไร ต่างควรจะร่วมชีวิตอย่างมีความสุขบนโลกนี้ด้วยกัน อีกทั้งควรจะเชื่อว่าวัยหนุ่มสาวในอนาคตจะมีความสมบูรณ์พรั่งพร้อมมากกว่าหนุ่มสาวในปัจจุบัน เช่นเดียวกับวัยชราในอนาคตก็จะมีความรู้สึกกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้นกว่าชราในปัจจุบัน
        พวกเขา ... คู่หนุ่มสาวที่อยู่ข้างซ้าย - อดีตของผม
    คู่ชราด้านขวา - อนาคตของผม เขาจะเห็นด้วยกับความคิดของผมมั้ยหนอ

        ขณะที่ผมกำลังคิดเพลิน ๆนั้นเอง ภรรยาผมมาตาม
        “เธอทำไมยังไม่กลับบ้าน นี่เขาปิดประตูสวนกันหมดแล้ว”
        หนุ่มสาวข้างซ้ายมือลุกขึ้นทันที คู่ชราด้านขวาก็ค่อย ๆ เอาไม้เท้ายันกายลุกขึ้น

        “งั้นเราก็ไปกันเถอะ” ผมบอกเธอ
        “พอฉันเข้ามาประตูใหญ่ก็ปิดพอดีเลย” ภรรยาพูด “คนดูแลสวนเขาบอกให้พวกเราไปออกทางประตูหมายเลข 4”
        “สวนใหญ่โตออกอย่างนี้ ประตูหมายเลข 4 อยู่ที่ไหน เอ่อ คุณพอทราบมั้ย” หนุ่มน้อยถามภรรยาผม
        “อ๋อ ฉันเคยผ่านไปแค่ครั้งเดียว ลืมเสียแล้ว”
        “ฉันรู้ เมื่อก่อนเราเคยเดินผ่านออกทางนั้นหลายครั้ง แต่ว่าไกลสักหน่อยกว่าจะเดินไปถึง เสียแรงไม่น้อย” ชายชราสองมือกำไม้เท้าพูดกับเรา
        “ไม่เป็นไรหรอก ท่านคอยนำทาง เราสองคนจะคอยพยุงพวกท่านไปเอง” หนุ่มน้อยพูดพลางเดินเข้าไปประคองคู่ชราทั้งสอง
        ทั้งสี่คนก็ค่อย ๆเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ คนชราสองคนคอยบอกทาง คนหนุ่มสาวสองคนคอยประคองเดินอยู่ข้าง ๆ ผมกับภรรยาเดินตามหลังไป ภรรยาผมกระซิบถามผมว่า :
        “เธอรู้จักพวกเขาเหรอ”
        “ไม่รู้จัก...   อ๋อ ไม่...  รู้จัก รู้จัก พวกเรานั่งคุยอยู่ด้วยกันนานทีเดียว”

    *********************************************

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    7 ความคิดเห็น

    ×