เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ฉันอายุ 6 ขวบ ขณะกำลังเล่นอยู่ที่ฟาร์มในแคลิฟอร์เนีย ฉันได้พบเด็กชายที่แลดูธรรมดาคนหนึ่ง ประเภทที่เขาอาจแหย่คุณและคุณก็แหย่เขากลับ กลั่นแกล้งกันไปมา พูดง่ายๆ ว่าตอนพบกันครั้งแรกนั้นเรารู้สึกดีต่อกันแล้วพอได้ มาเจอกันอีกก็แหย่กันเล่นตรงบริเวณรั้ว
และที่นั่นก็กลายเป็นที่ที่เราพบกันและเล่นด้วยกันเสมอมา
ฉันน่าจะเล่าความลับของฉันทั้งหมดให้เขาฟังได้นะ เขาเป็นคนเงียบ ๆ คอยแต่นิ่งฟังเวลาที่ฉันเล่าโน่นนี่ เป็นคนที่ฉันสามารถคุยด้วยได้ทุกๆ เรื่อง ตอนอยู่ในโรงเรียนเราอยู่คนละกลุ่ม แต่พอกลับบ้านเราก็จะคุยกันถึงเรื่องราวในโรงเรียน
.....วันหนึ่งฉันบอกเขาว่า เด็กผู้ชายที่ฉันชอบคนหนึ่งหักอกฉัน เขาปลอบว่าไม่เป็นไรหรอก
สักพักมันจะดีไปเอง
ฉันเลยสบายใจขึ้นและยิ่งทำให้นึกว่า
เขาเป็นเพื่อนแท้คนหนึ่งของฉัน
นั่นเป็นความรู้สึกตอนนั้นของฉันจริง ๆ .....เราเรียนด้วยกันเรื่อยมาจากมัธยมจนถึงมหาวิทยาลัย คบหากันมาโดยตลอดแม้ฉันจะคิดเสมอว่า
เราเป็นแค่เพื่อนแต่ลึก ๆ แล้ว
...ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่
ในคืนวันสำเร็จการศึกษาเราต่างมีคู่นัดไปนั่งฟังเพลงกัน
แต่ฉันก็ยังอยากจะพบเขาอยู่ดี
เมื่อทุกคนกลับบ้านกันหมด
ฉันแวะไปหาเขาเพื่อจะบอกว่าฉันอยากจะขอพบเธอ อือ ...
นั่นดูเหมือนจะเป็นโอกาสทองของฉันทีเดียว
แต่ที่สุดแล้วเราแค่นั่งดูดาว
ผลัดกันเล่าแผนการชีวิตของกันและกัน...
ฉันจ้องตาเขาขณะฟังเขาเล่าว่าเขาอยากแต่งงาน
และวางหลักปักฐานทั้งยังคุยถึงวิถีทาง ที่จะทำให้ตัวเองร่ำรวยและประสบความสำเร็จในชีวิต
...โดยมีฉันนั่งคุดคู้อยู่ข้าง ๆ เขาคืนนั้น
ฉันกลับบ้านพร้อมความรู้สึกอันปวดร้าว
ด้วยเหตุที่ฉันไม่ได้พูดออกไปดังใจปรารถนา
ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่หัวใจฉันเจ็บปวด
สมัยเรียนมหาวิทยาลัย
ฉันอยากจะบอกเล่าให้เขาฟังใจจะขาด
แต่ทุกครั้งจะต้องมีใครสักคนอยู่ตรงนั้นด้วยเสมอ
...หลังจากนั้นเขาก็ได้งานทำในนิวยอร์ก
แน่นอนฉันยินดีกับอนาคตอันสดใสนั้น แต่ยังคงเก็บงำความรู้สึกของตัวเองเช่นเดิม
ขณะที่เขากำลังจากไปฉันกอดเขาแล้วร้องไห้
คิดว่านั่นเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะมีเขาอยู่เคียงข้าง
คืนนั้นฉันร้องไห้จนตาบวม
และยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเมื่อนึกถึงว่าที่สุดแล้ว ฉันก็ยังไม่ได้เล่าความในใจให้เขาฟัง
ฉันเริ่มต้นด้วยงานเลขาฯ
แล้วย้ายสายงานมาเป็นนักวิเคราะห์ระบบคอมพิวเตอร์
รู้สึกภูมิใจในตัวเองที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง
วันหนึ่ง
ฉันก็ได้รับการ์ดแต่งงานใบหนึ่งทางไปรษณีย์ มาจากเขานั่นเอง ใจหนึ่งฉันก็ยินดีกับเขา
แต่อีกใจก็ยะเยียบเศร้า ได้แต่พร่ำบอกกับตัวเองว่า
ฉันไม่มีโอกาสได้อยู่เคียงข้างเขาอีกแล้ว อย่างมากที่สุดเราก็เป็นได้แค่เพื่อนกัน
...งานแต่งงานได้จัดขึ้นอย่างอลังการทีเดียว
ณ โบสถ์ใหญ่แห่งหนึ่ง
ขณะที่งานเลี้ยงจัดในโรงแรมฉันได้พบจ้าสาว
และแน่ล่ะได้พบเขาด้วย
แล้วฉันก็ตกหลุมรักเขาอีกครั้งหนึ่ง
ฉันเก็บความลับนี้ไวกับตัวเอง
...ไม่อยากให้มันไปทำลายวันอันเป็นมงคลของเขา คืนนั้นฉันพยายามทำตัวให้สนุก
แต่กลับกลายเป็นว่าฉันกำลังฆ่าตัวเอง
ด้วยการเผชิญหน้ากับคนที่กำลังดูมีความสุขมากอย่างเขา
ฉันจึงจำเป็นต้องพยายามฝืนยิ้ม และทำตัวให้มีความสุข
เพื่อกลบเกลื่อนหยาดน้ำตาที่ซุกซ่อนไว้ในใจ แต่แล้วเขาก็มาปรากฎตัวตรงหน้าก่อนที่ฉันจะก้าวขึ้นเครื่องบิน เขามาเพื่อจะบอกลา พร้อมกับกล่าวว่า
ดีใจที่ได้พบเขาอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อกลับถึงบ้านฉันพยายามลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในนิวยอร์ก มันถึงเวลาแล้วที่ฉันต้องเดินไปตามวิถีทางของฉันเองบ้าง ตลอดหลายปีมานี้เรายังคงติดต่อกันทางจดหมาย
เขาย้ำเสมอว่าคิดถึงฉันมากอยากจะมีโอกาาสได้คุยกับฉันอีก
..และแล้วเขาก็เงียบหายไปหลังจากที่ฉันเขียนไปหาเขา 6 ฉบับ ฉันเริ่มกังวลว่าอาจจะมีเรื่องร้าย ๆ อะไรเกิดขึ้น
แต่แล้วก็ได้รับโน้ตสั้นๆบอกว่า \'ขอให้มาพบผมตรงรั้ว
ณ ที่เดิมที่เราเคยเล่าอะไรต่ออะไรให้กันฟัง\'
ฉันไปตามนัดและพบเขาอยู่ที่นั่นจริง ๆ
เขากำลังอกหักและดูโศกเศร้ามาก
เรากอดกันแน่นและหายใจแทบไม่ออก
และเขาก็เล่าเรื่องการหย่าร้างให้ฉันฟังทั้งน้ำตา
เขาร้องไห้...ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลออกมา
...ในที่สุด
เราก็เดินเข้าไปในบ้านคุยกันและหัวเราะเมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ
อย่างไรก็ตาม ฉันยังคงเก็บความลับนั้นไว้
ไม่ได้เล่าความในใจให้เขาฟัง
หลายวันที่อยู่ด้วยกันทำให้เขากลับมามีความสุข
และลืมปัญหาการหย่าร้าง
ขณะที่ฉันได้ตกหลุมรักเขาอีกครั้ง เมื่อถึงวันที่เขาต้องกลับไปนิวยอร์ก
...ฉันต้องไปส่งเขาด้วยน้ำตา
ไม่อยากเห็นภาพเขาเดินจากไป
แม้เขาสัญญาว่าจะบินมาหาฉันทุกเมื่อที่ฉันสามารถลางานได้
แต่ฉันไม่สามารถรอเขาได้อีกต่อไป โดยส่วนลึกในหัวใจแล้วเราต่างมีความสุขเสมอ
เมื่ออยู่ด้วยกันวันหนึ่ง
เขาก็ไม่ได้กลับมาอย่างที่เขาเคยสัญญาไว้ ฉันได้แต่คิดว่าคงเป็นเพราะเขางานยุ่งเกินกว่าที่จะปลีกตัวมาได้
มันผ่านไปจากวันนั้นเป็นเดือนจนลืมเรื่องนี้ไป
และแล้วทนายความจากนิวยอร์กก็แจ้งข่าวร้ายนี้ให้ฉันทางโทรศัพท์
...เขาเพิ่งเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุทางรถยนต์
ระหว่างที่กำลังเดินทางไปสนามบิน
ฉันเข้าใจทันทีถึงความรู้สึกของคนหัวใจสลาย
เพิ่งรู้ว่าทำไมเขาไม่มาหาฉัน
ในวันนั้นนี่เป็นอีกครั้งที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองอกหัก คืนนั้นฉันร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด
ถามตัวเองว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้นกับคนดี ๆ อย่างเขา
ฉันเดินทางไปนิวยอร์กอีกครั้งเพื่อร่วมรับฟังการเปิดพินัยกรรม
แน่นอนที่สุดสมบัติต่าง ๆ
เขามอบให้กับครอบครัวและอดีตภรรยา นี่เป็นอีกครั้งที่ฉันได้พบภรรยาเขาอีก
เธอเล่าถึงความเป็นอยู่ของเขาให้ฉันฟัง และยังบอกว่าเขาได้ทำอะไรให้เธอบ้าง
แต่กลับสัมผัสได้ว่าเขาไม่มีความสุขเลย
แม้ว่าเธอพยายามเอาอกเอาใจต่าง ๆ นานาแล้วก็ตาม
แต่ไม่สามารถทำให้เขามีความสุขอย่างคืนวันแต่งงานได้เลย
ในพินัยกรรมระบุว่าฉันจะได้รับสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง
ที่เป็นสมบัติส่วนตัวของเขา
ที่ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าทำไมเขาจึงตัดสินใจเช่นนั้น
เมื่อเสร็จธุระฉันจึงบินกลับไปยังแคลิฟอร์เนีย
ระหว่างเดินทางฉันหวนระลึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ของเรา
...และเปิดสมุดบันทึกออกอ่านสมุดบันทึกนั้น
เริ่มบันทึกขึ้นจากวันแรกที่เราได้พบกัน อ่านไปชั่วขณะหนึ่งฉันเริ่มร้องไห้เมื่อพบข้อความว่า
เขาได้ตกหลุมรักฉันในวันที่ฉันถูกหักอก
แต่เขาก็ขลาดเกินไปที่จะบอกฉันว่าเขารู้สึกอย่างไร
นั่นเป็นเหตุผลว่า
ทำไมวันนั้น....
เขาจึงนิ่งเงียบและคอยแต่จะเป็นผู้ฟัง
จากบันทึกทำให้ฉันรู้ว่า
เขาพยายามจะบอกฉันหลายครั้ง
แต่เขาก็ไม่มีความกล้าหาญพอ
เวลาที่เขารู้สึกดีใจที่สุดจึงเป็นโอกาสที่เขาได้พบฉัน
และเต้นรำด้วยกันในวันแต่งงาน
ซึ่งเขาพยายามจินตนาการว่านั่นเป็นงานวิวาห์ของเรา
นี่ละสาเหตุที่ทำให้เขาไม่มีความสุข
จนกระทั่งเขาได้หย่าขาดจากภรรยา
...ส่วนเวลาที่มีความสุข
กลับเป็นวินาทีที่เขากำลังอ่านจดหมายของฉัน ในที่สุดสมุดบันทึกก็จบลงด้วยข้อความว่า
\"แล้วก็มาถึงวันนี้ ...วันนี้แล้วที่ผมจะได้บอกรักเธอ ... \"
แต่มันกลับเป็นวันที่เขาต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
...วันที่ฉันเพิ่งมาค้นพบว่าเขาก็รู้สึกเช่นเดียวกับฉันตลอดมา....!
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น