หนังสือจอมหยิ่งกับเด็กชายจอมยุ่ง
    “อะไรกันเนี่ย !
ทำไมไม่ทะนุถนอมฉันหน่อย
โอ๊ย! เบาๆ หน่อยสิ  เจ็บไปหมดทั้งตัวแล้ว”
    หนังสือเล่มหนึ่งบ่นอย่างหงุดหงิด  เมื่อถูกเด็กชายคนหนึ่งจับเปิดมาก็เปิดไป  ด้วยความรุนแรง  เหตุผลนะเหรอ?  ก็เพราะเขาเบื่อกับการอ่านหนังสือน่ะสิ  จะถามต่อใช่ไหมว่าทำไมเขาไม่เลิกอ่าน  ก็จะให้เลิกอ่านได้ไง  เมื่อโดนผู้หวังดี ( แม่ ) บังคับให้อ่าน  เพราะอย่างงี้เขาจึงไม่พอใจและมาลงกับหนังสือเล่มนี้ที่อยู่ในมือของเขา 
    เด็กชายละมือจากหนังสือเล่มนั้น  เมื่อได้ยินเสียงพูด  เหลียวมองดูรอบตัว  ก็ไม่พบสิ่งใดที่น่าจะเป็นเจ้าของเสียงได้เลย 
“มองหาอะไรเล่า?  ฉันนี่แหละพูดกับนาย”  หนังสือตะโกนตอบ 
เด็กชายก้มลงมองดูหนังสือ  ก็พบรอยเว้าตรงกลางของหน้าหนังสือ  กำลังขยับขึ้นๆลงๆ  เหมือนปากที่กำลังพูด
“อะ
อะไรกันเนี่ย?  แกพูดได้ด้วยเหรอ” 
    “ก็เออสิวะ!” 
    “ไม่
ไม่
ไม่จริง
ฉันต้องหูฟาดไปแน่ๆ  มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก  หนังสือพูดได้  ตลกเกินไปล่ะ”
    “ก็แล้วแต่นายจะเชื่อ  แต่ที่เห็นอยู่  นายก็รู้ว่ามันเรื่องจริง”
    ว่าแล้วเด็กชายก็ลองหยิกแขนตัวเองดู
    “โอ๊ย!”  เกิดรอยแดงที่แขนของตัวเอง  และความรู้สึกเจ็บที่ช่วยยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน
    “เห็นไหมล่ะ
ฉันบอกนายแล้ว  ทีหลังโปรดนุ่มนวลกับหนังสือหน่อยนะ  ลาก่อน” 
    เมื่อสิ้นเสียงหนังสือก็ดีดตัวเองให้ปิดลง  งับเอาจมูกของเด็กชายที่กำลังยื่นหน้าเข้าไปใกล้ 
    “โอ๊ย!  ไอ้
หนังสือบ้า”
    “อุ้ย! โทษที  ไม่ตั้งใจแต่เจตนานะ
อิ
อิ”
    เด็กชายเอามือกุมจมูก  ลูบไปมาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บ  เมื่อค่อยยังช่วยแล้ว  จึงหยิบหนังสือเล่มนั้นเข้ามาดูใกล้ๆ  อีกครั้ง  พยายามที่จะเปิดมันออก  ด้วยมือข้างเดียวก็แล้ว  สองข้างก็แล้ว  ใช้อะไรต่ออะไรมางัดก็แล้ว  มันก็ไม่เปิดออกซะที  ในที่สุดเด็กชายก็หมดความพยายาม  จึงลองเอาไปให้แม่เปิดอ่านดูบ้าง
    “แม่ครับๆ  ดูหนังสือเล่มนี้สิครับ  น่าสนใจมากเลย”  ทำเสียงให้ฟังดูจริงจัง  ผู้เป็นแม่ก็ปลื้มมากที่ลูกชายให้ความสนใจในการอ่านหนังสือ  จึงละมือจากงานตรงหน้า  เพื่อคุยกับลูกชาย
    “ไหนจ๊ะลูก?”  เด็กชายจึงยื่นหนังสือเล่มที่เป็นตัวการให้แม่
    “วรรณกรรมเยาวชนเหรอจ๊ะ  เข้าใจหาหนังสืออ่านดีนี่เรา”  แม่ชมแล้วก็เปิดหนังสือออกดู  เด็กชายยืนตะลึงมองตาค้าง  เมื่อแม่ของเขาเปิดมันอย่างง่ายดาย  แทบไม่ต้องออกแรง  ทั้งๆที่เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา  เขาออกแรงแทบตาย  แต่มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  แข็งแรงราวหินผา  ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ ?
“เห็นไหมครับแม่ว่ามันน่าสนใจ”  เด็กชายยังแกล้งแสดงละครต่อไป
    “จ๊ะๆ  แล้วนี่อ่านจบรึยังล่ะ”
    “ยังครับ    เหลืออีกไม่กี่หน้าแล้วล่ะ  อยากเอามาอวดแม่ก่อน”
    “อืม
งั้นไปอ่านต่อให้จบนะ  แล้วมาเล่าให้แม่ฟังด้วยล่ะ”
    “ครับ
แม่” 
    ก่อนที่แม่จะปิดหนังสือเล่มนั้นลง  เด็กชายก็เอามือไปวางคั่นไว้  แล้วรับหนังสือคืนมา  เดินออกจากที่ตรงนั้น  เมื่อลับหลังแม่แล้ว  เด็กชายก็รีบวิ่งไปที่ห้องของตัวเอง  เปิดหนังสือเล่มนั้น  แต่ทันทีที่มือของเด็กชายออกจากการวางคั่นหน้าหนังสือไว้  หนังสือก็ดีดตัวเองปิดลง  เหมือนเช่นครั้งก่อน  เด็กชายลองพยายามที่จะเปิดหนังสือเล่มนี้ออกอีกครั้งหนึ่ง  แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ  !
“สรุป  ว่าแกจะไม่ให้ฉันอ่านแกใช่ไหม  ก็ได้!”
เด็กชายโยนหนังสือเล่มนั้นทิ้งลงบนพื้น 
“ไม่ใช่ไม่ให้อ่าน  แต่นายต่างหากที่ไม่อ่านเอง”
เด็กชายก้มลงมองดูหนังสือ  แต่ก็เพียงแค่มอง  ไม่ได้เก็บมันขึ้นมา
“อ๋อ
ยอมเปิดออกแล้วนี่  ทีเมื่อกี้ล่ะ  ทำเล่นตัว”
“ไม่ใช่ความผิดของฉันสักหน่อย  แล้วนี่จะให้ฉันอยู่อย่างนี้จริง ๆ เหรอ”
“ทำไม?  ก็เห็นว่าอยู่ได้ดีนี่  จะบ่นทำไม”
“เออ
แค่นี้ก็ทำงอน  ทีตัวเองทำกับเค้า  เค้ายังไม่โกรธเลย  คนใจร้าย”  แกล้งดัดเสียงให้เล็กๆ
“อย่ามาพูดแบบนี้เลย  ฉันไม่หลงเชื่อแกหรอก”
“เฮ้อ
พูดไม่เพราะเลยนะจ๊ะ  คำว่าคุณกับผมน่ะ  พูดไม่เป็นรึไง  อ้อ
หรือว่าจะใช้เค้ากับตัวเองก็ได้นะ”
“อย่าพูดอะไรบ้าๆหน่อยเลย”
“บ้าตรงไหนกัน  ความจริงทั้งนั้น  ถามอีกทีจะให้ฉันอยู่อย่างนี้จริงๆเหรอหะ”
“อือ
”    ตอบกลับแบบกวน ๆ
“เป็นคำตอบสุดท้าย?”  กวนไม่แพ้กัน
“ไม่
เอางี้ดีกว่า
นายตอบฉันมาก่อน  ว่าทำไมเมื่อกี้ฉันถึงเปิดนายออกไม่ได้”
“อุ้ย!  พูดเพราะๆ ก็เป็น”
“อย่าเล่นลิ้นน่ะ  ตอบมาเร็วๆสิ”
“อยากรู้เหรอ  เก็บฉันขึ้นไปก่อนสิ  แล้วจะบอกให้”
“OK
ก็ได้”
เด็กชายเอื้อมมือหยิบหนังสือขึ้นมา  วางไว้บนชั้นอย่างเดิม
“ก็แค่เนี่ยะ!  ขอบใจนะ”
“เฮ้ย!
เดี๋ยว  นายยังไม่ได้ตอบคำถามของฉันเลยนะ”
“อยากรู้  ก็เชิญหาคำตอบเอาเองเถอะ  พ่อคนเก่ง  ไปล่ะ  Bye  Bye”
และแล้ว    หนังสือเล่มก็ดีดตัวเองปิดลงอีก 
“อะไรกันเนี่ย?  นึกจะมาก็มา  นึกจะไปก็ไป  ไม่ให้ตั้งตัวกันเลย  แล้วฉันจะไปคำตอบนั่นได้ที่ไหนกันล่ะ  ?  โอ๊ย!  ฉันล่ะงง 
very  and  very  งงเลย”  เด็กชายบ่นกับตัวเอง
ในที่สุดเด็กชายก็ได้แต่นั่งมองหนังสือเล่มนั้น  พลางคิดหาวิธีที่เขาจะเปิดมันออกได้? 
แต่ไม่ว่ายังไง
เด็กชายก็คิดไม่ออกสักที !
เช้าวันรุ่งขึ้น
หลังจากที่เด็กชายตื่นนอน  อาบน้ำ  และกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว  เขาก็ไปยังสถานที่ที่เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะเข้าไปเลย  นั่นคือ
ห้องสมุด
เหตุผลที่เขาเลือกมาห้องสมุดก็เพราะ  “หนังสือจอมหยิ่งเล่มนั้น”  อีกอย่าง
เขาคิดว่า  ยังไงๆ  ก็เป็นหนังสือเหมือนกัน  อย่างน้อย  การที่เขาเลือกมาห้องสมุดในวันนี้ก็น่าจะช่วยให้เขาได้อะไรๆ กลับไปบ้างล่ะ
เด็กชายเดินไปที่ชั้นที่เขียนไว้ว่า  “วรรณกรรมเยาวชน”  เขาเลือกหยิบหนังสือหนึ่งในบริเวณนั้นมา  1  เล่ม  แล้วเดินมาที่โต๊ะที่ทางห้องสมุดมีไว้ให้สำหรับนั่งอ่านหนังสือ  เขาเลื่อนเก้าอี้ออก  แล้วค่อย ๆหย่อนตัวลงนั่ง  หนังสือเล่มที่เขาถือมา  ในตอนนี้วางอยู่ข้างหน้าเขา  และเขากำลังจะเปิดมันออก
ตึก
ๆ
ๆ
ๆ
ๆ
  ( เสียงหัวใจเต้นน่ะ )
“แล้วถ้าเปิดไม่ออกล่ะ”  เสียงหนึ่งดังขึ้นในความคิด
“ไม่หรอกน่า  มันไม่ใช่หนังสือเล่มนั้นสักหน่อย  ทำไมเขาจะเปิดมันไม่ออกล่ะ”  อีกเสียงหนึ่งค้าน
“แต่มันก็เป็นหนังสือเหมือนกันนะ” 
“ก็มันคนละเล่มนี่  หนังสือเจ้าปัญหาเล่มนั้นอยู่ที่บ้านนะ  ตอนนี้อยู่ที่ห้องสมุด  มันคนละที่กันเลย”
และในที่สุด  เขาก็ตัดสินใจเอื้อมมือมา  วางไว้บนปกหนังสือ  แล้วค่อยๆ  ขยับนิ้ว  เพื่อเปิดหนังสือ
แต่
เขาเปิดมันไม่ได้
เขาลองพยายามอีกครั้ง  แต่ผลก็เป็นเช่นเดิม  เขาจึงเดินไปที่ชั้นหนังสือ  ลองเปิดหนังสือดูทีละเล่มๆ  แต่ก็ไม่มีเล่มไหนที่เขาสามารถเปิดได้เลย  เขาอยู่ในห้องสมุดจนเลยเที่ยงมาแล้ว 
โครก
คราก
เสียงท้องร้องประท้วง  เพราะเลยเวลากินข้าวเที่ยงมาแล้ว  เขาจึงตัดสินใจที่จะกลับบ้าน 
    “ไม่เป็นไร  พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ก็ได้”  แล้วเขาก็ออกจากห้องสมุดไป
หลังจากกระเพาะได้อาหาร  เขาก็กลับเข้าไปในห้อง  นั่งมองหนังสือเล่มเดิมที่เขายังเปิดมันไม่ออก  พร้อมกับปล่อยความคิดให้ล่องลอยออกไป  กับคำถามคำเดิม
 
ทำไมเขาถึงเปิดหนังสือออกไม่ได้?
“จะมองกันอีกนานไหมจ๊ะ?”  เสียงจากหนังสือถาม
เด็กชายสะดุ้ง  ตื่นจากภวังค์ความคิด  เมื่อได้สติก็เอ่ยถามหนังสือว่า
“นี่
ถามจริงเหอะ  ทำไมฉันถึงเปิดนายไม่ได้  อ้อ
รวมทั้งหนังสือเล่มอื่นๆด้วย”
“อ้าว
ยังไม่รู้อีกเหรอ”
“ก็ยังไม่รู้นะสิ  ถึงนั่งอยู่นี่ไง”
“งั้น
”    หนังสือเว้นจังหวะ    ทำให้เด็กชายตั้งใจฟัง  เผื่อว่าจะบอกวิธีที่จะแก้ปริศนาข้อนี้ได้
“พยายามต่อไปล่ะกัน  ไปล่ะ”
“โธ่
เดี๋ยวสิ”  เด็กชายถึงกับหมดแรง  เฮ้อ
แล้วจะไปหาคำตอบนั่นได้ไงล่ะ?
เช้าวันรุ่งขึ้น  เด็กชายก็ไปที่ห้องสมุดอีก  แต่วันนี้เขาได้เจอกับครูประจำชั้นของเขา  เขาทักทายคุณครูของเขา  แล้วเดินไปที่ชั้นหนังสือ    “วรรณกรรมเยาวชน”  ( ที่เดิม )  เขาเอื้อมมือหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่บนชั้น 
ถือไว้ในมือ
  แล้วค่อยๆ  เปิดหนังสือออกดู  แต่
    เขาไม่สามารถที่จะเปิดหนังสือเล่มนั้นออกได้
    ทำไม ?
    หลังจากยืนงงอยู่นาน  เขาก็ลองหยิบหนังสือเล่มอื่นๆ  มาลองเปิดดูบ้าง  แต่ก็เปิดไม่ออกเช่นกัน  เขาจึงเดินไปที่ชั้นหนังสือหมวดอื่น ๆ  และก็ทำแบบเดียวกัน  คือ  หยิบหนังสือมาทีละเล่มและลองเปิดดู
    แต่ก็ได้ผลเหมือนกันทุกครั้ง 
    ไม่ประสบความสำเร็จ !
    คำถามหนึ่งก็ยังคาใจ  ผุดขึ้นมาในสมองครั้งแล้วครั้งเล่า
    ทำไม
ทำไม
และทำไม ?
    ครูประจำชั้นของเขาเห็นเด็กชายทำอย่างนี้อยู่นาน  จึงเดินเข้ามาถาม
    “ทำอะไรจ๊ะ  ครูเห็นเธอเปิดหนังสือมาแทบทุกหมวดแล้ว  ไม่รู้จะอ่านหนังสืออะไรเหรอจ๊ะ”  ครูถามด้วยรอยยิ้ม
    “เปล่าครับ  แล้วครูมาอ่านหนังสืออะไรเหรอครับ” 
    “อ๋อ
นี่ไง
พอดีกำลังสนใจเรื่องนี้อยู่  เลยมาหาหนังสืออ่านเพิ่มเติม”  ครูพูดพร้อมกับชูหนังสือเล่มหนึ่งในมือให้เด็กชายดู
    “คือ
ผมก็ไม่รู้จะอ่านหนังสืออะไรอยู่เหมือนกัน  นี่ก็เดินเกือบจะทั่วห้องสมุดแล้ว  ยังหาหนังสือที่ถูกใจอ่านไม่ได้เลยครับ”  ( แก้ตัวน้ำขุ่นๆ ค่ะ )
    “งั้น
ทำไมไม่ลองอ่านไปทีละเล่มก่อนล่ะ”
    ( ก็มันเปิดไม่ออกสักเล่ม  จะให้ทำอย่างนั้นได้ไง )    เด็กชายแย้งอยู่ในใจ
    “ก็ผมไม่รู้จะเริ่มจากเล่มดีนี่ครับ”
    “ครูว่า
เริ่มจากหนังสือเล่มไหนก่อนก็ได้  เพียงแค่เราต้องการจะอ่านมันจริงๆ  ไม่ว่าไง  หนังสือเล่มนั้นก็ให้ประโยชน์กับเราอยู่แล้ว  ลองดูเล่มนี่สิ”  ครูหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่ในมือมาเปิดให้เด็กชายดู
    “เห็นไหมว่า  ถึงยังไงหนังสือก็มีประโยชน์ต่อเราเสมอ  มันอยู่ที่เราเองว่าต้องการจะรับประโยชน์อันนั้นหรือเปล่า” 
    “ครับ
ขอบคุณนะครับ”
   
    ความต้องการที่จะอ่านหนังสือน่ะเหรอ ?
    แล้วที่ผ่านๆมา  เราอ่านหนังสือเพราะอะไรล่ะ ?
    แม่บังคับ
    ก็ใช่อ่ะนะ
เฮ้อ !
   
แล้วเด็กชายก็เดินแยกจากครูประจำชั้นของเขา  กลับมาที่ชั้นหนังสือ  “วรรณกรรมเยาวชน”  เขาเลือกหยิบหนังสือมาเล่มหนึ่ง  เดินไปที่โต๊ะสำหรับอ่านหนังสือ  ค่อยๆ ขยับนิ้วทีละนิ้ว  เพื่อเปิดหนังสือ  แต่ครั้งนี้  เขาเปิดด้วยความรู้สึกที่ว่า  “ต้องการที่จะอ่านมัน” 
ค่อย ๆ ขยับนิ้ว  แล้ว
เขาเปิดหนังสือเล่มนั้นออกได้
ไชโย !
หลังจากนั้นเขาก็อ่านหนังสือเล่มนั้นไปเรื่อย ๆ  จนจบ  เมื่ออ่านจบแล้ว  เขาก็เก็บหนังสือไว้ที่ชั้นตามเดิม  แล้วก็กลับบ้าน
เมื่อถึงบ้าน    เขาเดินไปที่ห้องของตัวเอง
นั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ  หยิบหนังสือเล่มนั้นมาวางไว้ตรงหน้า  แล้วก็เปิดหนังสือเล่มนั้นออก
 
มันช่างง่ายดายกว่าปอกกล้วยสักอีก
คำตอบของคำถามที่ค้างใจเขามานานก็คือ
“เขาไม่อยากอ่านหนังสือ  หนังสือมันก็เลยไม่ยอมให้เขาอ่าน”
“ว่าไงพวก !  ดูเหมือนว่านายจะหาวิธีเปิดฉันออกได้แล้วนี่”
“อือหึ
ง่ายชะมัดเลย”
“นั่นแหละ
มันอยู่ที่ใจของนายเองต่างหาก  เห็นไหมว่า
หนังสือก็มีหัวใจนะ”
“ครับผม
แล้วผมจะจำไว้”
“อือ
ทีหลังโปรดกรุณานุ่มนวลกับหนังสือด้วยนะ”
“ไม่รับปากนะ  แต่จะพยายาม”
“เดี๋ยวก็โดนหนังสืองอน  ไม่ยอมให้อ่านอีกหรอก”
“มีด้วยเหรอหนังสืองอน  พูดดีๆหน่อยสิ  ฉันงงไปหมดแล้วเนี่ย”
“เออน่า
ก็ไอ้ที่เป็นอยู่  ที่นายอ่านไม่ได้น่ะ  ก็เพราะหนังสืองอนนายน่ะแหละ”
“เหรอ ?  แล้วเนี่ยนายหายงอนรึยังล่ะ?”
“หายแล้วล่ะ    หมดเวลาของฉันแล้ว  ฉันต้องไปล่ะนะ” 
“เดี๋ยว
แล้วเราจะได้เจอกันอีกไหม”
“ไม่รู้สิ
คราวหน้าเขาอาจจะส่งคนอื่นมาก็ได้  นายอาจต้องเจอศึกหนัก”
“งั้น
ไม่ขอเจอใครอีกดีกว่า”
“ถ้างั้น
ก็ลาก่อน”
“ฉันจะคิดถึงนายเสมอ  ลาก่อน”
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา  เด็กชายก็จะอ่านหนังสือ  ด้วยความรู้สึกว่าอยากอ่านจริงๆ  ไม่ต้องรอให้ใครบังคับ  เขาก็อ่านได้  จนวันนี้  เด็กชายก็เป็นคนที่รักการอ่านไปอีกหนึ่งคน
นอกจากนี้เขาก็ไม่เคยเจอกับหนังสือจอมหยิ่งเล่มนั้นอีกเลย  รวมทั้งไม่เคยที่จะเปิดหนังสือไม่ออกอีกด้วย 
แล้วคุณล่ะ ? 
ระวังจะเปิดหนังสือไม่ออกนะจ๊ะ !
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น