“คำสนทนา”
เอกสัณห์  ชินอัครพงศ์  แปล
    ทุกครั้งที่เขียนละครจบเรื่องหนึ่ง ผมมักจะรู้สึกคล้ายดังป่วยไข้มาแรมเดือน เมื่อยล้า เหนื่อยอ่อน แขนขาหมดเรี่ยวแรง  ภรรยาผมเธอบอกว่า มันคงเหมือนผู้หญิงตอนคลอดลูก พอทารกออกมาดูโลก แม่ก็เหนื่อยอ่อนสุดจะทานทน ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะกลับคืนสภาพเดิมได้อีกครั้ง ครั้งนี้ผมใช้เวลาเกือบจะทั้งวันทั้งคืน นานเป็นแรมเดือนเขียนบทละครหกฉาก เรื่อง “ชีวิตมนุษย์” จนสำเร็จ เมื่อผมเขียนคำว่า “จบ” ลงบนบรรทัดสุดท้ายของบทละครฉากสุดท้าย แล้ววางปากกาลง ผมรู้สึกทันทีว่าผมคล้ายกับคนเป็นอัมพาต ประสาททุกส่วนนิ่งงัน แม้แต่เวลาจะพูดก็ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเผยอริมฝีปาก วันต่อมาภรรยาผมซื้อตั๋วเดือนสำหรับเข้าสวนสาธารณะให้ผมใบหนึ่ง เธอยื่นใส่มือผม หล่อนยิ้มหวานละไมและพูดกับผมว่า “นี่ พ่อนักประพันธ์ขอมอบตั๋วลาพักคลอดให้หนึ่งใบ ให้ไปพักอยู่ไฟที่สวนสาธารณะ” ภรรยาบอกผมอย่างรักใคร่ห่วงใยและหวังดีต่อผมอย่างนี้ จะไม่ให้ผมปฏิบัติตามอย่างนอบน้อมได้อย่างไร
    สวนสาธารณะเป็นสถานที่ของคนแก่กับคนหนุ่มสาว คนแก่มาที่นี่เพื่อเดินเล่น รำมวยไท่จี๋ (ไทเก๊ก) ดื่มน้ำชา พูดคุยกัน หาความสุขให้กับชีวิตในปั้นปลาย ส่วนคนหนุ่มสาวมาที่นี่ก็เพื่อความสนุกสนาน เล่นเกม วิ่งไล่จับกัน นัดพบพลอดรักกัน หาความสนุกสนานกันอย่างที่สุด วัยกลางคนเช่นผม นอกจากจะไม่มีเวลาว่างอย่างคนชราแล้ว ยังไม่มีความคึกคะนองอย่างคนหนุ่มสาวด้วย ปกติแล้วเป็นเรื่องยากที่ผมจะย่างกรายเข้ามาในสวน แต่ครั้งนี้อุตส่าห์มาถึงสวนสาธารณะซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองแห่งนี้ได้ก็เพราะภรรยาผมอยากให้ผมได้ปลดปล่อยความตึงเครียด พักผ่อน ไม่อยากให้ผมต้องใช้สมองทำงานหนักอีก แต่ผมมันนิสัยเสีย ถึงแม้จะมาอยู่ในสวนก็ไม่ยอมหยุดใช้ “จินตนาการ” ผมมักจะนั่งเป็นเวลานาน ๆตรงเก้าอี้ใต้ร่มไม้ สังเกตดูผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอย่างตั้งอกตั้งใจ ในใจก็ครุ่นคิดว่าพวกเขาเป็นใคร มาจากไหน กำลังจะไปไหน ทำอาชีพอะไร นิสัยใจคอเป็นอย่างไร มีความต้องการสิ่งใด มีความหวังอะไร วิถีชีวิตของพวกเขาเคยผ่านทางคดเคี้ยวหรือราบเรียบ  ได้รับความทุกข์ยากลำบากหรือมีความสุขสนุกสนานมาแล้วแค่ไหนเพียงใด ผมมักจะติดตามจินตนาการของผมไปและบันทึกเกร็ดชีวิตที่ผมเองไม่รู้จักดีนัก ซ้ำยังมีความแตกต่างกันอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้อีกด้วย ผ่านการตรวจตรา ครุ่นคิดพิจารณามาหลายวัน เมื่อรวมกับประสบการณ์ในอดีต ผมรู้สึกว่าถึงแม้เขาเหล่านี้ต่างคนต่างดำเนินไปในชีวิตที่แตกต่างกัน แต่หากแบ่งตามอายุและวัยแล้ว ส่วนใหญ่ใกล้ไม่แตกต่างกันมากนัก หากจะเปรียบไป วัยหนุ่มสาวคล้ายบทกวี วัยกลางคนคล้ายนวนิยาย ส่วนวัยชราคล้ายกับบทวิเคราะห์บทความ แต่ชีวิตของคนเราทั้งชีวิตนั้นผมว่าคล้ายกับนิยายมากที่สุด
    ยามโพล้เพล้ใกล้ค่ำวันหนึ่ง ผมไปที่สวนสาธารณะนั้นอีก นั่งที่เก้าอี้ยาวตัวเดิม ผมนั่งหลับตาทำสมาธิครู่หนึ่ง ผมเกือบจะหลับอยู่แล้ว รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง ดวงไฟตามเสาไฟฟ้ากำลังส่องสว่าง ถึงตอนนี้ผมถึงได้ห็นว่าตรงเก้าอี้ทางด้านซ้ายของผมมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งมานั่งอยู่ และทางด้านขวาก็มีสามีภรรยาวัยชราคู่หนึ่งมานั่งอยู่ด้วยเช่นกัน ผมเหลือบตาแอบมองคู่หนุ่มสาวที่อยู่ทางซ้ายก่อน เด็กหนุ่มนั้นหน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อผ้าทันสมัย ท่าทางทะมัดทะแมง หญิงสาวก็หน้าตาสะสวย กิริยาอ่อนหวาน แต่งกายแลดูสดใส ท่าทางปราดเปรียว ทั้งสองจะต้องอยู่ในห้วงของความรักอย่างดูดดื่มแน่นอน อิงแอบแนบชิดกันอย่างซาบซ่านใจ เดี๋ยวหัวเราะเสียงสดใส เดี๋ยวแอบกระซิบกันเบา ๆเหมือนดั่งรอบกายเขานั้นไม่มีใครอีกแล้ว และโลกนี้ก็มีเขาเพียงสองคนเท่านั้นที่เหลืออยู่ ซ้ำทั้งสองคงยังคิดหวังจะหลอมรวมเป็นร่างเดียวกันด้วยกระมัง
    ผมเหลือบกลับมาแอบมองคู่ชราทางด้านขวาของผมบ้าง ทั้งสองรูปร่างผอมบาง ผมขาวโพลน ข้าง ๆ มีไม้เท้ายันกาย ตาเฒ่ากำลังเหม่อมองดูดวงดาวบนท้องฟ้าอย่างไม่สนใจใยดีกับสิ่งใดทั้งนั้น ส่วนยายเฒ่ากำลังหมุนหาคลื่นจากวิทยุหูฟังของแกอย่างตั้งอกตั้งใจ นาน ๆครั้งทั้งสองจึงจะพูดคุยกันสักคำหนึ่งแล้วก็เงียบกันไป ดูเหมือนทั้งคู่จะไม่พยายามสร้างความสนใจให้กับผู้อื่น และก็คงจะไม่ชอบที่จะไปรบกวนคนอื่น ๆด้วย เวลาพูดก็ใช้เสียงพูดกันค่อย ๆ
    อันที่จริงไม่ว่าผมจะคิดพิจารณาอย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่อาจคาดได้ว่า พวกเขามีอาชีพอะไร หรือแม้แต่จะคิดเดาว่าทำนั่นทำนี่ ก็ยากจะเดาได้ ผมไม่อาจหยั่งรู้ได้จริง ๆ เลยว่าพวกเขาทำอะไร ก็ได้แต่คาดเดาเอาว่า พวกเขาคงทำอะไรสักอย่างนี่แหละ เหมือนคนธรรมดาที่สุด ไม่มีอะไรพิเศษก็แล้วกัน
    พวกเขาต่างคนต่างคุยกัน แน่นอนที่สุด คำสนทนาของคู่หนุ่มสาวซึ่งเป็นคู่รักกันย่อมต้องน่าสนใจมากกว่าคู่สามีภรรยาชราที่อยู่ทางขวามือของผม และเช่นเดียวกันคำสนทนาเรื่องในครอบครัวชีวิตประจำวันของคู่ชรานั้น ยิ่งไม่น่าสนใจสำหรับคู่รักหนุ่มสาวนี้แม้แต่น้อย ส่วนผมก็เหนื่อยหน่ายกับความจำเจในอาชีพของผมเองเต็มที ย่อมอยากฟังความรู้สึก ความคิดเห็นของคนอื่น ๆ บ้าง ช่างบังเอิญที่ผมมานั่งระหว่างคนทั้งสี่ ผมจึงได้ยินทั้งทางซ้าย และทางขวา พวกเขาพูดอะไรกันหรือ ผมหลับตา แล้วฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ   
        ด้านซ้าย -----
    สาว  : “เธอชอบอยู่กับฉันมั้ย”
    หนุ่ม  : “ชอบ ฉันชอบที่สุดก็ตอนนาทีสุดท้ายที่อยู่กับเธอ”
    สาว  : “ทำไมล่ะ”
    หนุ่ม  : “นาทีสุดท้ายที่อยู่กับเธอ เธอเร่าร้อน และอาลัยอาวรณ์ฉันที่สุด”
    สาว  : “ถ้าอย่างนั้น เราก็คิดว่า ทุกนาทีที่เราอยู่ด้วยกันเป็นนาทีสุดท้ายที่อยู่ด้วยกันซิ”
    หนุ่ม  : “ดีที่สุด งั้นฉันจูบเธอนะ”
    สาว  : “นี่ ข้าง ๆ เรามีคนนะ เธอไม่อายเขาหรือไง”
    หนุ่ม  : “ไม่  ความอายมันต้องกลัวฉัน”   
        ด้านขวา -----
    ตาเฒ่า  : “เธอพูดอะไร”
    ยายเฒ่า : “เปล่า ฉันไม่ได้พูดอะไรนี่”
    ตาเฒ่า  : “เธอพูดแล้ว”
    ยายเฒ่า : “ฉันไม่ได้พูด จริง ๆ นะ”
    ตาเฒ่า  : “นั่งด้วยกันตั้งครึ่งค่อนวัน เธอไม่พูดอะไรกับฉันสักคำเลยเหรอ”
    ยายเฒ่า : “ที่ควรพูด ตอนเราเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็พูดกันหมดแล้วนี่”
    ตาเฒ่า  : “แต่เมื่อกี้ ฉันดูเหมือนได้ยินเสียงเธอพูดนี่น่า”
    ยายเฒ่า : “คงเป็นความรู้สึกของเธอเอง หรืออาจจะเป็นเสียงสะท้อนจากอดีตก็ได้”
    ตาเฒ่า  : “ไม่ใช่ ไม่ใช่ ฉันได้ยินเธอพูดกับฉันแน่ ๆ”
    ยายเฒ่า : “หรือคงจะเป็นเสียงที่แว่วมาจากวิทยุหูฟังของฉันก็ได้”
    ตาเฒ่า  : “อ๋อ ... เธอช่วยลดเสียงมันลงอีกหน่อยซิ”
    ยายเฒ่า : “นี่มันก็เบาที่สุดแล้วนะ”
    ตาเฒ่า  : “เบาอีกหน่อยเถอะ คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เรา เขากำลังหลับอยู่”
        ด้านซ้าย -----
    หนุ่ม : “ในจักรวาลมีสรรพสิ่ง เธอชอบอะไรมากที่สุด”
    สาว  : “ดวงจันทร์ แล้วเธอล่ะ”
    หนุ่ม : “ดาว ดวงที่อยู่ข้าง ๆ ดวงจันทร์”
    สาว  : “เธอเป็นดวงจันทร์ ฉันเป็นดวงดาว”
    หนุ่ม : “ฉันจะนับ หนึ่ง สอง สาม”
    สาว  : “เธอจะทำอะไร”
    หนุ่ม : “บินขึ้นไปบนท้องฟ้า”
        ด้านขวา -----
    ยายเฒ่า : “ฉันอยากจะพูดอะไรกับเธอสักหน่อย”
    ตาเฒ่า  : “ดี ดี พูดสักหมื่นคำก็ได้”
    ยายเฒ่า : “พรุ่งนี้ จะซื้อกับข้าวอะไรดี”
    ตาเฒ่า  : “เฮ้อ ไม่ได้ความ ... เต้าหู้”
    ยายเฒ่า : “จะกินเต้าหู้อีกแล้ว”
    ตาเฒ่า  : “เธอรู้มั้ย ฉีชิวป๋าย  นักปฏิวัติ ยังบอกว่าเต้าหู้จีนอร่อยที่สุดในโลก”
    ยายเฒ่า : “ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็กินทุกวันไม่ไหว”
    ตาเฒ่า  : “แล้วเธอรู้หรือเปล่า ก่อนที่เขาจะสิ้นลมหายใจ เขายังเรียกจะกินเต้าหู้เลย”
    ยายเฒ่า : “เอาละ เอาละ พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปซื้อเต้าหู้ก็แล้วกัน”
        ด้านซ้าย -----
    สาว  : “บินขึ้นไปบนท้องฟ้า ถ้าหากไปเจอกับ UFO ...”
    หนุ่ม : “เป็นไปได้ไง แต่ถ้าพบก็เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ ถ่ายภาพสักภาพนำกลับมายังโลก ป่าวประกาศให้ชาวโลกตะลึง”
    สาว  : “พวกมนุษย์ต่างดาว จะไม่จับเราไปเป็นเชลยเหรอ”
    หนุ่ม : “พวกเขามีวัฒนธรรมสูง เลิกฆ่าฟันกันมานานแล้ว และพวกเขาก็ไม่ก่อสงครามระหว่างดวงดาวอย่างแน่นอน”
    สาว  : “ถ้าเกิดมนุษย์ต่างดาวเห็นฉัน แล้วขอฉันแต่งงานจะทำไงดีล่ะ”
    หนุ่ม : “หนึ่ง ให้เธอตัดสินใจเอง สอง ก่อนที่เธอจะตัดสินใจ เธอควรรู้ก่อนว่ากฎหมายแต่งงานของเขาเป็นอย่างไร”   
    สาว  : (หัวเราะ) “เธอเชื่อจริง ๆ เหรอว่ามีมนุษย์ต่างดาว”
    หนุ่ม : “ระดับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน สิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ อย่าเพิ่งปฏิเสธ”
        ด้านขวา -----
    ยายเฒ่า : “ในวิทยุเขากำลังวิจารณ์เรื่องหูจำตัวหนังสือได้”
    ตาเฒ่า  : “เธอพูดกับฉันเหรอ”
    ยายเฒ่า : “อือ”
    ตาเฒ่า  : “สมควรถูกวิพากย์วิจารณ์ ถ้าหูจำตัวหนังสือได้ ยังจะมีตาไว้ทำอะไร”
    ยายเฒ่า : “แต่มีคนเห็นกับตาจริง ๆ นะ ว่าหูจำตัวหนังสือได้”
    ตาเฒ่า  : “เรื่อง ภูติผีปีศาจ ก็มีคนมากมายเห็นกับตา ฉันขอถามหน่อยหูของเธอจำตัวหนังสือได้มั้ย”
    ยายเฒ่า : “ฟังก็ไม่ค่อยจะได้ยินอยู่แล้ว ยังจะไปจำตัวหนังสืออะไรได้อีก”
    ตาเฒ่า  : “ก็แล้วเธอทำไมถึงยังจะไปเชื่อเรื่องพิลึก ๆ อย่างนั้นอีก”
    ยายเฒ่า : “ไม่หรอก เรื่องที่ไม่ไดประสบด้วยตนเอง ฉันก็ไม่เชื่อทั้งนั้น”
        คู่หนุ่มสาวนั่งโอบกอด จูบกันอย่างลึกซึ้งตรึงใจ ชายชรายังคงนั่งมองท้องฟ้า ยายเฒ่ายังคงตั้งอกตั้งใจฟังวิทยุของแกต่อไป ส่วนผมก็นั่งหลับตาของผมดังเดิม
        ด้านขวา -----
    ยายเฒ่า : “ในข่าวเขาบอกว่า พรุ่งนี้อากาศแจ่มใส ตากเสื้อผ้าได้อีกแล้วล่ะ”
    ตาเฒ่า  : “ตากกันทั้งปี เมื่อไม่กี่วัน ก็เพิ่งตากไปแล้ว”
    ยายเฒ่า : “ชุดหม่ากว้า  ที่เธอใส่ตอนเป็นหนุ่มน่ะยังไม่ได้ตากเลย”   
    ตาเฒ่า  : “สมัยก่อนเป็นชุดประจำชาติทีเดียวเชียวนะ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่เหมาะกับสมัยนิยมเสียแล้ว”
    ยายเฒ่า : “เปลี่ยนทรงเสียใหม่ ให้หลานใส่ก็แล้วกัน”
        ด้านซ้าย -----
    หนุ่ม : “ฉันจะตัดสูทสักชุดหนึ่ง แต่แม่ฉันไม่เห็นด้วย”
    สาว  : “ทำไม ไม่มีเงินเหรอ ฉันมี”
    หนุ่ม : “ไม่ใช่หรอก แม่ฉันแกไปเอาเสื้อกันหนาวซึ่งใส่มาแล้วสามชั่วคนจากในลังเสื้อผ้าเก่า แล้วยังให้คุณยายมาออกความเห็นเปรียบเทียบกับสูทที่ฉันอยากได้อีก”
    สาว  : “แหม ช่างน่าซาบซึ้งใจจริง ๆ”
    หนุ่ม : “ใช่แล้ว ซาบซึ้งจนน้ำตาคลอเบ้าเลย แถมแกยังให้ข้อคิดเห็นกับฉันอีกเยอะแยะมากมาย”
    สาว  : “หมายความว่าไง”
    หนุ่ม : “ก็ฉันพูดกับแกว่า ยังไง ๆ ไอ้ผ้าของสังคมยุคเก่ามันก็ทนทาน ชุดหนึ่งใส่กันได้ตั้งสามชั่วคน ทำเอาคุณยายเกือบจะลมใส่”
        ด้านขวา -----
    ยายเฒ่า : (ยื่นวิทยุหูฟังให้ตาเฒ่า) “เธอฟังซิ เพลงนี้ไม่ได้ยินมานานแล้ว”
    ตาเฒ่า  : (ฟังครู่หนึ่ง) “เพราะจริง ๆ เพลงสมัยก่อนนี่ ยังไงก็ไพเราะกว่า”
    ยายเฒ่า : “เธอก็ว่าดีงั้นเหรอ”
    ตาเฒ่า  : “ก็ดีนี่ ทำไมจะบอกว่าดีไม่ได้ ว่ากันอย่างตรงไปตรงมาก็คือ มันดีจริง ๆ”
    ยายเฒ่า : “ใช่แล้ว เพลงร่วมสมัยกับเราใคร ๆ ก็ชอบฟังกัน เหมือนเพลงปัจจุบันที่ไหน มีแต่เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ พิลึกพิลั่นชอบกล”
    ตาเฒ่า  : “ยังกับฤดูหนาวร่วงหล่นลงในน้ำแข็ง แผ่นเหล็กเคาะกระจกยังไงยังงั้นฉันไม่เคยไปฟังมันเลย แล้วก็ฟังไม่รู้เรื่องเสียด้วย”
        ด้านซ้าย -----
    สาว  : “เสื้อผ้าที่สวมใส่ได้ถึงสามชั่วคน ฉันไม่เคยเห็นจริง ๆ มันเป็นยังไง”
    หนุ่ม : “ขาดเป็นรูพรุน ก็เหมือนกับภูเขาหินข้างหน้าเรานี่แหละ มีแต่รูพรุนเต็มไปหมด แต่ว่าภูเขาหินเป็นยังงั้นน่ะ มันสวยดีหรอก”
    สาว  : “มันก็เป็นรูเป็นโพรงเหมือนกัน”
    หนุ่ม : “เป็นรอยขาดเป็นรูพรุนเหมือนกัน แต่เป็นกับเสื้อผ้าเขาเรียกว่ารูเป็นร้อยรอยเป็นพัน เป็นกับภูเขาหินเขาเรียกว่าร่องรอยงดงามตามธรรมชาติ ก็เหมือนกับสีแดงนะ สวยมาก เช่นธงแดง กุหลาบแดง แต่ฤทธิ์เหล้าทำให้จมูกแดง เป็นไง สวยมั้ย”
    สาว  : “เธอพูดอย่างนี้ รอยรูพรุนตามภูเขาหินเป็นความงดงามก็จริง แต่น่าเสียดายมันเก่าแก่เหลือเกิน”
    หนุ่ม : “ไม่หรอก มันเป็นสิ่งที่มีความเป็นสมัยใหม่มากที่สุด มันเป็นภาพวิจิตรที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และเป็นสัจธรรม เป็นเสียงดนตรีแห่งจินตนาการ เป็นบทกวีไพเราะที่ไร้อักขระ และเป็นบทละครที่ไม่มีฉาก ไม่มีบทตอน ใครบอกว่าดูไม่รู้เรื่อง ไม่ใช้จินตนาการไหนเลยจะเรียกว่าศิลปะ เธอดูภูเขาหินก้อนนี้เข้าใจมั้ยมันมีปรัชญาอะไรที่บอกเราไว้มากมาย หรือเธอว่ามันไม่นับเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง”
        ทันใดมีดาวตกผ่านม่านฟ้าทางตะวันตกเฉียงใต้ดวงหนึ่ง พวกเราทั้งห้าคน แหงนหน้ามองดวงดาวที่ตกลงมานั้นพร้อมกัน โดยมิได้นัดหมาย
        ด้านซ้าย -----
    สาว  : “ดวงดาวดวงนั้น เธอรู้มั้ยว่ามันมีชีวิตอยู่ในจักรวาลนานเท่าใด”
    หนุ่ม : “หลายพันปี หลายหมื่นปี หรืออาจจะเป็นล้านปี”
    สาว  : “แต่น่าเสียดาย ระยะเวลาที่มันพราวแสงสว่างมีเพียงชั่วครู่เท่านั้น”
    หนุ่ม : (นิ่งเงียบคล้ายกับคิดอะไรอยู่) “ชีวิตของเรามันไม่คล้ายดังดาวตกดอกหรือ
”
        ด้านขวา -----
    ยายเฒ่า : “โบราณเขาว่ากันว่า ดวงดาวร่วงหล่นจากฟ้าดวงหนึ่ง บนโลกนี้ก็จะมีคนตายไปหนึ่งคน”
    ตาเฒ่า  : “เราก็คือดวงดาวที่กำลังหมดอายุขัย”
    ยายเฒ่า : “เธอ ... กลัวตายมั้ย”
    ตาเฒ่า  : “กลัว แต่ที่กลัวมากกว่าก็คือตอนมีชีวิตอยู่ไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข”
    ยายเฒ่า : “ถ้าหากสามารถจะเป็นดาวตกดวงนั้น ก่อนจะหมดสิ้นทุกอย่างยังสามารถมีพวยแสงพุ่งออกมาให้เห็นก็สวยงามไม่น้อย”
    ตาเฒ่าผงกหัวรับ
        ด้านซ้าย -----
    สาว  : “นั่งต่ออีกสักครู่ดีมั้ย”
    หนุ่ม : “ก็ดี ยังหัวค่ำอยู่เลย เรายังมีเวลาอีกเยอะ”
    สาว  : “เมื่อครู่เธอกำลังคิดถึงอะไร”
    หนุ่ม : “คิดถึงดาวตก”
        ด้านขวา -----
    ยายเฒ่า : “ควรกลับกันแล้ว พรุ่งนี้ยังจะต้องไปซื้อเต้าหู้แต่เช้า”
    ตาเฒ่า  : “อือ ... ควรจะมีปลายหางที่สว่างไสว”
    ยายเฒ่า : “เธอพูดอะไร”
    ตาเฒ่า  : “เปล่า เปล่า ฉันไม่ได้พูดอะไร”
        แล้วทั้งสองข้างก็เงียบไม่มีเสียงพูดคุยอีก ดูเหมือนต่างคนต่างกำลังครุ่นคิดถึงอะไรอยู่ ผมล่ะ ผมก็ครุ่นคิดเช่นกัน
    ผมคิดว่าผ่านไปอีกแปดเก้าสิบปี ถ้าหากผู้คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ค่อย ๆ หมดสิ้นสูญหายไป แล้วมีคนอีกพวกหนึ่งเข้ามาอยู่ในโลกนี้แทน แต่ก็คงดำเนินชีวิตไปเหมือนเดิม ในที่สุดก็คงจะมีวัยหนุ่มสาว วัยกลางคน วัยชรา และก็ยังคงเหมือนกับในโลกวรรณศิลป์ที่มีบทกวี เรื่องสั้น นิยาย บทความ หากไม่เห็นความสำคัญของวัยหนุ่มสาว โลกก็คงจะหยุดหมุน และถ้าหากผละทิ้งวัยชราไป โลกนี้คงหมุนไปอย่างแคว้งคว้างไร้แกนนำ ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน อนาคต วัยหนุ่มสาวจะมีความแตกต่างกันกับวัยชราอย่างไร ต่างควรจะร่วมชีวิตอย่างมีความสุขบนโลกนี้ด้วยกัน อีกทั้งควรจะเชื่อว่าวัยหนุ่มสาวในอนาคตจะมีความสมบูรณ์พรั่งพร้อมมากกว่าหนุ่มสาวในปัจจุบัน เช่นเดียวกับวัยชราในอนาคตก็จะมีความรู้สึกกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้นกว่าชราในปัจจุบัน
    พวกเขา ... คู่หนุ่มสาวที่อยู่ข้างซ้าย - อดีตของผม
คู่ชราด้านขวา - อนาคตของผม เขาจะเห็นด้วยกับความคิดของผมมั้ยหนอ
    ขณะที่ผมกำลังคิดเพลิน ๆนั้นเอง ภรรยาผมมาตาม
    “เธอทำไมยังไม่กลับบ้าน นี่เขาปิดประตูสวนกันหมดแล้ว”
    หนุ่มสาวข้างซ้ายมือลุกขึ้นทันที คู่ชราด้านขวาก็ค่อย ๆ เอาไม้เท้ายันกายลุกขึ้น
    “งั้นเราก็ไปกันเถอะ” ผมบอกเธอ
    “พอฉันเข้ามาประตูใหญ่ก็ปิดพอดีเลย” ภรรยาพูด “คนดูแลสวนเขาบอกให้พวกเราไปออกทางประตูหมายเลข 4”
    “สวนใหญ่โตออกอย่างนี้ ประตูหมายเลข 4 อยู่ที่ไหน เอ่อ คุณพอทราบมั้ย” หนุ่มน้อยถามภรรยาผม
    “อ๋อ ฉันเคยผ่านไปแค่ครั้งเดียว ลืมเสียแล้ว”
    “ฉันรู้ เมื่อก่อนเราเคยเดินผ่านออกทางนั้นหลายครั้ง แต่ว่าไกลสักหน่อยกว่าจะเดินไปถึง เสียแรงไม่น้อย” ชายชราสองมือกำไม้เท้าพูดกับเรา
    “ไม่เป็นไรหรอก ท่านคอยนำทาง เราสองคนจะคอยพยุงพวกท่านไปเอง” หนุ่มน้อยพูดพลางเดินเข้าไปประคองคู่ชราทั้งสอง
    ทั้งสี่คนก็ค่อย ๆเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ คนชราสองคนคอยบอกทาง คนหนุ่มสาวสองคนคอยประคองเดินอยู่ข้าง ๆ ผมกับภรรยาเดินตามหลังไป ภรรยาผมกระซิบถามผมว่า :
    “เธอรู้จักพวกเขาเหรอ”
    “ไม่รู้จัก...  อ๋อ ไม่...  รู้จัก รู้จัก พวกเรานั่งคุยอยู่ด้วยกันนานทีเดียว”
*********************************************
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น