ความทรงจำที่หายไป (A Lost Memories) - ความทรงจำที่หายไป (A Lost Memories) นิยาย ความทรงจำที่หายไป (A Lost Memories) : Dek-D.com - Writer

    ความทรงจำที่หายไป (A Lost Memories)

    โดย ExZeRioN

    เมื่อ \'น้ำ\' ได้ช่วยชีวิต \'พล\' ชายที่จำอะไรไม่ได้เลยเอาไว้ ความฝันประหลาดๆ ทำให้พลอยากรู้ตัวจริงของเขา ทั้งคู่มีช่วงเวลาที่ดีด้วยกัน แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นกับพวกเขา

    ผู้เข้าชมรวม

    651

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    651

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  2 เม.ย. 47 / 01:03 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      A LosT MeMoRieS

          ค่ำคืนในหน้าหนาว ท้องฟ้ามืดสนิท แสงจันทร์ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ สายฝนที่โปรยปรายลงมา อย่างไม่ขาดสายสร้างความหนาวเย็นยะเยือกไปถึงขั้วกระดูก บรรยากาศรอบๆ ดูเงียบสงัดคงได้ยินแต่เสียงของเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมาเท่านั้น หนาว มันช่างหนาวเหลือเกิน...

          ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น ทำให้พบว่าตัวเองกำลังมองท้องฟ้าอันมืดมิดนั้นอยู่ เสื้อโค้ทยาวสีดำของผมเปียกชุ่มด้วยฝนไปตลอดทั้งตัว แสงไฟจากเสาไฟใกล้ๆตัวผมสาดส่องมากระทบตาผม ทำให้ผมต้องค่อยๆ ยกมือที่ดูเหมือนจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่มาบังแสงนั้นเอาไว้ ผมค่อยๆ ยกตัวขึ้นมานั่งลงมองไปรอบๆ ที่นี่ดูเงียบพิกล... ผมนั่งอยู่บนถนนที่ทำด้วยพื้นดินลูกรังที่เฉอะแฉะนองไปด้วยน้ำ แถวๆนี้ถูกปกคุลมไปด้วยเงาจากต้นไม้หนาทึบที่อยู่เบื้องหลังกำแพงอิฐสีเทาที่เต็มไปด้วยสีพ่นจากพวกขยะสังคม เขียนคำสบถด่าเลวๆ แถมลงชื่อสถาบันของตัวเองได้อย่างไม่เกรงกลัวชื่อเสียงสถาบันของตนจะป่นปี้ ... เสาไฟฟ้าที่ผมพิงอยู่นี้ดูท่าจะเป็นเสาเดียวที่ตั้งคอยให้แสงสว่างอยู่บนถนนลูกรังที่ยาวหลายร้อยเมตรนี่ ไม่มีแม้แต่เสียงนก ไม่มีแม้แต่เสียงสุนัขหอน ผมมองไปรอบๆ แล้วคิดว่า ทำไมตัวผมถึงได้มานั่งอยู่ในที่เปลี่ยวๆ แห่งนี้ได้ ...โอ๊ย.... ทำไมถึงได้ปวดหัวอย่างนี้ รู้สึกเจ็บปวดไปหมด...โอย หัวผมเหมือนกับกำลังจะปริแตกออกมา ผมเอามือทั้งสองข้างกุมหัวของผมด้วยความเจ็บปวด หูของผมอื้ออึงจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย...ความรู้สึกนี้มันแปลกเหลือเกิน ใช่แล้ว ใช่ผมมาทำอะไรที่นี่ ? ...ผมมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ? ผม....เป็นใคร ?

          “คุณคะ...คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ?” เสียงๆ หนึ่งทักผมขึ้น ผมหันไปมองที่มาของเสียงนั้น

          เบื้องหน้าผม เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ตัดผมสั้นซอยดูเข้ากับหน้าตาที่แสนน่ารักของเธอ เธอสวมชุดนักศึกษามหาวิทยาลัย ดูเหมือนว่าเธอเพิ่งจะกลับมาจากการเรียนหนังสือ เธอถือร่มสีฟ้าสดใสปกป้องตัวเธอจากเม็ดฝนที่โปรยปรายมาอย่างไม่ขาดสาย

          “คุณเป็นใครกัน...” ผมถามเธอด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ...โอ๊ย...เอาอีกแล้ว ตาของผมเริ่มพร่ามัว คราวนี้ผมปวดหัวหนักกว่าเดิมหลายสิบเท่า ผมร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น...แล้วสติของผมก็เลือนลาง ดับไป สติสัมปัญชัญญะทั้งหมดของผมสูญหายไปพร้อมกับสายลมอ่อนๆ ที่กระทบผมเป็นครั้งสุดท้าย...

          ความฝันของผมช่างประหลาดเหลือเกิน ภาพที่ผมเห็นมีแต่ภาพ ผู้คนมากมายกำลังเสียชีวิตในความฝันของผม และทุกๆ เหตุการณ์ผมต้องอยู่ร่วมด้วยทุกครั้ง บางคนถูกโจรชั่วปล้น จี้ และถูกทำร้ายจนตายเพียงเพราะแค่มือถือเครื่องเดียว บางคนถูกคนเมาไม่ได้สติขับรถชน ไฟคลอกเสียชีวิตทั้งครอบครัว บางคนถูกยิงตายในขณะที่เด็กสองโรงเรียนยกพวกตีกัน บางคนถูกพวกเมายาบ้าจับเป็นตัวประกัน...แล้วโชคร้าย ถูกฆ่าตาย...ทำไมภาพเหล่านี้ต้องมาอยู่ในหัวสมองของผม ทำไมภาพที่เลวร้ายขนาดนี้ถึงได้เกิดขึ้นในโลกแห่งนี้ทั้งๆ ที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้...ทำไมผมถึงต้องอยู่ในเหตุการณ์เหล่านี้ทุกเหตุการณ์...นี่ยิ่งตอกย้ำให้ผมอยากรู้ยิ่งขึ้น ผมเป็นใครกันแน่ แล้วผมมาทำอะไรยังที่ๆ โหดร้าย เช่นนี้

                     ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีด้วยความตกใจกลัวกับความฝันบ้าๆ เหล่านี้ ผมพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในเตียงแสนนุ่ม และอยู่ในห้องที่อบอุ่นกว่าข้างนอกนั่นนัก ลมหนาวยามเช้าค่อยๆ พัดมาผ่านหน้าต่างที่เปิดรับแสงยามรุ่งอรุณ บรรยากาศต่างกับคืนนั้นได้อย่างชัดเจน รอบๆห้องมีเฟอร์นิเจอร์ที่ค่อนข้างจะเก่าๆ ซักเล็กน้อย ฝาผนังห้องที่ทำจากไม้ถูกทาด้วยสีฟ้าอ่อนๆ ไปทั้งห้อง เสื้อผ้าของผมที่เปียกชุ่มบัดนี้เปลี่ยนเป็นชุดนอนที่โปร่งสบายและแห้งสนิท ข้างๆ เตียงผม มีเก้าอี้ตัวหนึ่ง บนเก้าอี้นั้นมีถาดที่มีน้ำส้มคั้นแก้วหนึ่ง และแซนด์วิชซึ่งถูกจัดวางไว้บนจากอย่างสวยงาม วางอยู่ เมื่อผมเห็นดังนั้นสมองของผมก็สั่งการทันทีให้ท้องเจ้ากรรมของผมร้องออกมาด้วยความหิว ผมจึงไม่รีรอ ลุกขึ้นนั่ง ค่อยๆหยิบขนมปัง และน้ำส้มคั้นขึ้นมารับประทานทันที

                     ประตูห้อง ที่ทำจากไม้ ค่อยๆ เปิดออก ผู้หญิงคนที่ผมเจอตอนนั้น กำลังถือผ้าเช็ดตัว และ อ่างที่มีน้ำอุ่นเข้ามาในห้อง คราวนี้เธอสวมชุดอยู่บ้านที่ดูสบายๆ เสื้อยืดสีฟ้าอ่อน กับกางเกงขาสามส่วนสีน้ำตาลอ่อนๆ เธอมัดผมของเธอไปข้างหลังทำให้เธอดูน่ารักกว่าเดิมยิ่งนัก เธอมองผมด้วยความตกใจเล็กน้อย

                     “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ ? อาการปวดหัวของเธอหายหรือยัง ?” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่ดูจะเป็นห่วงตัวผมมาก เธอค่อยๆ เดินมาวางอ่างน้ำอุ่นที่ข้างๆ เตียงผม แล้วก็นั่งลงที่ปลายเตียง

                     “อืม...” ผมตอบสั้นๆ เพราะว่าในปากของผมยังเต็มไปด้วยแซนด์วิช ที่ผมเพิ่งกินไปเมื่อตะกี้อยู่เลย

                     “อร่อยม้า...ฝีมือฉันทำเองเลยนะ” เธอถามแล้วก็ยิ้มให้ผม

                     ผมพยักหน้าตอบเธอไปพร้อมกับยิ้มให้ ก็มันอร่อยจริงๆ นี่นา

                     “นี่เธอรู้หรือเปล่าว่า เธอสลบไปถึง 3 วัน 3 คืนเลยนะ” เธอพูดกับผม ผมตกใจกลืนแซนด์วิชนั่นจนเกือบติดคอ แล้วผมก็ถามเธอกลับไป

                     “สะ สามวันสามคืนเลยเหรอ...อะไรจะนานขนาดนั้น แล้วที่นี่...”

                     “บ้านของฉันเองแหล่ะ...หลังจากตอนนั้นที่ฉันเจอเธออยู่ข้างทาง เห็นเธออาการไม่สู้ดี ก็เลยพาเธอขึ้นรถแล้วก็พามาที่บ้านของฉัน เพราะฉันคิดว่าถ้าไม่ทำอะไรเธอก็คงจะต้องแย่แน่...”

                     ผมมองหน้าของเธอด้วยความสงสัย ทำไมเธอถึงกล้ารับผมซึ่งเป็นคนแปลกหน้าที่เธอไม่รู้จัก แถมยังอยู่คนเดียวท่ามกลางซอยเปลี่ยวอีก แล้วทำไมเธอถึงไม่พาผมไปหาหมอหล่ะ ? แบบนี้มันอันตรายชัดๆ

                     “แล้วทำไมคุณถึงช่วยผมหล่ะ ผมอาจจะเป็นคนแปลกหน้า อาจจะเป็นโจรในคราบคนป่วยที่แกล้งทำเป็นไม่สบายเพื่อที่จะหาโอกาสทำร้ายคุณก็เป็นได้ ?”

                     “ฉันมองออกว่า ใครเป็นคนป่วยจริงหรือไม่จริง แล้วฉันก็ว่าคุณไม่ใช่คนร้ายอะไรหรอกนะ หน้าตาของคุณไม่เหมือนเลยซักกะนิด ฉันน่ะดูคนออกนะ” ผมมองเธอด้วยความทึ่งอยู่พักหนึ่งแล้วเธอก็เริ่มพูดต่อไป

                     “ฉันเรียกหมอมาดูอาการคุณแล้ว หมอบอกว่า น่าแปลกมากที่คุณไม่ได้เป็นอะไรเลย ยังสบายดีทุกอย่าง...แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ มันอาจจะเป็นโรคใหม่ที่เรายังไม่เจอก็ได้นะ หมอจึงให้ติดต่อไปได้ทุกเมื่อหากมีอาการผิดปกติอะไรอีก”

                     “แล้ว...ทำไมคุณไม่พาผมไปโรงพยาบาลหล่ะ ?” คราวนี้เธอทำหน้าตางงๆ กับผมเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดตอบผมกลับมาว่า

                     “นี่คุณไม่ใช่คนแถวนี้เหรอเนี่ย ล้อฉันเล่นหรือเปล่า ที่นี่อยู่ไกลจากโรงพยาบาลมาก... เพราะอยู่นอกตัวเมือง จะมีก็แต่โทรศัพท์เรียกหมอเคลื่อนที่มารักษาตามบ้านเนี่ยแหล่ะ” เธอตอบผมกลับมา

                     เราทั้งสองต่างก็จ้องหน้ากันไปซักพักหนึ่ง โดยที่ไม่ได้พูดอะไร เธอส่งยิ้มให้ผมแบบที่เธอเคยยิ้ม ทำผมถึงกับหน้าแดง ก่อนที่ผมจะได้ถามถึงชื่อของเธอคนนี้ เธอกลับถามผมกลับมาก่อนว่า

                     “เธอ...ชื่ออะไรน่ะ ? ตอนที่ฉันเปลี่ยนเสื้อให้คุณฉันไม่เห็นกระเป๋าสตางค์ หรือบัตรประจำตัวอะไรของคุณเลย...คุณถูกใครจี้ ปล้นมาหรือเปล่า แถวนี้น่ะโจรเยอะจะตาย”

                     “ผม ผมไม่รู้...ผมจำอะไรไม่ได้เลย ผมไม่รู้ว่าผมมาอยู่ที่นั่นได้อย่างไร และผมมาทำอะไรที่นี่ มันตื้อไปหมด...” เธอมองผมด้วยสีหน้าตกใจมาก

                     “ตายละ...แล้วเธอพอจะจำอะไรได้บ้างหรือเปล่า ? ” ผมส่ายหัวช้าๆ เป็นคำตอบ แล้วผมก็ก้มหน้าเอามือกุมขมับด้วยความเครียดที่โหมกระหน่ำเข้ามาหาตัวผม เธอค่อยๆ เอามือของเธอมาจับมือของผมไว้ มือของเธอช่างอบอุ่นอะไรเช่นนี้ ผมมีความรู้สึกเหมือนกับว่าหากเธอคนนี้อยู่ข้างๆ ปัญหาหลายๆอย่างมันจะต้องดีขึ้น ผมเชื่ออย่างนั้น เธอมีความอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ

                     “ไม่เป็นไรนะ เธอนอนพักให้อาการดีขึ้นก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันจะดูแลเธอเอง จนกว่าจะมีประกาศจากญาติของเธอ หรือ เธอพอจะจำอะไรๆได้แล้ว...” แล้วเธอก็ยิ้มให้ผมอีกแล้ว ให้ตายซิ รอยยิ้มของเธอทำผมตัวอ่อนไปทั้งตัวจริงๆ

                     “มาเดี๋ยวฉันเช็ดตัวให้”

                     “มะ มะ ไม่ต้องแล้วครับ แฮะๆ ผมก็รู้สึกตัวแล้วเดี๋ยวผมทำเองได้ ผมก็อายเป็นเหมือนกันนะครับ...” แล้วเธอก็หัวเราะ ผมก็หัวเราะตามไป เธอช่างเปรียบเสมือนนางฟ้าจริงๆ ผมแทบจะลืมความกังวลที่เกิดขึ้นไปหมดสิ้นทีเดียวเลยนะเนี่ย เธอชี้นิ้วโป้งมาที่ตัวเธอแล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงสดใสว่า

                     “เราชื่อ น้ำ นะ...เอ่อ ระหว่างนี้เราขอเรียกเธอว่า พล ได้หรือเปล่า...พล เป็นชื่อดาราที่เราชอบน่ะ อิอิ” ผมยิ้มตอบให้เธอ

                     “ได้ซิ ยินดีที่ได้รู้จักนะ น้ำ…”

                     ทั้งวันนั้นผมนอนพักอยู่บ้านของเธอตลอดทั้งวัน ถึงแม้ว่าภาพเหตุการณ์ที่ผมฝันยังคงตามหลอนผมทุกครั้งยามผมหลับตาลงงีบ แต่ก็น้ำเนี่ยแหล่ะที่คอยปลอบผมตลอดและเป็นเพื่อนคุยกับผมตลอด และคอยโทรถามเช็คถึงประกาศคนหาย และฟังวิทยุร่วมด้วยช่วยกันอยู่ตลอดเวลา วันนี้เป็นวันอาทิตย์เธอเลยไม่มีเรียนที่มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยที่เธอเรียนอยู่นั้นอยู่ในตัวเมือง ต้องขับรถไปประมาณหลายกิโลกว่าจะถึง จากการพูดคุยอย่างสนุกสนานของเราทั้งสองคน ทำให้รู้ว่าเธอเป็นนักศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์ ปี 3 แถมยังเป็นดาวคณะเสียด้วย แต่เธอยังไม่มีแฟน เพราะว่าเธอตอบปฏิเสธกับผู้ชายทุกคนที่มาจีบเธอ เธอต้องการที่จะทำงานเสียก่อน

                     เธอกำลังจะจบการศึกษาในวันพรุ่งนี้และเธอกำลังจะเป็นพยาบาลเต็มตัวเสียที อาชีพพยาบาลเป็นอาชีพที่เธอใฝ่ฝัน เธอเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนมาตั้งแต่เด็ก ความจริงเธออาศัยอยู่กับพ่อ และ แม่ที่กรุงเทพฯ แต่ก็เธอย้ายบ้านมาที่นี่ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก เพราะเธอบอกว่าอยากจะมาฝึกงานและช่วยคนที่ต่างจังหวัดมากกว่า เธอจึงย้ายมาอยู่ที่แถวๆ จันทบุรี พ่อกับแม่ของเธอก็ย้ายตามมาด้วยเพราะความเป็นห่วงลูกสาวคนเดียวของตน แต่ทว่าตอนนี้พ่อกับแม่ของเธอต้องกลับไปที่กรุงเทพ เพื่อทำธุรกิจของตนแล้วจะกลับมาอีก 2 วัน ซึ่งวันถัดมาหลังจากวันที่เธอจบการศึกษาพอดี ทั้งพ่อและแม่ของเธอต่างก็พยายามตื้อเธอให้เธอมาอยู่ด้วย แต่เพราะเธอกำลังจะจบการศึกษาอยู่แล้ว จึงขออยู่ที่บ้านแห่งนี้ต่อ พ่อและแม่ของเธอก็จำใจต้องให้เธออยู่ แต่ท่านทั้งสองก็ยังติดต่อมาเรื่อยๆ เธอไม่ได้บอกเรื่องพาผมมาอยู่กับเธอที่นี่กับพ่อหรือแม่ของเธอ รวมทั้งเพื่อนๆ ด้วย ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด

                     เย็นนั้น เธอชวนผมออกไปเที่ยวชายหาด ซึ่งผมก็ตอบตกลง ผมอยากออกไปรับอากาศบริสุทธิ์บ้าง คืนนั้นเธอเลยจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้รับกับบรรยากาศชายทะเล แล้วก็ขับรถออกไปทางถนนลูกรังเปลี่ยวๆ ถนนเดิมที่ผมสลบอยู่ กว่าจะออกไปจนถึงถนนใหญ่ได้นั้นก็ไกลราวๆ หลายกม. เธอบอกว่า เมื่อก่อนตอนที่ย้ายมาอยู่ใหม่ๆ เคยมีถนนอีกทางที่ใกล้และไม่เปลี่ยวเท่าถนนนี้ แต่ถนนนั้นตอนนี้สภาพย่ำแย่จนไม่สามารถขับรถผ่านออกไปได้ เพราะผู้รับผิดชอบไม่ยอมสนใจดูแล มัวแต่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่ทำหน้าที่ข้าราชการของตนให้ดีพอ ตอนนี้เธอเลยต้องมาใช้ถนนนี้แทนเวลาจะไปไหนมาไหน ทั้งๆ ที่อันตรายกว่าชัดๆ ผมก็ได้แค่เป็นห่วงเธอแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก

                     เธอขับรถได้ประมาณ 20 นาทีก็ถึงหาด ทะเลยามเย็นนั้นดูราวกับเป็นเหมือนอัญมณีสีแดง ส้ม ส่องประกายระยิบระยับทั่วทั้งท้องทะเลที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อนๆ เพราะแสงจากดวงอาทิตย์ หาดนี้เป็นหาดสงบ ไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่านมากนัก ทำให้หาดทรายสะอาดและไม่มีขยะมาคอยรบกวนสายตา...

                     เธอวิ่งไปรอบๆ ชายหาดอย่างร่าเริง นานๆ ทีเธอจะได้มาพักผ่อนที่ชายหาดแห่งนี้ เพราะงานของเธอยุ่งเหลือเกินทำให้เวลาที่จะมาเที่ยวชายหาดของเธอน้อยลง เธอวิ่งขึ้นมาหาผมแล้วก็ดึงมือของผมให้ลงไปเล่นน้ำที่ทะเลด้วยกัน เธอเล่นสาดน้ำใส่ผม ซึ่งผมก็โดนเข้าไปจังๆ ผมรู้สึกว่าผมขยับตัวไม่ได้เลยเมื่อเธอยิ้มอย่างร่าเริงสดใส ดูท่าผมจะโดนมนต์สะกดของเธอเข้าให้แล้ว...มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดของผมตอนนั้น ผมมีความรู้สึกว่า ไม่อยากรับรู้ถึงอดีตของตัวเองแล้ว ผมอยากจะเป็นพล พลซึ่งอยู่เคียงข้างน้ำตลอดไป....

                      พระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว ผมและน้ำต่างก็เปียกชุ่มไปทั้งตัว น้ำชวนผมขึ้นมานั่งบนหาดเพื่อนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกัน ซึ่งผมก็ตามเธอมาโดยดี

                     ผมและเธอนั่งกอดเข่าเคียงข้างกัน และมองไปยังพระอาทิตย์ลูกกลมโตที่บัดนี้ถูกขอบฟ้ากลืนกินไปครึ่งดวงแล้ว มันส่องแสงสีส้มอ่อนๆ สะท้อนกับทะเลสุดกว้างไกล ออกมาเป็นภาพที่สวยงามมากที่ยากจะเห็นได้นัก ธรรมชาติก็มีสิ่งมหัศจรรย์ของมันอยู่เหมือนกันนะ มันเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานมาให้มนุษย์ทุกคน แต่มนุษย์กลับไม่เคยใส่ใจใยดีต่อพวกมันเลย

                     “เธอเคยมาดูพระอาทิตย์ตกยามเย็นที่ชายทะเล บ้างหรือเปล่า พล ?” เธอถามผม ผมยิ้มและส่ายหน้า เธอก็สะดุ้งเธอลืมไปเลยว่า ตอนนี้ผมความจำเสื่อมอยู่

                     “พล น้ำ...ขอโทษนะ” เธอกล่าวด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ผมเอามือซ้ายของผมขึ้นมาลูบหัวน้ำอย่างเอ็นดู แล้วก็พูดปลอบเธอว่า

                     “ไม่เป็นไรหรอก เราไม่อยากจะจดจำอดีตของเราได้แล้วหล่ะ เราอยากอยู่กับช่วงเวลาแบบนี้ให้นานที่สุด และอยากอยู่กับมันตลอดไปเลยนะ” น้ำ ก้มหน้าเล็กน้อย เธออมยิ้ม หน้าแดงแป้ด ดูน่ารักมาก ภาพนี้ยิ่งทำให้ผมอยากจะหยุดเวลาเอาไว้นานๆ เลย จริงๆ นะ

                     เราทั้งสองคนนั่งมองพระอาทิตย์ตกดินด้วยกันจนลับขอบฟ้า ดวงจันทร์เข้ามาทำหน้าที่ให้ความสว่างยามกลางคืนแทนที่พระอาทิตย์ที่เพิ่งลาจากไป บรรยากาศรอบทะเลตอนนั้น สงบเงียบ มีแต่เสียงคลื่นที่สาดกระทบฝั่งอยู่เบาๆ เท่านั้น

                     “น้ำ ...ทำไมถึงดีกับเรามากมายขนาดนี้...ทั้งๆ ที่เราก็เพิ่งเจอกันเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเอง แถมเรายังสร้างความลำบากให้น้ำอีกตั้งเยอะ...” ผมถามคำถามที่คาใจผมมานาน...น้ำมองหน้าผมแล้วเธอก็มองไปยังผืนทะเลที่กว้างใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าเธอนั้น

                     “พล...อยากรู้ไหมว่า ทำไมน้ำถึงชอบสีฟ้า” ผมพยักหน้า

                     “สีฟ้าน่ะ เป็นสีที่ให้ความหมายแก่เราได้หลายอย่างมากนะ สีฟ้าบอกถึงท้องฟ้า ที่กว้างใหญ่ไพศาล สุดลูกหูลูกตา ทั้งท้องฟ้า มีความสวยงามอย่างหาที่ติไม่ได้ในตัวของมันเองนะ ท้องฟ้ามีทั้งดวงอาทิตย์ที่ให้แสงสว่างนำทางเราในเวลากลางวัน และดวงดาวที่นำทางเราในเวลากลางคืน มันเป็นเหมือนสิ่งที่คอยนำทางให้ชีวิตเราเดินก้าวต่อไปข้างหน้าได้ และไม่ว่ามนุษย์คนไหน จะเป็นยังไงจะดีหรือจะเลวแค่ไหน จะยากจนหรือจะรวยแค่ไหน เราก็อยู่ร่วมกันใต้ท้องฟ้าเดียวกัน เราก็เป็นมนุษย์ที่เติมเต็มส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ ดังนั้นในฐานะเพื่อนที่อยู่ใต้ท้องฟ้าเดียวกันเราต้องช่วยเหลือกัน เธอว่ามะ ?” ผมพยักหน้า ตั้งใจฟังเธอด้วยความตั้งใจ เธอเอามือขึ้นมาเสยผมของเธอที่ถูกลมทะเลพัด แล้วจึงเริ่มพูดต่อไป

                     “สีฟ้ายังทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่รู้ตัวนะ น้ำรู้สึกว่าเมื่อน้ำได้มองท้องฟ้า หรือ มองท้องทะเลแล้ว น้ำจะรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูกมันเป็นเหมือนพลังอะไรบางอย่าง ช่วยให้น้ำได้รู้สึกว่าน้ำต้องสามารถผ่านเรื่องร้ายๆมาได้ และน้ำก็อยากให้คนรอบข้างเป็นแบบนั้นเหมือนกัน น้ำเลยพยายามใช้ของทุกอย่างที่เป็นสีฟ้าไงหล่ะ ฮะฮะ ดูบ้าดีเนาะ” แล้วเธอก็หัวเราะคิกคัก

                      “ไม่เลยน้ำ พลว่า คนอื่นที่ได้เห็นสีฟ้าก็ต้องรู้สึกผ่อนคลาย และรู้สึกสบายใจมากๆ อย่างน้ำแน่ๆ”

                      “จริงเหรอ” เธอพูดด้วยสีหน้าดีใจ

                      “อย่างน้อยพลก็คนนึงล่ะ...” แล้วผมก็ยิ้มให้เธอ น้ำส่งรอยยิ้มบาดใจผมกลับมาอีกแล้ว

                      “น้ำรู้หรือเปล่าว่า น้ำเป็นคนดีมากๆ เลยนะ พลไม่รู้ว่าจะเคยเจอกับใคร หรือจะได้เจอกับใครที่ดีมากกว่าน้ำอีกแล้วในชีวิตนี้...น้ำต้องเป็นพยาบาลที่ดีมากแน่ๆเลย พลเชื่ออย่างนั้น” เธอยิ้มให้ผม แล้วก็ตอบสั้นๆ ด้วยใบหน้าตื้นตันใจของเธอ กลับมาว่า

                      “ขอบใจจ้ะ...ถึงแม้เราจะเจอกันแค่ไม่กี่วัน แต่น้ำว่า พลก็เป็นคนดีมากนะ เราขอให้พลหายเร็วๆ แล้วเราจะได้มาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะ ในแบบตัวของเธอเองไงหล่ะ” แล้วเธอก็ยื่นนิ้วก้อยของเธอมาให้ผม ผมยิ้มให้เธอแล้วก็เกี่ยวก้อยของผมเป็นคำตอบ

                      “ได้เลย...”

                      แล้วเราทั้งสองก็นั่งอยู่ด้วยกัน พูดคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆ น้ำเล่าเรื่องชีวิตของเธอให้ผมฟัง มันเป็นเรื่องที่สนุกมากจนเราคุยกันเพลินล่วงเลยไปจนมืดค่ำ ผมอยากหยุดเวลานี้ไว้จัง อยากหยุดไว้จริงๆ ผมคิดว่าชีวิตนี้ผมคงจะไม่ได้มีโอกาสเจอใครแบบนี้อีกแล้ว...

                      หลายชั่วโมงผ่านไป น้ำมองดูนาฬิกาของเธอแล้วก็บอกผมว่า กลับกันเถอะนะ นี่ก็ 4 ทุ่ม แล้ว พรุ่งนี้เธอต้องไปรับปริญญาบัตรแล้ว เธอจะรีบกลับไปเตรียมข้าวของของเธออีก ผมก็ตกลง แล้วเราทั้งสองก็จูงมือกัน...ออกจากชายหาดแห่งนั้น ด้วยความสุขใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยที่ผมไม่รู้เลยว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนั้น...เป็นสิ่งที่เลวร้ายมากเพียงใด...

          น้ำขับรถของเธอกลับบ้านพร้อมกับผม ในขณะที่เธอกำลังเข้าถนนเปลี่ยวๆ ถนนนั้นได้ซักประมาณครึ่งทาง จนไปถึงเสาไฟฟ้าที่น้พบผมครั้งแรก รถของน้ำเกิดดับลง น้ำดูแปลกใจมาก เธอพยายามสตาร์ทรถหลายครั้งก็ไม่ติด เธอจึงเปิดประตูรถลงไปเพื่อดูอาการรถของเธอ ผมจึงลงตามไปอีกคนด้วยความเป็นห่วง เธอเปิดฝากระโปรงรถหน้าขึ้นดู ควันไอน้ำร้อนๆ พวยพุ่งขึ้นมาจากหม้อน้ำอย่างไม่ขาดสาย เธอบ่นอุทานกับตัวเองว่า

          “ตายล่ะ ตอนออกจากบ้านลืมเติมน้ำกลั่นมา แล้วนี่เราจะทำไงเนี่ย ต้องเดินไปหลายกิโลเลยทีเดียว มือถือฉันแบตก็หมด ทำไมมันซวยอย่างนี้ น๊า...เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไปงานรับปริญญาบัตรไม่ทันฉันต้องแย่แน่เลย”

          “มาเดี๋ยวผมช่วยเข็นให้” ผมตอบเธอ แต่ยังไม่ทันขาดคำ ได้มีเสียงรถมอเตอร์ไซด์ 3 คันที่ถูกปรับแต่งเครื่องจนมีเสียงดัง รบกวนโสตประสาทเสียเหลือเกินขับผ่านพวกเราทั้งสองไป แล้วทันใดนั้นพวกเขาก็วกกลับมาหาพวกเราแล้วก็จอดมอเตอร์ไซด์ไว้ข้างๆ พวกมันมีกัน 6 คน ซ้อนท้ายคันละสอง แต่ละคนแต่งตัวบอกลักษณะอย่างเห็นได้ชัดว่าเป็นพวกเด็กสลัม ผมเกรียน ตัวดำๆ สวมเสื้อยืดสีฉูดฉาด กางเกงลายดอกขาสั้น บ้างก็ใส่กางเกงยีนส์ขาดๆ เจาะหู เจาคิ้วไปทั่ว ดูแล้วไม่น่ามองเลยซักนิด พวกนี้มันคิดว่าตัวเองเท่นักหนาหรือไงกันนะ ผมก็ไม่เข้าใจ

          “อ้าว รถเสียเหรอน้องสาว” คนขับมอเตอร์ไซด์หัวเกรียนคนหนึ่งพูดขึ้นพวกมันมองหน้าน้ำอย่างประหลาดๆ แล้วก็หันมามองหน้าผมอย่างกวนๆ

          “คะ ...ค่ะ เอ่อ พวกพี่ๆ พอจะช่วยขับรถไปหาคนมาช่วยได้ไหมคะ คือว่าบ้านของหนูก็ต้องเข้าไปอีกหลายกิโลฯ” น้ำตอบอย่างใจดีสู้เสื้อ ไอ้เกรียนนั่นก็มองหน้าน้ำแล้วก็หัวเราะขึ้นกับพวกพ้องของมัน

          “รู้ไหมน้อง กว่าพวกพี่ๆ จะขับออกไปบอกคนก็กินเวลานาน น้ำมันสมัยนี้ก็แพง แล้วโอกาสงามๆ แบบนี้ พวกพี่จะปล่อยไปได้อย่างไรหล่ะจ้ะ”

          “โอกาสอะไรคะ” น้ำถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

          “โอกาสที่จะได้ ร่วมสนุกกันไงหล่ะ ฮ่าๆๆ” มันตอบ แล้วพวกที่นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ที่มันขับมาด้วย ก็ลงมาจากข้างหลังมอเตอร์ไซด์ ผมรู้ทันทีว่าพวกมันจ้องจะทำไม่ดีแล้ว ผมรีบคว้าแขนน้ำแล้วก็กระชากพร้อมวิ่งสุดตัว

          “น้ำ !!! หนี !!!” ผมตะโกนแล้วพาเธอออกวิ่ง แต่ก็ถูกมอเตอร์ไซด์ของอีกคนวิ่งมาตัดหน้าไว้ ผมออกหมัดขวาเข้าไปที่หน้ามัน มันใช้แขนของมันกันเอาไว้ ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างฟาดเข้าที่ท้ายทอยผมอย่างรุนแรง สติผมเริ่มเลือนลางทันทีแต่ผมก็ยังไม่สลบ ผมยังมองเห็นและได้ยินได้แต่...มันชาไปหมดทั้งตัวเลย ผมค่อยๆ ล้มตึงไปกับพื้น ตาของผมมองเห็นภาพที่พวกมันค่อยๆ ล้อมตัวของน้ำเอาไว้ น้ำกรีดร้อง พยายามสู้อย่างสุดชีวิตแต่ก็สู้แรงของพวกผู้ชายไม่ได้

          “ปล่อยนะ ปล่อย ไอ้พวกบ้า ปล่อย กรี๊ดดดด...ช่วยด้วย....พล ช่วยน้ำด้วย” เธอร้องตะโกนดิ้นหนีอย่างสุดชีวิต ในใจผมอยากจะลุกขึ้นไปช่วยอย่างเต็มที่แต่ตอนนี้ผมขยับตัวไม่ได้....มันชาไปหมด บ้าที่สุด....ไอ้เกรียนนั่นหันมามองผมอย่างเยาะเย้ย แล้วก็พูดกับน้ำว่า

          “แฟนน้องน่ะ คงจะช่วยน้องไม่ได้แล้วหล่ะ แล้วแถวเนี๊ยะ ก็ไม่มีใครมาช่วยเสียด้วย...น้องยอมพี่เถอะจะได้ไม่เจ็บตัว...” มันพูดผมขบฟันด้วยความแค้นอย่างสุดๆ น้ำตบหน้ามันไปหนึ่งทีด้วยความโมโห แต่ก็ถูกเพื่อนๆ ของมันช่วยกันจับตัวเอาไว้ ไอ้เกรียนที่ดูท่าเหมือนเป็นหัวหน้าแก๊งก็เอามือจับแก้มที่โดนตบของตัวเอง แล้วก็มองน้ำด้วยสายตาแค้นอย่างสุดๆ

          “นังนี่ นี่ !” แล้วมันก็ชกไปที่ท้องของเธอ เธอจุกจนร้องอะไรไม่ออก แล้วก็ค่อยๆ ล้มลงไป

          ภาพต่อจากนั้น มันเป็นภาพที่สยดสยองที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา มันไม่ใช่การกระทำของมนุษย์ มันเป็นสัตว์เดรัจฉานในร่างของมนุษย์ กำลังทำสิ่งที่นรกสาปแช่ง สิ่งที่ไม่มีสัตว์ตัวไหนในโลกทำนอกจากสัตว์นรกที่ชาติชั่วที่สุด พวกมันรุมข่มเหงน้ำอย่างเลือดเย็น พลัดกันทำแล้วพลัดกันทำเล่า จนเธอไม่มีแรงที่จะตอบโต้ น้ำตาของน้ำไหลพรากอยู่ตลอดเวลา เธอร้องขอความเห็นใจและขอความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา น้ำมองผมอยู่ตลอดจนโดนมันชกไปที่หน้าเธออย่างโหดร้ายหลายครั้ง ความโกรธของผมแทบจะล้นทะลักออกมาแล้ว ผมกลั้นมันเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ทันใดนั้นภาพเหล่านั้น ภาพในความฝันของผมทั้งหมดก็คืนกลับมา ผมรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงอีกครั้ง...ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะเริ่มๆ กลับมาในสมองของผม ผมค่อยๆ จำได้...ใช่ ผมจำได้แล้ว...ว่าผมเป็นใครมาทำอะไรที่นี่

          “เฮ้ย หยุดก่อน แฟนนังนี่มันยืนขึ้นมาแล้ว !” สัตว์นรกตัวหนึ่งพูดในขณะที่มันกำลังร่วมสนุกอยู่กับร่างของน้ำอย่างเมามัน ไอ้เกรียนนั่นก็หันมาทางผม มันมองหน้าผมด้วยความประหลาดใจ

          “เฮ้ย มันเปลี่ยนชุดตั้งแต่เมื่อไหร่วะ เมื่อกี้มันยังใส่ชุดชาวเลอยู่เลย ทำไมมันเปลี่ยนเป็นชุดโค้ทสีดำได้วะ แต่ช่างมันเหอะ พวกเอ็งก็ไปจัดการทำให้มันสลบซี่ แล้วมาสนุกกันต่อ ข้ายังไม่สะใจเลยนะเว้ย ยาบ้าที่ก็อัพไปยังกรุ่นๆ อยู่เลยฮ่าๆๆ” ไอ้เกรียนสั่งลูกน้องของมัน ลูกน้องของมันสอง สามตัวถือไม้หน้าสามที่อยู่แถวๆ นั้นวิ่งมาหาผม แล้วเงื้อไม้จะตีผม

          “เปล่าประโยชน์น่า” ผมโยกตัวหลบไม้ แล้วใช้หลังหมัดของผมต่อยเข้าไปที่หน้าของไอ้พวกนั้นจนกระเด็นสลบไปทันที ไอ้เกรียนมองผมด้วยความตกใจ แล้วมันก็สั่งให้ลูกน้องของมันที่เหลือวิ่งมาหาผม แต่พวกมันถูกผมซัด...จนกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง ไอ้เกรียนชักมีดขึ้นมาจากกางเกงมัน แล้วพุ่งมาทางผม ผมไม่ทันระวังทำให้ปลายมีดนั้น เสียบเข้าที่ลิ้นปี่ของผมอย่างจัง

          “เสร็จข้าหล่ะ ไอ้เบื้อก...” มันพูด...

          น่าแปลกนะ ทั้งๆ ที่มีมีดยาวกว่า 15 ซม.ปักอยู่ที่ลิ้นปี่ของผมแท้ๆ แต่ผมรู้สึกไม่เจ็บเลย ไม่รู้สึกอะไรเลยซักนิด ก็จะเจ็บได้อย่างไรหล่ะ ก็ผม...ไม่ใช่มนุษย์นี่

          “ใครกันที่เสร็จ...” ผมพูดแล้วก็ใช้มือดึงมือของมันออกไปแล้วต่อยเข้าที่หน้ามันอย่างจัง ผมค่อยๆ ใช้มือดึงมีดออกจากอกของผม แล้วขว้างมันทิ้งไป ผมค่อยๆ เดินไปหาน้ำ แล้วก้มลง น้ำมองผมด้วยความประหลาดใจ แต่เธอไม่มีแรงแม้แต่จะเอื้อมือมากอดผม เธอยิ้มให้ผม ลมหายใจของเธอเริ่มรวยระริน ผมรีบกอดเธอไว้ น้ำตาของผมเริ่มไหลไม่หยุด

          “พล ขอโทษ...พลขอโทษ...” ผมได้แต่พร่ำพูดคำนี้ แต่ผมก็ไม่สามารถช่วยเหลือเธอได้ มันไม่ใช่หน้าที่ของผู้รับวิญญาณ หรือ ยมทูตอย่างผมที่จะห้ามชะตาชีวิตของใครบางคนได้...ใช่...ผมถูกส่งมายังโลกนี้เพื่อมารับวิญญาณของน้ำ ที่ครบกำหนดถึงอายุขัยในวันนี้ เวลานี้ และที่นี่ เพียงแต่ในช่วงที่ผมมาเกิดการผิดพลาดของห้วงมิติเวลาทำให้ผมถูกส่งมาก่อนเวลาที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ 4 วัน และทำให้ผมจำอะไรไม่ได้ ผมสูญเสียพลังของยมทูตไปชั่วคราว...จนผมได้มาพบกับเธอ เธอซึ่งเปรียบเสมือนนางฟ้าในสังคมโสมมที่พวกเราอยู่ทุกวันนี้ คนอย่างเธอไม่รู้ในโลกนี้จะมีซักกี่คน บางทีอาจจะไม่มีเลยก็เป็นได้...

          น้ำใช้แรงเฮือกสุดท้ายของเธอเอื้อมมือมาลูบที่หน้าของผมก่อนที่จะยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้าย...แล้วมือของเธอก็ร่วงผลอยลงกับพื้น...เธอจากไปเสียแล้ว เธอกำลังจะไปสู่อีกโลกหนึ่ง โดยการนำทางของผมเอง แต่เมื่อเธอกลายเป็นวิญญาณ เธอจะจำผมไม่ได้อีกต่อไป พวกเราเหล่ายมทูตต่างก็ถูกส่งไปปนเปอาศัยอยู่กับมนุษย์ตามที่ต่างๆ เพื่อสังเกตการณ์ และปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา พวกมนุษย์ที่ใกล้จะถึงฆาตที่พวกเรากำลังจะมารับเท่านั้นถึงจะเห็นพวกเรา มันเป็นกฏประหลาดของโลกแห่งวิญญาณและโลกมนุษย์ที่จะทำให้คนที่ตายไปแล้วไม่สามารถจดจำยมทูตในยามที่เห็นเราบนโลกมนุษย์ได้...ใช่ น้ำจะจำผมไม่ได้เมื่อผมรับวิญญาณของเธอไป เรื่องของผมและเธอจะหายไปจากความทรงจำของเธอตลอดกาล...

          ผมวางร่างของเธอเอาไว้ที่เดิมผมหยิบเสื้อผ้าของเธอมาห่มตัวเธอเอาไว้ น่าเสียดายที่เวลาของผมบนโลกนี้มีไม่มากแล้ว หากผมอยู่นานเกินไปผมจะกลับไปสู่อีกโลกหนึ่งไม่ได้ แล้วผมจะกลายเป็นผีเร่ร่อนไร้ญาติขาดมิตร ซักครู่หนึ่งผมเห็นแสงสีขาวอ่อนๆ ลอยออกมาจากปากของน้ำ มันค่อยๆรวมตัวเป็นร่างของน้ำ แต่ร่างของเธอกลับโปร่งแสง วิญญาณของเธอมองผมอย่างประหลาดใจแล้วก็ถามผมว่า

          “นี่ฉันตายแล้วใช่ไหม...” ผมรีบกลั้นน้ำตาเอาไว้ เอามือของผมปาดหน้าให้อาการเศร้าของผมหายไปจนหมด ผมค่อยๆ พยักหน้าแล้วพูดตอบเธอกลับไปว่า

          “ครับ...คุณถึงฆาตแล้ว และผมมีหน้าที่ที่จะนำทางของคุณไปอีกโลกหนึ่ง ขอให้คุณตามผมมาเถิด...” เธอมองผมด้วยความช๊อค ไปชั่วขณะ เธอเริ่มทรุดลงแล้วร้องไห้ออกให้ออกมา ผมได้แต่ยืนมองเธออย่างเงียบๆแล้วค่อยๆ เอาเชือกคล้องวิญญาณที่เหมือนกับด้ายสีขาวเงินเส้นบางๆ ผู้ที่ข้อมือของเธอ แล้วผมก็พูดปลอบเธอว่า

          “ตามผมมาเถอะ...นะ” ผมพูดเบาๆ ข้างหูเธอ แล้วเธอก็ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินตามผมมาอย่างช้าๆ เช่นกัน เธอยังคงร้องไห้อยู่ คงมีอีกหลายเรื่องที่เธออยากจะทำในโลกนี้ คงมีอีกหลายคนที่รอความช่วยเหลือจากเธอ ยังมีอีกหลายคนที่รอคอยเธอกลับมา แต่มันก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว...ผมมองเธอด้วยความเศร้าและสงสารอย่างที่สุด แต่ก่อนที่ผมจะพาเธอไปอีกโลกหนึ่ง เธอถามผมขึ้นมาว่า

          “แล้ว...นี่คุณมารับวิญญาณของฉันคนเดียวเหรอคะ...?”

                      “ทีแรกผมได้รับหน้าที่ให้มารับวิญญาณของคุณคนเดียวครับ เพียงแต่...ตอนนี้ ผมเปลี่ยนใจแล้ว... ผมจะรับวิญญาณเพิ่มอีกซัก 6 ตน กลับไปที่โลกโน้นด้วยน่ะครับ...” --อวสาน--

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×