บินให้สูงนะ!
ในเช้าวันที่อากาศแจ่มใส อะไรๆมันก็ยังคงเหมือนๆกันในทุกๆเช้า  แต่ช่วงเวลานี้มันนานเท่าไหร่แล้วนะที่เรายังไม่ได้สัมผัสความรู้สึก แบบที่เขาเรียกว่าความรัก เวลายิ่งนานที่มันพ้นผ่านไปมันทำให้อะไรๆ เปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น แม้แต่คนบาคน........................
      คงไม่ต้องพูดหรอกมั้ง  เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตเด็ก ม.ปลาย มันเป็นยังไงเพราะในทุกๆเช้า ก็คงเห็นสภาพของเด็กนักเรียน ทยอยกันเข้ามาในโรงเรียนเรื่อยๆอย่างไม่ขาดสาย
วันนี้ พอร์ลิ่งมาโรงเรียนแต่เช้า เลยแบบว่ารีบจะมาลอกการบ้านเพื่อน แต่พอมาถึงทีไรนะ ก็จะมาเจอเพื่อนๆ เป็นไรกันไปก็ไม่รู้ สงสัยเป็นโรคขี้เกียจกันแล้วสิ
วิชาเคมี ก็เรียนไม่รู้เรื่อง  เลขเสริมก็ เอาเข้าไปกันใหญ่มัวแต่ท่องกันเข้าไปสิจริงเท็จๆ เท็จจริงจริง  ช่างเป็นภาพที่คุ้ยเคยไปแล้วสำหรับพวกเรา และสิ่งที่ขาดไม่ได้ในทุกๆเช้า
คือ การนั่งมอง เหล่ วิพากย์วิจารคนน่าตาดีๆผ่านเข้ามาใน โรงเรียน  ซึ่งสาเหตุมันไม่ได้มีไรมากหรอก ก็เรื่องมันเกิดเมื่อตอนปิดเทอม หน้าร้อน เราได้รู้จักผู้ชายคนหนึ่ง
เขาชื่อจุ้ยละ  เขาก็เป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งความจริงแล้วมันก็ไม่ได้แปลกอะไรแต่สิ่งที่ทำให้พอร์ลิ่งรู้สึกประทับใจใจตัวเขามากคือ ความกล้าตัดสินใจความเป็นผู้นำ
พี่เขาอยู่ม.5 ตลอด ช่วงระยะเวลาที่เครื่องพริ้นบ้านเราเสีย เราก็ไม่รู้จะไปใช้ที่ไหนว่างง่ายๆว่าเปลือง เราก็มีพี่เขานี่แหละที่คอยช่วยเหลือเรามาตลอดหรือแม้กระทั่งการบ้านวิชาฟิสิกส์บางข้อเราทำไม่ได้ก็อาศัยพี่คนนี้แหละที่ช่วยเหลือ จนบางครั้งเราเองก็รู้สึกว่าเรารบกวนพี่เขาเกินไปรึเปล่า แต่พี่จุ้ยเองก็ตอบพร้อมกับรอยยิ้ม แบบเด็กๆว่า “ไม่เป้นไรหรอกบ้านพี่รวยทำไมเหรอ”  พอร์ลิ่งได้ฟังแบบนั้นอดขำไม่ได้ทุกที นานวันเข้าต้นรักที่เคยปลูกอยู่ในใจของพอร์ลิ่งมันเริ่มแผ่กิ่งก้านสาขาหยั่งลึกลงไปในจิตใจทุก ทุกทีจนยากที่จะถอดออกได้  ความรู้สึกดีๆความรู้สึกห่วงใยที่เรามีต่อพี่จุ้ยมันมากขึ้นทุกและไม่มีวันใดเลยที่จะน้อยลง  และแล้ว ตอนนี้เองพี่จุ้ยเองก็กำลังจะเรียนจบม.6 แล้ว อีกไม่นานแล้วสิที่เราคงจะไม่รอยยิ้มแบบนั้นอีกแล้ว ในวันอำลานักเรียนชั้น ม.6 พอร์ลิ่งเองก็ไม่ได้พลาดที่จะมางานนี้เลยถึงแม้เขาจะไม่เชิญก็ตาม เมื่อพอร์ลิ่งไปถึงงาน พอร์ลิ่งก็ตรงเข้าไปที่พี่จุ้ยเลย
ก็คนมันคิดถึงนี่นาอีกไม่นานก็คงไม่ได้เจอกันแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่พอร์ลิ่งอยากจะถามพี่เขา ก็ได้ถามทุกคำถามได้ฟังคำตอบทุกตอบ ................ วันข้างหน้าที่กำลังจะมาถึงพี่จุ้ยเองใฝ่ฝันมาตลอดว่าอยากจะขับเครื่องบิน อยากจะไปเรียนขับเครื่องบินซึ่งถ้าฟังแล้วมันคงเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับเราเราก็รู้ตัวนะ ว่าเราเป็นใคร เราทำอะไรอยู่เราก็อยากจะรักเขาแต่ในจุดยืนที่เรายืนอยู่มันต่างกัน เราคงอาจจะไม่สมหวังหรอก  ความรู้สึกในตอนนั้นเอง มันมีความรู้สึกแบบหัวใจอีกถูกแล้วถูกแล่ ออกมาเป็นชิ้นๆเลยมันปวดใจ
ที่คนที่เราเคยเฝ้ามองเคยอยู่ใกล้ๆกันกลับที่จะต้องห่างไกลกัน ถึงทางแยกแล้วตอนนี้เรากับพี่จุ้ยก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย..........
          และแล้วก็ถึงคราวที่พอร์ลิ่งเองก็เรียนจบม.6บ้างแล้วความฝันที่พอร์ลิ่งเคยเฝ้ารอที่อยากจะเรียน วิศวคอมฯ มันกลับเลือนหายไปสิ่งที่เราตัดสินใจไปในตอนนั้นคือ
อักษรศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ  เราก็ไม่รู้ว่าเราตัดสินใจไปได้ยังไงเพราะตัวเราเองลึกๆแล้วเราก็อยากจะเรียนเกี่ยวกับภาษาอะไรก็ได้ ให้เก่งแล้วอาจจะไปสมัครเป็นครูสอนวิชาภาษาต่างประเทศ ในวันที่ประกาศผลสอบ เอ็นฯ รอบที่ 1  ปรากฎว่าเราติดด้วย แต่เอ๊ะข้างๆชื่อเรางะมีใครบางคนด้วยเมื่อลองมองดูดีๆ ก็ มิคกี้    ติ๊ตตี่ ด้วย มาได้ไงงะ เรารู้สึกดีใจมากๆเลยที่เพื่อนที่เคยรู้จักกันมาตั้งแต่ม.3 ได้มาพบกันที่ปลายทางที่นี่อีกครั้ง  ทั้งๆที่เรื่องนี้เราไม่เคยบอกใครมาก่อนเลยเราดีใจสุดๆ ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมันช่างมีความสุขจังได้เรียนในสิ่งที่ใจต้องการ ได้อยู่กับเพื่อนๆที่ยังมีความอบอุ่น ความรู้สึกดีๆมอบให้กันตลอดมา พอร์ลิ่ง เองก็หวังว่ามิตรภาพของเราจะยั่งยืนตลอดไป 4ปีที่พ้น มันทำให้เราเข้มแข็งขึ้น ความอ่อนแอ เอาแต่ใช้น้ำตาแก้ปัญหานิสัยใน ช่วงอยู่ม. ปลายมันได้หายไปแล้วกลับกลายเป็นพอร์ลิ่ง คนใหม่  หลังจากที่เรียนจบในรั้วมหาวิทลัยแห่งนี้ก็ยังมีทางข้างหน้ารออยู่ คือการเลือกว่าเราจะทำไรต่อไปอีก อยู่ดีๆนะ มิคกี้ ก็นึกขึ้นได้ ว่าพวกเราไปลองสมัคร เป็นแอร์ ฯ กันไหม ครั้งแรกที่ได้ฟังเราเองก็ น่าสนใจเหมือนกันนะพวกเราก็เลยลองไปลองสอบกันดู
ก่อนการสอบก็จะมีการอบรมอะไรก่อนเล็กๆน้อย โดยมีคุณวิจิตราพร
ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายบริการหัวหน้าพนักงานบริการบนเครื่องบิน (ยาวจัง) มาให้คำแนะนำ
จะว่าไปแล้วคนอะไรพูดมากจัง คิดว่าจะเล็กๆน้อย พอเอาเข้าจริงๆก็ปาเข้าไปเกือบๆชั่วโมง  แต่ละคนที่มาเข้านะพอร์ลิ่งไปสอบถามดูแล้ว มีแต่ลูกคนรวยทั้งนั้นเลยทั้งด้านเกี่ยวกับภาษาเขาก็ไปติวเข้มกันอย่างเต็มที่แล้วยังจะมาย้อนถามเราอีกว่าเราไปเรียนติวกันที่ไหนมาบ้างแล้วละ  ฟังแล้วน่าหมั่นไส้จริงๆ  สุดท้ายแล้วมันที่ประกาศผลก็มาถึง
วันนี้เราแต่งตัวมาพร้อมที่จะรับตำแหน่งอย่างเต็มที่  ตอนที่ลองตรวจสอบรายชื่อจากบนลงล่างมาอย่างช้าๆๆก็ พบ...........ติ๊ตตี่ มิคกี้ รวมทั้งเราด้วย เราทำได้แล้ว เราสอบติดแล้ว
      หลังจากที่พอร์ลิ่งกำลังตรวจดูรายชื่อผู้สมัครที่ผ่านรอบ สัมภาษณ์มา ปรากฎว่าเรา 3
คนผ่านรอบนี้ไปได้ แต่ติ๊ดตี่ยังหวั่นใจในการฝึกอบรมที่จะมีการฝึกอบรมพนักงานบริการบนเครื่องบิน ของสายการบิน( Orrigines Thai International Airways ) ซึ่งเป็นสายการบินบนเส้นทางนานาชาติ ประจำชาติไทย ก่อนที่เราจะเดินออกจาก ออริจินเซ็นเตอร์ ( สำนักงานของสายการบินนี้ )
ได้มีคนวิ่งมาทักเรียก มิคกี้ อย่างดัง มิคกี้หันหลังไป พบ หยดและฝน เพื่อนที่สมัยเรียนมัธยมที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศ ด้วยกัน  หยดและฝน ก็มาสมัครเป็น แอร์ฯ เหมือนกันเรา 3 คนดีใจกันมากที่จะมีเพื่อนทำงานที่เดียวกัน...... “ คุณครับ ”..อ้าวพวกน้อง เองหรอ เราทั้ง 5 คนถึงกับงง  เมื่อชายรูปร่างสมาทอยู่ในชุดผู้ช่วยนักบิน  มาทักไม่ใช่ใครที่ไหนพี่จุ้ยนี่เอง ในความรู้สึกในตอนนั้นที่เคยคิดว่าคงไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว มันกลับหายไปในวันนั้นพอร์ลิ่งรู้สึกดีใจมากๆ แล้วเราตัดสินใจไปเช่าบ้านอยู่ใกล้ๆกัน    2....วันต่อมา
    หลังจากพวกเราดีใจกับการได้เป็นว่าที่แอร์ฯ เราทั้ง 6 คนก็ไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัด ที่จังหวัดเราไปกันที่ชายหาดแห่งหนึ่งใน จ. จันทบุรี  ซึ่งเป็น รีสอร์ทของครอบครัวพี่จุ้ย พวกเราฉลองกันอย่างมีความสุข สังเกตได้จากรอยยิ้มและแววตา ของทุกคนที่ เต็มไปด้วยความหวังว่าจะได้ บินโฉบเฉียว อย่างสวยงาม ดุจนางฟ้า  ..... ในยามเย็น พวกเรามายืนเรียงหน้ากระดาน กันที่ชายหาดเพื่อที่จะรอดู
พระอาทิตย์ตกดิน พอร์ลิ่งค์  พูดออกมาว่า “ อาทิตย์หน้าแล้วซิน่ะ..ที่เราจะไปอบรม กัน “  ใช่! ฝน
พูดขึ้นมา เราต้องไม่ท้อ เราต้องทำให้ได้
                วันเทรนด์
      เช้าวันนี้ท้องฟ้าดูท่าไม่ค่อยดีนัก ทุกคนสวมเครื่องแบบ มาพร้อมสำหรับการเทรน เมื่อ ผู้ที่ผ่านรอบสัมภาษณ์ มาพร้อมกันหมดแล้ว ประมาณ 17 คนได้ ซึ่งก็รวมพวกเราไว้ด้วย ได้มี ผู้บริหารมาแนะนำตัว และแล้วสิ่งที่ พนักงานทุคนอยากรู้คือ ใครคือ หัวหน้าชุกฝึกพนักงานบริการ ปรากฏ ว่า
คุณ วิจิตราพร แอร์ฯ มือหนึ่งของ ออริจิน ไทย แอร์เวย์  หลังจากที่ คุณ วิจิตราพร ได้ใช้เวลาไปเกือบ 1 ชั่วโมงในการแนะนำตัวและ เนื้อหาของการอบรม วันแรก คุณ สิปาง ครูฝึกของพวกเราได้พาไปรู้จักกับ สถานที่ต่างๆ ของ สนามบิน ( เห็นอย่างงั้นเหอะ  ซับซ้อนเหมือนเขาวงกต เลย )ในเดือนแรก พวกเราต้องมาฝึกเป็น พนักงานบริการ ภาคพื้นดิน  ก็จะมี แผนก เช็คอิน แผนก ขายตั๋ว  แผนก ฉีกตั๋ว ผลัดกันไป ซึ่งในด่านนี้เราทุกคนสามารถทำได้ดี ก็คงจะมีแต่ หยด ที่ถูกผู้โดยสารต่อว่า แต่คุณสิปางบอกว่า “ อย่าคิดมากเลย.....เรื่องแบบนี้ แอร์ใหม่เจอกับเกื่อบทุกรุ่นแหละ “ 
เดือนที่ 2 พวกเราต้องเจอกับด่านที่ยากขึ้น คื่อ การปฏิบัติตนเมื่อเกิดเหตุ ฉุกเฉิน วันแรกก็ทำเอาเราเหนื่อยเลย  ..... คุณ มณีจันทร์ หรือ พี่จิ๋ว ครูฝึกประจำวิชานี้ วันแรกของการฝึกใน คลาสนี้ คือพี่จิ๋ว จะจำลองเหตุการณ์ว่าขณะนี้ เครื่องบินลำนี้ ความกดอากาศ ในเครื่องเกิดการเปลี่ยนแปลง พวกเราต้อง บอกให้ผู้โดยสารสวมหน้ากาก ออกซิเจน มันไม่ใช่แค่นั้นบางที่นั่ง หน้ากาก ออกซิเจนไม่ปล่อย ออกมาเราก็ต้องรีบไปดึงหน้ากาก ออกมา หลังจากวันนั้น เราก็มาฝึกการ ขนย้ายผู้โดยสารออกจากเครื่องบิน โดยการกระโดดออกจากเครื่องโดยใช้ ถุงลม  อีก 2 วันต่อมาเราต้องเจอกับด่าน
ที่หนักสุด คือการช่วยชีวิตผู้โดยสารขณะ เครื่องบินเกิดไฟไหม้ และมีผู้โดยสารติดอยู่บนเครื่องกำลัง ลำลัก ควันไฟ เราต้องไปช่วยผู้โดยสารออกมาภายใน 20 วินาที แต่ พอร์ลิ่งค์ ถูก พวกแอร์ฯฝึกหัดคนอื่นแกล้ง จึงทำให้เกินเวลาที่กำหนดไว้ พี่จิ๋ว ใจดีให้ พอร์ลิ่งค์มาสอบ ด่านนี้ใหม่ ได้            เดือนที่ 3 พวกเราต้องเรียนเรื่อง การบริการ และ การผสมเครื่องดื่ม บนชั้นนี้พวกเราสนุกกันมากเพราะ คุณ วิจิตราพร เป็นคนฝึกเองเลย ขั้นแรก คุณวิจิตราพร เค้าเกณฑ์ จากไหนมาก็ไม่รู้ประมาณเกือบ 20 คน แต่ละคนมีความต้องการที่ แตกต่างกันไป ทั้ง คนไทยและ ชาวต่างชาติ
ที่พร้อมจะมาปั่นหัวพวกพนักงานฝึกหัด อย่างพวกเรา
      เมื่อจบทั้ง 3 เดือนแล้วยังไม่จบแค่นั้น เราต้อง ไปฝึกจริง บนเครื่องบินจริงเค้าให้จับกลุ่มกลุ่มละ 6 คน เพื่อเป็นทีมในเวลาบินเราจะได้บินด้วยกันตลอดใน 3 เดือนนี้ กับ ไฟร์ท ภายในประเทศ วันแรกพวกเรามีไฟร์ท ไปเกาะสมุย ก็ไม่มีอะไรมากแค่ เสริ์ฟ อาหารและเครื่องดื่ม ไม่มีอะไรมากพวกเราก็สนุกกับการฝึกใน คลาสนี้มาก เช้าวันหนึ่งเรามีไฟร์ท OS  110 ไปเชียงใหม่ เราประชุมกันก่อนผู้โดยสารขึ้นเครื่องว่า  ไฟร์ท นี้มีผู้โดยสานเต็ม พี่จั๊บ หัวหน้าประจำไฟร์ทนี้ บอกว่า เที่ยวนี้ผู้โดยสารเต็ม พี่จั๊บ เลือก มิคกี้ และ ติ๊ดตี่ เป็นคนต้องรับผู้โดยสาร ที่หน้าประตูเครื่องบิน
ส่วน พอร์ลิ่ง กับ พี่จั๊บ ได้ บริการ ในชั้น ธุรกิจ ส่วนหยด ฝน  มิคกี้ ก็บริการในชั้น ประหยัด  และแล้ว วันประกาศผลก็มาถึง ทีมของเราได้บินบนเส้นทางนานา ชาติ  ผิดกับกลุ่มของ คนอื่นบางกลุ่มได้ถูกส่งไปอยู่ สายการบินลูกของ ออริจิน ไทย คือ แพน แอร์ เป็น โลว์คอส แอร์ไลน์ในเครือของ ออริจิน ไทย แอร์เวย์หลังจากประกาศผล ติ๊ดตี่ วิ่งไปยัง ดาดฟ้าของสนามบิน แล้วพวกเราก็วิ่งตามมา เจอพี่จุ้ยยืนหันหลังอยู่ พวกเราเข้าไปยืนหน้ากระดาน พอร์ลิ่งค์ กำลังจะปริปากพูด อะไรสักอย่าง พี่จุ้ย  พี่จุ้ยเอามือมาปิดปาก “ จุ๊ๆๆ “ พร้อมกับชี้ไปทาง Run Ways  ภาพที่เราทุกคนเห็นคือ ภาพของเครื่องบินของสายการบิน ออริจิน ไทย แอร์เวย์ กำลัง เทคออฟ เป็นเครื่อง B 747 400 ( เครื่องบินรุ่นนี้ใช้ในการบินไฟร์ทนานาชาติ ) 
          พอร์ลิ่งค์ พูดว่า “ อีกหน่อยบินแล้วเราคงไม่มีเวลามาคุยกับอย่างนี้แล้วน่ะ “ พี่จุ้ยตอบกลับมาว่า
“ ถ้าหากว่าสิ่งกำลังทำอยู่ข้างหน้ามันคือความต้องการความใฝ่ฝันของเรา เราควรจะทำมันให้ดีที่สุด อีกอย่าง ยังไงเราก็ไม่ได้จากกันไปไหนซะหน่อย ถ้าคิดถึงก็โทรมาหาสิ  สักวันเราอาจต้องได้บิน บนไฟร์ทเดียวกันแน่ๆ “ ใช่ เราต้องทำให้ดีที่สุดกับ
สิ่งที่เราต้องการสิ่งที่เราใฝฝัน
      6.35 P.M. ท่าอากาศยานนานาชาติ กรุงเทพ  OS 889 Bangkok Sydney
      5 นางฟ้า เดินมาอย่างมาดมั่น พร้อมกับเครื่องแบบ ลากกระเป๋า เตรียมขึ้นเครื่อง เมื่อขึ้นไปบนเครื่องแล้วพวกเราเปลี่ยนเครื่องแบบ จากชุด สูท เป็นเครื่องแบบ ชุดไทย จากนี้ไป ชีวิตของการเริ่มต้นของการเป็นนางฟ้า มันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว อนาคตวันข้างหน้าไม่รู้ว่ามันจะมีอุปสรรคเหตุการณ์อะไรที่เกิดขึ้นแต่ตอนนี้ที่เรารู้คือ............... เราพร้อมแล้ว
      งานแรกของเราในเช้านี้คือ การรินน้ำเทใส่แก้วน้ำ  ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะทำได้ง่ายๆนะแต่ความจริงแล้วพอเอาเข้าจริงๆพอร์ลิ่งเองถูกพี่จั๊บ เอ็ดไปหลายรอบแล้วเพราะรินน้ำ ไม่ค่อยสวยไม่ สิ อาจจะเรียกว่าเทน้ำใส่แก้วละมากกว่า เพราะในระหว่างเทน้ำมันหกเลอะเทอะไปหมด  เราก็ไม่รู้จะทำไง ส่วนฝนเหรอ ยืนเตรียมเข็นรถเคบิลรอแล้ว ละปล่อยให้เราถูกว่าอยู่คนเดียว ไฟร์ทที่เรากำลังทำงานนี้  เส้นทางการเดินทางคือ กรุงเทพฯ ฮ่องกง ทั้งที่มันใกล้ๆ เราก็แค่เสริฟ์น้ำเดินไปเดินมานิดหน่อยแต่ทำไมถึงรู้สึกเหนื่อยๆยังไงก็ไม่รู้ ลองไปถามพี่จั๊บดูพี่จั๊บเขาก็ช่วยอธิบายนะว่าเวลาเราอยู่สูงความกดอากาศจะต่ำทำให้เรารู้สึก อึดอัดเป็นธรรมดา  ถึงแม้ว่าจะได้รับคำตอบอย่างกระจ่างใจไปแล้ว แต่ในใจลึกๆเองพอร์ลิ่งก็คิดว่าถ้าหากว่าพอร์ลิ่งเป็นแบบนี้ทุกๆวัน อย่างนี้แล้วพอร์ลิ่งจะเป็นโรคเหนื่อยตายไหมเนี่ย ......... เย็นวันนี้ฝนตกหนักมากพอร์ลิ่งยืนอยู่ที่ระเบียงบ้าน  ที่อยู่ใกล้ๆสนามบิน กำลังนั่งมองอยู่นอกริมหน้าต่างกับเพื่อนๆ คอยมองเครื่องบินที่กำลังบินผ่านไปทีละ ลำ ทีละลำช่างเป็นช่วงเวลาที่เงียบเหงาเหลือเกิน ต่างคนต่างพูดไปกันต่างๆนานาว่า เจอผู้โดยสารแบบนั้น เจอคนแบบโน้น  แบบนี้เหนื่อยเมื่อย บ่นพึมพำกันไป เราเองก็เป็นเหมือนกันแต่มันไม่มีทางเลือกแล้วนิ  ในเมื่อเราเลือกเส้นทางชีวิตแบบนี้เราก็ควรจะดีใจและภาคภูมิใจกับในอาชีพที่มีเกียรติแบบนี้  สักพัก โทรศัพท์ที่บ้านของพวกเราก็ดังขึ้น  “กริ้ง !........กริ้ง !...............”  หยดไปรับสายทีสิ พวกเราไม่ว่างกำลังเม้าส์กันอยู่ “อ้าวแล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วยเนี่ย”  แล้วหยดก็เดินลงไปรับโทรศัพท์ “สวัสดีค่ะ บ้าน 5นางฟ้าค่ะ  อะไรนะ  ค่ะ ค่ะ”  นี่ๆๆพวกเราพี่จั๊บโทรมาบอกว่า ไฟร์ท ที่บินไปกรุงเทพฯ ปักกิ่ง บนเครื่องเกิดเพลิงลุกไหม้โดยต้นเพลิงมาจากห้องน้ำ  ตอนนี้กำลังหารันเวย์ลง อย่างกะทันหันเร่งด่วน ตอนนี้ก็มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก  พวกเราได้ฟังดังนั้นพวกเราตกใจมากเลยละ เพราะไฟร์ทนั้นมิคกี้จำได้ว่าพี่จุ้ยเองนี่แหละที่เป็นผู้ช่วยกัปตันร่วมอยู่ในไฟร์ทนี้ด้วย      เราจึงรีบแต่งตัวมีอะไรก็ใส่ๆ สวมๆอย่างแทบไม่รู้ตัวเลยว่า ใส่รองเท้าผิดข้างใส่เสื้อกลับด้าน เรานี่แหละวิ่งออกจากบ้านคนแรก รีบสตาร์เครื่องรถรอเพื่อนๆไว้เลย จนสักพักเพื่อนๆก็รีบวิ่งตามขึ้นรถมา  คงเหลือแต่หยดคนเดียวก็ยังแต่งตัวไม่เสร็จ เราจึงตะโกนบอกหยดว่า “หยดเราขอโทษด้วยนะ ช่วยเฝ้าบ้านให้หน่อยละกันเดี่ยวเราก็จะกลับมา”  พอไปถึงสนามบิน พวกเราก็แยกย้ายกันติดต่อเรื่องรายละเอียดของไฟร์ท นั้นว่าออกจากรันเวย์ไหนมีผู้โดยสาร นักบินและพวกแอร์ฯที่อยู่บนไฟร์ทนั้น ด้วย  คงมีแต่พอร์ลิ่งคนเดียวละมั้งที่ไม่ได้อยู่เพราะมัวแต่โทรหาพี่จั๊บอยู่พี่จั๊บบอกว่า ผู้โดยสารที่บาดเจ็บไปอยู่ที่ โรงพยาบาลแถวๆดอนเมืองหมดแล้ว  พอร์ลิ่งไม่รีรอแล้ว สิ่งเดียวที่พอร์ลิ่ง คิดตอนนี้คือพี่จุ้ย  พี่จุ้ยเป็นอะไรเกิดอะไรขึ้นกับพี่จุ้ย ไปถึงหน้าโรงพยาบาล
สิ่งแรกที่เราเห็นตรงหน้าคือ มีพยาบาลกำลังรีบเข็นเตียงผู้ป่วยที่โชคเลือด เข้าห้องฉุกเฉินโดยด่วนที่สุด เราเพียงแต่ได้แต่ยืนรอหน้าห้อง สักพักหมอก็ออกมาแสดงความเสียใจกับ คนที่อยู่นอกห้องว่า “หมอเสียใจด้วยนะครับคนไข้เขาจากพวกเราไปเสียแล้ว”
เราได้ฟังดังนั้น เราถึงกับน้ำตาพรากไหลรินออกมาจากดวงตาอันใสซื่อบริสุทธิ์ของเรา
เราไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า คนที่ได้เห็นหน้ากันทุกเช้า ได้มีความรู้สึกดีๆต่อกันเรื่อยมาอยู่ดีๆจะมาจากกันไปง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ ในขณะที่เรากำลังร้องไห้ เสียงโทรศัพท์มือถือของเราก็ดังขึ้น ฝนโทรมาหาเราบอกว่า “นี่ๆๆๆ รู้ไหมความจริงแล้วพี่จุ้ยของเธอเขาไม่ได้อยู่ไฟร์ทนี้นะ เขาขอแลกไฟร์ทกับเพื่อนของเขาแล้วที่สำคัญนะ นี่แค่ไฟไหม้เล็กๆน้อยๆเองละ อย่างมากก็มีแบบผู้โดยสารสำลักควันนิดๆหน่อยแหละ ไม่หนักอะไรมากหรอก” ความรู้ในตอนนั้นมันเหมือนกับตัวเราได้ฟื้นขึ้นมาทจากความเหงาเศ้ราขึ้นมาอีกครั้งเราก็เลยถามต่อไปว่าพี่จุ้ยละฝนรู้ไหมพี่จุ้ยตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ในโทรศัพท์ที่กำลังพูดอยู่ พอร์ลิ่งคงได้ยินแต่เสียงหัวเราะกันอย่างมีความสุขกับพวกเพื่อนๆ
พอร์ลิ่งได้เงยหน้าขึ้นมา คนที่อยู่ตรงหน้าของเราคือ พี่จุ้ย ใช่พี่จุ้ยนั่นแหละไม่ใช่ใครที่ไหน เราจึงรีบเข้าไปโผกอดทันที และเป็นอีกครั้งที่เราร้องไห้อีกครั้ง “พี่จุ้ยรู้ไหม พอร์ลิ่งเป็นห่วงพี่มากเลย  คราวหน้าพี่จุ้ยจะไปไฟร์ทไหน ช่วยบอกพอร์ลิ่งด้วยสิ อย่าทำแบบนี้เลยพอร์ลิ่งรักพี่มากเลยรู้ไหม” ....... เหล่าๆเพื่อนๆของพอร์ลิ่งก็กำลังเดินเข้ามาพอดียืนทั้งหัวเราะทั้งอมยิ้มกันใหม่ ...............เธอนี่มันช่างบ้าจริงๆ ก็แค่อุบัติเหตุเล็กๆน้อยแค่นี้เองมันจะถึงขนาดเลือดโชคเลยเหรอ เธอนี่มันบ้าจริงๆแล้ว ส่วนคนที่เลือดโชคที่เธอเฝ้าหน้าห้องคือ เป็นอุบัตรเหตุรถชนแถวๆนี้ละมั้ง  โธ่เอ้ย........ เอาละพวกเราคงกลับบ้านได้แล้ว ละ พี่จุ้ยฝากดูแลพอร์ลิ่งด้วยละกันนะ  พวกหนูไปแล้ว พี่จุ้ยคงตอบได้เพียงว่า
“ครับ  ครับๆๆ”หลังจากเหตุการณ์นี้ได้ผ่านไป พอร์ลิ่งมีความรู้สึกว่าเวลาที่อยู่ใกล้ชิดพี่จุ้ยนานเท่าไหร่หัวใจ ของพอร์ลิ่งก็ยิ่งมีแต่คำว่า รัก มากขึ้นทุกวันโดยที่ตัวพอร์ลิ่งเองยังไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
อุปสรรคต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตบางทีแล้วมันก็อาจเป็นบทเรียนที่มีค่าราคาแพง แต่บางทีแล้วมันก็อาจทำให้เราเข้มแข็งขึ้นเพื่อจะเติบโตและต่อสู้กับปัญหา ที่กำลังมรุมล้อม  ในช่วงที่เรากำลังท้อแท้หมดกำลังใจสิ้นหวัง ยังมีอยู่สิ่งหนึ่งที่พอร์ลิ่งยังเชื่อมั่นในสิ่งนี้
และคิดว่าสิ่งที่พอร์ลิ่งเชื่อว่าจะเป็นความหวังที่จะทำให้พอร์ลิ่งสู้ต่อไปได้คือ “พี่จุ้ย”
        ..........ผ่านไป 4 ปี พอร์ลิ่งกับเพื่อนๆยังทำงานอยู่ที่เดิมที่แหละ....สายการบินแห่งนี้
สายการบินที่ยังมีความสุข ความทุกข์เสียงหัวเราะ หรือคราบน้ำตาที่ยังพอหลงเหลืออยู่คอยย้ำเตือนใจเรื่องราวดีๆที่ผ่านพ้น แต่การทำงานในช่วงปีที่4นี้ พอร์ลิ่งเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี เพื่อนๆของพอร์ลิ่งทุกคนรวมทั้งพอร์ลิ่งด้วยไปเลื่อนขึ้นจากชึ้น
ราคาประหยัด ขึ้นสู่ชั้นธุระกิจ แต่มันอาจเป็นเรื่องที่น่ายินดีก็ได้.........และในปีเดียวกันนี้ก็ได้มีผู้ช่วยนักบินอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้หญิง ได้เข้ามาทำงานในสายการบินของเราด้วย
วันแรกของการทำงานเป็นผู้ช่วยของนักบิน    พอร์ลิ่งแอบเห็นพี่จุ้ยเหม่อลอยมองตามเธอคนนั้นไป เราเองชักจะหวั่นใจแล้วสิ ยิ่งนานเข้า พอร์ลิ่งก็เริ่มเข้าใจแล้วอะไรๆก็มันเริ่มเปลี่ยนไปแล้วทุกๆวันที่พอร์ลิ่งขึ้นมาทำงานบนนี้มันช่างเหงาเดียวดาย บางครั้ง
พอร์ลิ่งเองไม่รู้จะทำยังไงได้แต่นั่งแอบร้องไห้ในห้องน้ำบนเครื่องบิน ...........หลังจากที่เครื่องบินลงจอดที่กรุงเทพฯ ก็บังเอิญ เห็ยพี่จุ้ยกำลังเดินลงมาจากเครื่องเหมือนกัน
สงสัยว่าพี่จุ้ยเขาคงจะมองเห็นแววตาเศ้ราหมอง ของพอร์ลิ่งเข้า พี่จุ้ยจึงถามว่าเป็นไรไป
รึเปล่าไม่สบายเหรอ งั้นเดี๋ยวพี่บอกพี่จั๊บให้เอาไหม เราคงได้แต่ตอบขอบใจที่พี่เขายังห่วงใยเราอยู่ แต่ในขณะที่ตอบก็เหมือนกับเรากำลังร้องไห้ไป พอร์ลิ่งตัดสินใจถามคำถาม คำถามหนึ่ง “พี่จุ้ย....พี่จุ้ยคิดยังไง กับเธอคนนั้น”  ช่างเป็นคำถามที่แทงใจดำจริงๆพี่จุ้ยอึ้งไปสักพักก็ได้แต่ตอบว่า “เอาน่า.ก็เพื่อนร่วมงานกัน ไม่มีไหรอก เราก็แค่ทำงานอยู่ที่เดียวกันเอง”  ก็ถึงแม้ว่าพี่จุ้ยเขาจะตอบแบบนั้น ก็ตาม    มันคงไม่สามารถทำให้เราเชื่อได้หรอกว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าพี่จุ้ยไม่ได้แอบมีใจให้เขาเพราะสิ่งนี้รึเปล่ามันทำให้ช่องว่างระหว่างเราทั้งสองเริ่มห่างกันไปทุกที ทุกที.............หลายปีแล้วละสิที่เรามาทำงานที่นี่ บางทีแล้วที่นี่อาจเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งที่อบอุ่นของใครบางคน และอาชีพนี้ก็เป็นอาชีพที่ทุกๆคนใฝ่ฝันที่จะมาเป็นแต่ในตอนนี้พอร์ลิ่งเอง หมดกำลังใจแล้วไม่มีแรงสู้ต่อ ไม่รู้จะทำยังไงดี....เย็นวันนั้นเองเราก็ไปปรึกษาพี่จั๊บเรื่องเกี่ยวกับการลาออกแต่สิ่งที่พี่จั๊บพูดคือ.......อยากให้เราทำงานต่อไปก่อนสิ ถึงแม้ว่าจะลาออกตอนนี้จะทำอาชีพอะไรต่อไป  เราก็ลืมไปเลยถ้าเราลาออกเราจะไปทำไรกิน แล้วพี่เขาก็ถามอีกทำไมถึงลาออกมาถึงระดับนี้แล้ว นะ พี่จั๊บบอกให้พอร์ลิ่งเก็บเอาเรื่องนี้ไปคิดดูก่อนทำไมถึงลาออกเพราะอะไรถ้าหาเหตุผลดีๆไม่ได้ พี่จั๊บจะไม่ยอมอนุมัติให้เราลาออก
    ค่ำคืนที่ไม่มีดาว ค่ำคืนที่เหงาอ้างว้างคนที่เคยคุยโทรหากันบ่อยๆ คนที่เคยพูดคุยเป็นคนรู้ใจกันกลับห่างหาย ช่วงนี้เราไม่เคยได้โทรไปคุยกับพี่จุ้ยเลยเพราะรู้ว่าถึงโทรไปพี่จุ้ยเขาคงไม่มีอารมณ์มาคุยหรอก คงจะนั่งอยู่กับเธอคนนั้น  จะว่าไปแล้วการที่เราได้เจออะไรแบบนี้มันก็ไม่ใช่ว่ามันจะเลวร้ายหรอกมั้ง ตรงกันข้าม การที่เห็นคนที่เรารัก
มีความสุขมีทั้งยิ้มหัวเราะร่าเริงสนุกสนานแบบนี้ แค่นี้เราก็คงดีใจมากแล้ว ละ.......
เราคงอุ่นใจแล้วที่ได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ เหมาะสมกับพี่จุ้ยได้ทำให้พี่จุ้ยมีความสุขและในวินาทีเดียวกันก็ทำให้พี่จุ้ยได้หลงรักและเธอก็คงจะรักพี่จุ้ยเหมือนกันแล้วละ
เห็นทีว่า พอร์ลิ่งเองก็ควรจะวางมือจากเรื่องนี้ได้แล้ว เราตัดสินใจแล้ว เราจะไม่ลาออกแล้วละ เราจะทำงานต่อ.......
  เช้าวันต่อมาพอร์ลิ่งก็ยังมาทำงานเหมือนเดิม ดูเหมือนว่าวันนี้พอร์ลิ่งอาจจะดูเปลี่ยนไปนะ พอร์ลิ่งดูสดใสร่าเริง เดินยิ้มตลอดทางเลย ยังกับคล้ายๆกับครั้งแรกที่ได้เข้ารับตำแหน่งใหม่ๆเลย  ทุกๆๆวันพอร์ลิ่งก็ยังคงทำงานเหมือนเดิมยังสนุกกับเพื่อนๆเหมือนเดิมทุกอย่างยังกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น อะไรที่มันเคยเกิดมันก็คงเหมือนกับฝันร้ายชั่วข้ามคืนที่มันพ้นผ่านไปแล้ว สู้รุ่งอรุณแห่งวันสักที
                      เวลาแห่งความสุขมันก็ช่างผ่านไปนานซะเหลือเกิน ............นี่ก็ก้าวเข้าสูปีที่ 9 ของการเป็นแอร์ฯ แล้วตอนนี้ทุกๆคนในรุ่นเดียวกับเราก็ได้เป็นแอร์ฯชึ้น first class กันหมดแล้วแต่...........พอร์ลิ่งรู้สึกว่าการที่ได้อยู่สูงแบบนี้ทำไม รู้สึกมันขาดๆอะไรไปสักอย่าง...............เหมือนบางสิ่งบางอย่างที่เคยอยู่ในหัวใจมันขาดหายไปอย่างนี้...........มันรู้สึกๆเหงาๆ แปลกๆๆ ถึงแม้ว่าเราจะได้บินสูงๆแต่หัวใจที่เคยเติมเต็มไปด้วยรักกลับด้านชาไร้ความรู้สึก...  พอร์ลิ่งได้ทำงานในตำแหน่งแอร์ฯ  fisrt class ได้เพียง9วันนั้น พอร์ลิ่งก็ตัดสินใจลาออก โดยไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น หากว่าพอร์ลิ่งยังอยู่ต่อ พอร์ลิ่งคงทนไม่ได้แล้ว ถึงว่าการที่จะก้าวเข้ามาในจุดๆนี้มันไม่ได้มาง่ายนัก แต่การที่อยู่แบบนี้โดยหัวใจไร้ความรู้สึก แบบนี้พอร์ลิ่งคงทนต่อไปไม่ได้หรอก เย็นวันนั้นพอร์ลิ่งยื่นเรื่องลาออกท่ามกลางเสียงคัตค้านจากเพื่อนๆแต่ พอร์ลิ่งเองก็ได้พูดประโยคสุดท้ายว่า
“ขอให้พอร์ลิ่งได้ทำตามหัวใจตัวเองสักพักเถอะ” แล้วพอร์ลิ่งเองก็รีบเดินไปขึ้นรถกลับบ้าน เพื่อนๆทุกคนที่ได้ทราบเรื่องนี้ ทุกคนยังเฝ้ามองพอร์ลิ่งที่กำลังเศ้ราสร้อยเหนื่อยล้าหมดแรงค่อยๆเดินออกไป จากสนามบิน  ดุจกับว่าการที่พอร์ลิ่งเดินออกไปแบบนั้นมันทำให้เพื่อนๆทุกคนราวกับถูกมนต์สะกดสองเท้าติดตรึงไปไหนไม่ได้
ทุกคนคงจะ shock กับการด่วนตัดสินใจลาออกไปแบบนั้น พอร์ลิ่งกลับไปบ้านรีบเก็บกระเป๋าเดินทางแล้วโทรศัพท์ไปจองไฟร์ท ไปแวนคูเวอร์ โดยด่วน ระหว่างทางที่กำลังจะไปสนามบิน เพื่อนๆของพอร์ลิ่งก็มาส่งแต่........มีอยู่คนเดียวที่ไม่ได้มาก็คือพี่จุ้ยไม่รู้ว่าเขาเองอยู่ที่ไหน  เราไม่โกรธเขาหรอกเราจะต้องลืมเขาให้ได้  ภาพของพอร์ลิ่งที่ประตูผู้โดยสารขาออกคงจะเป็นภาพสุดท้ายแล้วที่พอร์ลิ่งจะอยู่เมืองไทย พอร์ลิ่งจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่แวนคูเวอร์ กับภาพความทรงจำใหม่ๆที่นั่น    พอดีเราเองได้จองที่นั่งริมหน้าไว้เราได้ทอดมองภาพท้องฟ้าของเมืองไทยในยามค่ำคืนนี่ก็สวยดีนะ.แต่เสียดายว่าไม่มีเขาคนนั้นอยู่กับเราด้วย.....กำลังพอดีจะหลับอยู่แล้วเชียว มิคกี้ และเพื่อนๆเราทุกๆคนอยู่ดีๆก็โผล่ เดินออกมาจากม่าน  เดินลิ่วๆ มาทักเราเลยว่าไงพอร์ลิ่ง วันนี้นะ ในที่สุดเธอก็เป็นผู้โดยสารบ้างแล้วนะ เธอลองมาสัมผัสกับบริการสายการบินเราบ้างนะ เพื่อนๆของเรา เสิร์ฟ โน่นนี้ ทำอะไรเกือบทุกๆ อย่างให้เราหรือแม้แต่เป็นเพื่อนคุย ทำให้เราทั้งยิ้มทั้งหัวเราะไปตามทาง แต่เราก็ยังอดสงสัยไม่ได้ “เธอขึ้นมาบนไฟร์ทนี้ได้ไงงะ”
ฝนก็ตอบว่า พอดีกว่าฝนรู้จักกับคณะของพวกแอร์สายการบินนี้ก็เลยลองขอแลกเปลี่ยนไฟร์ทคนละสายการบิน เราก็ปลื้มใจเหมือนกันนะทำได้ยังไงงะ  มิคกี้ก็ถามเราขึ้นมาแล้ว
เธอจะไปทำอะไรที่นั่นละ แล้วเธอจะทำอาชีพอะไรต่อไปเหรอเธอจะไปพักอยู่ที่ไหน...............หลายคำถามที่เพื่อนๆรุมกันถามแต่ พอร์ลิ่งก็ค่อยๆตอบก็คือว่านะ
พอร์ลิ่งจะไปพักอยู่กับเพื่อนที่นั่นจะร่วมกันลงทุนเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ที่นั่น ไม่ต้องห่วงหรอก พอร์ลิ่งจะรักษาตัวเองให้ดีจะรอวันที่พวกเธอแต่งงานแล้วอย่าลืมละ โทรมาหาเขียนจดหมายหรือส่ง อีเมลล์มาหาบ้างก็ได้นะ ละแล้ว ทิวาราตรีที่เต็มอิ่มไปด้วยความสุขก็จบลง มาเริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่แวนคูเวอร์ ไม่กี่ปีนับจากวันที่พอร์ลิ่งก้าวเดินออกจากอาชีพนางฟ้า เพื่อนๆก็ส่งข่าวมาว่าพี่จุ้ยกับเธอคนนั้นก็ได้แต่งงานกัน สำหรับตัวพอร์ลิ่งเองก็ขอยินดีด้วยนะ ขอให้มีความสุขกับชีวิตคู่ต่อไป ในตอนนี้พอร์ลิ่งกำลังยืนอยู่ตรงระเบียง บ้านที่พักอยู่ในแวนคูเวอร์ ทอดมองเครื่องบินที่กำลังบินผ่านอยู่บนท้องฟ้าเห็นทีว่านางฟ้าอย่างพอร์ลิ่งจะหมดหน้าที่ในการปกป้องคุ้มครองเฝ้ามองดูพี่จุ้ยแล้วนะ
พี่จุ้ยคงมีนางฟ้าคนใหม่ที่ดีกว่า สวยกว่าคอยปกป้องคุ้มครองพี่เขาแล้วละ
สงสัยว่าเครื่องบินที่เรามองเห็นตอนนี้คงเป็นเครื่องที่พี่จุ้ยขับเองละมั้ง  เหนื่อยมานานแล้วคราวนี้เราก็อยากพักผ่อนสบายๆบ้างแล้วละ 
“ขอให้บินให้สูงนะพี่จุ้ย”........................
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น