เรื่องเล่าจากภูชี้ฟ้า
วันหนึ่งในฤดูหนาว ฉันและเพื่อน ๆ ได้มีโอกาสไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูชี้ฟ้า จังหวัดเชียงราย พวกเราทุกคนตื่นเต้นมาก เพราะยังไม่เคยมีใครเคยไปเที่ยวที่ภูแห่งนี้กันเลย
คืนก่อนเดินทางฉันและเพื่อน ๆ จึงเตรียมตัวกันอย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องเสื้อผ้าที่จะใส่ขึ้นไปเผชิญกับความหนาวเย็นบนภู และเรื่องอาหารที่พวกเราหวังว่าจะได้ขึ้นไปปิกนิก กินอาหารเช้ากันระหว่างรอดูพระอาทิตย์ขึ้น 
เมื่อใกล้ถึงเวลาเดินทางพวกเราจึงถูกปลุกตั้งแต่ตี 3 ทั้ง ๆ ที่เพิ่งนอนได้ไม่กี่ชั่วโมงเพราะมัวแต่เตรียมอาหาร ความหนาวและความง่วงทำให้พวกเราโยเยกันบ้าง แต่ในที่สุดเมื่อเริ่มสำนึกกันได้ว่าจะได้ขึ้นไปบนภูชี้ฟ้าที่ทุกคนเฝ้ารอ พวกเราก็ค่อย ๆ ตาสว่าง และตื่นในที่สุด
รถของพวกเราออกจากที่พักประมาณ ตี 5  ขณะที่รถแล่นอยู่บนทางราบ พวกเราก็นั่งหลับตาเอาแรงเพื่อเตรียมขึ้นเขา แต่ความจริงแล้วยังง่วงอยู่ก็เลยคิดที่จะหลับกันต่อ แต่แล้วก็ต้องตื่นอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่ารถกำลังไต่ขึ้นเขา ไม่ใช่แค่ตื่นจากอาการง่วงเท่านั้น แต่ยังตื่นเต้นกับเส้นทางที่ลาดชันอย่างมาก เส้นทางที่โค้งมาก ไม่มีไฟทาง มีแต่แสงไฟจากรถยนต์ หลายครั้งที่พี่คนขับรถทำเอาพวกเราหวาดเสียว เพราะบางครั้งเข้าเกียร์ผิด รถกำลังไม่พอ ทำให้รถไหล พวกเราในรถก็ร้องโวยวายกันด้วยความกลัว เวลามีรถขับสวนทางมาตรงทางโค้ง และตีวงกว้างมากจนเลยเข้ามาในเลนของเรา พวกเราก็ส่งเสียงร้องกันอีก ทั้งกลัวทั้งสนุก ตลอดทางขึ้นทำให้คนกลัวความสูงอย่างฉันแทบจะนั่งเกร็งจิกปลายเท้าตลอดทาง
เวลาที่มองออกไปนอกรถ ฉันก็ได้เห็นทิวทัศน์ในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต  (เพราะไม่เคยขึ้นเขาที่มีความสูงมากขนาดนี้)  ฉันเห็นทิวเขาสีดำเข้ม เห็นแสงจากดวงจันทร์ที่อยู่ใกล้ฉันมาก ๆ  เห็นท้องฟ้าสีดำที่เต็มไปด้วยจุดแสงสีขาว ฉันมองไม่เห็นพื้นดิน แต่สีดำเข้มจากข้างล่างทำให้รู้ว่า พื้นดินอยู่ต่ำมากแน่ ๆ
เมื่อรถแล่นไต่เขาขึ้นมาสักพัก พวกเราก็เริ่มมองเห็นแสงสีส้มเรียงต่อกันเป็นทางยาว เห็นครั้งแรก ฉันคิดว่าเป็นแสงของดวงดาวที่เรียงต่อกันเสียอีก แต่พอรถแล่นเข้าไปใกล้เรื่อย ๆ ทำให้เห็นว่าความจริงแล้ว แสงไฟเหล่านั้นเป็นแสงไฟจากรถยนต์นั่นเอง และตรงนั้นต้องเป็นที่จอดรถ แน่ ๆ
พวกเราดีใจมากที่จะได้มาถึงกันสักที เมื่อเราลงจากรถก็พบว่าความจริงแล้วเราต้องเดินเท้าต่อขึ้นไปอีก ทีนี้แหละ ด่านแรกที่คนกลัวความสูงอย่างฉันจะต้องเจอ ก็คือทางขึ้นที่สุดแสนจะชัน  ทางขึ้นมีทั้งที่เป็นไม้ที่วางเรียงต่อกันในแนวนอน กับทางขึ้นที่เป็นพื้นดินที่ถูกเซาะเป็นขั้นบันได 
ฉันเลือกเดินขึ้นทางที่เป็นไม้ เพราะมั่นใจว่ามันจะไม่ทำให้ฉันลื่น แล้วก็ไม่ต้องเหนื่อยเกินไปจากการก้าวยาว ๆ ขึ้นบนบันไดดิน  เมื่อเดินพ้นบันไดไม้ทางเดินข้างหน้า ก็กลายเป็นทางดินลาดชัน  พอเดินมาถึงตรงนี้ แสงไฟจากที่จอดรด ก็หายไป เหลือแต่แสงจากดวงจันทร์ และดวงดาว ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เรามองเห็นเส้นทางสักเท่าไหร่  เราจึงต้องพึ่งแสงจากไฟฉาย ที่พวกเราเอามากันไม่กี่อัน  เลยต้องเดินจับกลุ่มกัน เพราะมองอะไรไม่ค่อยเห็น
สองข้างทางที่เดินขึ้นไปค่อนข้างให้ความรู้สึกที่แตกต่าง เพราะเวลาที่มองไปทางซ้ายมือ  ฉันยังรู้สึกปลอดภัยอยู่ เพราะเป็นพื้นที่กว้าง เต็มไปด้วยต้นไม้เล็ก ๆ เศษหญ้าแห้งที่เปียกน้ำค้าง ก้อนหินขนาดเล็กใหญ่กระจายอยู่รอบ ๆ แต่พอมองไปทาขวามือ ฉันรู้สึกเหมือนยืนบนขอบเขา เพราะพื้นที่โล่ง และ ลึก สีดำเข้ม เส้นขอบฟ้าทำให้เห็นทิวเขาที่อยู่ไกล คล้าย ๆ มีแสงอ่อน ๆ อยู่ด้านหลังทิวเขานั้น มันสวยงามลึกลับแต่ก็น่ากลัวพอดู
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงของดวงดาว เวลาที่เงยหน้ามองขึ้นไป รู้สึกเหมือนอยู่ในอวกาศสีดำ กว้างใหญ่ ที่ปกคลุมด้วยเม็ดแสงของดวงดาว  มันทำให้ฉันตื่นเต้นมากทีเดียว
ยิ่งเดินสูงขึ้น ก็ยิ่งหนาวเย็นมากขึ้น แล้วก็เหนื่อยมากขึ้นด้วย ตลอดทางฉันได้ยินได้เห็นสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นหลายอย่าง ที่นอกเหนือจากธรรมชาติ ก็คือคน ฉันได้ยินเสียงพูดคุยซึ่งแสดงความห่วงใยซึ่งกันและกันของกลุ่มคนเดินทาง “เหนื่อยมั้ย”  “พักก่อนมั้ย”
เสียงร้องเรียกเวลาหาคนในกลุ่มที่มาด้วยไม่เจอ  กลุ่มคนที่หยุดพักเหนื่อยพูดคุยหยอกล้อกัน  ฉันเห็นพ่อแม่จูงมือลูก ฉันเห็นลูก หลาน ช่วยกันประคองคุณตาคุณยาย ฉันเห็นคนรักเดินเคียงคู่กันไป  แต่ที่ฉันประทับใจมากที่สุดก็คือ ภาพของคุณลุงคุณป้าที่แลดูอายุมากแล้วคู่หนึ่ง เดินจูงมือกันขึ้นไป ที่เค้าว่ากันว่าการเดินขึ้นภู ขึ้นดอย เป็นการทดสอบความอดทน ความรัก และความเห็นอกเห็นใจกันซึ่งกันและกัน ฉันว่าคุณลุงคุณป้าคู่นี้สอบผ่าน และการทดสอบในครั้งนี้ของทั้งสองคงไม่ใช่ครั้งแรกด้วย
หลังจากเก็บเกี่ยวบรรยากาศที่สวยงามต่าง ๆ รอบตัว พร้อม ๆ กับความเหนื่อย ฉันกับเพื่อน ๆ ก็เดินขึ้นมาถึงยอดภูชี้ฟ้าจนได้  เราเริ่มจับจองที่นั่งเพื่อที่จะรอดูพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อนผู้กล้าหาญของฉันพากันเดินไปนั่งตรงชะง่อนที่ยืนออกไปจากไหล่เขา ฉันกับเพื่อนที่เหลือจึงขอนั่งอยู่ตรงขอบบนที่ราบด้านในดีกว่า
พวกเรานั่งมองท้องฟ้าด้านหน้าอยู่นานมาก เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มปรากฏขึ้น ฉันเห็นหมอกสีขาวที่อยู่ด้านล่างเต็มไปหมด  ท้องฟ้าจากสีดำเริ่มกลายเป็นสีชมพูแล้วก็ค่อย ๆ เป็นสีแดง ในที่สุดก็กลายเป็นสีส้ม และแล้วเราก็ได้เห็นเพียงแค่แสงเท่านั้น เพราะดวงอาทิตย์ถูกเมฆบัง หลายคนพากันบ่นด้วยความผิดหวัง
แต่สำหรับฉันถึงแม้ดวงกลม ๆ ของพระอาทิตย์จะไม่ออกมาให้เห็น แต่แสงของมันก็ทำให้ฉันเห็นความสวยงามที่มหัศจรรย์ เพราะฉันไม่เคยได้พบเจอธรรมชาติยอดภูยามเช้าอย่างนี้มาก่อน
ฉันเห็นแสงแดดอ่อน ๆ หมอกสีขาวที่ให้ความรู้สึกนุ่มเหมือนพรมสำลี เขาสูงถูกหมอกปกคลุมเหลือไว้แค่เพียงยอด มองดูแล้วเหมือนเป็นเกาะที่โผล่ขึ้นมา ท่ามกลางทะเลแห่งเมฆหมอก
อากาศที่หนาวเย็นจากยอดภู ทิวเขาด้านข้างที่เขียวชอุ่ม  ฉันจ้องมองดู พร้อม ๆ กับถ่ายภาพ เพื่อที่จะเก็บความรู้สึกและความประทับใจจากการเดินทางครั้งนี้ให้มากที่สุด
เมื่อถึงเวลาต้องกลับฉันจึงได้หันมามองข้างหลัง ฉันตกใจมากจนอุทานออกมาว่า “ฉันขึ้นมาได้ยังไงเนี่ย”  ทิวเขากว้างใหญ่ ทางขึ้นสูงชัน  หลังจากชื่นชมความงามข้างบน  ก็ต้องกลับไปกลัวอีกรอบเมื่อจะต้องเดินลง แน่นอนที่เวลาลงจะยากกว่าตอนขึ้น เพราะทางดินที่ลื่น และชัน
แต่ในที่สุดฉันก็เดินลงมาจนได้ เมื่อมองกลับขึ้นไป ฉันรู้สึกดีมาก ๆ ที่ฉันได้ขึ้นไปบนยอดภู อาการกลัวความสูงของฉันคงจะใช้ไม่ได้กับเขาสูงอีกต่อไปแล้ว  เพราะภูชี้ฟ้าสอนให้ฉันได้รู้ว่า การกล้าเผชิญหน้ากับความกลัว ทำให้ฉันได้รางวัลจากความงดงามของธรรมชาติ และถึงแม้ในครั้งนั้น พระอาทิตย์จะไม่ขึ้นที่ภูชี้ฟ้า แต่พระอาทิตย์ดวงนั้นก็ขึ้นมาแล้วในใจฉัน
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น