ภูตร่มดำ - ภูตร่มดำ นิยาย ภูตร่มดำ : Dek-D.com - Writer

    ภูตร่มดำ

    ภูตผู้ถือร่มสีดำจะปรากฏตัวขึ้นในวันที่ฝนตก และมัน..จะนำความหายนะมาสู่ผู้ที่ได้พบ.. ..นั่นคือตำนานซึ่งเล่าขานกันมานานของหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า..หมู่บ้านโคเมท

    ผู้เข้าชมรวม

    656

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    656

    ความคิดเห็น


    6

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  1 เม.ย. 47 / 13:46 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      .........ภูตผู้ถือร่มสีดำจะปรากฏตัวขึ้นในวันที่ฝนตก และมัน..จะนำความหายนะมาสู่ผู้ที่ได้พบ....
      ....นั่นคือตำนานซึ่งเล่าขานกันมานานของหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า..หมู่บ้านโคเมท.........

      ***************

      วันนี้ฝนก็ตกอีกแล้ว แย่จัง แม่คอยกำชับนักหนาว่าห้ามออกไปไหนในวันที่ฝนตก เพราะจะเจอภูตร่มดำ แต่ผมเคยออกไปนอกบ้านในวันที่ฝนตกตั้งหลายรอบแล้วก็ไม่เห็นจะเคยเจออะไรเลย แถมผมยังต้องออกไปทำงานอีกแน่ะ เพราะแม่นอนป่วยอยู่อย่างนี้ ทำงานก็ไม่ได้ หน้าที่ทำงานหาเงินจึงต้องตกเป็นของผม หมอบอกว่าแม่ป่วยเป็นโรคที่รักษาหายยาก ต้องใช้เวลานานเพื่อดูอาการไปเรื่อยๆ แถมค่ายายังแพงอีกต่างหาก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมออกไปทำงานอีกเหรอ อ่ะ! ตายล่ะ! บ่ายสามโมงแล้ว ผมต้องรีบออกไปทำงานแล้วล่ะ ก่อนอื่นต้องไปบอกแม่ก่อน....

      ห้องนอนที่แม่นอนอยู่อยู่ถัดจากห้องที่ผมนั่งบ่นอยู่นี่ไปแค่ห้องเดียวเท่านั้นเอง นั่นไง..แม่กำลังนอนอยู่บนเตียงเลย แต่รู้สึกจะหลับอยู่แฮะ ถ้าปลุกก็คงจะไม่ดี แต่จะไปโดยไม่บอกก็ไม่ได้ เดี๋ยวตื่นขึ้นมาก็คงเป็นห่วงอีก งั้น..เขียนโน้ตวางไว้หัวเตียงละกัน เอาล่ะ! ปากกาพร้อม งั้นก็เริ่มเขียนกันเลย....

      แม่ครับ ผมจะออกไปทำงาน
      แล้วจะกลับตอนห้าโมงเย็นนะครับ
      อาหารเย็นไม่ต้องลุกขึ้นมาทำนะ
      เดี๋ยวผมจะซื้อมาระหว่างทางกลับเอง
      แล้วก็อย่าว่ากันล่ะที่ผมออกจากบ้านตอนฝนตก
      เพราะผมต้องไปทำงาน
                            -เฟน-


      เฮ้อ! ฝนตกอย่างนี้ก็คงต้องเอาร่มออกไปด้วย แต่ว่า..ไอ้ร่มที่บ้านผมเนี่ยสภาพมันก็ดีเหลือเกิน ...ดีซะจนไม่อยากใช้เลย ตะปุตะปะ รอยเย็บก็เต็มไปหมด แถมมีรูรั่ว วันดีคืนดีน้ำฝนก็หยดลงมาสวัสดีที่ดั้งจมูก... แต่จะไม่ใช้ก็ไม่ได้ละนะ ก็มันมีอยู่แต่ร่มแบบนี้นี่ ว่าแต่เราวางร่มไว้ที่ไหนนะ... อ้อ! อยู่ตรงที่เสียบร่มหน้าบ้าน นั่นไงๆ วางอยู่นั่นน่ะเอง อาวละ! หยิบแล้วก็ออกจากบ้านกันเลย.....

      อากาศวันฝนตกนี่อึมครึมจริงๆเลยนะ เหมือนกับว่าใครกำลังร้องไห้อยู่บนฟ้านั่นแล้วน้ำตาก็ไหลตกลงมาข้างล่างนี่ ไม่รู้ทำไม..อากาศแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกเศร้าทุกทีเลยเชียว แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว ต้องรีบไปทำงานๆ .....ว่าแต่..รู้สึกมันมืดลงแฮะ มีเงาอะไรบางอย่าง..อยู่ข้างหลังผมนี่นา!

      ผมเหลียวหลังไป และแล้วก็เจอผู้ชายผมยาวคนหนึ่งใส่เสื้อกันฝนสีแดงยืนกางร่มสีดำอยู่ข้างหลังผม แวบแรกที่ผมเห็นเขา ผมนึกว่าเขาจะเป็นภูตร่มดำซะอีก แต่ท่าทางผมคงจะบ้าไปเอง ภูตหายนะที่ไหนจะหน้าตาติงต๊องท่าทางหลอกง่ายอย่างงี้ แถมยังผ่าใส่เสื้อกันฝนสีแดงทั้งๆที่ถือร่มดำอีกตะหาก ....อีกาคาบพริกชัดๆ.... ผมนึกด่าเขาอยู่ในใจ แต่เขากลับยิ้มให้ผม แถมยื่นร่มให้อีกตังหาก แล้วคิดว่าผมจะไว้ใจคนแปลกหน้าท่าทางแปลกๆแบบนี้มั้ยล่ะ....ไม่มีทาง เขาคงสังเกตความคิดของผมจากท่าทางได้ เขายิ้ม และแล้วก็พูดกับผมว่า....

      “ร่มนี่.. เอาไปสิ” ผมที่ได้ยินก็ยืนงงสิครับ อะไรก็ไม่รู้ จู่ๆก็มายื่นร่มให้ แล้วเหมือนเขาอ่านความคิดผมออก เพราะเขาพูดต่อไปว่า.... “ไม่มีอะไรหรอก ฉันเห็นร่มนายมันตะปุตะปะเหลือเกิน สงสารน่ะ เอานี่ไปดีกว่า” ก่อนยื่นร่มใส่หน้าผม แล้วฟังมันพูดสิ โอ้โห! หน้ากับคำพูดนี่คนละเรื่องกันเลย แล้วผมจะรับดีไหมเนี่ย ถ้าผมรับมาเค้าก็เปียก....

      “เอาไปเถอะ ฉันยังมีเสื้อกันฝนนี่อยู่” ...นี่มันอะไรกัน เหมือนเขาอ่านความคิดผมได้อีกแล้ว งั้น..ไหนๆก็อุตส่าห์เสนอให้ขนาดนี้ ก็จะขอรับไว้ละกัน ผมยื่นมือออกไปหยิบร่มสีดำคันนั้นมา....

      “นายชื่ออะไร?” ผมถาม เขามองหน้าผมอย่างงงๆ แล้วจึงเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม....

      “ฉัน...ชื่ออัมเบล”

      “อัมเบลเหรอ..ฉันชื่อเฟน จะเอาร่มไปคืนให้แน่ๆ นายเอาไอ้ปุปะนี่ไปใช้ก่อนแล้วกัน”

      “ไม่ต้องคืนหรอก ที่บ้านฉันมีเยอะ”

      “โอ้ย! ได้ไง ร่มน่ะแพงจะตาย จะให้ฉันเอามาฟรีๆเหรอ.....” ว่าถึงตรงนี้ผมก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาที่ข้อมือซ้ายของอัมเบล...สามโมงสิบนาที....ตายแล้ว....ผมรีบยัดร่มใส่มืออัมเบล....

      “ฉันจะเอาไปคืนแน่ๆ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาจะเถียงกับนายแล้ว ฉันต้องรีบไปล่ะ บาย!” ผมกลับตัวออกวิ่งไปในทางตรงกันข้ามทันที เขาร้องเรียกผม แต่ผมไม่มีเวลาแล้ว....
          
      ***************

      งานพิเศษที่ผมทำอยู่ตอนนี้เป็นงานพาร์ทไทม์ที่ร้านขายดอกไม้ชื่อว่า ‘กรีน’ ประจำหมู่บ้าน ทำวันละสองชั่วโมง คือตั้งแต่บ่ายสามถึงห้าโมงเย็น คุณลุงเจ้าของร้านซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับแม่ของผมเป็นคนใจดี แต่ก็เป็นคนเข้มงวดด้วย นี่มาสายไปตั้งสิบนาทีอย่างงี้จะถูกลดเงินเดือนรึเปล่าก็ไม่รู้....

      “สวัสดีครับ! ขอโทษครับที่มาสาย!” ผมพูดเมื่อผลักประตูเข้าไปในร้านแล้ว คุณลุงเจ้าของร้านและภรรยาของเขาหันมามอง

      “สายไปสิบนาทีนะ ว่าไง?”
          
      “ครับ! ขอโทษจริงๆครับ” ผมโค้งตัวแสดงท่าทีขอโทษ ค้างอยู่ท่านั้นตั้งนานจนคุณป้าภรรยาของคุณลุงบอกกับผมว่า....
          
      “ช่างเถอะจ้ะ ไม่เป็นไรหรอก”
          
      “ถือว่านี่เป็นครั้งแรกจะอะลุ้มอล่วยให้ แต่คราวหน้าฉันจะหักเงินนะ”
          
      “คุณก็...ไปขู่เฟนทำไมกัน..” คุณป้ากล่าวแล้วหันมาทางผม “อย่าไปสนใจเลยนะจ๊ะ เอานี่....” เธอยื่นช่อดอกทิวลิปให้ผม “เอานี่ไปส่งที่บ้านคุณบุรุษไปรษณีย์ให้ทีนะจ๊ะ เดี๋ยวเอาร่มฝากไว้นี่แล้วใส่เสื้อกันฝนแทนซะแล้วกัน จะได้ถีบจักรยานได้” เธอส่งเสื้อกันฝนสีน้ำเงินให้ผม ผมวางร่มลงบนเคาน์เตอร์ของร้าน รับเสื้อกันฝนมาใส่ก่อน จากนั้นก็รับช่อดอกทิวลิปมาถือไว้ในมือ แล้วเดินออกจากร้าน....
          
      จักรยานของร้านกรีนจอดอยู่หน้าประตูร้านเป็นปกติ วันนี้ก็เหมือนกัน ผมขึ้นคร่อมจักรยานสีน้ำเงินคันนั้น มือซ้ายจับแฮนด์ มือขวาก็ถือช่อดอกทิวลิปไว้ และแล้วผมก็เริ่มออกแรงปั่นจักรยานมุ่งตรงไปข้างหน้า....
          
      บริเวณแถวนี้จะเป็นย่านร้านค้าของหมู่บ้าน เพราะงั้นก็จะมีร้านรวงต่างๆเต็มไปหมด ทั้งร้านอาหาร ร้านเหล้า ร้านขายของ หรือโรงเตี๊ยม เมื่อพ้นออกมาแล้วต่อจากนั้นก็จะเริ่มเป็นไร่หรือสวนของพวกกสิกร ช่วงนี้คนก็จะเริ่มบางตาลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงเย็นๆอย่างนี้ เมื่อพ้นเขตกสิกรรมออกมา คราวนี้สองฟากถนนก็กลายเป็นป่า ช่วงนี้จะแทบไม่มีคนเลยเนื่องจากเป็นทางเข้าไปสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของหมู่บ้านซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านหัวหน้าหมู่บ้านและคุณบุรุษไปรษณีย์....
          
      ผมปั่นจักรยานไปตามถนนสายนี้เรื่อยๆ นั่นไง! เห็นแล้ว บ้านทางขวามือผมซึ่งสร้างด้วยอิฐสีส้มดูท่าทางแข็งแรงนั่นแหละ คือบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน ส่วนบ้านทางซ้ายมือผมที่เป็นบ้านหลังเล็กๆสร้างด้วยไม้นั่นล่ะ คือบ้านของคุณบุรุษไปรษณีย์....
          
      ผมปั่นจักรยานไปหยุดอยู่หน้าบ้านไม้สีน้ำตาลหลังนั้น ปีนลงจากจักรยาน แล้วเดินขึ้นบันไดไม้ไปสู่ระเบียงของบ้าน ประตูของบ้านหลังนี้เป็นประตูไม้สีน้ำตาลเข้มบานใหญ่ ผมเคาะที่ประตูบานนั้นสองครั้ง แต่สิ่งที่ได้รับตอบกลับมาคือความเงียบ... ผมยังคงเคาะประตูต่อไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่มีใครออกมาเปิดอยู่ดี ท่าทางจะไม่มีคนอยู่ซะละมั้ง.... ผมคิดได้ดังนี้จึงเดินกลับลงมาจากระเบียงตั้งใจว่าจะกลับร้านเลย แต่ในขณะที่ผมกำลังก้าวขาจะขึ้นรถจักรยานอยู่นั้นเอง ประตูบ้านก็เปิดผางออกมา ที่ประตูมีคุณบุรุษไปรษณีย์ยืนอยู่ หน้าเครียด ปากอ้าหอบแฮ่กๆ ผมเปียก แถมยัง..นุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียวอีกตะหาก ท่าทางจะกำลังอาบน้ำอยู่ซะละมั้งตอนที่ผมไปเคาะประตูบ้านเค้าน่ะ ผมเลยต้องก้าวลงจากจักรยานแล้วขึ้นไปบนระเบียงอีกรอบ....  
          
      “มีอะไรเหรอเฟน”
          
      “ดอกทิวลิปตามที่สั่งจากร้านกรีนครับผม” ผมยื่นช่อทิวลิปให้ เขารับช่อดอกทิวลิปจากผมไปในขณะที่ผมล้วงเข้าไปในเสื้อกันฝนแล้วคว้าเอากระดาษเซ็นชื่อรับของออกมายื่นให้เขาพร้อมกับปากกา เขารับเอาไปเซ็น
          
      “ฝนตกอยู่ เข้าไปนั่งข้างในก่อนมั้ย...?” เขาถามพลางเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ผม คุณบุรุษไปรษณีย์เป็นคนเคร่งขรึมแต่ใจดี เขาคงเห็นว่าผมปั่นจักรยานมาเปียกๆเลยจะให้เข้าไปนั่งพักก่อน แต่ว่านะ...
          
      “ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้ผมก็รบกวนคุณมากแล้ว (ที่ทำให้คุณต้องออกมาในสภาพแบบนี้) อีกอย่าง ผมยังตัองกลับไปทำงานที่ร้านต่อน่ะครับ”
          
      “งั้นเหรอ น่าเสียดายจัง เอาเถอะ... เท่าไหร่ล่ะนี่”
          
      “ยี่สิบห้าริงครับผม”
          
      “อา..งั้นเดี๋ยวคอยแป๊บนึงนะ” คุณบุรุษไปรษณีย์เดินกลับเข้าไปในบ้าน ซักพักนึงต่อมาก็ออกมาอีกพร้อมกับเงินจำนวนยี่สิบห้าริง แล้วยื่นให้ผม..
          
      “เอ้านี่ ยี่สิบห้าริง ขอบใจมากนะ” ผมรับเงินมาแล้วโค้งตัวลงขอบคุณเขา....
          
      “ครับ! ขอบคุณมากที่ใช้บริการครับ” ว่าแล้วผมก็เดินลงจากระเบียงมาขึ้นขี่จักรยานแล้วปั่นออกไป กลับไปที่ร้าน.....

      ***************
          
      ป่าที่ขนานกับถนนเส้นนี้เป็นป่าสนสลับกับป่าไม้ผลัดใบ ดูแล้วให้ความรู้สึกเย็นสบายดีจริงๆ หือ! คนตรงนั้นใครกัน ใส่เสื้อกันฝนสีแดงๆ (เอ๊ะ? คุ้นๆแฮะ) ถือร่มตะปุตะปะสีฟ้าซีดๆ (เฮ้ย! นั่นมัน..) อัมเบล! ผมเบรกจักรยานทันที แต่เผอิญว่าแถวนั้นมีน้ำขังอยู่ น้ำพวกนั้นเลยสาดโครมใส่หน้าหมอนั่นไปเต็มๆ....

      “อ้า..! ขอโทษ ฉัน..ฉันไม่ได้..” ผมรีบปีนลงจากจักรยาน แต่หมอนั่นก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมยิ้มให้ผมอีก…..

      “ไม่เป็นไรๆ ฉันรู้ว่านายไม่ได้ตั้งใจ ว่าแต่..ร่มของฉันล่ะ?”

      “อา..ร่มนาย..โทษทีนะ คือฉันฝากไว้ที่ร้าน...เอ่อ ร้านที่ฉันทำงานน่ะ เดี๋ยวจะเอาคืนให้”

      “เปล่า ไม่ใช่ๆ ฉันไม่ได้จะทวงคืน แค่จะถามว่ามันยังอยู่ดีรึเปล่า”

      “อ๋อ แน่อยู่แล้ว แล้วก็ถึงนายจะไม่ได้มาทวงคืน แต่ฉันจะเอาไปคืนให้นายแน่ๆ อะใช่..หน้านายเปียกนี่นา เอานี่...” ผมล้วงเข้าไปในเสื้อตัวในของผม ควักเอาผ้าเช็ดหน้าสีม่วง(ของแม่ผมที่ยืมมา)ออกมาจะเช็ดหน้าให้เขา....“เดี๋ยวฉันเช็ดเอง ไม่เป็นไร” เขาว่าอย่างนั้น แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าไปจากมือผม อะ! แย่แล้ว เผลอคุยเพลินไปหน่อย ต้องรีบกลับล่ะ.....ผมรีบวิ่งกลับไปที่จักรยานทันที....

      “ฉันต้องรีบกลับร้านแล้ว ผ้าเช็ดหน้านั่นถ้าไงไว้เอามาคืนวันหลังก็ได้!”

      ระหว่างปั่นจักรยานไปผมก็คิดไปเรื่อยเปื่อย คิดเรื่องแม่ เรื่องฝน เรื่องหมู่บ้าน เรื่องร่ม เรื่องอัมเบล.....จริงสิ แล้วหมอนั่นมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน แล้วผมยังไม่รู้เลยว่าที่พักของหมอนั่นอยู่ที่ไหน ถ้างั้นจะเอาร่มไปคืนได้ยังไงกันล่ะ แล้วที่สำคัญที่สุด....

      ‘หมอนั่นเป็นใคร?!’
          
      ผมอยู่ที่หมู่บ้านนี้มาตั้งสิบห้าปีแต่ไม่เคยเห็นหน้าหมอนั่นมาก่อนเลยนี่นา ถ้างั้น....หมอนั่นเป็นใคร? ผมหันกลับไปมองทางที่หมอนั่นยืนอยู่เมื่อกี้ แต่ผมก็ลืมไปว่าผมปั่นจักรยานมาจนถึงเขตกสิกรรมแล้ว ผมเลยหันกลับมาปั่นจักรยานต่อพร้อมกับคิดอะไรไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีผมก็กลับมาอยู่หน้าร้านกรีนแล้ว....
          
      หลังจากนั้นผมก็เหม่อตลอด จำไม่ได้เลยว่าทำอะไรไปบ้าง มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คนขายของร้านข้าวกล่องถามผมว่าผมจะเอาอะไร วันนี้ผมเลยซื้อข้าวหน้ากุ้งทอดหนึ่งกล่องสำหรับผม แล้วก็ข้าวหน้าผักต้มอีกหนึ่งกล่องสำหรับแม่ แม่ชอบกินผักต้มแล้วมันก็ดีต่อคนป่วยด้วย....
          
      มือซ้ายถือถุงใส่ข้าวกล่อง มือขวาถือร่มกางอยู่เหนือหัว ผมเดินไปมองพื้นไปตลอด มองคลื่นน้ำรูปวงกลมที่เกิดจากการตกกระทบของน้ำฝนกับแอ่งน้ำขังบนพื้น มองไปเดินไป ผลสุดท้ายผมเลยเตะน้ำเต็มแรง เตะทำไมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าผมทำความลำบากให้ชาวบ้านอีกแล้ว เพราะมีเสียงร้อง....
          
      “โอ๊ย!” ผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง...อัมเบลอีกแล้ว! หมอนี่มันอะไรกัน จู่ๆก็ผลุบ จู่ๆก็โผล่ แต่ถึงไงตอนนี้ผมก็ต้องขอโทษก่อนแหละ....
          
      “ขอโทษๆ ฉันทำนายเปียกอีกแล้ว” ผมก้มลงไปจะดูชายเสื้อกันฝนของอัมเบลว่าเปียกมากมั้ย แต่หมอนั่นกลับถอยหลังออกไปแล้วบอกกับผมว่า....    

      “ไม่เป็นไรๆ เสื้อกันฝนนี้ไม่ซึมน้ำ แล้วฉันก็ใส่รองเท้าบู๊ท”
          
      “เหรอ…อะใช่ ร่มนาย คืนเลยละกัน” ผมว่าแล้วยื่นร่มสีดำในมือให้อัมเบล แต่อัมเบลไม่รับ....
          
      “ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้องคืน เอางี้ ถ้านายกลัวฉันขาดทุนมากนักล่ะก็ ฉันขอ...ร่มของนายคันนี้แทน”
          
      “ไอ้ปุปะเนี่ยนะ จะเอาไปทำ....”
          
      “ฉันบอกแล้วไงว่าบ้านฉันมีเยอะ” ‘บ้าน’.. ใช่ พูดถึงบ้าน...

      “อัมเบล! บ้านนายอยู่ไหน” ผมตะโกนถามเสียงดังจนอัมเบลตกใจ แต่แล้วเขาก็ยิ้มถามกลับมาว่า....
          
      “บ้านนายล่ะ อยู่ไหน”
          
      “บ้านฉันเหรอ..? บ้านฉันอยู่ในย่านชุมชนน่ะ หลังที่สองนับจากทางซ้าย”
          
      “อยู่กับแม่เหรอ..?”
          
      “ใช่ อยู่กับแม่แค่สองคน”
          
      “งั้นถ้าอยู่กับแม่แล้วทำไมนายยังต้องออกมาทำงานอีกล่ะ?”
          
      “ก็แม่ฉันป่วยอยู่น่ะสิ ออกมาทำงานก็ไม่ได้ ค่ายาก็แพง ถ้าฉันไม่ทำงานแล้วจะเอาเงินจากไหนล่ะ แล้วนี่นายถามบ้าอะไรเนี่ย” ผมมองอัมเบลอย่างงงๆ หมอนั่นไม่ตอบแต่กลับพูดเรื่องแปลกๆออกมา....
          
      “นายไม่เห็นต้องทำงานก็ได้นี่...”
          
      “หมายความว่าไงของนาย?” ผมหันไปมอง หมอนั่นยิ้มอีก..แต่คราวนี้ไม่ใช่ยิ้มติงต๊องแบบที่ผมเห็นเป็นประจำแล้ว...

      “ฉันรักษาแม่นายได้นะ”
          
      “รักษา..นายเป็นหมอเหรอ?”
          
      “เปล่า”
          
      “โธ่เอ๊ย!” ผมถอนหายใจ “งั้นก็อย่าพูดบ้าๆน่า โรคที่แม่ฉันเป็นมันไม่ได้รักษากันง่ายๆนะ”
          
      “หมอรักษาไม่ได้ง่ายๆ แต่ฉันทำได้..”
          
      “นาย...”
          
      “ฉัน..เป็นภูตที่จะทำให้ความปรารถนาของผู้ที่ถือร่มของฉันทุกอย่างเป็นความจริง”
          
      .........ผมอึ้งไปถนัดตา แปลกใจแล้วก็ตกใจ แต่ความรู้สึกที่มีมากที่สุดก็คือ.........
          
      “พรืด! ก๊าก กั๊กๆ” ผมหัวเราะใส่หน้าหมอนั่นซะเต็มที่จนหมอนั่นงงเป็นไก่ตาแตกไปเลย....
          
      “ภูต! นายน่ะเหรอเป็นภูต...” ผมว่าจะพูดต่ออีกแต่ก็หยุดไปซะเฉยๆ เพราะในหัวคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้...หมอนี่...จู่ๆก็ไป จู่ๆก็มา ผลุบๆโผล่ๆ ถามที่อยู่บ้านก็ไม่ยอมตอบ แถมผมที่อยู่หมู่บ้านนี้มาตั้งสิบห้าปี สนิทกับคนทุกคนยังไม่เคยเห็นหน้าหมอนี่มาก่อน แล้วหมอนี่.....ก็ถือร่มสีดำ! ผมหันไปมองหมอนั่นทันที....
          
      “นาย..เป็นใครกันแน่...” หมอนั่นได้ยินคำถามแล้วยิ้มแปลกๆ....
          
      “แล้วนาย..คิดว่าฉันเป็นใครกันล่ะ?” ผมกลืนน้ำลายเอี๊อก คำตอบมันอยู่ในหัวอยู่แล้วล่ะ แต่มันจะใช่เหรอ.. แถมถ้าพูดออกไปแล้วโดนหัวเราะล่ะ แต่ตะกี้หมอนั่นก็ว่าเป็น...ภูต.. ถ้างั้น....

      “ฉัน..คิดว่านายเป็น.....ภูต...ร่มดำ” ผมจ้องตาหมอนั่นเขม็ง หมอนั่นก็มองผมด้วยสายตาสงบนิ่ง ก่อนจะยิ้มนิดๆ... เฮ้อ! ผิดเหรอเนี่ย...ผมก้มหน้าลงมองพื้น..แต่ทว่า....
          
      “ใช่..นายทายถูก” ผมหันมองหมอนั่นทันที ทำสายตาเหมือนไม่เชื่อ แต่หมอนั่นกลับพูดย้ำ
                    
      “ฉันคือภูตร่มดำ” ผมอึ้งอีกครั้ง พูดอะไรไม่ออก จริงเหรอเนี่ย..แต่ว่านะ....
          
      “นาย..บอกว่าเป็นภูตที่ทำให้ความปรารถนาเป็นจริง มันไม่ตรงตามตำนานนี่นา...?”
          
      “ตำนาน..?” หมอนั่นมองผมด้วยสายตาไร้เดียงสาสุดๆ ประมาณว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย....
          
      “อะไรเนี่ย..เรื่องของนายเองยังไม่รู้อีกเหรอ”
          
      “ก็งั้นแหละ ฉันไม่เห็นจะเคยรู้เลยว่าเรื่องของฉันมันเป็นตำนาน” ผมล่ะถอนหายใจเฮือกเลย ให้ตายสิ....
          
      “เอางี้..ไปหาที่นั่งกัน เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟัง” ผมว่าแล้วเดินนำอัมเบลไปที่สวนสาธารณะกลางหมู่บ้าน ที่นั่นมีศาลาให้คนมานั่งพักอยู่ทั้งหมดแปดศาลา ตามทิศแปดทิศ ผมกับอัมเบลเดินไปนั่งที่ศาลาทางทิศตะวันออก เมื่อก้นแตะเก้าอี้ ผมก็เริ่มเล่า....
          
      นานมาแล้ว ที่หมู่บ้านโคเมทแห่งนี้ มีคู่หนุ่มสาวที่รักกันมากอยู่คู่หนึ่ง ทั้งคู่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดมาจนกระทั่งวันหนึ่ง ฝ่ายชายมีธุระต้องออกไปทำงานที่เมืองหลวงซึ่งอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันตก วันที่ฝ่ายชายออกเดินทางก็สัญญากันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะกลับมาภายในหนึ่งเดือนให้ได้ ฝ่ายหญิงก็บอกว่าหากพ้นกำหนดหนึ่งเดือนไปแล้วจะออกไปรอที่หน้าซุ้มโค้งหน้าหมู่บ้านทุกวัน แล้วฝ่ายชายก็ออกเดินทางไป วันเวลาผันเปลี่ยน หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฝ่ายหญิงรอแล้วรอเล่าคอยตั้งตานับรอวันที่ฝ่ายชายจะกลับมา จนกระทั่งในที่สุดหนึ่งเดือนก็ผ่านไป เดือนใหม่เข้ามาแทนที่ แต่ฝ่ายหญิงยังคงทำตามสัญญาออกไปยืนรอฝ่ายชายที่ซุ้มหน้าหมู่บ้านทุกวัน หนึ่งวัน สองวัน สามวัน... จนกระทั่งผ่านไปอีกหนึ่งเดือนฝ่ายชายก็ยังไม่กลับมา แต่แล้วในวันฝนตกวันหนึ่ง ขณะที่ฝ่ายหญิงกำลังออกไปยืนรอฝ่ายชายอยู่นั้นเองก็ได้พบกับภูตร่มดำ ภูตร่มดำบอกกับฝ่ายหญิงว่าเขาสามารถทำความปรารถนาทุกอย่างให้เป็นความจริงได้ ฝ่ายหญิงจึงบอกออกไปว่าหล่อนอยากพบกับคนรักที่หายหน้าไปหลายเดือนแล้ว อยากให้ช่วยพาคนรักกลับมาหาที ภูตร่มดำรับคำแล้วหายตัวไป... สามวันหลังจากนั้น ภูตร่มดำได้ทำให้ความปรารถนาของฝ่ายหญิงเป็นจริง ด้วยการพาฝ่ายชายกลับมา แต่ทว่า...ฝ่ายชายที่กลับมานั้น...กลายเป็นศพไปเสียแล้ว หลังจากนั้นฝ่ายหญิงก็ได้ล้มป่วย ส่วนภูตร่มดำก็หายไปพร้อมกับศพของฝ่ายชาย....
          
      “เรื่องก็เป็นอย่างนี้แหละ..” ผมว่าเมื่อเล่าจบแล้ว ส่วนอัมเบลนั่งนิ่งเงียบคิดอะไรอยู่นานพอดู กว่าจะพูดขึ้นอีกครั้งว่า...

      “เรื่องนี้นี่เอง..” ผมสะดุ้งสุดตัวเลยล่ะ เมื่อรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แค่ตำนาน ผมไม่ได้ถามอะไรออกไปแม้ว่าคำถามมากมายจะวนอยู่ในหัวก็ตาม แต่อัมเบลกลับเล่าให้ผมฟังว่า....

      “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อสิบห้าปีก่อนแล้วล่ะ ฉันไม่นึกเลยนะว่ามันจะกลายเป็นเรื่องเล่าถึงตัวฉันของหมู่บ้านนี้ไปได้”

      “สิบห้าปีก่อน...งั้นจะบอกว่านี่เป็นตำนานได้งั้นเหรอ”

      “ท่าทางผู้หญิงคนนั้นคงแค้นฉันน่าดู เผลอๆจะคิดว่าฉันฆ่าคนรัก..ไม่ใช่สิ สามีของเค้าแน่ๆเลย”

      “นี่นายฟังที่ฉันถาม...แต่เดี๋ยว..สามีเหรอ...”

      “ใช่ ตอนที่ฉันพบหล่อนน่ะหล่อนคลอดลูกเรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นอายุคงประมาณหนึ่งเดือนล่ะมั้ง จะว่าไปก็อายุพอๆกับนาย.....” แล้วจู่ๆอัมเบลก็หยุดพูดไปซะเฉยๆ เขาทำท่าเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก....

      “นาย..บอกว่าอยู่ที่หมู่บ้านนี้มาสิบห้าปีใช่มั้ย” ผมพยักหน้า “อยู่กับแม่แค่สองคน” ผมพยักหน้าอีก คราวนี้หมอนั่นกลืนน้ำลายเอื๊อก

      “แล้วแม่นาย...ชื่ออะไร...?”

      ...ถามแบบนี้หมายความว่าไง....

      “ตลกน่า นายอย่าบอกนะว่าผู้หญิงในเรื่องนี้คือแม่ฉัน แล้วผู้ชายนั่นคือพ่อฉัน” ผมหัวเราะน้อยๆ แต่หมอนั่นไม่หัวเราะด้วย กลับทำหน้าเครียดถามซ้ำอีกว่า...

      “ตอบมา..แม่นายชื่ออะไร...?” ผมดูสีหน้าหมอนั่น รู้ว่าล้อเล่นด้วยไม่ได้แน่ จึงยอมตอบโดยดี...

      “ก็ได้..แม่ฉันชื่อ…” ผมตอบยังไม่ทันจบก็มีเสียงดังมาจากทางเข้าสวนสาธารณะที่อยู่ทางทิศเหนือ ทางด้านหลังของผมเอง เป็นเสียงผู้หญิงสองคน และหนึ่งในเสียงนั้นคือเสียงของแม่ผมเอง....

      “เฟน!” เสียงของแม่แหบพร่า คงเป็นเพราะกำลังป่วยอยู่ แต่ป่วยยังงี้ยังออกมาวิ่งตากฝนอีก แล้วนั่น...คุณป้าข้างบ้านนี่นา ทำไมถึงมาด้วยกันได้ล่ะ.....

      “ฟิเรีย....” เสียงของอัมเบลดังขึ้นมา ผมหันขวับไปมองทันที..ฟิเรีย..ชื่อของแม่ผมนี่ ขณะนี้หัวของผมหมุนวนไปหมดแล้ว อะไรมันเป็นอะไรกันแน่ แล้วในขณะที่กำลังงงอยู่นั่นเอง แม่ก็วิ่งมาคว้าแขนผมดึงออกมาให้ห่างจากอัมเบล

      “แก..! ทำอะไรลูกฉัน?!” อัมเบลไม่ได้ตอบแต่ยืนนิ่งเงียบ ผมเองก็เช่นกันที่ไม่ได้พูดอะไรออกไป....

      “แก..ฆ่าสามีฉันไปแล้ว แล้วจะมาฆ่าลูกฉันอีกคนรึไง” อัมเบลยังยืนเงียบ แล้วแม่ก็ลากผมออกจากสวนสาธารณะกลับบ้านทันที....

      ***************

      “แม่บอกแล้วใช่มั้ย? ว่าอย่าออกไปข้างนอกวันฝนตก” แม่ดุผมทันทีเมื่อกลับถึงบ้าน

      “แต่ผมก็เคยออกไปตั้งหลายรอบแล้วก็ไม่เห็นเป็นไร แล้วอัมเบลก็...” ผมพูดยังไม่ทันจบ แม่ก็ตบเข้าที่แก้มซ้ายของผมเต็มแรง....

      “อย่าพูดชื่อนั้นให้แม่ได้ยินอีก”

      แม่โยนผมเข้าห้องนอนและปิดประตู ผมยันตัวลุกขึ้นเพื่อจะเดินไปเปิดประตู แต่ช้าไปซะแล้ว...แม่ล็อกประตูห้องนอนขังผมไว้ซะแล้ว แถมตอนนี้กุญแจบ้านแม่ก็คว้าไปจากผมเรียบร้อย ผมจะออกไปได้ยังไงล่ะทีนี้.....ว่าแต่....แม่รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่กับอัมเบลที่สวนนั่นน่ะ....

      “แม่..แม่รู้ว่าผมอยู่ที่สวนได้ไงน่ะ...?”

      “คุณป้าข้างบ้านเขามาบอกน่ะสิ ว่าเจอลูกคุยอยู่กับผู้ชายแปลกหน้าแต่งตัวแปลกๆ”

      “แล้วแม่มาขังผมไว้ในนี้ทำไมล่ะเนี่ย”

      “สงบจิตใจ แล้วก็สำนึกผิดที่ไม่เชื่อฟังแม่อยู่ในห้องนั้นก่อนก็แล้วกัน แล้วเดี๋ยวแม่จะมาเปิดให้ทีหลัง” แล้วผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของแม่ดังขึ้น..แม่กำลังจะไป..ผมคงต้องงัดไม้สุดท้ายที่จะให้ออกจากห้องมาใช้ซะแล้ว....

      “แม่! ข้าวยังอยู่ในห้องนี้นะ!” เพราะตอนที่แม่โยนผมเข้ามาในห้องแม่เอาไปแค่กุญแจบ้าน ของที่เหลือยังอยู่กับผมหมด

      “เดี๋ยวแม่ไปซื้อเอง เราก็กินที่เราซื้อมาไปให้หมดละกัน” และแล้วเสียงฝีเท้าของแม่ก็ค่อยๆแผ่วเบาลงและหายลับไป....อะไรกัน นี่ขนาดผมงัดไม้เด็ดสุดท้ายออกมาใช้แล้วก็ยังไม่สำเร็จอีกเหรอเนี่ย....

      ผมปลงแล้วในตอนนี้ ผมเดินไปที่เตียง แล้วก็....

      “โอ๊ย....!” ผมร้องออกมาดังๆเพื่อคลายความเครียดแล้วล้มตัวลงนอน ในหัวก็คิดเรื่องต่างๆวนเวียนเต็มไปหมด..ผู้หญิงในตำนานที่แม่เล่าให้ผมฟังตั้งแต่เล็กๆที่จริงคือแม่เองเหรอเนี่ย แล้วผู้ชายในตำนานนั่นก็คือพ่อของผม แล้วอัมเบลเป็นคน...พ่อของผมจริงๆงั้นเหรอ แล้วทำไม..เมื่อกี้จู่ๆแม่ก็แข็งแรงขึ้นมา ขนาดลากผมมาโยนเข้าในห้องนี่ได้ ทั้งที่ปกติแล้วลุกไปไหนยังไม่ค่อยจะได้แท้ๆ หรือว่าเพราะอัมเบลทำให้ความปรารถนาของผมเป็นจริงขึ้นมาข้อหนึ่งแล้ว...โอ๊ย...! ทำไมมันถึงได้มีแต่เรื่องเกี่ยวกับอัมเบลหมุนวนอยู่ในหัวผมนะ.....!

      “อัมเบล!” และแล้วผมก็สติแตกร้องออกมา จากนั้นก็นอนหลับตากะจะงีบซะหน่อย แต่ทว่า....

      ‘ตึก!’ มีเสียงฝีเท้าดังกระทบพื้นห้อง ผมลืมตาขึ้นทันที และแล้วผมก็ต้องตกใจเพราะว่า....หน้าของอัมเบลมันมาจ่ออยู่ที่หน้าผมน่ะสิ.....

      “เฮ้ย...! นายเข้ามาได้ไง” ผมร้องลั่น แม่จะได้ยินหรือไม่ได้ยินผมไม่สนแล้ว...

      หมอนั่นมองผมด้วยสายตาสนใจ (สงสัยท่าทางตอนนี้หน้าผมมันคงตลกมากล่ะมั้ง) จากนั้นก็ยิ้ม....

      “นายอย่าลืมสิ ฉันเป็นภูตนะ จะเข้ามาได้มันก็ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลย” ..เออ..ใช่ ผมก็ลืมไปว่าหมอนี่มันไม่ใช่คน....

      “แล้วนายก็เอาหน้าออกไปห่างๆซะที ฉันลุกไม่ได้” ผมว่า อัมเบลที่ได้ยินทำตาโตประมาณว่าเข้าใจ ก่อนจะดึงตัวเองออกมา

      “โทษทีๆ ฉันลืมไป” ว่าแล้วก็ยิ้มอีกรอบ ผมมองหมอนั่นและแล้วก็นึกถึงเรื่องที่คิดอยู่ในหัวเมื่อกี้ออกมาได้ ผมเริ่มจะเครียดอีกแล้วสิ....

      “นาย..ฆ่าพ่อฉันจริงๆรึเปล่า อัมเบล”

      คำถามของผมทำให้สีหน้าหมอนั่นสลดลงทันที แต่หมอนั่นก็ไม่ได้ตอบอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว....

      “ฉันไม่รู้ว่าตั้งแต่เกิดรึเปล่า แต่ตั้งแต่จำความได้ฉันก็ไม่มีพ่อแล้ว แม่บอกฉันว่าพ่อไปต่างเมืองไกลมาก จะไม่กลับมาอีกแล้ว ฉันเชื่อมาตลอดจนกระทั่งวันนี้ฉันถึงได้รู้ความจริงว่าแม่...โกหกฉัน..” แล้วจู่ๆ น้ำตาของผมก็ไหลออกมาจากเบ้าตา ผมรีบเช็ดทันทีโดยที่อัมเบลยังไม่เห็น หมอนั่นยังก้มหน้าไม่พูดไม่จาอะไรอยู่เลย ผมก็เลยไม่ได้ถามย้ำหรือพูดอะไรออกไปอีก ทั้งห้องเงียบไปในทันที และเงียบอยู่อย่างนั้นสักพักหนึ่ง....

      “แล้วถ้าฉันบอกว่าไม่ใช่..นายจะเชื่อมั้ย?” อัมเบลถามประโยคนี้ออกมาด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดและเศร้าสลดมากๆ ผมเงียบไปพักหนึ่ง...จะให้ผมเชื่อใครล่ะ ระหว่างแม่ที่เลี้ยงผมมา กับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นภูตหายนะในตำนานและผมเพิ่งจะได้พบวันนี้...แต่ผมดูสีหน้าแล้ว..อัมเบลไม่ได้โกหกผม..แน่นอน ทั้งสีหน้าและแววตา หมอนั่นบอกความจริงผมแล้ว....

      “ฉัน..เชื่อนาย” ผมมองหน้าหมอนั่นที่มองผมด้วยสายตาเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไป แต่แล้ว หมอนั่นกลับยิ้ม..ยิ้มละไมให้ผม..ด้วยรอยยิ้มแบบเดียวกันกับเมื่อเช้า..ตอนที่ผมได้พบกับหมอนี่เป็นครั้งแรก ผมเองก็ยิ้มให้หมอนั่นเช่นกัน แล้วจึงชวนหมอนั่นมานั่งบนเตียง..นั่งข้างๆผม....

      “ใครเล่าเรื่องตำนานนี้ให้นายฟัง” อัมเบลถามผมเมื่อหมอนั่นนั่งเรียบร้อยแล้ว ผมมองหมอนั่นก่อนจะตอบสั้นๆ

      “แม่”

      “แล้วมีใครคนอื่นในหมู่บ้านพูดถึงเรื่องนี้กันบ้างมั้ย”

      “ไม่มี”

      “แล้วนายไม่สงสัยอะไรบ้างเลยรึไง”

      “ก็..แม่บอกฉันว่ามันเป็นเรื่องอัปมงคล ห้ามไปพูดนอกบ้าน ทำได้แค่เล่าสู่กันฟังในบ้านเท่านั้น”

      “แล้วนายก็เชื่อ?”

      “แล้วไม่งั้นจะให้ฉันเชื่อใครเล่า!” ผมตะโกนออกไป อัมเบลไม่ได้ตอบอะไร แต่ยิ้ม พร้อมกับหัวเราะนิดๆ...นี่ผมกลายเป็นตัวตลกของหมอนี่แล้วรึไงเนี่ย....จริงสิ..จะว่าไป....

      “แม่ฉันลุกขึ้นเดินได้แล้วนี่นา เพราะเวทมนตร์ของนายเหรอ” ผมเปลี่ยนเรื่องพูดปุบปับ ซึ่งทำให้หมอนั่นงง แต่ก็ตอบผมว่า.... “ใช่ แต่มันก็ไม่ใช่เวทมนตร์หรอก ฉันแค่ดึงโรคออกจากตัวแม่นายเท่านั้นแหละ”

      “อืม..งั้นพรุ่งนี้ออกไปจากบ้านนี้กันดีกว่า”

      “ออกไป..?”

      “นายคงอึดอัดใช่มั้ยล่ะที่แม่เข้าใจนายผิดอยู่อย่างนี้น่ะ” หมอนั่นพยักหน้า “นั่นแหละ..ฉันมีแผนที่จะให้แม่เข้าใจนายแล้ว” ท่าทางหมอนั่นตกใจเล็กน้อย แต่แล้วก็ยิ้ม....แล้วจู่ๆยิ้มนั้นก็เจื่อนลง....

      “พ่อของนายน่ะ..ตายเพราะ...”

      “พอ!”

      หมอนั่นหันมามองผมอย่างสงสัยทันที

      “นายยังไม่ต้องมาบอกฉันตอนนี้ ให้ฉันรู้พร้อมๆกับแม่ดีกว่า แล้วก็ตอนนี้...” ผมคว้าลงไปในถุงใส่ข้าวกล่อง.... “มากินข้าวกันเหอะ” หมอนั่นยิ้มให้ผม แต่เมื่อเห็นว่าผมส่งกล่องที่เป็นข้าวหน้าผักต้มให้ ยิ้มนั่นก็เจื่อนลงทันที....

      ***************

      เมื่อคืนผมกับอัมเบลนอนด้วยกันบนเตียงของผมน่ะแหละ แต่ไม่ต้องคิดมากหรอกนะครับ เพราะผมถีบหมอนั่นตกเตียงไปตั้งสองรอบแน่ะ หมอนั่นเพิ่งจะมาบอกเรื่องนี้กับผมตอนที่ตื่นขึ้นมานี่เอง ข้างนอกฝนก็ยังตกอยู่ ฟ้ายังมืดครึ้ม แต่ถึงไงผมก็ต้องออกปฏิบัติการตามแผน(ที่เพิ่งคิดได้เมื่อคืน)ก่อนล่ะ ตอนนี้ผมกับอัมเบลก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว งั้นก็ไปกันได้เลย....

      “อัมเบล! ปลดล็อกหน้าต่างเลย” ที่ผมต้องออกทางหน้าต่างก็เพราะว่าตอนนี้แปดโมง แม่ต้องตื่นแล้วแน่ๆ และถ้าผมลงไปล่ะก็แม่คงจะต้องเห็นพวกผมแน่ๆ (เห็นผมน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเห็นอัมเบลล่ะก็...) ตอนนี้ล็อกหน้าต่างก็ถูกปลดเรียบร้อย ผมเปิดมันออกและปีนออกไปข้างนอกโดยเกาะขอบหน้าต่างเอาไว้ แต่แล้วก็มีเสียงเรียกชื่อผมจากข้างและทำให้ผมเสียสมาธิ มือหลุดจากขอบหน้าต่างและร่วงลงไป...ไปทับคน...แย่แล้ว! ผมทำความลำบากให้ใครอีกล่ะเนี่ย....

      “โอย...” เสียงของ..เสียงของคุณบุรุษไปรณณีย์นี่นา ผมมองลงไป..ข้างใต้ตัวผม และก็ใช่จริงๆ ผมนั่งทับคุณบุรุษไปรษณีย์อยู่....ผมรีบลุกขึ้นทันที ในขณะที่อัมเบลเพิ่งลงถึงพื้นอย่างนิ่มนวล ผมกล่าวขอโทษขอโพยคุณบุรุษไปรษณีย์เป็นการใหญ่ คุณบุรุษไปรษณีย์เองก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่กลับถามผมว่า....

      “มีอะไรเนี่ยเฟน จู่ๆก็โดดลงมา”

      “อ๋อ ปล่า..วครับ คือ..ผมอยาก..ทดลองดูว่ามือผมมันจะเหนียวพอปีนลงมาได้รึเปล่าน่ะ” ..คำแก้ตัวอะไรเนี่ย ไม่ได้ฟังขึ้นเล้ย..แต่เขาก็เชื่อผมอีกนะ..และเพื่อไม่ให้เขาวกกลับมาที่เรื่องนี้ ผมจะต้องรีบเปลี่ยนเรื่องพูดซะแล้ว....

      “เอ้อ.. คุณบุรุษไปรษณีย์กำลังจะไปส่งจดหมายเหรอครับ”

      “อืม..นี่ก็เกือบหมดแล้วล่ะ ว่าแต่..นั่นใคร?”

      “ใคร..?” ผมเอ่ยด้วยความสงสัย คุณบุรุษไปรษณีย์ไม่ได้ตอบ แต่ชี้ไปข้างหลังผม ผมมองตามแล้วจึงได้รู้ว่าคุณบุรุษไปรษณีย์พูดถึงอะไร แล้วก็ได้รู้ว่าเมื่อกี้ผมเผลอลืมอัมเบลไปซะสนิทเลย...

      “เอ้อ..! นี่เพื่อนผมเองครับ ชื่ออัมเบล” เขาถามมาแบบนั้นแล้วจะให้ผมตอบอย่างไหนที่มันดีกว่านี้ล่ะ..ก็เอามันอย่างนี้ล่ะ

      “สวัสดีครับ” อัมเบลกล่าวพร้อมกับโค้งตัวทักทายด้วยท่าทางสุภาพ คุณบุรุษไปรษณีย์ก็ยิ้มรับด้วยท่าทางสุภาพเช่นกัน....

      “เดี๋ยวชั้นคงต้องรีบไปแล้วล่ะ ยังเหลือบ้านที่ต้องส่งจดหมายให้อีก” คุณบุรุษไปรษณีย์ว่า ผมพยักหน้า แต่ขณะที่คุณบุรุษไปรษณีย์กำลังจะก้าวขาออกเดิน ผมก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ผมคว้าหมับเข้าที่แขนของเขา และเขาก็หันมามองผม....

      “เดี๋ยวก่อนๆ ขอโทษครับผมลืมไป ผมมีเรื่องนึงอยากจะขอร้องคุณบุรุษไปรษณีย์หน่อย”

      คุณบุรุษไปรษณีย์มองผมอย่างงงๆ ก่อนจะยิ้มแล้วถามว่า

      “อะไรล่ะ”

      “ครับ คือ...ผมอยากให้เอาจดหมายของผมไปส่งให้แม่หน่อย” คราวนี้คุณบุรุษไปรษณีย์ยิ่งทำหน้างงมากขึ้นอีก....

      “แล้วทำไมไม่เอาไปส่งให้เองเลยล่ะ”

      “คือ..มันมีเหตุจำเป็นบางอย่างน่ะครับ..ที่ทำให้ผมไปส่งเองไม่ได้...” ผมก้มหน้า....

      “ก็ได้..แล้ว..จดหมายนั่นอยู่ไหนล่ะ” ผมเงยหน้าขึ้นทันทีเมื่อได้ยินและเห็นใบหน้าของคุณบุรุษไปรษณีย์ที่กำลังยิ้มให้ผมอยู่....

      “เอ่อ..รอแป๊บนึง..เดี๋ยวผมจะเขียน...กระดาษๆ..อัมเบล ขอกระดาษหน่อยสิ” ผมหันไปหาอัมเบล

      “เอ้า” หมอนั่นควักกระดาษ (แถมปากกา) ออกมาจากไหนไม่รู้แล้วส่งให้ผม ผมรับมาขีดเขียนข้อความ....

      แม่ครับ ผมมีเรื่องอยากจะพูดกับแม่ครับ
      ผมรู้นะว่าตอนนี้แม่เดินได้วิ่งได้แล้ว
      เพราะงั้น
      ผมอยากให้แม่ขึ้นไปหาผมที่ภูเขาหลังหมู่บ้าน
      ผมมีเรื่องอยากจะอธิบายให้แม่ฟังครับ
                                   -เฟน-

      เขียนเสร็จผมก็พับสี่ทบส่งให้คุณบุรุษไปรษณีย์ ซึ่งเขารับไปและเสียบใส่ในกระเป๋าเสื้อ....

      “ขอบคุณมากนะครับคุณบุรุษไปรษณีย์ เดี๋ยวพวกผมต้องไปแล้วล่ะ ลาล่ะครับ” ผมโค้งลา อัมเบลก็เช่นกัน

      “อืม” คุณบุรุษไปรษณีย์ยิ้มให้ผมก่อนจะเดินจากไป..ไปที่หน้าบ้านผมนั่นแหละ....

      ***************

      ภูเขาหลังหมู่บ้านที่ว่าอยู่ด้านหลังบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน ทางขึ้นก็จะอยู่ทางด้านขวาของบ้านหัวหน้าหมู่บ้านนั่นแหละ...อัมเบลวาร์ปผมพร้อมกับตัวเขาเองมาที่ทางขึ้นเขานี่ แล้ววาร์ปอีกรอบต่อขึ้นไปที่ยอดเขา..ที่โคนต้นไม้ใหญ่..ต้นไม้พันปีต้นเดียวที่ตั้งตระหง่านบนยอดเขามาตั้งแต่สมัยเริ่มสร้างหมู่บ้าน....ฝนยังคงตกอยู่..เหมือนเมื่อวาน...เหมือนเมื่อหลายวันก่อนที่ได้ผ่านล่วงเลยไปแล้ว....ผมยืนคิดเรื่องต่างๆอยู่ใต้ต้นไม้พันปี ยืนคิดอยู่นานมาก กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่อัมเบลเรียก....

      “เนี่ยเหรอแผนของนาย..?” อัมเบลถามผม ผมหันไปมองหมอนั่น....

      “ใช่” ผมตอบสั้นๆ

      “ฉันไม่เข้าใจ..ว่ามันเป็นแผนตรงไหน” หมอนั่นทำคิ้วขมวด

      “ก็..ฉันจะเรียกแม่มาที่นี่ แล้วอธิบายเรื่องนายให้แม่ฟังไงล่ะ”

      ....อัมเบลทำตาโตอย่างตกใจสุดขีด....

      “แล้วเขาจะเชื่อเหรอ”

      “ก็ต้องลองแหละ” ผมตอบสั้นๆ หลังจากนั้นพวกเราก็เงียบกันไป พักหนึ่งต่อมาอัมเบลก็ถามขึ้นอีก....

      “แล้วทำไมไม่คุยกันที่บ้านไปเลยล่ะ”

      “ก็ขืนคุยที่บ้าน แม่ก็จะเห็นหน้านายที่บ้าน บ้านก็จะแตก ส่วนฉันก็จะโดนยำน่ะสิ” แล้วพวกเราก็เงียบกันไปอีก แต่แล้วในที่สุดก็มีเสียงคนวิ่งดังขึ้น..ดังมาจากทางขึ้นภูเขา หรือถ้ามองจากทางเราก็คือทางลงภูเขานั่นเอง....ตอนนี้ผมเห็นแล้ว..แม่ของผมกำลังยืนอยู่ที่ปากทางลงเขา หอบแฮ่กๆ ตาก็จ้องมองมาที่ผม แต่หลังจากเหลือบไปเห็นอัมเบลแล้วสีหน้าก็กลายเป็นโกรธขึ้นมาทันที....

      “ทำไมลูกมาอยู่กับมันอีกแล้วล่ะ..?” แม่มองผมด้วยสายตาดุดัน ผมรู้สึกไม่ดีเลย แต่ถึงไงก็ต้องทำให้แม่เข้าใจอัมเบลให้ได้...

      “แม่..อย่าเพิ่งโกรธสิ....” ผมพยายามจะกล่อมแม่ แต่ดูเหมือนแม่จะไม่ยอมฟัง....

      “แม่บอกแล้วใช่มั้ย!” แม่ตะโกนด้วยเสียงดังอย่างโกรธสุดขีด “ว่าอย่ามาอยู่กับไอ้ตัวโชคร้ายแบบนี้!”

      “อัมเบลไม่ใช่ตัวโชคร้ายนะ!” ผมเถียงแม่เสียงดัง ผมรู้ว่าการเถียงแม่มันไม่ดี แต่ผมไม่อยากให้แม่มาว่าอัมเบลทั้งที่เข้าใจผิดอยู่อย่างนี้....

      “แม่น่ะเอาแต่ว่าอัมเบล” ผมลดเสียงลงเป็นปกติ “อัมเบลเองก็ไม่ยอมพูดแก้ตัวอะไรเลย ก็เลยเข้าใจผิดกันอยู่นั่น”

      “แต่มันฆ่าพ่อของลูกนะ\"

      “ก็นั่นแหละที่ผมบอกว่าแม่เข้าใจผิด..อัมเบลน่ะไม่ใช่ตัวโชคร้ายหรอกนะ....แม่ ลองดูตัวเองสิ” แม่ก้มลงมองดูตัวเองอย่างสงสัย

      “มันมีอะไรล่ะ”

      “แม่เดิน วิ่ง ลุกไปไหนมาไหนเองได้แล้วใช่มั้ย?” แม่ทำท่าตกใจเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว “อย่าบอกนะว่าแม่เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองเดินไปไหนมาไหนได้แล้ว” แม่ไม่ได้ตอบ ผมจึงว่าต่อไป “แม่รู้มั้ยว่าที่แม่หายป่วยน่ะเป็นเพราะหมอนี่” ผมยกนิ้วโป้งชี้ข้ามไหล่ไปยังอัมเบลซึ่งอยู่ด้านหลัง “ผมบอกหมอนี่ ว่าอยากให้แม่หายป่วย หมอนี่ก็ช่วยดึงโรคออกจากตัวแม่ ทำให้ความปรารถนาของผมเป็นจริง ส่วนเรื่องพ่อ......ให้..ให้หมอนี่เล่าเองละกัน”

      แต่หมอนั่นยังคงยืนนิ่งเงียบ ผมจึงเดินไปหา ตบหลังมันทีนึง แล้วกระซิบว่า “ฉันทำหน้าที่ของฉันเสร็จแล้ว ที่เหลือเป็นหน้าที่ของนาย กล้าๆหน่อยถ้าไม่อยากให้แม่เข้าใจนายผิดอยู่อย่างนี้”

      อัมเบลยังคงยืนเงียบอยู่เช่นเดิม แต่แล้วในที่สุดเขาก็พยักหน้า แล้วเดินไปหาแม่ผม....

      “ฉันไม่ได้บอกเธอ..ความจริงน่าจะใช้คำว่า ‘ไม่เคยบอก’ มากกว่า เพราะฉันกลัว..กลัวว่าเธอจะไม่ยอมเชื่อ แต่ตอนนี้..เพราะว่าเฟน..ลูกชายของเธอ ทำให้ฉันมีความกล้าที่จะบอกเธอ..ว่าฉัน...ไม่ได้เป็นคนฆ่าสามีของเธออย่างที่เธอเข้าใจหรอกนะฟิเรีย”

      แม่ทำท่าจะเถียง แต่ก็ต้องสยบต่อน้ำเสียงจริงจังของอัมเบลที่เล่าต่อไป….

      “วันนั้น..วันที่เธอเจอฉัน..วันที่เธอรับร่มของฉันไป เธอขอเอาไว้ว่าให้ฉัน..พาสามีของเธอกลับมา....ฉันออกไปตามคำขอ หาไปทั่ว ทั้งในเมือง ตามภูเขา ทุกที่...จนกระทั่งไปเจอเขา..อยู่ในป่าที่เป็นทางผ่านไปสุ่เมืองหลวง...คิดว่าคงโดนโจรป่าฆ่าชิงทรัพย์ เพราะของมีค่าหายไปหมด เหลือแต่เสื้อผ้าที่ใส่ติดตัว....”

      ผมมองไปทางแม่ เห็นแม่ยกมือปิดปาก น้ำตาปริ่มขอบตา....

      “ฉันคิดอยู่ว่าถึงพากลับมาเธอก็คงจะไม่ดีใจ แต่มันเป็นคำขอ..เมื่อเป็นคำขอแล้วล่ะก็ ฉัน..ก็ต้องทำให้มันเป็นจริง....” นั่นคือคำพูดทั้งหมดที่หลุดออกมา หลังจากนั้นอัมเบลก็เงียบไป แต่สายตาก็ยังคงจ้องมองไปที่แม่ที่เอามือปิดหน้าหลบตาลงมองพื้น ผมเองก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังร้องไห้ และตอนนี้ผมก็รู้แล้วล่ะว่า ฝนน่ะ มันไม่ใช่น้ำตาของใครหรอก เพราะฝนมันเย็น แต่น้ำตา...เป็นหยดน้ำอุ่นๆที่กลั่นออกมาจากใจ....

      “ฉันจะเชื่อแกได้เหรอ..”

      ผมเงยหน้ามองแม่ น้ำตาของแม่ไหลเป็นทาง แต่ยังคงส่งสายตาไม่ไว้ใจมาทางอัมเบล..

      “อยากได้หลักฐานสินะ..” อัมเบลถามและแม่พยักหน้ารับ....

      “รู้มั้ย..ว่าทำไมหมู่บ้านนี้ถึงได้ชื่อว่าหมู่บ้านโคเมท(ดาวหาง)”

      ผมไม่รู้ แต่แม่รู้รึเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ เพราะว่าแม่ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกไปเลย อัมเบลดูปฏิกิริยาของทั้งแม่และผมแล้วจึงเล่าต่อไป “หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านเดียวที่มีงานเทศกาลบูชาวิญญาณเป็นประจำทุกปี เหตุก็เพราะทุกๆสิบห้าปีจะมีดาวหาง...ดาวหางที่เป็นแหล่งรวมวิญญาณผู้ดับสูญโคจรผ่าน งานเทศกาลจะมีถัดจากวันที่ดาวหางโคจรผ่านหมู่บ้านเป็นเวลาหนึ่งวัน เพราะวันที่ดาวหางโคจรผ่านคนที่ไม่มีงานก็จะอยู่ในบ้าน ส่วนคนที่มีงานก็จะรีบทำงานให้เสร็จเพื่อกลับบ้านไปพบกับวิญญาณของบุคคลอันเป็นที่รักที่จะได้พบกันแค่สิบห้าปีต่อครั้งเท่านั้น...แล้ววันนี้..ก็เป็นวันที่ดาวหางจะโคจรผ่านหมู่บ้าน สิบโมงเช้าก็คือเวลาที่ดาวหางจะโคจรผ่านมา ตอนนี้เหลืออีกแค่สิบนาที รีบไปเถอะ ไปแล้วไปถามความจริง..จากปากสามีของเธอเอง....” พูดจบอัมเบลก็ยิ้ม ส่วนแม่ไม่พูดพล่ามอะไรวิ่งลงเขาไปแล้ว ผมเองก็ต้องรีบไป เพราะผมก็อยากเจอหน้าพ่อเหมือนกัน ผมก้าวขากำลังจะออกวิ่งแต่แล้วสถานที่ก็เปลี่ยนจากโคนต้นไม้พันปีบนยอดเขากลายเป็นบ้าน..ของผมเอง..แม่เองก็อยู่ตรงหน้าผม และอัมเบลก็ยืนอยู่ข้างๆผม นี่หมอนี่วาร์ปผม แม่ พร้อมตัวเองมาที่บ้านสิท่า แต่ถ้าวิ่งมาก็ไม่มีทางทัน....ผมคิดเรื่อยเปื่อย แต่แล้วก็ต้องสะดุ้ง เพราะจู่ๆอัมเบลก็มาแตะไหล่ผม....

      “เดี๋ยวก็จะได้เจอกันแล้วนะ นายกับพ่อ....”

      หมอนั่นยิ้ม ผมยิ้มตอบ....

      “ใช่”

      ในที่สุดสิบนาทีก็ผ่านไป ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นวัตถุสีฟ้าบางอย่างกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ดาวหางนั่นเอง...ดาวหางสีฟ้า....ในที่สุดเมื่อมันโคจรผ่านหลังคาบ้านผมก็มีละอองแตกออกมา เป็นละอองสีฟ้าใส และแล้วร่างของผู้ชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าแม่ แต่เป็นร่างสีฟ้า....ผมคิดว่านั่นคือพ่อ เพราะแม่โผเข้ากอดทันทีที่เห็น หลังจากที่แม่คุยกับร่างของผู้ชาย(ที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นพ่อ)สักพักแล้วก็ชี้ไม้ชี้มือมาทางผม ร่างสีฟ้านั้นผละจากแม่เดินเข้ามาหาผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม....

      “เฟน

      “คะ..ครับ”

      “เป็นครั้งแรกเลยนะที่ได้เห็นหน้ากัน ตอนที่พ่อออกเดินทางไปเมืองหลวงน่ะ ลูกยังอยู่ในท้องแม่อยู่เลย”

      “นี่พ่อไงเฟน” แม่เดินเข้ามาพูดกับผม ..พ่อจริงๆเหรอ..แต่ว่าจะให้ผมทำท่ายังไงดีล่ะ จะให้ผมเข้าไปกอดผมก็ทำไม่ได้หรอก เพราะถึงจะได้ชื่อว่าเป็นพ่อ แต่ก็ไม่ได้ผูกพันกัน แถมผมเพิ่งจะเคยพบหน้าครั้งแรกด้วย....
      “..............” ผมพูดอะไรไม่ออก แต่พ่อยิ้ม....
          
      “ไม่เป็นไร พ่อเข้าใจว่าลูกคงจะมากอดพ่ออย่างเป็นปกติไม่ได้ เพราะถึงจะบอกว่าเป็นพ่อ แต่ก็เพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก” ผมพูดอะไรไม่ออก เพราะพ่อพูดดักใจผมได้หมดเลย....
          
      “ถ้าไงก็รักษาตัวแล้วกันนะ” นี่คือประโยคสุดท้ายที่พ่อพูดกับผมก่อนที่ผมจะโดนอัมเบลลากออกมาจากห้อง....
          
      “ปล่อยให้พวกเขาอยู่กันสองคนเถอะ” หมอนั่นพูดกับผมเมื่อออกมานอกห้องแล้ว....
          
      ครึ่งชั่วโมงต่อมา แม่ออกมาจากห้อง หน้าตาท่าทางมีความสุขมาก แต่เมื่อเห็นอัมเบลแล้วสีหน้าก็กลับเป็นปกติปนด้วยแววสำนึกผิดนิดๆ....
          
      “ฉันรู้แล้ว ฉันเข้าใจผิดไปเอง..ขอโทษ....” แม่มองตาอัมเบลที่ไม่ได้โกรธอะไรแต่ยิ้มให้
          
      “อืม...เข้าใจก็ดีแล้ว...ตอนนี้ดาวหางก็ไปแล้ว วิญญาณก็คงไปหมดแล้ว พวกชาวบ้านก็คงออกมาข้างนอกกันหมดแล้วล่ะมั้ง”
          
      “อา...ก็ต้องเตรียมงานเทศกาลกันนี่นา” ผมตอบ ในขณะที่แม่ยิ้ม แล้วบอกว่า
          
      “พวกเราก็ออกไปช่วยพวกเขาเตรียมงานกันเถอะ”

      ***************

          .........ภูตผู้ถือร่มสีดำจะปรากฏตัวขึ้นในวันที่ฝนตก และใครที่ได้รับร่มจากเขา เขาก็จะทำให้ความปรารถนาของคนผู้นั้นเป็นความจริง....นั่นคือตำนานบทใหม่ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ของหมู่บ้านโคเมท.........

                                                                                                                                Fin....

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×