การเดินทาง......ความทรงจำสีจาง - การเดินทาง......ความทรงจำสีจาง นิยาย การเดินทาง......ความทรงจำสีจาง : Dek-D.com - Writer

    การเดินทาง......ความทรงจำสีจาง

    การเดินทางที่นำพาซึ่งมิตรภาพและความทรงจำ

    ผู้เข้าชมรวม

    496

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    496

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  25 ต.ค. 46 / 04:32 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      แรงบันดาลใจที่ทำให้อยากเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเกิดจากการที่เรา  ( ขอใช้คำแทนตัวว่าเราก็แล้วกัน )ได้ฟังเพลงความทรง  จำสีจางเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องแฟนฉัน  จึงทำให้เราได้นึกย้อนไปถึงอดีตที่ผ่านมาและเรื่องที่ไม่เคยหายจากความทรงจำเลย  คงเป็นเรื่องนี้  การเดินทางของเรากับเหล่าผองเพื่อน  จุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้มาจากการที่เรากับเพื่อนรวมแล้ว 5 ชีวิต อันได้แก่ ออย  แอน  ปิ๋ว  ตี๋  ขวัญ ( ขอเอ่ยนามหน่อยนะเพื่อน )  อยากไปเที่ยวที่ไหนก็ได้  ตี๋จึงเสนอว่าว่าไปเที่ยวบ้านตี๋ที่ จ. ตรังดีกว่า  พวกเราขาลุยอยู่แล้วมีเหรอจะปฏิเสธ  ด้วยความตื่นเต้นในการเดินทางครั้งนี้ทำให้เราแพ็คกระเป๋าอย่างรีบเร่ง  เสื้อผ้าเตรียมไปไม่กี่ชุด  เพราะคิดว่าอยู่บ้านเพื่อนจะกลัวอะไร       ( ประมาณว่าหวังพึ่งเพื่อน )  โดยทุกคนคิดอย่างงี้หมด  การเดินทางจึงเริ่มต้นขึ้น   เมื่อถึงที่หมายคือตรัง  เราก็พักกินข้าวกัน  อาหารไม่ทันจะย่อยสองหนุ่มก็รีบพากลับไป บ.ข.ส. ตรัง  จัดการซื้อตั๋วทันที และรีบพาขึ้นรถ  โดยที่พวกเราหญิง 3 คนยังไม่ทันได้ตั้งตัว  แม้แต่จะอ่านที่หน้ารถว่าจะไปไหนยังไม่ทัน  ถามไอ้เพื่อนตัวแสบว่าจะพาไปไหนก็ไม่ยอมบอก  มันบอกว่าชีวิตต้องมีการผจญภัยถ้ารู้แล้วมันก็จะไม่มัน  เราก็เลยต้องสงบ  นี่ถ้าไม่คิดว่าเป็นเพื่อนกันเราคงคิดว่ามันคงพาสาวสวยอย่างเราไปขายมาเลย์แน่เลย    ปิ๋วเลยพูดขึ้นมาว่า  เหมือนเราใจง่ายเลยเนอะผู้ชายดึงไปไหนก็ไป  แอนเลยเสริม  แถมผู้ชายไม่หล่อด้วย   สองหนุ่มเลยท้าว่าถ้าไม่สนุกไม่มันให้เตะเลย  

                     ความตื่นเต้นของเราเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่นี้ไป  นั่งรถไปเราพยายามมองข้างทางตลอดมันคือที่ไหน  แต่เดินทางทั้งวันมันแสนเหนื่อย  ก็เลยเผลอหลับ  ตื่นอีกทีเพื่อนก็บอกว่าถึงแล้ว  มีพวกเราแค่  5 คน  ลงจากรถมา   ถึงที่นี่จึงได้รู้ว่าเราอยู่พังงา  ซึ่งกว่าจะมาถึงก็มืดมากบรรยากาศวังเวง  เป็น บ.ข.ส. ก็จริงแต่ไม่มีคนเลย   ขณะที่พวกเรายืนเอ๋ออยู่มาก  ก็มีผู้ชายคนหนึ่งหน้าเหี้ยมมาก  ตอนนั้นเราคิดว่าพวกเราต้องถูกปล้นแน่ ๆ  เลย  เค้าถามด้วยน้ำเสียงดุมากว่า  มาทำอะไรกัน  พวกเราก็เลยบอกว่ามาเที่ยว  เค้าก็เลยบอกว่างั้นตามมา  เอาหละทีนี้ทำไงดี  พวกเราจึงปรึกษากัน  สรุปได้ว่าเป็นไงเป็นกันยังไงเราก็คนมากกว่า แถมมีผู้ชายมาด้วย 2 คน หน้าตาโหดไม่แพ้กัน  เล่นเอาสองหนุ่มนั้นฉุน  เราเลยตามพี่โหดนั้นไป  (  ขออนุญาตเรียกพี่โหดนะคะคือหน้าตาพี่ให้ )  เค้าก็พาเราไปบริษัททัวร์ ช่วยจัดแจงทุกอย่างให้  สรุปว่าพรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวล่องเรือกับกรุ๊ปทัวร์นี้ครึ่งวัน  ส่วนคืนนี้ก็มีคนพาเราไปพักโรงแรม  เราจึงได้ข้อคิดว่าอย่าตัดสินใจคนที่หน้าตา  ขอขอบคุณพี่โหดอีกครั้งนะคะหวังว่าพี่คงชอบชื่อนี้นะ  เห็นที่นอนปุ๊บเรานี่หลับเลย  ดีนะที่ยังตื่นมาดูหมอกที่ล้อมรอบภูเขาขอบอกว่าสวยมาก  เราจินตนาการไปว่าเหมือนเราอยู่ริมระเบียงที่โรงแรมสุดหรูที่สวิตเซอร์แลนด์  ก่อนที่จินตนาการจะเตลิดไปไกล  เราเกือบลืมว่าบริษัททัวร์นัดพวกเรา แปดโมงเช้า ตายละหว่านี่มัน  เจ็ดโมงครึ่งแล้ว  พวกเรายังไม่มีใครได้อาบน้ำแต่งตัวเลย  สรุปว่าเราสายถูกด่าไปตามระเบียบ  เล่นเอาพวกเราต้องกลายเป็นคนเรียบร้อย  แต่ก็แค่แป็บเดียว  ถึงทะเลปุ๊บนกกระจอกก็เริ่มแตกรัง  พวกเราและลูกทัวร์คนอื่นอีกประมาณ 5 คน  ก็นั่งเรือหางยาวไปความงามของน้ำทะเลสีม้ำเงินแถบอันดามันทำให้เราสบายใจความกลัวที่เคยมีอยู่ในใจบ้างได้หายไปกับภาพข้างหน้า  ยิ่งได้คุยได้เห็นรอยยิ้มของเพื่อนความสุขมันยิ่งมากขึ้น  จนถึงที่หมายที่แรกคือเขาตะปู  พวกเราก็ได้แต่ดูและชื่นชมความงามด้วยสายตา  และเก็บไว้ในความทรงจำ  เพราะในพวกเรา 5 คน นี้ไม่มีใครนำกล้องมาเลย  เป็นอะไรที่น่าเสียดายที่สุด  แต่ความใจดีของคนไทยมีอยู่เสมอมีครอบครัวหนึ่งพ่อแม่ลูกสามคนในกลุ่มทัวร์  คงเห็นพวกเราเดินโต๋เต๋ ไม่เห็นถ่ายรูปกัน  เค้าจึงอาสาถ่ายรูปให้และขอที่อยู่พวกเราไว้เพื่อจะส่งมาให้  ขอขอบคุณอีกครั้งนะคะเป็นครอบครัวที่น่ารักจริง ๆ  จุดหมายต่อไปคือเกาะปันหยี เราก็ไม่รู้จะบรรยายความงามอย่างไร  เพราะเรื่องเราเขียนก็ไม่ใช่สารคดีท่องเที่ยว จึงไม่สามารถจริงๆ   พวกเราก็สนุกไปตามประสา  จะซื้ออะไรก็ไม่มีปัญญา  แต่เราไปเตะตาข้อมือหินอันหนึ่งสวยมาก  พวกเราจึงซื้อคนละอัน  ไว้เป็นที่ระลึกว่าเรา 5คน ได้มาที่นี่ด้วยกัน  และมันจะได้เป็นหลักฐานการเดินทางครั้งนี้ของพวกเรา  ความจริงเราอยากเก็บแม้กระทั่งตั๋วรถ  แต่พวกเพื่อนหาว่าเว่อร์   การเที่ยวกับบริษัททัวร์ก็จบลงไป

              ในที่สุดพวกเราก็ได้เดินทางตามใจพวกเราเองบ้าง  ความจริงเราก็ไม่ชอบการเที่ยวกับทัวร์แบบนี้หรอกเพราะมันออกจะเป็นการปิดกั้นจินตนาการ        วัยทีนอย่างเรา  แต่มันเป็นภาวะจำยอม  พวกเราจึงมาเริ่มต้นการเดินทางที่ บ.ข.ส. พังงาเป็นจุดเริ่มต้น  กินข้าวไปก็เสี่ยงดวงกันว่าจะไปไหนดี  พวกเรายึดหลักว่าชะตาถูกกำหนดไว้แล้วจึงตกลงว่าถ้ารถคันไหนออกก่อนเราขึ้นคันนั้น  ดังนั้นจังหวัดที่เราจะไปผจญภัยต่อไปคือกระบี่ที่พวกเราไม่เคยมาที่นี่เลยซักคน  แต่จนถึงป่านนี้แล้วมีเหรอพวกเราจะกลัว  ว่าแล้ว 5 หนุ่มสาวก็กระโดดขึ้นรถทันที  ถึงกระบี่สิ่งแรกที่พวกเราทำคือ  เอ่อขอใช้คำนี้หน่อยนะ  คำสารภาพของสาวนักช็อป  เพราะเราชอบมาก  5หนุ่มสาวจึงเริงร่าไปกับการเดินชอป  แต่หาเสื้อผ้าลำบากหน่อยเพราะเค้ามีไว้ขายแต่ชาวต่างชาติหุ่นเอเชียอย่างเราก็เลยหายากหน่อย  แต่ด้วยความพยายามมีเหรอจะไม่ได้  ยังไงก็ต้องได้เพราะเสื้อผ้าที่เตรียมมาน้อยเหลือเกิน  เอาละอยู่ในเมืองนานแล้ว  จุดประสงค์ของงเราคือทะเลพวกเราจึงมุ่งหน้าสู่น้ำสีครามกัน  เจอรถโดยสารสองแถวพอดี  กลุ่มกล้าตายอย่างพวกเราก็โดดขึ้นทันที  ขอย้ำว่ากระโดดจริงๆ ดีนะที่เราคล่องหน่อย  แต่แอนสาวเหนือสิพลาดก็เลยล้ มดีนะไม่เป็นไรมาก  แต่คนทั้งรถฮาตึม  กับท่าที่ไม่รู้จะบรรยายยังไงของสาวแอน ( ขอเผาหน่อยเพื่อน )  พวกเราก็นั่งไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะลงไหนดี  แต่ด้วยความมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศมีพี่อยู่บนรถชวนเราไปพักที่อ่าวต้นไทรซึ่งคืนนี้จะมีปาร์ตี้  พวกเราได้ยินคำนี้ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงตอบตกลงทันที ( ใจง่ายอีกแล้ว ) การไปอ่าวต้นไทรนี้ต้องนั่งเรือจากอ่าวนางไป   วินาทีแห่งความเป็นความตายได้มาเยือนพวกเราก็ตอนนั่งเรือนี่แหละเพราะคลื่นกระหน่ำอย่างรุนแรงทำเอาเรือโคลงเคลงตัวเราเซล้ม  เพื่อน ๆ ตกใจกันใหญ่  กว่าจะถึงที่หมายเล่นเอาพวกเราใจหายใจคว่ำ   แต่พอเห็นสถานที่ก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย  แล้วพวกเราก็ไปติดต่อเรื่องที่พัก   ค่ารีสอร์ทถูกมากคืนละ 100 บาทต่อหลัง  พวกเราชอบใจมากกะอยู่หลายๆวัน  ดีนะที่ปิ๋วเตือนก่อนว่าลองอยู่ซักคืนก่อนอย่าด่วนตัดสินใจ  พวกเราก็ไปดูที่พักกระท่อมน้อยเค้าจะสร้างตามเนินเขากระท่อมแต่ละหลังจึงเรียงกันเป็นขั้นบันได  ในกระท่อมมีเตียง กับห้องน้ำ แค่นี้จริงๆ  แต่เราก็พอใจขาลุยอยู่แล้ว  แต่มันติดอยู่ตรงที่ว่า
      ห้องน้ำมันออกจะสัมผัสกับธรรมชาติมากเกินไป  คือไม่มีหลังคาเปิดโล่ง   และที่สำคัญข้างบนเรายังมีกระท่อมของฝรั่งผู้ชาย  จนสาวแกร่งอย่างงพวกเราต้องงอแงไม่กล้าอาบ  จนไอ้เพื่อนสองคนแซวว่า  “  ว่ามันเป็นโชคของพวกแกแล้วหละจะได้มีโอกาสโชว์ซะบ้าง เพราะคงไม่มีใครเค้ามาขอดู “  แถมเสริมต่อให้เจ็บใจ  “ แต่หน้าสงสารฝรั่งพวกนั้นมากกว่านะ “  ดูมันพูดเข้า  แต่ก็ไม่รู้จะเถียงยังไง  จะไม่อาบก็ไม่ได้เหม็นมาทั้งวัน  ตั้งแต่เกิดมาการอาบน้ำครั้งนี้แหละเสียวและกลัวที่สุดความรู้สึกเหมือนถ่ายนู้ดเลย  (  เออชักจะออกแนวอีโรติกแล้วนะเนี่ย )  อาบน้ำเสร็จค่อยสบายตัวหน่อย  พวกเราเริ่มสำรวจสถานที่พบว่าทั้งอ่าวมีรีสอร์ทแห่งเดียว  เงียบจริง ๆ  นักท่องเที่ยวที่เห็นมีแต่ต่างชาติ  ที่นี่มีมินิมาร์ทแต่ราคาสินค้าไม่ได้มินิเลย   ราคายังกะอยู่ในดิเอ็มโพเรียม  พวกเราก็ได้แต่ดู   ไม่มีปัญญาซื้อแม้กระทั่งนมกลล่อง    กองทัพต้องงเดินด้วยท้องพวกเราจึงต้องไปทานที่ร้านอาหารของรีสอร์ทที่มีอยู่แห่งเดียว  ด้วยความหน้าใหญ่ใจโตทั้งกลุ่มจึงสั่งอาหารมาเพียบ    ฝรั่งยังอายเพราะเค้าสั่งอาหารรจานเดียวกินกัน  เราเลยดูไฮโซ  หารู้ไม่ว่ามันเป็นมื้อแรกและมื้อสุดท้ายของที่นี่   อิ่มแล้วเราก็เดินเล่น  เดินไปเรื่อยด้วยความมืดพวกเราเห็นแต่เงาตะคุ่ม   มึกว่ามาทะเลจะเจอผีทะเลซะแล้ว  มือนี่สั่น  แล้วร่างนั้นก็ลุกขึ้นปรากฏว่าเงานั้นคือฝรั่งมาจู๋จี๋กัน   เล่นซะเราตกใจ  แต่ความจริงเค้าตกใจพวกเรามากกว่าคงคิดว่าเรามาแอบดู   ก็พวกเราเล่นวิ่งหนีซะเตลิด   ปาร์ตี้ที่เรารอคอยปรากฏว่าเป็นปาร์ตี้ที่ฝรั่งจัดขึ้นกันเองแล้วไทยอย่างพากเราจะแจมได้อย่างไรกันภาษาอังกฤษก็งูงูปลาปลา  พวกเราจึงได้แต่เดินคอตกกลับไปนอนที่กระท่อมน้อย ( น้อยจริงๆ)  ตอนนอนน่าสงสาร ตี๋น้อย กับ น้องขวัญ ของเราเหลือเกินที่ต้องเสียสละให้กับสุภาพสตรีแสนสวยอย่างพวกเรา  ด้วยการนอนพื้น  หมอนไม่มี  ใช้เป้หนุนหัว  เสื้อห่มตัว  ยุงก็เยอะ  ซาบซึ้งจริงๆกับความเสียสละที่มีให้เสมอมานะ  ตื่นมาพวกเราก็รีบกลับทันที  ความจริงที่นี่ดีมากเงียบสงบ  สะอาด  ความเป็นธรรมชาติยังมีอยู่มาก   แต่ต้องมีเงินหน่อยหรือไม่ก็เตรียมเสบียงมาเองนะจ๊ะ   แต่คนงบน้อยอย่างเราจึงขอบาย  ถึงวินาทีระทึกอีกแล้วตอนนั่งเรือกลับแต่คราวนี่คลื่นไม่คล่อยแรง  มาถึงฝั่งเราก็ต้องมาตัดสินใจอีกแล้วว่าจะไปไหนกันดี  แต่ก็ต้องเขาเมืองก่อน  ด้วยความมั่นใจในความสวยเราจึงอาสาโบกรถเอง  ปรากฎว่าสำเร็จก็             รถโดยสารสองแถวนั่นเอง  เราลงที่ตลาดเดินไปเดินมาไม่รู้เดินอีท่าไหนเราก็ได้เสื้อมาอีกตัว  แต่ก็มีแก้ตัวที่ดีนะ  ว่าไม่มีเสื้อจะใส่แล้ว  อิ่มท้องแล้วเราก็มีกำลังเดินทางต่อ  คราวนี้เราไม่มั่วอีกแล้วเราตกลงว่าจะไปพัทลุงกันเพราะเป็นบ้านขวัญซึ่งมั่นใจได้ว่าปลอดภัยแน่  ถึงพัทลุง  มุ่งหน้าไปทะเลน้อยกว่าจะถึงเล่นเอาเราโทรมสุดขีด  ด้วยความร้อนแดดก็แรง  แต่ถึงทะเลนน้อยก็ไม่ผิดหวัง  สวยอย่างที่คิดไว้  ด้วยความเมื่อยล้าของงร่ายกายและที่สำคัญกำลังเงินก็หมดแล้ว  เราจึงต้องกลับ  และการเดินทางครั้งนี้ก็จบลง

                          แม้มันจะจบลงไปนานแล้ว  หลายปีและเราก็ได้จากพวกเขามาในที่แห่งใหม่แสนไกล   แต่การเดินทางครั้งนี้ก็ทำให้เราต้องเก็บพวกเขาไว้ในความทรงจำ  ซึ่งภาพนั้นยังตราตึงใจเราอยู่เสมอ  ภาพที่พวกเรา 5คน ก้าวเดินไปพร้อมกัน   ด้วยอุดมการณ์เดียวกัน   เราขอบอกตามตรงเราไม่กลัวอะไรแม้แต่น้อยถ้าเรามีพวกนาย   ขอบคุณที่ทำให้เรามีความทรงจำที่ดีอย่าง   ขอบคุณที่ทำให้เราได้ยิ้มกับมัน  .........

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×