หวานใจนายFreshy - หวานใจนายFreshy นิยาย หวานใจนายFreshy : Dek-D.com - Writer

    หวานใจนายFreshy

    รับน้องใหม่...คำ ๆ นี้เป็นจุดเริ่มต้นของเรา

    ผู้เข้าชมรวม

    2,577

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    2.57K

    ความคิดเห็น


    19

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  7 มิ.ย. 46 / 17:05 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      “เอ้า พี่ทุกคนเตรียมพร้อมประจำตำแหน่งนะครับ อีก 10 นาทีเราจะเปิดให้น้องเข้ามาแล้ว” เสียงโทรโข่งที่ดังมาจากรุ่นพี่ผู้เป็นหัวหน้างาน”รับน้องใหม่” คราวนี้ ประกอบกับภาพความวุ่นวายที่อยู่รอบ ๆ ตัว ภาพของคนที่วิ่งเข้าประจำตำแหน่งรับผิดชอบของตน หลายคนกำลังตั้งใจฟังคำสั่งและกรอกเสียงตอบวอร์กกี้ทอร์กกี้อย่างเอาเป็นเอาตาย
          “พี่ฝ่ายทะเบียนได้ปากกาหรือยังคะ”
          “เข้าใจวิธีการแล้วนะ”
          “เอ้า เตรียมตัว”
          “เฮ้ย จะมาปวดห้องน้ำอะไรตอนนี้เนี่ย!”
          บรรยากาศรอบ ๆ ตัวเหล่านี้ทำให้ “ริล” อดตื่นเต้นไม่ได้ แหม ก็น่าตื่นเต้นน้อยอยู่เมื่อไหร่ล่ะ แม้ว่าปีที่แล้วเธอก็ได้มาร่วมงานแบบนี้แล้วแต่ก็ในฐานะ “รุ่นน้อง” ส่วนปีนี้เธอมีสถานภาพใหม่ เป็นถึง “รุ่นพี่” เชียวนะคิดภาพสิมีรุ่นน้องมาเรียกเรา พี่ริลอย่างนู้น พี่ริลอย่างนี้คิดแล้วเท่ห์หยอกอยู่เมื่อไหร่ล่ะ เนี่ยเมื่อคืนเธอกับเพื่อนร่วมกลุ่ม ”รุ่นพี่” ถึงกับลงทุนอดตาหลับขับตานอนทำของที่ระลึกให้น้องกับมือเชียวนะ
          “นี่  นี่ ยัยริล ฝันค้างอะไรจ๊ะ ฝันถึงนายเอกหวานใจอยู่หรือเปล่า ถ้าใช่อะนะ รีบทำหน้า สวย ๆ ได้แล้ว โน่นเดินมาโน่นแล้ว” ปริมเพื่อนซี้ทำหน้าล้อเลียน
          พอรัชริลหันไปทางที่เจ้าเพื่อนตัวดีบอก ก็เห็น”เอก” หนุ่มคนที่ทำให้เธอใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ วันละหลาย ๆ รอบกำลังส่งยิ้มทักทายมาให้ ไม่ทันถึงห้าวินาทีรัชริลก็ผันตัวเองออกจากกลุ่มเพื่อนที่นั่งอยู่ไปยืนคุยกับพ่อหวานใจเรียบร้อยแล้ว
          “หวัดดีเอก”
          “ไง ริล นอนดึกไหมเมื่อคืน”
          “อืม ก็พอดูแหล่ะ แล้วเอกล่ะ”
          “ก็เกือบเช้าน่ะ” มิน่าล่ะดูเหนื่อย ๆ น่าสงสารจังริลคิดกับตัวเอง
          “เออ ใช่ แล้วริลทานอะไรหรือยัง ทานอะไรหน่อยไหม”
                    “อ๋อ ไม่เป็นไรเราทานแล้ว เอกไปทานเถอะ”
                    “เหรอ อืม งั้นเราไปก่อนนะ แล้วเจอกัน”  แล้วนายเอกก็เดินกลับไปประจำตำแหน่งของตัวเองที่อยู่ด้านในหอประชุม
      พอคล้อยหลังริลก็เดินกลับมาประจำโต๊ะลงทะเบียนที่ตัวเองรับหน้าที่อยู่โดยพยายามหลบสายตาล้อเลียนของเพื่อน ๆที่พยายามส่งมาให้เธอโดยเฉพาะ
      “แหม อุตส่าห์เดินมาทักถึงนี่เชียวนะ  ฉันว่านะนายเอกอาจจะมี something กับเธอก็ได้นะ”
      “ใช่ ๆ ขายออกซะที จะได้ไม่ต้องรักคุดเหมือนที่ผ่าน ๆ มา แล้ว”
      “บ้าน่ะ” แต่จริง ๆ ก็แอบดีใจน่ะสิ (เสียงภายในหัวบอก)  ^_^
                ก่อนที่จะโดนล้อมากไปกว่านั้น วงสนทนาก็ถูกขัดด้วยเสียง “เอาหล่ะ ปล่อยน้องเข้ามาได้แล้ว”  
               เด็ก ๆ Freshy ค่อย ๆ เดินเข้ามากันทีละคนสองคน บ้างก็หน้าตาเหลอหลา บ้างก็เดินก้มหน้าก้มตา บ้างก็คุยกับเพื่อน ๆ รอบ ๆ ตัวอย่างสนุกสนานตามประสาคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี รัชริลแอบคิดว่าปีที่แล้วเธอเป็นแบบไหนหนอ
      “น้อง ๆ ลงทะเบียนทางนี้ก่อนนะคะ แล้วเดินไปตามทางที่มีพี่ ๆ เสื้อขาวยืนอยู่นะคะ”
      “ขอให้สนุกนะคะน้อง”
      “ยินดีต้อนรับนะ”
               น้อง Freshy คนแล้วคนเล่าเดินเข้ามาลงทะเบียน คณะนู้น คณะนี้ จนเวลาล่วงเลยไปถึงตอนสาย “โต๊ะทะเบียน” จึงเก็บโต๊ะเพื่อเข้าไปในหอประชุมเพื่อร่วมกิจกรรมกับน้อง ๆ ด้านในหอประชุม
              
             การรับน้องของมหาวิทยาลัยนี้ก็เหมือนกับที่อื่น ๆ โดยจะแบ่งน้องออกเป็นกลุ่ม ๆ  แล้วแต่ละกลุ่มจะมีรุ่นพี่จากคณะต่าง ๆ ประมาณ 7-8 คนซึ่งจะเรียกว่า “พี่กลุ่ม” จะมาช่วยดูแลน้อง กลุ่มของริลนั้น ชื่อว่ากลุ่ม “จ. จาน”  ซึ่งตอนแรกริลก็ไม่อยากอยู่กลุ่มนี้เท่าใดนักเพราะการจับพี่กลุ่มแบบการคละนั้นทำให้เธอต้องแยกจากเพื่อนสนิท แต่ตอนนี้เธอแอบรู้สึกดีใจลึก ๆ เพราะการจับกลุ่มแบบนี้เองที่ทำให้เธอมีโอกาสได้รู้จักและอยู่กลุ่มเดียวกับ”เอก” ขวัญใจของเธอ และยังได้มีโอกาสรู้จักและได้เพื่อนใหม่จากคณะอื่นด้วย ซึ่งตอนนี้ริลก็เข้ากับพี่กลุ่มคนอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี การทำงานร่วมกันจึงเป็นเรื่องสนุกและไม่ยากอย่างที่คิด
                ส่วนนายเอก ตอนแรกรัชริลก็ไม่ได้สนอกสนใจนายเอกคนนี้สักเท่าไหร่หรอกนะ เพราะหน้าตาก็ออกจะแสนธรรมดาไม่ได้อยู่ในเสปคเธอเลยสักนิด แถมยังเป็นคนที่ออกจะเงียบ แล้วหน้าเรียบเฉย ที่เดาไม่ถูกว่าคิดอะไรอยู่ นั่นอีกที่ทำให้ริล (ซึ่งออกจะเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ ดีมาก และตามปกติก็คุยกับคนแปลกน้ำไหลไฟดับ) ไม่กล้าเข้าไปคุยด้วย แต่พอเริ่มรู้จักกันไป ทำงานตอนเตรียมงานด้วยกันมากขึ้น ก็ได้เห็นความเป็นสุภาพบุรุษ ความเป็นห่วงเป็นใย ความมีน้ำใจของเอก จนทำให้ริลประทับใจจนกลายเป็น แอบชอบอย่างนี้แหล่ะ
              
                ริลเดินเข้าไปในหอประชุม แล้วไปนั่งรวมกลุ่มกับพวกน้อง ๆ และเพื่อนๆ “พี่กลุ่ม จ.จาน” ของเธอ “เป็นไงริล เหนื่อยไหม” เสียงคุ้นเคยเอ่ยถาม “ไม่หรอก แค่ร้อนน่ะ” รัชริลแอบดีใจลึก ๆ ที่เขาอุตส่าห์ถาม (แม้อาจจะเป็นตามมรรยาทก็เถอะ)

               งานพิธีภาคเช้า เป็นการเปิดกิจกรรมการรับน้อง มีอธิการและอาจารย์มากล่าวต้อนรับ ซึ่งก็ได้ดำเนินมาถึงตอนเที่ยง หลังจากนั้นจึงเป็นการพักทานอาหารกลางวัน โดยแบ่งตามกลุ่ม และตอนบ่ายเป็นการทำกิจกรรมย่อยในกลุ่มของตน
                ระหว่างทานอาหารพี่ ๆ ก็ได้มีโอกาสพูดคุย ทำความรู้จักกับน้อง ๆ ในกลุ่ม และการทำกิจกรรมสันทนาการร่วมกันในตอนบ่ายก็ทำให้รัชริลได้มีโอกาสรู้จักกับน้อง ๆ หลายต่อหลายคน ซึ่งน้อง ๆ น่ารักมาก ๆ ทำให้ตอนสันทนาการเธอใส่ “ลูกบ้า” ทั้งหมดที่มีอยู่ ผลคือเธอก็ได้กลายเป็นตัวอย่างในการแสดงท่าเต้น ไปซะแทบทุกเพลง แต่งานนี้สนุกสุด ๆ จริง ๆ แฮะ
               พอตกตอนเย็นก็มีกิจกรรมในหอประชุมอีก และกิจกรรมก็ดำเนินไปจนถึงประมาณ 4 ทุ่ม
      “คงสนุกนะ”  เธอคิด แต่เธอต้องออกมาก่อนในฐานะที่รับหน้าที่เป็น “ฝ่ายที่พัก” แต่การพลาดความสนุกในหอประชุมก็ทำให้ชดเชยให้เธอโดยให้เธอได้แอบมามีความสุขใจเล็ก ๆ ที่ได้อยู่กับคู่บัดดี้ฝ่ายที่พักของเธอ ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหวานใจ นายเอก
              
               หน้าที่ของฝ่ายที่พักคือการไปเตรียมที่นอนให้แก่น้อง ๆ และเตรียมอาหารว่าง ซึ่งการที่ต้องล่วงหน้าไปที่ตึกนอนก่อนทำให้ริลได้มีโอกาสซ้อนจักรยานเขา ระหว่างซ้อนเธอก็แอบคิดว่าโชคดีจริงๆ  แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
      “นี่ ๆ เอกดาวดวงนั้นน่ะ เห็นไหม เขาบอกว่าจะขอพรได้นะ”
      “จริงเหรอ ดีเลยงั้นเราจะได้ขอให้เกรดเทอมนี้ออกมาดีๆ”
      ว้า นึกว่าจะขออะไรซะอีก ริลแอบบ่นกับตัวเอง
      “เอ่อ…แล้วก็อาจจะขอให้เรามีแฟนซะทีนึง”
      เอ๋…ยังว่าง
      “ก็จีบน้องเลยเป็นไง เอกว่าน้อง ๆ ปีนี้น่ารักไหมล่ะมีใครเข้าตาหรือยังล่ะ ? “
      ใจแอบเต้น ถ้าเขาบอกว่ามี จะเป็นไงนะ…
      “ไม่หรอก เราไม่ชอบเด็ก”
      “เหรอ” (ในใจดีใจสุดฤทธิ์)
      “…….เราชอบคนอายุเท่ากันน่ะ คุยกันรู้เรื่องกว่า”
      ถ้าใครผ่านไปตอนนั้นคงได้เห็นยัยริลจอมแสบยิ้มแก้มแทบปริ (แม้เขาจะไม่ได้หมายถึงตัวเองแต่ก็ขอ คิดหน่อยละกันนะ)  ^_^



               วันที่สองของการรับน้องเป็นการพาชมมหาวิทยาลัยและแนะนำชมรมต่าง ๆ ซึ่งจะมีชมรมต่าง ๆ พากันมาแสดง เพื่อเรียกคนเข้าชมรมของตน โดยได้แบ่งเป็นซุ้ม ๆ
      “เชิญเข้าชมรม ฟุตบอลค่ะ”
      “ชมรมการละครก็ดีนะ”
      “เทควันโด”
      “รำไทย รำไทยจ้า”
               กิจกรรมนี้กินเวลาไปถึงตอนเย็นโน่นแหน่ะ ระหว่างที่รัชริลกำลังเดินดูกิจกรรมชมรมอยู่เพลิน ๆ นั้น เธอก็แอบไปเห็นหนึ่งในน้องในกลุ่มของเธอนั่งหลบมุมอยู่
      เอ..ชื่อน้องอะไรนะ….อ๋อนึกออกแล้ว
      “น้องมาร์ค มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ ไม่ไปดูชมรมเหรอจ๊ะ ?”
      “ไม่ละครับ ผมไม่คิดที่จะเข้าชมรม”
      “อ้าวทำไมล่ะ”  รัชริลออกจะแปลกใจที่มีคนคิดเช่นนั้นอยู่ไม่น้อย ก็เพราะเธอและเพื่อน ๆ ได้ชื่อว่าเป็น”เด็กกิจกรรม” เต็มตัวทีเดียว และเธอก็คิดอยู่เสมอว่าการทำกิจกรรมให้อะไรมากกว่าการมาเรียนเฉย ๆ แน่ๆ
      “ไม่ชอบทำกิจกรรมเหรอ ?”
      “เอ่อ…คือ…ไม่ใช่หรอกครับพี่ คือ …ผมคงไม่มีเวลาทำกิจกรรมแน่ ๆ …ถ้าทางบ้านผมรู้ว่าผมเอาเวลามาเล่น คงโดนแน่ ๆ “
      “เอ๋ ??”
               หลังจากได้คุยจึงรู้ว่าทางบ้านของมาร์คทำธุรกิจขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงตั้งใจให้มาร์คตั้งใจเรียนอย่างเดียวเพื่อจบออกมาบริหารงานบริษัท ซึ่งทางบ้านเขาคิดว่าการทำกิจกรรมเป็นเรื่องเสียเวลา ไร้ประโยชน์ ซึ่งมาร์คเองก็กลุ้มใจอยู่ไม่น้อย เพราะตัวเขาเองนั้นต้องการเข้าชมรมบาสเกตบอล ซึ่งเป็นกีฬาที่ชอบและเขาก็เล่นได้ดีทีเดียว
               หลังจากคุยกันอยู่พักใหญ่มาร์คก็ตัดสินใจเข้าชมรมบาสเกตบอลตามที่ตัวเองชอบ โดยตั้งใจแบ่งเวลาทำกิจกรรม และเรียนให้เหมาะสม ซึ่งแม้จะไม่บอกให้ที่บ้านรู้ แต่มาร์คก็มั่นใจว่าคงไม่มีปัญหาอะไร
      รัชริลรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเป็นครั้งแรกที่เธอทำหน้าที่รุ่นพี่อย่างสมบูรณ์แบบ
                     รัชริลคงไม่ทราบว่าการสนทนาในวันนั้นเป็นการสร้างความประทับใจในตัวเธอให้กับมาร์คอย่างเงียบ ๆ
        
          งานในตอนเย็นเริ่มต้นด้วยการรับประทานอาหารร่วมกัน การสันทนาการ การแสดงต่าง ๆ และตบท้ายด้วยมินิคอนเสิร์ทสุดมันจากนักร้องชื่อดัง
                    ระหว่างการแสดงนั่นเอง ที่นายเอกเดินเข้ามาหาเธอ ตอนแรกก็เดินผ่านไป ใครจะคิดพอหันมาสบตา และยิ้มให้แล้วเขากลับเดินมานั่งเผละข้าง ๆ ริลเสียอย่างนั้น ท่ามกลามสายตาสนอกสนใจปนอิจฉาของเพื่อน ๆ ตัวดีของเธอ เขาจะรู้ไหมนะว่าตัวเองน่ะโดนจับตามองอยู่ แต่ดูท่าเขาก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไร กลับพูดคุยปกติ แต่คนที่แย่นี่สิ  ก็คือ รัชริล ที่หัวใจแทบจะระเบิดออกมา  นอกอกด้วยความตื่นเต้น
          หลังคอนเสิร์ทเลิกก็เป็นพิธีบายศรีให้กับน้องใหม่ โดยพี่ ๆ ซึ่งการบายศรีก็ผ่านไปด้วยความสวยงาม และเป็นความทรงจำที่ดีให้กับหลาย ๆ คน
          หลังจบงานทุกคนก็แลกเปลี่ยนเบอร์โทร อีเมลล์ และแยกย้ายกันกลับบ้าน รัชริลก็ได้แต่เสียดายที่ต่อไปคงจะไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดเอกแบบนี้อีกแน่…



          เมื่อการรับน้องผ่านพ้นไปก็ถึงเวลาเปิดเทอมที่ทุกคนต้องกลับไปตั้งใจเรียนอีกครั้ง การขนของย้ายเข้าหอพักก็ยุ่งยากพอควรทีเดียว แต่ทุกคนก็ตื่นเต้นกับเทอมใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้น พร้อมกับอะไรใหม่ ๆ
          หลังจากงานรับน้อง รัชริลก็พยายามส่ง Message ไปให้เอกบ้างเป็นบางครั้ง (แบบว่าไม่กล้าส่งบ่อย ) ตามแผนของเพื่อนสาว ซึ่งช่างยุ ช่างกรอกหูอยู่ตลอดว่าอย่าให้ความห่างมาทำให้เหินห่าง หรือ สิทธิเท่าเทียมที่ผู้หญิงจะจีบผู้ชายก่อน และก็อะไรประมาณเนี้ยแหล่ะ ซึ่งเอกก็ตอบ Message  กลับมาทุกครั้ง ทำให้ริลยังมีกำลังใจอยู่บ้าง
                    
                  หลังเปิดเทอมไม่กี่วัน รัชริล ได้รับโทรศัพท์จากมาร์ค บอกว่าจะขอพบมีเรื่องจะบอก     มาร์คบอกว่าทางบ้านเขารู้เรื่องที่เขาสมัครเข้าชมรมบาสเกตบอลแล้ว แต่เรื่องทุกอย่างก็จบลงตรงที่ทางบ้านเขายอมเข้าใจโดยที่มาร์คสัญญาว่าจะไม่ให้เสียการเรียน
      “เนี่ยผมถึงอยากบอกเรื่องนี้กับพี่ริลก่อนใครเลย ขอบคุณนะฮะที่ช่วยให้กำลังใจผม”
      “ดีแล้วหล่ะมาร์ค พี่ดีใจด้วยนะ”
      “งั้นมื้อนี้ผมเลี้ยงเองนะ ถือว่าตอบแทนแล้วกัน”
              จริง ๆ เราก็ไม่ได้ทำอะไรมากเลย แต่เอาก็เอา แหม ..มาร์คเนี่ยเป็นคนดีจริง ๆ แฮะ ดู ๆ ไปเนี่ยก็หล่อไม่ใช่เล่นนะ ต่อไปคงป๊อปน่าดู ภูมิใจจังที่บอกว่าเป็นน้องกลุ่มเรา…

              จริงอย่างที่คิดซะด้วย มาร์ค กลายเป็นหนุ่มฮอทไปจริง  ๆ ด้วยคุณสมบัติครบถ้วน รูปหล่อ พ่อรวย เรียนดี กีฬาเด่น และนิสัยดี ทำให้มาร์คกลายเป็นหนึ่งในหนุ่มที่มีสาว ๆ หมายปองมากที่สุดในมหาวิทยาลัยทีเดียว ทุก ๆ เย็นริมสนามบาสที่มาร์คมาซ้อมบาส ก็จะกลายเป็นที่รวมตัวของ “มาร์คแฟนคลับ” ไปโดยปริยาย
               แต่ที่น่าภูมิใจก็คือ ไม่ว่าป๊อปแค่ไหนมาร์คก็ไม่เคยลืมที่จะโทรหา หรือแวะมาหารัชริลอยู่บ่อย ๆ  
               บางวันมาร์คก็รับอาสาปั่นจักรยานมารับริลไปนั่งรถจักรยานชมวิวเล่น ตอนกลางคืนทั้งมหาวิทยาลัยจะถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีส้มจากไฟข้างทางที่ส่องลงมา ดอกไม้เล็ก ๆ ที่แซมขึ้นมาตามหมู่พุ่มไม้ บ่อน้ำเล็ก ๆ ที่กลายเป็นสีดำราวกับหมึกในยามค่ำคืน ซึ่งเป็นที่รวมตัวกันของหิ่งห้อยน้อย ทุกสิ่งงดงามราวกับความฝัน
      “นี่ ๆ ริล (ลืมบอกว่าหลัง ๆ มาร์คไม่ยอมเรียกพี่อีกแล้ว เจ้าตัวบอกว่ามันทำให้ตัวเองรู้สึกเด็ก ๆ ยังไงไม่รู้ ยังไงขอเรียกชื่อแล้วกัน) เห็นใบไม้นี่ไหม”….มาร์คพูดพร้อมกับหยิบใบไม้สี่กลีบใบเล็ก ๆ ขึ้นมาวางบนฝ่ามือรัชริลอย่างทะนุถนอม
      “เนี่ย เขาบอกว่า มันเป็นใบไม้นำโชคนะ ใครมีก็จะโชคดีหล่ะ ในเฉพาะเรื่องความรัก…ริลเก็บเอาไว้นะ แล้วจะได้โชคดี เจอคนดี ๆ อย่างมาร์คไง “
      “อะไรนะ..เจออะไรนะมาร์ค? “
      “เปล่า ๆ ไม่มีอะไรหรอก”  หากเป็นเวลากลางวันรัชริลคงได้เห็นนายมาร์คหน้าแดงเป็นลูกตำลึงแน่ ๆ
             (นายมาร์คกระซิบว่า กว่าจะรวบรวมความกล้าพูดออกมาได้แทบตาย ไม่น่าพลาดเลย…เฮ้อ)


               วันนี้มาร์คมาหาแต่เช้าพร้อมประกาศข่าวเสียงตื่นเต้นว่า “ นี่ ๆ อาทิตย์หน้ามาร์คจะแข่งรอบชิงชนะเลิศกีฬามหาวิทยาลัยแล้วนะ วันแข่งริลต้องไปเชียร์มาร์คนะ”
      “เอ่อ..แต่ว่า…”
      “นะ…นะ..นะนะนะนะ”
      “น้าาาาาาาาา “
      “ก็ได้ ก็ได้…” แหม ก็เล่นส่งสายตาอ้อนวอนซะขนาดนั้นนี่หน่า
               จริง ๆ แล้วเวลาอยู่กับมาร์คก็สนุกดี ด้วยลักษณะเป็นคนอารมณ์ดี คุยเก่ง ช่างอ้อน เหมือนเด็ก ๆ ของเขา ทำให้รัชริลรู้สึกดี และสนุกเวลาได้คุยกับเขาเสมอ และมาร์คยังคอยสรรหาเรื่องต่าง ๆ มารายงานว่าไปทำอะไรมาบ้างมาให้ฟังได้ทุกวันซะอีก
        
               และวันแข่งกีฬาก็มาถึง สนามบาสที่แข่งเต็มไปด้วยกองเชียร์(ที่เยอะเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นรอบชิงชนะเลิศ)ของทั้งสองทีมที่กำลังร้องเพลงเชียร์ทีมของตัวเองอย่างสนุกสนาน  
               ท่ามกลางเสียงกลอง เสียงเชียร์ของกองเชียร์(ซึ่งแน่นอนว่าเป็นผู้หญิงซะส่วนใหญ่) ขณะรัชริลกำลังเดินเข้าไปนั่งท่ามกลางกองเชียร์ของฝั่งเจ้าภาพ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
      “ว่าไงมาร์ค……. เอ๋ ….เห็นด้วยเหรอ……มาร์คอยู่ไหนล่ะ……” นั่นแน่ะเจ้าตัวยิ้มร่าโบกมือให้ซะอีก
      “ริล..คอยดูนะ มาร์คจะเอารางวัลชนะเลิศมาให้ริลหล่ะ ….อวยพรให้มาร์คด้วยนะ“
      “อืม….ขอให้ชนะนะมาร์ค”

              ดูสิ ก่อนแข่งยังอุตส่าห์โทรมาให้อวยพรอีก

                 การแข่งขันดำเนินไปอย่างดุเดือด ขนาดรัชริลผู้ซึ่งไม่ค่อยจะสนใจกีฬาสักเท่าไหร่ยังอดลุ้นจนตัวโก่งไม่ได้ ..ตอนนี้ทีมของมาร์คกำลังนำอยู่ ถ้าเล่นต่อไปคงจะชนะได้อย่างไม่ยาก
                แต่แล้วอยู่ ๆ เกมส์ก็ต้องเบรคเมื่อมีนักกีฬาล้มลง เสียงกองเชียร์ฮือฮา หลายคนลุกขึ้นชะโงกดูว่าใครเป็นผู้โชคร้าย…แล้วรัชริลก็ต้องใจหายวาบเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนล้มลงไปกอง
      “มาร์ค !!!!”  
                ในสนาม แพทย์สนามเข้ามาดูแล และหาม”ผู้บาดเจ็บ”ออกไป
      ริลรีบวิ่งไปดูข้างสนาม
      “มาร์ค เป็นยังไงบ้าง มาร์ค …มาร์ค “
               รัชริลแหวกฝูงชนไปจนถึงผู้บาดเจ็บที่กำลังโวยวายพยายามจะลุกขึ้นเพื่อไปแข่งต่อ แต่ทุกคนพยายามห้ามเอาไว้ เนื่องจากข้อเท้าของมาร์คถูกกระแทกอย่างรุนแรง ซึ่งถ้าฝืนออกไปแข่งต่ออาจทำให้เกิดผลร้ายระยะยาวได้ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ยอม และยืนยันจะแข่งต่อให้ได้ เหตุการณ์วุ่นวายต่าง ๆสงบลงได้เมื่อรัชริลเดินเข้ามาห้ามคนเจ็บเอาไว้ได้
      “ทำไมดื้ออย่างนี้นะมาร์ค” ริลบ่นกระปอดกระแปดเมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องพยาบาล
      “ก็มาร์คอยากเอารางวัลมาให้ริลนี่หน่า อย่างงี้ก็เท่ากับผิดสัญญาน่ะสิ”
      “สัญญงสัญญาอะไรนั่น ช่างมันเถอะน่า ริลก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรซะหน่อย”
      “แต่มาร์คซีเรียสนี่…ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับริล มาร์คซีเรียสนะ ไม่เคยคิดจะล้อเล่นเลยด้วย”
               รัชริลรู้สึกถึงสายตาของมาร์คที่จ้องมองมาที่เธอนั้น ไม่มีแววขี้เล่นเหมือนเคย แต่เป็นแววตาที่เอาจริงเอาจัง ซึ่งเหมือนสะกดให้เธอไม่สามารถขยับตัวหรือพูดโต้ตอบอะไรได้เลย
                 ความรู้สึกของรัชริลในขณะนี้ราวกับถูกสะกด เธอแทบไม่รู้ตัว เมื่อใบหน้าของมาร์คเข้ามาใกล้จนริมฝีปากทั้งสองแตะกันอย่างแผ่วเบา ตอนนี้สมองของเธอเบาหวิว รู้สึกถึงแต่ความรู้สึกอบอุ่นที่แผ่ซ่าน….




      “เฮ้ย ริล ฉันว่าน้องมาร์คต้องชอบแกแน่เลยหว่ะ เห็นทั้งโทรมา ทั้งมาหาได้แทบจะทุกวัน”
      ระยะหลัง ๆ เพื่อน ๆ ตัวดีเริ่มตั้งข้อวิจารณ์กันราวกับเป็นเรื่องสนุก
      “บ้าน่า ไม่มีอะไรซะหน่อย”
      “นี่ ๆ แต่ถ้าเกิดเขาชอบแกจริง ๆ ล่ะ แกจะทำยังไง”
      “เฮ้ย แต่มีแฟนเด็กกว่าเนี่ยจะดีเหรอ”
      “เอาเหอะ ขบวนสุดท้ายแล้วนะเพื่อน”
      “เขาก็ไม่ได้อ่อนกว่าริลซักเท่าไหร่เลย เราไปสืบมาแล้ว เกิดปีเดียวกันกับริลด้วยซ้ำ”
      “น่าสนนะริล น้องเขาออกจะป๊อป สาว ๆ ได้อิจฉาเธอเป็นแถบ ๆ แน่ “
      “ไม่เอาฉันเอานะเว้ย  ฮ่า ฮ่า ”
      “ช่างเถอะน่า” พวกแม่ตัวดีเพื่อนเธอ ยังไม่รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับมาร์ค บอกไม่ได้เด็ดขาด เธอคิด ไม่อย่างนั้นได้โดนล้อตลอดชาติแน่เลย แต่เธอก็ยังแอบคิดถึงความรู้สึกอบอุ่นนั้นอยู่ไม่คลาย
      “นี่ ๆ เป็นอะไรอ่ะ หน้าแดงเชียว คิดอะไรทะลึ่งอยู่หรือเปล่ายะ? “
      “บ้าน่า..”  (เฮ้อ)
      “…เออ..ว่าแต่ เรื่องนายเอกล่ะว่าไง ไปถึงไหนแล้ว”
      “ก็ไม่ได้อะไรนี่ ไม่ค่อยได้คุยกันแล้ว”
                พูดไประยะหลัง ๆ หลังจากเปิดเทอมก็ไม่ค่อยได้เจอเอกเท่าไหร่ ความสัมพันธ์ก็ไม่ได้คืบหน้า แต่ก็มีระยะหลัง ๆ นี่แหล่ะที่เอกโทรมาคุยบ่อย ๆ  แต่น่าแปลกที่ริลไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นแทบเป็นแทบตายอย่างแต่ก่อน แม้จะรู้สึกดีที่ได้คุยก็ตาม หรือเป็นเพราะเวลาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป หรือเป็นเพราะ”หนุ่มป๊อป” คนนั้นนะ…ซึ่งเหตุผลหลังเนี่ยรัชริลก็ไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไหร่


        เสียงโทรศัพท์ดังขณะที่รัชริลกำลังเตรียมตัวเข้านอน
      “…หวัดดีจ้ะเอก…ว่าไง “
      “ ริลนอนหรือยัง เรารบกวนหรือเปล่า ? “
      “ อ๋อยังหรอกจ้ะ”
      “คือว่าเรามีเรื่องอยากคุยด้วยน่ะ ริลว่างไหม”
      “อืม…ได้ พรุ่งนี้ที่ร้านข้าวเป็นไง”
                รัชริลไม่ได้คุยกับเอกอย่างสบายใจแบบนี้มานานแล้ว ถึงแม้จะแอบตื่นเต้นก็ตาม รู้สึกว่าความรู้สึกที่เคยมีมันอาจไม่ใช่ความชอบ แต่อาจเป็นความชื่นชมก็เป็นได้ เมื่อแยกความรู้สึกได้อย่างนี้แล้ว เธอจึงรู้สึกสบายใจที่ได้คุยกับเอกในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง

      “นี่ ๆ เมื่อคืนคุยกับใครเหรอ โทรไปสายไม่ว่างเลย” มาร์คถามทันทีที่เจอหน้าในเช้าวันถัดมา
      “อ๋อ คุยกับเพื่อนน่ะ” (ทางที่ดีไม่บอกดีกว่าว่าเป็นใครเพราะเดี๋ยวจะโดนซักอีก ขี้เกียจตอบ)
      “ช่างเหอะ ..อืม..เย็นนี้ริลทำอะไรหรือเปล่า ไปทานข้าวกันนะ”
      “เย็นนี้ ไม่ได้หรอกมาร์ค ริลมีนัดกับเพื่อนไว้แล้วน่ะ “
      “เพื่อนที่ไหนเหรอ ..พวกพี่ปริมเหรอ”
      “เอ่อ…เพื่อนเก่าน่ะ…เอาไว้แล้วเจอกันแล้วกันนะ “

                รัชรินเข้าไปในร้านข้าวที่ได้นัดเอกเอาไว้ อดตื่นเต้นไม่ได้แฮะ แม้จะไม่ได้ชอบเอกมากมายเท่าแต่ก่อนแล้วก็เถอะ แต่ไอ้ความรู้สึกตื่นเต้นเนี่ยมันก็ยังคงมีอยู่บ้างแหล่ะ
      “ริล …ริล ..ทางนี้ “ เสียงดังมาจากโต๊ะตัวหนึ่ง
      “หวัดดีจ้ะ”
      “ทานอะไรดีล่ะ สั่งเลย เราเลี้ยงเอง”
      ยังคงเป็นสุภาพบุรุษเหมือนเดิมแฮะ รัชรินคิด และแอบยิ้มกับตัวเอง
      “ไม่เป็นไรเราไม่หิว..ขอเป็นน้ำเปล่าแล้วกัน”
      หลังจากสั่งของเรียบร้อยแล้ว เธอกับเอกก็คุยกันเรื่อยเปื่อย
      “รู้ไหมริล ..ทำไมเราถึงชวนริลออกมา? “ เอกเริ่มเข้าเรื่อง
      “ไม่รู้สิเอก แล้วทำไมเหรอ”
      “คือ…..เราอยากถามริลว่า……เอ่อ……มันยังทันไหมถ้าเราจะชอบริลน่ะ…….ความจริงเราชอบริลตั้งแต่ตอนรับน้องแล้วนะ แต่เราไม่แน่ใจตัวเอง จนกระทั่งได้ยินเรื่องริลกับมาร์ค เราถึงรู้ว่าเราชอบริล และไม่อยากเสียริลไป”
      “…………………………”
      “อาจฟังดูเห็นแก่ตัวนะ แต่เราแค่อยากถามว่า…..เรายังพอมีโอกาสบ้างไหม? “
      รัชริลรู้สึกได้ว่ามือที่จับมือของเธออยู่นั้นสั่นนิด ๆ แสดงว่าเจ้าของนั้นอยู่ในอาการเกร็งไม่น้อยทีเดียว
      “…………..”
      “…เอ่อ……..ขอโทษนะเอก”  รัชริลเอ่ยอย่างนุ่มนวล มือที่วางทับลงไปบนมืออันสั่นน้อย ๆ นั้น อบอุ่นราวกับจะปลอบโยน
          “………………….”
                    เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่มีใครสังเกต จนเธอหันไปมองนอกร้านเธอจึงเห็นคนที่เธอไม่อยากให้มาเห็นมากที่สุดในตอนนี้
          นอกร้าน มาร์คยืนอยู่กำลังจ้องมองคนทั้งคู่ เขายืนเฉยแต่แววตาที่มองมานั้นรัชริลสามารถสัมผัสได้ถึงความเศร้า ความผิดหวัง ความเสียใจ ในดวงตาคู่สวยคู่นั้น จนใจเธอกระตุก
          “มาร์ค…ไม่ใช่นะ!!”
          แต่มาร์คคงไม่ได้ยิน เพราะเขาเดินจากหน้าร้านออกมาโดยไม่แม้หันไปมอง
      “เดี๋ยวมาร์ค” ริลตั้งท่าจะวิ่งตามออกจากร้าน
      “ริล….”
      “ถ้าก่อนหน้านี้ เอกคงจะมีหวังใช่ไหม “ เอกเอ่ยถามเศร้า ๆ
      “……..”
      “รีบไปเถอะ เดี๋ยวไม่ทันนะ” เอกเตือนสติ
      “เฮ้อ สมน้ำหน้าตัวเองไหมเนี่ย…..ใครว่าช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม……..บางครั้งทำอะไรชักช้าก็เสียพร้าเล่มงามได้เหมือนกันนะ” เอกบ่นกับตัวเอง


               หลังจากวันนั้นมาร์คก็ไม่ได้ติดต่อรัชริลอีกเลย…เธอเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามโทรหาทั้งที่บ้านและมือถือแต่ก็ไม่ยอมรับสาย จนเวลาล่วงเลยไปเป็นอาทิตย์
      “นี่ ๆ ยัยริล วันนี้ฉันเห็นน้องมาร์คหล่ะ “
      “จริงเหรอที่ไหน ๆ “ รัชริลแทบจะกระชากคอเสื้อปริม
      “โอ้ย เดี๋ยวฉันก็ตายซะก่อนหรอก…..โน่นๆ มองออกไปนอกหน้าต่างสิ” ปริมพูดพลางพยักเพยิดไปทางหน้าต่าง (ทั้งคู่อยู่ชั้น 1 นะจ๊ะ)

      “คุณผู้หญิง…สนใจไปขี่จักรยานไหมครับ  ?”
      “……………….”
      “อ้าวไม่ไปเหรอ” เจ้าของจักรยานทำหน้ายียวนซะอีกแหน่ะ จนอดทำให้ริลหัวเราะไม่ได้
      “ไปสิ…….ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

                สองข้างทางถนนยังคงประดับด้วยพุ่มไม้สีเขียว มีดอกไม้เล็ก ๆ ขึ้นแซม ไฟสีส้มที่คอยส่องถนนยังคงสว่างใส บรรยากาศรอบข้างยังคงสวยงาม และ ณ กลางถนนยังมีจักรยานคันหนึ่ง ที่มีหนึ่งคนขี่ และหนึ่งคนซ้อน คู่กันอยู่กลางถนนสีส้มยามค่ำคืน แสนสงบ
      “หายไปนานเลยนะ นึกว่าโกรธแล้วซะอีก”
      “ตอนแรกก็ว่าจะโกรธอะนะ แต่โกรธไม่ลงหรอก”
      “แล้วมาร์คไม่สงสัยเรื่องเอกเหรอ”
      “ไม่หรอก มาร์คเชื่อใจริลอยู่แล้วแหล่ะ”
      “ อ้าว แล้วที่หายไปนี่หล่ะ”
      “ก็กะจะแกล้งเล่นอ่ะ “
      “ร้ายจัง”
      “ฮ่า ฮ่า ตกใจล่ะสิ”
      “ใครว่ายะ”
      “นิ่ ๆ มาร์ค “
      “หือ?”
      “เรื่องที่มาร์คเล่าให้ฟังเรื่องใบไม้น่ะจริงเหรอ”
      “จริงสิ”
      “งั้น อ่ะ…ริลให้ “
      “อ้าว..แล้วริลไม่เก็บไว้เองเหรอ”
      “ไม่เป็นไรหรอก ริลอยากให้มาร์คโชคดี…โดยเฉพาะเรื่องความรัก…….จะได้เจอคนดี ๆ อย่างริลไง”
      “ว่าไงนะ? ได้ยินไม่ชัดเลย”
      “ไม่พูดแล้ว…..”
      “ฮ่า ฮ่า ฮ่า “
                ท่ามกลางถนนแสนสวย ยังมีจักรยานคันหนึ่งที่ถ้าไม่ใช่กลางคืน ก็คงได้เห็นทั้งคนขี่ คนซ้อน หน้าแดงเป็นลูกตำลึง ภายใต้แววตาอันเปี่ยมสุข…



        the end.

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×