ออกแบบ...ไม่ได้ - ออกแบบ...ไม่ได้ นิยาย ออกแบบ...ไม่ได้ : Dek-D.com - Writer

    ออกแบบ...ไม่ได้

    เรื่องรักเน่าๆของเพื่อนสองคน ลองอ่านดูนะครับเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี ตอนจบหักมุมนิดนึงรับรองว่าไม่เหมือนจบแบบละครหลังข่าวแน่ๆ

    ผู้เข้าชมรวม

    341

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    341

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  25 ต.ค. 46 / 17:00 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ออกแบบ…ไม่ได้
                                                                                                                                          เฮียถึก ส.ประสาทพร

                          ท่ามกลางความเงียบวังเวงในความมืดของคืนที่จันทร์ถูกเมฆสีดำสนิทบดบัง มีเพียงแสงไฟนีออนจากบ้านหลังเล็กๆของชายคนหนึ่งที่ห้องนอนของเขา นี่ก็เวลาล่วงไปถึงเที่ยงคืนครึ่งแล้วทำไมเขายังไม่นอนเสียที เขายังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานเหมือนเมื่อ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าเขากำลังเขียนอะไรอยู่สักอย่าง แต่ที่แน่ๆคือสิ่งที่เขาเขียนอยู่นั้นมันทำให้เขามีความสุขไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะว่าขณะที่เขาเขียนอยู่นั้นเขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ และบางครั้งก็เศร้าไปถนัดตา
      เวลาตอนนี้คือตีหนึ่งเศษ เขาดูง่วงเต็มทีแต่ว่ามือของเขานั้นก็ยังไม่คิดที่จะวางปากกาลงได้ง่ายๆ แต่ในที่สุดเขาก็วางปากกาลงและปิดสมุดไว้ สมุดเล่มนั้นเป็นสีฟ้าสะท้อนแสงมีกลอนเล็กๆติดอยู่คล้ายกับว่าเป็นสมุดบันทึกลับที่ไม่อยากจะให้ผู้ใดอ่านและล่วงรู้ถึงข้อความภายในได้ เขาเริ่มขยับตัวลุกออกจากเก้าอี้และมุ่งหน้าไปสู่เตียงหกฟุตที่นุ่มสบายและในไม่ช้าเขาก็หลับตาลง ทิ้งไว้ก็แต่ความเงียบสงัดของคืนไร้จันทร์และสมุดบันทึกลับของเขาบนโต๊ะทำงาน

                         เสียงนกกระจอกร้องเพลงทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นและเขาก็แทบจะตกจากเตียงเพราะว่ารีบร้อนที่จะอาบน้ำทำกิจส่วนตัวและออกไปทำงาน แต่แล้วก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจนทำให้เขาต้องหยุดชะงัก
      “ หวัดดีไอ้ต้อง” เสียงจากอีกด้านหนุ่มของโทรศัพท์ทักทายอย่างเป็นกันเอง
      “เออ ข้ากำลังจะรีบไปทำงานอยู่แล้วสายนิดสายหน่อยแค่นี้ต้องโทรมาตามกันด้วยนะคุณชาย” เสียงที่ฟังดูประชดเล็กๆของต้องพูดสวนขึ้นมา
      “เฮ้ย ไอ้ต้องนี่มันวันเสาร์นะเอ็งจะไปทำงานกับใครวะ” เสียงที่ได้ยินมาทำให้ต้องรู้สึกอายและหน้าแตกอย่างหมอไม่สามารถจะเยียวยาได้
      “เออสินะ ข้าจำวันผิดไป! เออแล้วนี่มีอะไรล่ะ โทรมาแต่เช้า” ต้องถามชายเพื่อนสนิทที่ทำงานด้วยกันแก้เขิน
      “คือว่า…..คือ….” เสียงตะกุกตะกักของชายทำให้ต้องรู้สึกรำคาญและอยากรู้ไปในเวลาเดียวกัน
      “มีอะไรก็รีบๆว่ามา มาทำตะกุกตะกักรำคาญเว้ย”
      “เออ คือว่าวันนี้นะข้าจะชวนสาวไปเที่ยวนะ แต่ว่าข้าไม่กล้าไปกันสองต่อสอง”
      “เลยโทรมาชวนข้าไปด้วยใช่ไหมล่ะ” ต้องรีบตัดบทแบบรู้ทัน
      “ เออ นั้นแหละเอ็งนี่รู้ทันข้าไปซะหมด” ชายพูดน้ำเสียงอายๆ
      “ที่ไหนล่ะ เดี๋ยวข้าจะไป”  …………
      “ที่ร้านอาหารที่ไหรสักแห่งนะแหละ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ยังไงเดี๋ยวข้าขับรถไปรับ”
      “เออ…”
      “แล้วเจอกันนะ แต่อย่าแต่งตัวหล่อมากนักนะ เดี๋ยวหญิงที่ข้าพาไปจะไปชอบเอ็งซะ” ชายพูดอย่างมีอารมณ์ขัน
      “อืมม” เสียงของต้องดูเศร้าลงเล็กน้อย แล้วก็รีบวางหูไปแต่งตัวเพื่อรอชายมารับ
          
                         เสียงบีบแตรรถดังมาจากหน้าบ้าน ต้องขานรับโดยเร็วและออกจากบ้านนั่งรถไปกับชาย ชายพาเขานั่งรถขับไปย่านอโศกและก็จอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งต้องพอจะตาดเดาได้ว่าเจ้าของบ้านนี้น่าจะมีฐานะดีเลยทีเดียว ชายลงจากรถไปกดกริ่งหน้าบ้านเป็นการเรียกให้คนมาเปิดประตู ไม่นานนักก็มีชายสูงวัยอายุประมาณ 50 เห็นจะได้มาเปิดประตูให้และชายก็ขับรถเข้าไปอย่างคุ้นเคย ด้วยความสงสัยของต้อง ต้องจึงถามขึ้นมาว่า
      “เอ็งพาข้ามาที่บ้านใครเนี่ยะ” ไม่มีเสียงตอบกลับจากชาย แต่มีรอยยิ้มที่ดูมีความสุขและแฝงไปด้วยความน่าสงสัย
      ต้องขับรถไปจอดที่หน้าบันไดหินอ่อนตรงหน้าหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูธรรมดา การแต่งกายของเธอดูเรียบง่ายแต่มีรสนิยมซึ่งต่างจากบ้านที่เธอาศัยอยู่อย่างสิ้นเชิง เพราะว่าบ้านของเธอนั้นดูหรูหราราวกับวัง
      เมื่อชายเห็นหญิงสาวคนนั้นก็ลงจากรถและเดินไปรับเธอ จึงทำให้ต้องผู้ที่ยังงงและสงสัยพลอยลงมาจากรถด้วย ชายเดินนำหญิงสาวคนนั้นมาแนะนำให้รู้จักกับต้อง ต้องจึงได้รู้ว่าชื่อของเธอนั้นคือแพร ชายเปิดประตูด้านหน้าข้างคนขับให้แพรขึ้นมานั่งและปิดประตูให้ด้วยความนุ่มนวล ความสงสัยของต้องจึงหมดลง ณ จุดนี้ ต้องขับรถออกมาจากบ้านของแพรและทั้ง 3 ก็ได้พูดคุยกันแต่ว่าต้องนั้นดูจะเงียบและเกร็งกว่าปกติเนื่องจากวางตัวไม่ถูก ส่วนชานและแพรนั้นพูดคุยกัน หยอกล้อกันอย่างสนิทสนม  จากนั้นเสียงของแพรก็ทำให้ต้องสะดุ้ง
      “ต้องค่ะ ต้องรู้จักกับชายมานานรึยัง” แพรถามเพื่อเป็นการชวนคุย
      “นานมากๆแล้วครับ ตั้งแต่ยังเด็กวิ่งเล่นด้วยกันที่ต่างจังหวัดโน่นแหนะ”
      “อ๋อ อย่างนี้ก็รู้จักนิสัยใจคอกันดีเลยสินะ” แพรถามเป็นเชิงถามต้องถึงนิสัยที่แท้จริงของชาย
      “อืม ครับ” ต้องตอบอย่างขอไปที ถ้าสังเกตให้ดีตอนนี้อารมณ์ของต้องดูไม่ปกตินัก ซึ่งชายก็รู้ว่าตอนนี้ต้องมีอาการเช่นนั้น
      “ชายมันเป็นแบบนี้ของมันแหละ ครับ” ต้องตอบ
      “ค่ะ”
          
                       ทั้งสามคุยกัน หรือจะว่าไปแล้วคนที่คุยกันนั้นก็แค่ 2 คนเท่านั้นแหละ เพราะว่าต้องจะพูดก็ต่อเมื่อทั้ง 2 คนนั้นถามเท่านั้น ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใดซึ่งปกตินั้นต้องจะเป็นคนที่คุยเก่ง เป็นคนที่มี
      มนุษยสัมพันธ์ดี แต่วันนี้กลับเงียบและดูอารมณ์ไม่ดีนัก ไม่นานนักรถก็มาจอดอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านสีลม ชายทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเช่นเคย ซึ่งก็เป็นนิสัยของชายอยู่แล้วไม่ได้แสร้งทำเพื่อจะชนะใจแพรแต่อย่างใด ทั้ง 3 ลงจากรถและเดินเข้าไปนั่งโต๊ะมุมติดหน้าต่างกระจกบานใหญ่มองออกไปเห็นสวนหย่อมเล็กๆ  บรรยากาศตอนนี้ช่างโรแมนติกเสียเหลือเกิน ทั้ง 3 สั่งอาหารและเครื่องดื่มกับบริกรแล้วนั่งสนทนากัน ไม่นานนักบริกรก็นำอาหารมาส่ง ชายทำตัวเป็นสุภาพบุรุษตามเคยด้วยการตักอาหารให้แพร การกระทำของชายเหมือนว่าแสร้งทำจริงๆแต่แล้วมันก็ไม่ใช่ การกระทำของชายเป็นการกระทำที่ออกมาจากใจไม่ได้แกล้งทำ ตอนนี้นี่เองที่ทำให้ต้องทนไม่ได้กับการกระทำของชายเพื่อนสนิท เนื่องจากชายค่อยๆนำมือของเขาลงมาไว้ใต้โต๊ะอย่างเงียบๆและกุมมือของแพรไว้ มือของทั้งสองแนบแน่นเป็นมือเดียวอยู่ใต้โต๊ะ ในใจของต้องรู้สึกเหมือนมีใครค้อนมาทุบที่หัวของเขา เมื่อความไม่พอใจของต้องถึงขีดสุดมันก็ไม่สามารถที่จะอัดอั้นอยู่ได้ต่อไปอีกแล้ว ในหัวของต้องมีแต่ความคิดที่จะระเบิดอารมณ์ออกมาทันใดนั้นต้องก็ลุกขึ้นยืนจนทั้งสองที่กุมมือกันสะดุ้งและปล่อยมือออกจากกันอย่างรวดเร็วและต้องก็เอ่ยขึ้นว่า “ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” และต้องก็ลุกออกไปมุ่งหน้าสู่ห้องน้ำชาย เขามองกระจกเงาตรงอ่างล้างหน้าและคิดในใจว่าทำไม ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วยแล้วต้องก็ล้างหน้าเพื่อระงับอารมณ์หุนหันพลันแล่นออกจากใจของเขาและกลับมานั่งที่โต๊ะดังเดิม
          
                       หลังจากที่ทั้งสามทานอาหารเสร็จแล้วนั้น ชายก็ขับรถไปส่งแพรและต้องกลับบ้าน เมื่อต้องมาถึงบ้านสิ่งแรกที่เขาทำก็คือมุ่งตรงไปยังโต๊ะทำงานของเขาและหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก สิ่งนั้นคือสมุดบันทึกสีฟ้าสะท้อนแสงเล่มนั้นเอง เขานั่งลงและหยิบปากกาด้ามเดิมขึ้นมา เขาเปิดหน้าที่เขาเขียนค้างไว้จากเมื่อคืน สิ่งที่ต้องเขียนนั้นเป็นอะไรไม่มีใครทราบได้ในตอนนี้ แต่ในไม่ช้าในไม่ช้าสิ่งที่อยู่ในสมุดบันทึกเล่มนี้ที่เป็นความลับมาตั้งแต่ต้นจะถูกเปิดอ่าน ต้องเริ่มเขียนอย่างจริงจังและตั้งใจ สีหน้าของต้องในวันนี้ดูเคร่งเครียดกว่าเมื่อคืนมากนัก อาจจะเป็นเพราะว่าวันนี้ต้องมีอารมณ์ที่ไม่สู้จะดีนักก็เป็นได้แต่แล้วเขาก็ยิ้มได้เมื่อต้องมองไปยังโมบายที่แขวนอยู่ที่หน้าต่าง เป็นโมบายที่เพื่อนสนิทของเขาให้มา มันนานมากแล้วที่ต้องได้โมบายมาจากเพื่อนคนนี้แต่ว่าความรู้สึกของวันแรกที่ต้องได้มันกับความรู้สึกของวันนี้มันยังเหมือนเดิมและจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป ต้องมองดูโมบายนั้นอยู่พักใหญ่ก็ปิดสมุดบันทึก เก็บปากกาเข้าที่และลุกขึ้นไปอาบน้ำ
          
                       ตอนนี้เวลาสี่ทุ่มยี่สิบห้านาที เขาเดินมาวนเวียนอยู่หน้าโต๊ะทำงานด้วยความลังเล แต่แล้วเขาก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงและหลับลงในเวลาไม่นาน ขณะนี้ต้องหลับสนิทมีเพียงเสียงกรุ๊งกริ๊งจากโมบายเท่านั้นที่ดังเมื่อลมพัดผ่าน เสียงของมันไม่ดังถึงขั้นรบกวนการนอนของต้องแต่เสียงของมันนั้นเป็นเสียงกล่อมให้หลับได้อย่างดีทีเดียว
          
                      เสียงเล็กแหลมของนาฬิกาปลุกดังขึ้น ทำให้ต้องตื่นขึ้นและจัดเก็บที่นอนด้วยความสดชื่นดูเหมือนว่าต้องจะไม่งัวเงียเลยทั้งๆที่ขณะนี้เวลาก็ยังเช้ามากทีเดียว ที่จริงแล้ววันนี้เป็นวันอาทิตย์แต่ทำไมต้องต้องตื่นแต่เช้าด้วยนะ ต้องเดินไปล้างหน้าแปรงฟันและเปลี่ยนเป็นชุดกีฬา ดูเหมือนว่าต้องกำลังจะไปออกกำลังกายซึ่งน่าแปลกเพราะปกตินั้นต้องไม่ค่อยจะชอบออกกำลังกายสักเท่าไรนัก มีครั้งหนึ่งชายเคยมาชวนต้องไปฟิตเนสแต่ต้องก็ปฏิเสธไปและให้เหตุผลว่า เปลืองเงิน  เปลืองเวลา ซึ่งที่จริงแล้วการออกกำลังกายมันมีแต่สิ่งดีเมื่อเทียบกับสิ่งที่เสียไป แต่วันนี้ต้องกลับตื่นขึ้นมาแต่เช้าและเตรียมตัวที่จะไปออกกำลังกาย ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรหาชายหวังจะชวนชายไปออกกำลังกายด้วยกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าชายจะอยากออกกำลังกายหรือตกใจในการกระทำของต้องจึงรับตอบตกลงและขับรถมารับต้องที่บ้าน ไม่นานนักชายก็มาถึงและรับต้องไปออกกำลังกายด้วยกัน
          
      ชายถามด้วยความสงสัยว่า “เฮ้ยต้อง นี่อะไรเข้าฝันเอ็งวะว่าให้ไปออกกำลังกายเนี่ยะ”
      “เปล่านี่ ข้าแค่อยากจะทำเพื่อรักษาสุขภาพวะ” ต้องตอบ ชายขับรถพาต้องไปสถานออกกำลังกายที่เรียกว่าฟิตเนสและทั้งสองคนก็เพลิดเพลินกับการออกกำลังกาย
      “นี่ก็เก้าโมงแล้วไปหาอะไรกินกันดีกว่า” ชายชวนต้องไปหาอะไรแก้หิว
      “ เออ ข้าก็ว่างั้นแหละ ออกกำลังกายนี่มันเหนื่อยจริงๆวะ” ต้องตอบพลางบ่น
      “ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ” ชายหัวเราะออกมา  “ก็เอ็งนะนานๆจะออกกำลังกายสักที ก็แบบนี้แหละ”
      “ งั้นวันไหนที่เอ็งจะมาออกกำลังกายอีก โทรชวนข้าด้วยนะ”
      “ อืม โอเค” ชายตอบรับ
          
                        ทั้งคู่แต่งตัวเสร็จก็ขับรถออกไปหาอะไรกินกัน ชายขับรถไปจอดที่ร้านกาแฟเล็กๆที่ดูไม่คุ้นตา “ เฮ้ย ร้านนี้เปิดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ต้องถาม

      “ เออสินะ ตอนที่ข้าขับรถไปรับเอ็งก่อนจะไปฟิตเนสยังไม่เห็นมีเลย” ชายหน้าซีด
      !!!!!  ต้องเงียบไปมือเหงื่อชุ่มไปหมด และต้องสะดุ้งเมื่อชายมาตบไหล่และหัวเราะร่า
      “ กร้ากก ข้าล้อเล่นเว้ย แค่นี้ถึงกับเหงื่อตกเลยเหรอวะ ร้านนี้เปิดเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเป็นร้านเบเกอรี่แล้วก็กาแฟของแพรนะ” ชายตอบพลางหัวเราะอย่างผู้ชนะ
      ต้องหัวเราะหึหึ และลงจากรถ ทั้งคู่เดินเข้าไปในร้านและได้ยินเสียงต้อนรับจากพนักงานที่ชื่อแพรด้วยน้ำเสียงที่สดใส แพรดีใจที่เห็นชายและต้องจึงรีบเชิญให้ลูกค้าทั้งสองมานั่งโต๊ะ ร้านกาแฟของแพรจัดร้านได้ดีทีเดียว ผนังห้องมีขาว โต๊ะเก้าอี้เป็นสีดำบ้างขาวบ้างดูมีเอกลักษณ์ดี กลิ่นหอมของกาแฟและนมเนยจากขนมปังฝีมือแพรทำให้ทั้งชายและต้องเริ่มหิวขึ้นมา แพรยกขนมปังและกาแฟมาส่งให้ที่โต๊ะ ต้องดูจะมีความสุขและอารมณ์ดีกว่าครั้งก่อนที่ได้เจอแพร วันนี้ต้องเป็นฝ่ายชวนแพรพูดคุยก่อน “แพรเป็นเจ้าของร้านนี้เหรอครับ” ต้องถามคำถามทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
      “ ใช่ ชายกับต้องชอบร้านนี้ไหมล่ะ”
      “ ชอบๆร้านดูดีมากๆเลยนะ ดูน่ารักดี” ชายแทรกตอบมาอย่างทันควัน
      “ใช่ ร้านสวยดีสงสัยว่าว่างๆคงต้องมานั่งกินกาแฟที่นี่บ่อยๆแล้ว ว่าไหมไอ้ชาย” ต้องส่งไมค์ต่อไปให้ชาย
      “ อืมมม แน่นอน” ชายตอบขณะที่มีขนมปังอยู่เต็มปาก
      ทั้งสามคนหัวเราะครื้นเครง แต่น่าแปลกที่วันนี้ต้องดูสดใสกว่าครั้งก่อนที่เจอแพรมาก แล้วอะไรนะที่ทำให้ต้องหงุดหงิดเมื่อครั้งที่เจอแพรครั้งก่อนหน้า
          
                      ชายและต้องบอกลาแพรและจ่ายค่ากาแฟเรียบร้อยแล้วก็ออกมาจากร้านด้วยรอยยิ้ม ซึ่งดูเหมือนว่าต้องจะมีความสุขเป็นพิเศษ ชายขับรถไปส่งต้องที่บ้านแต่ต้องชวนชายกินข้าวเช้าที่บ้านก่อน ชายจึงอยู่ต่อเพื่อกินข้าวที่บ้านต้อง ขณะที่ชายกินข้าวอยู่นั้นต้องก็พูดขึ้น “ชาย ข้าถามอะไรเอ็งหน่อยสิ”

      “ เอาสิ ถามอะไรก็ว่ามา หรือว่าปิ๊งหญิงที่ไหนให้ข้าช่วยก็ได้นะ” ชายพูดติดตลก
      “ เปล่าหรอก ข้าอยากจะถามเอ็งว่าเอ็งรู้จักกับแพรเค้าได้ไง”
      “ อ๋อ ถ้าข้าเล่าไปเอ็งอย่าขำนะเว้ย เพราะว่ามันอาจจะฟังดูเหมือนละครไปหน่อย”
      “ อืมม”
      “ คือว่าวันนึงข้าขับรถไป แล้วพอดีว่าข้าเหม่อๆนะ ขับรถไปชนท้ายรถแพรเข้าก็เลยรู้จักกัน”
      “ อื้มม” ชายรับฟังอย่างเข้าใจแล้วอมยิ้มนิดๆ
      “ ยิ้มอะไรวะ เห็นไหมข้าว่าแล้วว่าเอ็งต้องขำ” ชายพูดแบบไม่ค่อยพอใจนัก
      “ เปล่าๆนะ ข้าไม่ได้ขำ ข้ายิ้มเพราะว่ามันน่ารักกุ๊กกิ๊กดี” ต้องยังยิ้มไม่หุบ
      ตอนนี้ชายดูเหมือนจะงอนและเดินไปเก็บจานข้าวแล้ว ต้องงงเล็กๆและก็ไม่สนใจเพราะว่ารู้นิสัยชายดีว่าไม่โกรธใครง่ายๆ ชายเดินมาบอกลาต้องและขับรถกลับบ้านแต่ก่อนกลับชายพูด “คนนี้ข้ารักจริงหวังแต่ง นะไอ้ต้อง” แล้วก็ขับรถออกไป
          
                        ต้องขึ้นไปชั้นบนอาบน้ำแต่งตัวและนั่งลงที่โต๊ะทำงานหยิบหนังสือออกมาตามเคยและลงมือเขียนข้อความลงไป ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ซึ่งบางครั้งถ้ามีคนมาเห็นคงคิดว่าไอ้คนนี้คงเสียสติหรือว่าบ้าแน่ๆ ต้องพักสายตาด้วยการมองไปยังโมบายที่หน้าต่างวันนี้ไม่มีเสียงกล่อมเด็กออกมาจากโมบายเพราะลมสงบ แต่ต้องก็ยังเอามือไปแกว่งโมบายให้มีเสียงจนได้ ดูเหมือนว่าต้องจะชอบฟังเสียงจากโมบายนี้จริงๆ ต้องหันหน้ากลับมาเขียนข้อความลงสมุดบันทึกอีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนว่าต้องจะเขียนได้เยอะเลยทีเดียว ต้องใช้เวลาหลังจากที่ชายกลับไปจนถึงตอนนี้ก็ 5 ชั่วโมงแล้วในการเขียนสมุดบันทึกนี้ อยากรู้จริงๆว่าต้องเขียนอะไรไว้บ้าง แต่ไม่นานนักหรอกนะทุกสิ่งที่ต้องเขียนไว้ในสมุดบันทึกที่ทุกคนอยากรู้ทุกคนก็จะได้รู้กัน
          
                       ต้องปิดสมุดล็อกกุญแจแล้วก็ลงมาที่ห้องรับแขกหยิบหนังสือเล่มบางๆเล่มหนึ่งขึ้นมาชื่อว่า “ ออกแบบ…ไม่ได้” ต้องนั่งลงและเปิดดู ดูจริงๆไม่ได้อ่านเลยสักตัวเดียวต้องเปิดผ่านๆเหมือนจะแค่อยากสัมผัสหนังสือเล่มนี้เท่านั้น แต่สิ่งที่ต้องอ่านเพียงข้อความเดียวบนหนังสือเล่มนี้คือลายมือของผู้ที่ให้หนังสือเล่มนี้มา “ เราให้ต้องไว้เป็นของขวัญนะ มันอาจจะไม่มีราคามากนักแต่เราก็ให้จากใจ……………รักต้อง” แค่ประโยคนี้ที่ต้องอ่าน ถึงแม้มันจะเป็นข้อความสั้นๆแต่มันก็ทำให้ต้องยิ้มได้อย่างมีความสุขเต็มที่ ผู้ที่ให้หนังสือเล่มนี้แก่ต้องเป็นคนเดียวกับคนที่ให้โมบายต้องมานั้นแหละของสองสิ่งนี้ทั้งโมบายและหนังสือเรื่อง “ออกแบบ…ไม่ได้” ดูจะมีความหมายกับต้องมากเลยทีเดียว แต่ว่าใครล่ะใครคือคนที่ให้ของสองสิ่งนี้แก่ต้องกันนะ คนที่ให้ของสองอย่างนี้แก่ต้องคงต้องเป็นคนที่พิเศษของต้องแน่นอนแต่ว่าใครกัน ตอนนี้คนที่น่าจะเป็นไปได้ก็มีแต่พ่อแม่ของต้องและก็ชายเท่านั้น แต่ว่าชายจะมารักต้องได้อย่างไรในเมื่อทั้งชายและต้องเป็นผู้ชาย เอะ! หรือว่าทั้งคู่…ยังไงกันนะแต่ไม่นานนักทุกอย่างที่สงสัยจะคลี่คลายลงแล้ว
          
                       กลุ่มเพื่อนสนิทกันสามคนเรียนในสถาบันอุดมศึกษาเดียวกัน เพื่อนทั้งสามคนนี้สนิทกันมากขนาดที่ครั้งหนึ่งหนิงเพื่อนสาวในกลุ่มไม่มีเกินไปค่ายของคณะ เพื่อนชายอีกสองคนในกลุ่มก็ช่วยกันออกให้เพื่อนที่จะไปเที่ยวด้วยกัน และครั้งนั้นเองที่ทำให้หนิงทำผิดครั้งใหญ่ หนิงได้หลงรักเพื่อนสนิทของตัวเอง แต่ที่แย่กว่านั้นคือหนิงดันรักทั้งสองคน หลังจากนั้นไม่นานสินและนพเพื่อนชายในกลุ่มของหนิงก็รู้ตัวว่าหนิงแอบชอบทั้งคู่อยู่ และความรู้สึกนี้ก็ตรงกับความรู้สึกของนพที่แอบชอบหนิงอยู่แล้วด้วย สินรู้เรื่องราวทั้งหมดจึงทำให้เพื่อนสนิททั้งสามคนผิดใจกัน และในที่สุดหนิงก็แก้ปัญหาทั้งหมดด้วยการแต่งงานกับชายคนอื่น จนทำให้นพเสียใจจนผูกคอตาย หนิงทราบข่าวเรื่องการฆ่าตัวตายของนพ และรู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุจึงฆ่าตัวตายตามไป….และนี่ก็เป็นเรื่องราวย่อๆในหนังสือ “ออกแบบ…ไม่ได้” มันเป็นหนังสือที่น้ำเน่าเหมือนนิยายทั่วๆไปนะแหละ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องถึงได้ชอบมันนัก ก็อย่างที่บอกไว้แต่ต้นว่าครั้งใดที่ต้องหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาดูต้องก็ยิ้มทุกที ต้องได้อ่านหนังสือเล่มนี้แค่ครั้งเดียวเท่านั้นคือในวันแรกที่ต้องได้หนังสือเล่มนี้มา และเขาก็ไม่อ่านอีกเลย แต่ยังคงเก็บรักษามันไว้อย่างดี ดีพอๆกับที่เขารักษาโมบายนั้นตรงหน้าต่างห้องนอนนั้นแหละ  นี่ก็สามปีกว่ามาแล้วที่ต้องได้รับของสองสิ่งมา แต่ความรู้สึกของต้องที่มีต่อของสองสิ่งก็ยังคงเหมือนเมื่อวันแรกที่ต้องได้มันมา
          
                        กริ๊ง….กริ๊งงง!! เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจนต้องหลุดออกมาจากความคิดอันแสนสุขกับของสองชิ้น ต้องลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์ “สวัสดี ครับ ต้องพูดครับ”
      “ ค่ะ ต้องนี่แพรเองนะ” เสียงใสใสของแพรพูดขึ้น
      “ ครับ” ต้องงงงัน และคิดในใจว่าแพรโทรมา แพรโทรมาทำไมกัน
      “ คือว่าแพรอยากคุยกับต้อง”
      “ เรื่องอะไรแพร ถ้าเป็นเรื่องเก่าๆนั้นต้องไม่อยากคุยแล้วนะ มันจบไปนานแล้ว”  ต้องตอบเสียงเข้ม
      “ แพรจะมาอธิบายให้ต้องเข้าใจ”  เสียงแพรอ้อนวอนให้ต้องรับฟัง
      “ ต้องเข้าใจทุกอย่างดีแล้วแพร แพรไม่ต้องห่วง” ต้องพูด “ต้องเข้าใจว่าที่แพรไม่รักต้องก็เพราะว่าต้องมันสู่คนอื่นที่แพรคบอยู่ตอนนี้ไม่ได้”
      “ มันไม่ใช่แบบนั้นนะต้อง แสดงว่าต้องยังไม่เข้าใจแพร” แพรสะอื้นเหมือนจะร้องไห้
      “ ก็บอกว่าต้องเข้าใจไง” เสียงต้องดังขึ้นด้วยความโมโห
      “ แพรไม่ได้ไม่รักต้องนะ แต่ว่า……” แพรอ้ำอึ้งไป
      “ ต้องเข้าใจแพรนะ แพรไม่ต้องอธิบายอะไรอีกแล้ว” ต้องน้ำตาคลอ น้ำเสียงสั่น “แพรไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ต้องรับรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว” ต้องวางหูทันทีที่พูดจบ แล้วนั่งลงบนโซฟาน้ำตาอาบแก้ม ต้องไม่ได้ร้องไห้ที่แพรจากเขาไป แต่ต้องร้องไห้เพราะว่าต้องอาจจะทำให้คนที่ต้องรักเสียใจ คนที่ต้องรัก ใครคือคนที่ต้องรัก คนที่ต้องรักคงจะเป็นคนเดียวกับคนที่ให้โมบายกับหนังสือมาแน่นอน แต่ใครกันเล่าคือคนนั้น
          
                       ต้องเดินขึ้นไปที่ห้องนอนและทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะทำงาน ต้องเริ่มลงมือเขียนสมุดบันทึกอีกครั้งดูเหมือนว่าครั้งนี้ต้องจะเขียนมันทั้งน้ำตา ต้องไม่ได้หันไปมองโมบายอย่างเคยต้องก้มหน้าก้มตาเขียน เขียนแล้วก็เขียน ดูเหมือนว่าสมุดบันทึกเล่มนี้จะเป็นที่ระบายความรู้สึกของต้อง ต้องกดปากกาเสียงดังครูดไปบนสมุดบันทึก กระดาษหน้าที่ต้องกำลังเขียนอยู่เริ่มจะขาดเนื่องจากต้องกดปากกา ในที่สุดต้องก็หยุดเขียนและหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาขว้างมันออกไปทางหน้าต่างอย่างไม่ใยดี ต้องขว้างสมุดบันทึกออกไปนอกหน้าต่างราวกับว่ามันไร้ค่า ต้องก้มหน้าลงกับโต๊ะทำงาน และหลับลงไป
          
                       เช้าแล้วแต่ต้องยังคงนั่งหลับอยู่ที่เดิม ดูเหมือนว่าต้องจะเหนื่อยอ่อนกับเมื่อวานมากนัก และก็สะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อมีเสียงเคาะประตูห้องนอน ชายมาชายนั้นเอง ชายคงจะมาชวนต้องไปออกกำลังกาย ต้องเดินไปเปิดประตูให้ แต่สีหน้าของชายดูเหมือนว่าจะโกรธจัดในมือถือสมุดบันทึกสีฟ้าสะท้อนแสง แน่นอนมันเป็นเล่มเดียวกับที่ต้องขว้างมันออกไปนอกหน้าต่างเมื่อวาน “นี่มันอะไรไอ้ต้อง” ชายตะคอกเสียงดังใส่ต้อง  ต้องตกใจ “อะไร!!” ต้องถามด้วยความสงสัย
      “ นี่มันอะไรของเอ็ง ทำไมเอ็งไม่บอกข้าแต่แรก” ชายชูสมุดบันทึกให้ต้องดู
      “ ข้าไม่รู้จะบอกกับเอ็งยังไงดี” ต้องอึกอัก
      ชายดูจะเก็บอารมณ์ไม่อยู่ ขว้างสมุดบันทึกลงพื้น ทำให้ต้องถึงกับยกเท้าขึ้นด้วยความตกใจ ชายเดินเข้ามาใกล้ต้องและกระชากคอเสื้อ ต้องถึงกับผงะเพราะว่าไม่เคยเห็นชายโกรธแบบนี้มาก่อนตลอดระยะเวลาที่เป็นเพื่อนกันมา ต้องพยายามแกะมือของชายออกจากคอเสื้อ และพูดเสียงเบา “ได้ เดี๋ยวข้าจะอธิบายให้เอ็งฟังนะ”
      “ เออดี” ชายตอบด้วยเสียงไม่พอใจ

                      ต้องตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดในสมุดบันทึกตั้งแต่แผ่นแรกที่ต้องเขียนจนถึงแผ่นสุดท้าย เหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มขึ้นสมัยที่ต้องกับแพรเรียนอยู่โรงเรียนมัธยมด้วยกัน ต้องกับแพรเรียนอยู่ห้องเดียวกัน ต้องดูจะสนิทกับแพรมากเป็นพิเศษก็เพราะว่าบ้านของทั้งสองคนอยู่ติดกัน ทุกวันเช้าเย็นต้องก็จะมาโรงเรียนและก็กลับบ้านพร้อมแพร จนต้องคิดกับแพรเกินคำว่าเพื่อนไป แต่ตัวแพรเองไม่ได้คิดกับต้องเกินกว่าเพื่อนเลย วันหนึ่งพ่อแม่ของแพรสังเกตเห็นว่าต้องกับแพรนั้นเป็นแฟนกันแน่ พ่อแม่ของแพรจึงคุยกับต้อง และต้องก็สารภาพว่าชอบแพรอยู่ ส่วนฝ่ายพ่อแม่ของแพรก็ไม่ได้ห้ามอะไรแต่เตือนว่าอย่าทำอะไรเสียหาย และวันนั้นเองที่ทำให้แพรรู้ว่าต้องนั้นไม่ได้คิดกับตนแค่เพื่อนแล้ว แพรจึงไปคุยกับต้องแล้วบอกว่าที่จริงแล้วแพรคิดยังไงกับต้อง เมื่อต้องได้รับรู้ถึงความในใจของแพรแล้วต้องก็ยอมรับความจริงได้ว่าแพรไม่ได้รักต้องเกินกว่าความเป็นเพื่อนเลย แต่ถึงยังไงต้องก็ยังคงรักแพรอยู่ต่อไป เมื่อทั้งต้องและแพรเข้ามหาวิทยาลัยแพรและต้องสอบเข้าได้คนละมหาวิทยาลัยจึงทำให้ทั้งสองคนต้องแยกกันแต่ก่อนที่แพรจะไปแพรได้ให้ของสองสิ่งไว้แก่ต้อง แน่นอนนั้นก็คือโมบายและหนังสือ “ออกแบบ…ไม่ได้” นั้นเอง หลังจากวันที่ต้องได้รับของจากแพรมาต้องก็ไม่ได้เจอแพรอีกเลย แต่ว่าต้องก็ยังคงเขียนความรู้สึกที่มีต่อแพรมาโดยตลอดซึ่งต้องก็เขียนลงในสมุดบันทึกที่อยู่ตรงเท่าของต้องนั้นเอง ถึงแม้ว่าต้องจะไม่ได้เจอกับแพรแต่ครั้งใดที่ต้องมองดู หรือฟังเสียงจากโมบายต้องก็มีความสุขและเขียนความรู้สึกจากใจที่มีต่อแพร ต้องมีความหวังเล็กๆว่าวันนึงเขาและแพรอาจจะได้เจอกันและจะให้สมุดบันทึกเล่มนี้ให้แพรเพื่อเป็นการแลกกับของที่แพรให้ต้องมาก่อนที่ทั้งสองจะจากกัน ถึงตอนนี้ต้องและแพรจะเจอกันแล้วแต่มันก็จะมีประโยชน์อะไรที่จะให้สมุดบันทึกแก่แพร เพราะว่าแพรมีคนรักของเขาแล้ว และคนที่แพรรักก็เป็นคนที่ต้องรักด้วย ไม่ใช่ว่าต้องจะรักชายแบบที่แพรรัก แต่ว่าต้องรักชายในฐานะที่ชายเป็นเพื่อนแท้เป็นเพื่อนกินของต้องซึ่งชายก็คิดกับต้องเหมือนกับที่ต้องคิดกับชาย ถ้าชายรู้ก่อนว่าต้องรักและชอบแพรมาก่อนชายก็คงไม่ยุ่งเกี่ยวกับแพร แต่ชายไม่รู้มาก่อนเลย
      หลังจากที่ต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดจบลงชายลากต้องลงมาชั้นล่างและพาขึ้นรถขับมุ่งหน้าไปยังร้านกาแฟของแพร แพรยังไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับต้องและชายอยู่จึงทำตัวปกติมาต้อนรับอย่างยิ้มแย้ม แต่ชายนั้นดูจะเศร้าหมอง ชายจับมือแพรมาวางไว้บนฝ่ามือของต้อง

      “ แพรชายรู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างต้องกับแพรหมดแล้วนะ”  ชายพูดน้ำตาคลอ
      “ นี่มันอะไรกันชาย” แพรพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ทั้งๆที่รู้ดีว่าการกระทำของชายมีความหมายอย่างไร
      “ ชายไม่ยอมทำลายความสุขของเพื่อนที่ดีที่สุดของชายหรอกนะ” ชายพูดเป็นการเสียสละ
      “ ถ้าชายพูดแบบนี้ก็แสดงว่าชายไม่ได้รักแพรเลยใช่ไหม” แพรพูดเสียงดัง “ตลอดเวลาที่เราคบกันมาชายไม่เคยจะรักแพรเลยใช่ไหม” เสียงของแพรสั่น น้ำตาไหลพราก
      “ชายรักแพรนะ แต่ว่าตอนนี้ชายไม่สามารถที่จะรักแพรได้อีกต่อไปแล้ว” ชายพูด “ต้องมันรักแพรมากนะ ขนาดเวลาที่แพรไม่ได้อยู่ใกล้ๆมัน ต้องมันไม่รู้ว่าแพรอยู่ที่ไหนทำอะไรอยู่ ต้องมันยังคงรักแพรอยู่มันไม่คิดที่จะรักคนอื่นเลย”
      “ แต่ว่าแพรไม่ได้คิดกับต้องนอกจากเพื่อนเลย เรื่องนั้นแพรก็บอกกับต้องไปแล้ว” แพรอธิบาย “แต่ถ้าชายไม่รักแพรก็ไม่ต้องเอาเหตุผลอะไรมาบอกแพรหรอก” แพรพูดพลางร้องไห้
      “ ชายทำไมเอ็งทำแบบนี้วะ” ต้องรู้สึกไม่พอใจ “ข้าคิดในใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เอ็งพาข้าไปกินข้าวครั้งแรกที่เจอกับแพรอยู่แล้วว่าข้าไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่มันก็ยังจะเกิดขึ้นจริงๆ” ต้องกุมขมับน้ำตาแห่งความเสียใจและคิดว่าตัวเองผิดหล่นลงบนโต๊ะ
      “ ถ้าเป็นแบบนี้แพรไม่ขอเลือกใครสักคน” แพรพูดจบทั้งต้องและชายหันมามองแพรเกือบจะพร้อมกัน “และจากนี้ไปแพรก็ขอให้ทั้งชายและต้องเลิกยุ่งกับแพรอีกต่อไป”
      “  แพร!” ทั้งชายและต้องพูดเกือบจะเป็นเสียงเดียวกัน
      “ เชิญทั้งสองคนออกไปจากร้านแพรได้แล้ว” แพรพูดเสียงแข็ง
          
                          ทั้งชายและต้องลุกขึ้นยืนและค่อยๆเดินออกจากร้านกาแฟและไปนั่งในรถ ชายขับรถกลับไปที่บ้านของต้องและทั้งคู่ก็เริ่มโทษตัวเอง “ข้าผิดเอง ข้าผิดเอง ข้าผิดเอง” ทั้งคู่บ่นงึมงำอยู่ประโยคเดียวจนน่ารำคาญ ที่จริงแล้วมันผิดทั้งชายและต้อง ต้องผิดที่คิดกับแพรเกินเลยไปทั้งๆที่แพรก็บอกกับต้องแล้วว่าไม่ได้คิดอะไรกับต้องเลยนอกจากเพื่อน ส่วนชายทำให้ต้องคิดว่าชายไม่รักแพรจริง เพราะว่าถ้ารักจริงก็ไม่นาจะให้แพรกับใครง่ายๆถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทก็ตาม แต่ใจจริงของชายแล้วชายรักแพรจริงๆแต่ชายยอมเสียสละเพราะไม่อยากจะทำร้ายจิตใจต้อง แต่ถึงตอนนี้การกระทำที่ทั้งต้องและชายทำไปก็ได้ทำลายความรู้สึกและจิตใจของกันและกันรวมทั้งแพรด้วย ต้องไม่อยากจะทำลายความรักของเพื่อนโดยหวังมาโดยตลอดว่าเหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นแต่มันก็เกิดขึ้นจนได้ ฝ่ายชายที่อยากจะเสียสละความรักของตนเองให้เพื่อนก็ล้มเหลวเพราะว่าตอนนี้คนที่ต้องรักนั้นได้เกลียดต้องไปแล้ว เมื่อทั้งคู่คิดได้แบบนี้แล้วก็หันมามองหน้ากันทั้งคู่มองกันด้วยสายตาที่เข้าใจ “ต้องข้ากลับก่อนนะ ข้าขอโทษทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าทำไปแม้ว่ามันจะสายไป” ชายลากลับและกล่าวขอโทษต้อง “ข้าก็เหมือนกันนะ” ต้องตอบกลับบ้าง
          
                       ชายออกรถไปกลับบ้านไปแล้ว ตอนนี้ต้องรู้สึกดีขึ้นมากแล้วต้องเดินขึ้นไปห้องนอนและมองไปยังโมบายที่แพรให้ไว้ ต้องถอดโมบายลงมาจากขอบหน้าต่างและเก็บมันใส่ลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ ส่วนสมุดบันทึกสีฟ้าสะท้อนแสงและหนังสือนิยาย “ออกแบบ…ไม่ได้” ต้องเก็บมันไว้ในลังกระดาษและโยนมันเข้าไปในห้องเก็บของ ต้องเก็บสิ่งที่ต้องคิดว่าจะทำให้นึกถึงแพรไปหมดแล้ว เหลือเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ต้องยังไม่ได้กำจัดไปนั้นก็คือ หัวใจของตัวเองที่ไม่เคยคิดที่จะไม่รักแพรเลย

                                                                                           จบ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×