บนทางเดินที่มีแต่ความอ้างว้าง และ ไร้จุดหมาย - บนทางเดินที่มีแต่ความอ้างว้าง และ ไร้จุดหมาย นิยาย บนทางเดินที่มีแต่ความอ้างว้าง และ ไร้จุดหมาย : Dek-D.com - Writer

    บนทางเดินที่มีแต่ความอ้างว้าง และ ไร้จุดหมาย

    ทางเดินที่ฉันกำลังก้าวเดินไปนั้น มีผู้คนมากมาย เดินผ่านไปมา ต่างคนต่างก็มีทางเดินเป็นของตัวเอง แต่กับฉันแล้ว ฉันรู้สึกเหมือนฉันอยู่ตัวคนเดี๋ยว โดยที่ฉันมีคนชี้ทางให้เดินไปข้างหน้า ซึ่งมันไม่ใช่ตัวฉัน

    ผู้เข้าชมรวม

    308

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    6

    ผู้เข้าชมรวม


    308

    ความคิดเห็น


    4

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  6 ต.ค. 47 / 22:19 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      บนทางเดินที่อ้างว้างของผม  เริ่มขึ้นเมื่อผมอายุได้เพียง 14 ปี ซึ่งในตอนนั้น สามีของป้าผมเสีย  และป้าก็จะต้องอยู่กันสามคนแม่ลูก  ซึ่งมีลูกชายและลูกสาว ลูกชายป้า อายุน้อยกว่าผมหนึ่งปี แต่เรียนอยู่ชั้นเดียวกัน  ส่วนลูกสาวอายุ 9 ขวบ  และจะสนิทกับผมมากที่สุด  ที่ผมสนิทกับลูกสาวป้ามากกว่าลูกชาย  ก็ไม่ใช่ไรหรอกครับ  ก็ตอนที่ผมอาสา ย้ายมาอยู่ที่บ้านป้า  ผมก็กะว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนและคอยช่วยเหลืออะไรนิดๆหน่อยๆ เท่าที่ผมจะช่วยได้  แต่พอมาอยู่ได้ไม่นานเท่าไร  เรื่องมันก็เกิด คือ ผมกับลูกชายป้า เข้ากันไม่ได้  มีเรื่องกันแทบทุกวัน  แต่ก็ทำไงได้ละครับ  เราอาสามาอยู่เองนิครับ ผมจึงไม่คิดอะไรมากเท่าไร  และมันก็เป็นแบบนี้มาตลอดจนผม ชินชา กว่าที่จะเก็บเอามันมาคิดมากให้ปวดหัวเปล่าๆ  แต่มันไม่เพียงแค่นั้นแน่ซิครับ  มันกลับเลวร้ายกว่าที่ผมคิด  คงเป็นเพราะเมื่อก่อนผมอยู่บ้านนอก ย้ายมาจากโรงเรียนประจำอำเภอซึ่งมันเป็นอะไรที่เรียบง่ายไม่ค่อยมีเรื่องอะไรมากมาย  ตอนนี้ผมต้องเข้ามาเรียนโรงเรียนประจำจังหวัด  เพียงวันแรกเท่านั้นเองที่ผมย้ายเข้าไป  ผมก็โดนแกล้งสารพัด  ส่วนใหญ่แล้วจะแกล้งโดยใช่กำลัง  โดยการตบหัว  เป็นอย่างนี้ประจำ  แล้วก็เป็นอย่างนั้นมาโดยตลอด จนกระทั่งผมทำใจได้ ยังไงเราก็ต้องทน เพราะไม่มีใครมาช่วยเรานอกจากตัวเอง ตอนนั้นผมคิดถึงแม่ มาก  จะบอกใครก็ไม่ได้ จะฟ้องครู ก็ไม่ได้ เพราะกลัวโดนรุม  ลืมบอกไปว่าตอนนั้นผมย้ายไปกลางเทอม  ผมเลยเลือกห้องเรียนไม่ได้  ทางโรงเรียนให้ผมย้ายเข้าไปเรียนที่ ห้อง ม.2/9  ซึ่งห้องนี้เป็นห้องที่เน่น  ดนตรีไทย  เพื่อนๆห้องนี้ก็จะเล่นดนตรีเป็นทุกคน  ผมเองก็ไม่เคยคิดที่จะเล่นดนตรีไทยมาก่อน  และอาจารย์เข้าก็ไม่ให้เล่นด้วย ผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน  แต่คงเป็นเพราะ คำกล่าวที่ว่า  ยิ่งห้ามยิ่งอยาก  จากที่ผมต้องคอยกวาดพื้นถูพื้นห้องดนตรีไทย  วันนึงผมแอบหยิบซอที่ห้องนั้นแล้วหัดเล่นตาม บนกระดานที่อาจารย์เขียนไว้ ว่ากดนิ้วไหนเป็นโนตตัวไหน ผมแอบซ้อมอยู่อย่างนี้เป็นเวลาหนึ่งเดือน จนชำนาญ  หรือจะเรียกได้ว่า  แอบเล่นจนเก่งที่สุดในห้องก็ว่าได้  อยู่มาวันหนึ่ง วันนั้นก็เป็นอีกวันที่ผมแอบหยิบซอมาเล่น และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าตอนนั้น อาจารย์ที่สอนดนตรีไทยกำลังแอบดูผมอยู่   เล่นได้ซักพักอาจารย์ก็เดินมาหาผม  แล้วบอกว่า  ใครใช่ให้เธอเล่น  เอาไปเก็บเดี๋ยวนี้  วันนั้นเองผมก็ไม่คิดที่จะเล่นดนตรีไทยอีกเลย  ถึงแม้ว่าอาจารย์จะพูดไม่แรง  มันเป็นยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก  ผมกับรู้สึกว่า ผมเสียความรู้สึกจากคำพูดนั้นมาก  จนกระทั่งวันนึง  วันนั้นเป็นวันที่ห้องผมจะต้องเล่นดนตรีไทย  เนื่องจากอาจารย์ใหญ่ จะย้าย  และผมก็ได้แต่นั่งเฝ้า คอยเก็บของหลังงานเสร็จ  พองานเริ่งไปได้ซักพัก  วงดนตรีที่เพื่อนๆผมกำลังเล่นอยู่ เกิด ล่ม และคนที่ทำล่มนั้นก็ดันเล่นซอด้วง  ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ผมแอบเล่นอยู่บ่อยๆ  อาจารย์เลยให้ผมไปเล่นแทน  ตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูก แล้วก็ไม่เคยออกงานด้วย  ผมจึงบอกอาจารย์ว่า  ผมกลัวจะเล่นไม่ได้ดี  แต่อาจารย์ก็ตอบกลับมาว่า  เหอะน่า  ลองดู  ไหนๆก็ล่มมาแล้ว  เป็นไงเป็นกันครูไม่ว่าหรอก  แล้วเมื่อผมเริ่มเล่น  ทุกคนในหอประชุม กับมองมาที่วงดนตรีไทยกันเป็นตาเดียว  ตอนนั้นผมคิดว่า  เค้าคงจะลุ้นกันว่าครั้งที่สองนี้จะ ล่ม อีกหรือเปล่า  เพลงที่ผมเล่นนั้นเป็นเพลงเขมรไทรโยค  ซึงเพลงนี้ผมฟังเพื่อนที่ห้องเล่นกันบ่อยมาก จนผมจำได้หมด   พอผมเล่นจบเท่านั้นเอง  ทุกคนในหอประชุม ปลบมือให้ ดังไปทั่วหอประชุม ลงท้ายด้วยคำชมจากอาจารย์ ใหญ่   ด้วยคำว่า ตั้งแต่ครูย้ายมาเป็นครูอยู้ที่นี้มา  ครู เพิ่งรู้ก็วันนี้เองว่า  โรงเรียนเรา มีความสามารถ ในการบรรเลงดนตรีไทยมาก  และครูก็คิดว่าทุกคนในหอประชุมนี้ก็คิดเช่นเดียวกับครู  แค่ผมได้ยิ่งคำชมจากอาจารย์ใหญ่เท่านั้นแหละ ผมกับรู้สึกมีกำลังใจที่จะเล่นดนตรีไทยต่อ  ถึงแม้อาจารย์จะไม่ให้ผมเล่น ผมก็จะไปหาเรียนที่อื่น  แต่ที่ผมคิดมันไม่เป็นเช่นนั้นนะซิครับ   หลังจากหมดงานนั้น  เมื่อมีงานอะไร  อาจารย์ก็จะให้ผมไปออกงานโดยมาตลอด   และผมก็ไม่คิดโกรธอีกเลย  แต่กลับรู้สึกดี และอยากขอบคุณที่ให้โอกาศผม  แต่เรื่องมันก็ยังไม่จบ  เพื่อนตัวแสบ  ดันมาอิจฉาอีก  พยายามแกล้งผมทุกวิถีทาง  แล้วมันก็จะชอบตัดสายซอตัวที่ผมเล่น  บางทีก็เดินมาแล้วตบหัวผม  ผมถามว่าทำไมถึงทำแบบนี้  มันดันพูดมาได้อีกนะครับว่า  หมั่นใส่  ผมก็เลยเออๆ  ไป  แล้วพูดว่างั้นก็แล้วแต่ละกัน  และจะบอกไว้อย่างนะว่า  เค้าไม่เคยคิดโกรธแค้นอะไรพวกแกเลย  แต่อยากให้คิดกับผมเป็นเพื่อนคนหนึ่งบ้างจะได้มั้ย  แต่มันดันหัวเรอะ  แล้วบอกว่าฟันไปเหอะ  เค้าไม่คบพวกบ้านนอกอย่างแกหรอก  เพียงผมได้ยินที่เพื่อนมันพูด ผมกับถึงน้ำตาตก  คงเป็นเพราะตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี้  ผมเหมือนไม่ใครเลย  ละที่ผมไม่โทรไปหาแม่ที่บ้านนะเหรอครับ  ผมก็ลืมบอกไปว่า  ครอบครัวผม  เค้าจะเป็นคนหัวโบราณอะครับ  เลี้ยงลูกแบบอะไรนิดอะไรหน่อยก็ ไม้ลูกเดียว  จนผมเป็นคน นิ่งๆมาจนถึงปัจจุบัน  และเพราะเหตุนี้  ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ผมย้ายมา  เพราะผมคิดว่า  ถ้าผมอยู่ไกลครัวครอบ   และนานๆจะได้เจอกันที  พอเวลาผมกลับบ้าน ผมคงจะมีความสุขมากกว่าที่ผ่านๆมา  พ่อแม่คงคิดถึงผม เหมือนเช่นเดียวกับที่ผมคิดถึงท่าน  และวันที่ผมจะได้กลับไปหาครอบครัวผมก็มาถึง  พรุ้งนี้เป็นวันแม่ และโรงเรียนก็ปิด  ผมจะได้กลับไปอยู่บ้านสามวัน คืนนั้นเอง  ผมนอนไม่หลับทั้งคืน เพราะคิดถึงแต่ว่าถ้าผมกลับไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก  ผมคงจะมีความสุขมาก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเวลาไม่นาน  พอตื่นเช้ามาผมรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วเดินออกจากบ้านไปตอนตีห้า  ใช่เวลาเดิน 20 นาที ก็ถึง ท่ารถ  ตอนแรกก็กะว่าจะให้ป้ามาส่ง  แต่เห็นเค้ายังไม่ตื่น ผมเลยเดินออกมาเอง  แต่มันก็ไม่แปลก เพราะผมก็เดินมาขึ้นรถไปโรงเรียน เป็นระยะทางพอๆกันกับท่ารถอยู่แล้ว  และพอผมขึ้นรถไปซักสิบนาที  ผมก็เห็นป้า เดินถือกล้องข้าวมาให้ผม  แล้วบอกว่า มาทำไมไม่บอก ปล่อยให้ตามหาอยู่ได้  อ้าวนี้ข้าว  ไม่กินข้าวได้ไง  แล้วก็นั่งรถนั่งราดีดีนะ  ว่าแล้วป้าก็ควักกระเป๋าตัง  แล้วหยิบเงินมาให้ผมสองร้อยเป็นค่ารถ  แล้วป้าก็กลับ  ตอนนั้นผมรู้สึกดีมาก เพราะอย่างน้อยผมก็ยังมีป้าที่ยังเป็นห่วงผม  ลืมบอกอีกละว่า ป้าผมเค้าเป็นครู เค้าจะเป็นคนแปลกๆ  วันๆเค้าจะนั่งอยู่นิ่งๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจาอะไรกับใคร   ครับตอนนี้เอาเป็นว่าผมนั่งรถมาได้อีกยี่สิบนาทีรถก็ออก  รถขับไปได้หนึ่งชั่วโมง  ก็ถึงอีกสถานีหนึ่ง ซึ่งผมจะต้องเปลี่ยนรถ  แล้วผมก็ลงจากรถ เพื่อไปขึ้นอีกคันนึง  ผมเห็นรถคันหน้ากำลังจะออกผมรีบวิ่งไปขึ้น  แล้วพอนั่งไปได้ซักพักผมรู้ซึกว่า ทางที่รถคันนี้กำลังไป นั้นมันเหมือนทางที่ผมเพิ่งผ่านมาเมื่อกี้  ผมเลยถามกระเป๋ารถเมล์ว่าจะไปไหน  ใช่จริงๆครับผมย้อนกลับ  ผมเลยลงกลางทาง  แล้วผมก็เดินกับไปที่ท่ารถที่ผ่านมา  ผมเห็นหลักกิโลแล้ว  อีกแปดกิโลกกว่าจะถึง  ตอนนั้นเจ็ดโมงได้แล้วผมก็รอรถที่จะต้องมาอีกรอบนึง ประมาณหนึ่งชั่วโมง เป็นเวลาแปดโมง ก็ไม่มีวี่แววว่ารถจะมา  ผมเลยเดินไป เดินไปจนถึงท่ารถ .....  สี่ชั่วโมงครับที่เดินมา ไม่รู้ว่าเดินได้ไง  คงเป็นเพราะคิดถึงบ้านมั่งครับ จนในที่สุดก็ได้ขึ้นรถอีกครั้ง  ตอนนี้เที่ยงแล้ว  ผมนั่งรถไปอีกหนึ่งชั่วโมงก็ถึงท่ารถที่ตัวอำเภอ  ผมดีใจมาก  ในที่สุดก็มาถึง  แล้วผมไปที่ตู้โทรศัพท์ เพื่อโทรให้แม่มารับ  แต่กลับไม่มีคนรับสาย  ผมจึงเดินไปที่บ้าน ต่อ อีก ประมาณ สิบห้านาที พอถึงบ้าน....กับไม่มีคนอยู่  แล้วผมก็ไปนอนลงที่โซฟา เพราะเหนื่อยมาก  พอตื่นขึ้นมาตอนนั้นก็บ่ายสามแล้ว  ผมเห็นแม่อยู่ในห้องครัว แล้วก็ไหว้ท่าน  เค้าก็บอกว่า..ตื่นแล้วเหรอ ไปอาบน้ำกินข้าวป่ะ  แล้วผมก็ไปอาบน้ำ พออาบเสร็จ จะมากินข้าว  ผมเห็นน้องชายผมตั้งหน้าตั้งตากินข้าวอย่างเอาเป็นเอาตาย  พอผมตักข้าวแล้วไปนั่งที่โต๊ะปรากฎว่ากับข้าวหมด ทั้งๆที่แม่ทำไว้เยอะมาก  ผมเลยบอกน้องว่ากินข้าวอะหัดเผื่อให้คนอื่นบ้าง  แล้วน้องชายที่แสนดีมันกลับตอบมาว่า ทำไมละจะกิน แล้วนี้จะกลับมาทำไม กลับมาแล้วมาว่าแบบนี้ไม่ต้องกลับมาเลยดีกว่า  แล้วผมก็เดินไปบอกแม่ว่าน้องพูดแบบนี้ได้ไง  แล้วก็ทำตัวเหมือนกับผมไม่ใช่พี่อย่างนั้นแหละ  แล้วแม่ก็ตอบกลับมาด้วยเสียงแข็งว่า  จะทำไมน้องมัน น้องมันจะทำอะไรก็ช่างมันซิ  แล้วนี้ไปว่าน้องมันทำไมห๊ะ  ถ้ามาแล้วมีเรื่องนะกลับไปเลยป่ะ  คำพูดที่ผมได้ยินจากแม่ ผมแทบไม่อยากเชื่อเลยว่า แม่จะพูดกับผมแบบนี้  ทั้งๆที่เราไม่ได้เจอกันมาเป็นปี  แล้วผมก็คิดถึงแม่มากอยากเจอ  อยากอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา  แต่แม่มาพูดกับผมเหมือนว่าผมไม่ใช่ลูกของแม่  คำพูดนั้นทำให้ผมจำมาจนถึงทุกวันนี้  หลังจากที่ผมฟังแม่พูดแล้ว  ผมก็เก็บข้าวของ แล้วเดินไปที่ท่ารถเพื่อกลับบ้านป้า  ผมเดินไปก็ร้องไห้ไป  ผมไม่เคยเสียใจอะไรมากขนาดนี้เลย  ผมอยู่ตัวคนเดียวมานาน อุส่ากลับมาบ้านมาหาครอบครัว แต่ต้องมาเจอแบบนี้  ผมก็ไม่อยากบอกหรอกนะครับว่า  ตอนที่ผมเดินมาขึ้นรถนั้น  แม่ไม่ตามมาเลย แล้วผมก็มาถึงท่ารถแล้วขึ้นไปได้ซักพักรถก็ออก  ตอนนั้นก็ประมาณห้าโมงกว่าแล้ว ฟ้าไกล้มืดแล้วด้วย  ตอนที่ผมนั่งรถไปนั้น  ผมมักจะหันหลังไปมองข้างหลังอยู่ตลอด เพราะมาได้แป๊บเดียวเองก็กลับแล้ว  ยังไม่หายคิดถึงเลย  ตอนนั้นผมท้อมาก  พอกลับไปถึงตัวจังหวัดผมก็ลงจากรถ  แล้วเดินไปซื้อ ยาแก้เคลียดมาหนึ่งแผง  มีสิบเม็ด  ผมกลับไปถึงบ้านป้าประมาณ สองทุ่ม แล้วกินยาไปหมดแผง  เพราะเหนื่อยและเคลียด  แต่ยานี้ไม่เป็นอันตรายอะไรหรอกครับ  มันเป็นแบบ เบา  ถ้าแรงที่ร้านเค้าคงไม่ขายให้  หลังจากที่กินไปได้ซักพักผมก็หลับไปตื่นขึ้นมาอีกที ก็มึดของอีกวัน ป้าถามว่ามีอะไรหรือเปล่า ผมก็บอกไม่มีไร  แค่รีบกลับมาทำการบ้าน ลืมไปว่าการบ้านเยอะ  ป้าก็ไม่ถามอีก  ตกลงคืนนั้นผมก็ไม่ได้หลับอีก  ผมพยายามทำใจกับเรื่องนี้ทั้งคืน พอเช้า ผมก็หลับอีก เพราะปวดหัวมาก  ผมบอกตรงๆนะครับว่าผมรับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ  มันยิ่งทำให้ผมเหมือนอยู่ตัวคนเดียว  เพื่อนก็ไม่มีอยู่แล้ว  แม่ ก็ ไม่สนใจผม  ส่วนพ่อผมเค้า เฉยๆ พ่อผมเป็นคนนิ่งๆเหมือนป้าผม  ใครจะเป็นอะไรมีเรื่องอะไร  ก็ไม่ใส่ใจ  หลังจากที่ผมเคลียดไปหลายวัน ผมก็ตั้งใจแล้วว่า ตอนนี้ผมต้องทำตาราง วางแผนว่าวันๆ หนึ่งผมต้องทำอะไรบ้าง  คือตอนเช้า ไปโรงเรียน  เรียน เสร็จก็กลับบ้านมาอาบน้ำกินข้าว แล้วก็อ่านหนังสือทำการบ้าน  พอสามทุ่มก็เข้านอน  ทำแบบนี้มาตลอด  จนปิดเทอม  ผมก็ไม่กลับบ้าน ผมอยู่บ้านป้าจน เปิดเทอม ขึ้น ม 3 ผมก็ทำตามเดิมแบบที่ทำตารางไว้เมื่อตอน ม 2  ผมกับต้องมาเจอปัญหาอีก  เพื่อนผมมันแกล้งผมไม่เว้นแต่ละวัน  แล้วมันก็แกล้งหนักขึ้นเรื่อยๆ  เพราะมันคงเห็นว่าผมไม่สนใจ แกล้งยังไงผมก็เฉยๆ  จนมันรุมตบหัวผม แล้วบอกว่า แกเก่งนักเหรอ งั้นแกต้องโดนแบบนี้  ตอนนั้นผมทนไม่ไหวแล้ว  เพื่อนมันรุมผม จนหน้า และ หัวผม ช้ำ  ไปหมด แล้วผมก็เดินไปบอกอาจารย์ ที่สอบคราบนั้น ผมเดินไปบอกอาจารย์ว่า เพื่อนผมแกล้งผม ทั้งๆที่ผมไม่ได้ทำอะไรให้เลย  แล้วอาจารย์ก็ถามว่า เธอไปกวนอะไรมันก่อนหรือเปล่า  ผมก็ตอบกลับไปว่าไม่ เพราะตั้งแต่ผมเกิดมาผมยังไม่เคยแกล้งใครหรือกวนใครเลย แล้วก็ไม่มีใครเคยแกล้งผม  เพิ่งจะมาโดนก็ที่นี้  ไม่รู้เพราะอะไรอะครับอาจารย์  แล้วคำตอบของอาจารย์ก็คือ  ถ้าเธอทนไม่ได้ เธอก็กลับไปอยู่บ้านนอกเธอ โน้น ลาออกไปเลยป่ะ  ไม่รู้เป็นอะไรทำไมผมต้องเจอแต่เรื่องแบบนี้  หลังจากนั้นผมก็พยายามฝืนทน มาจนจบ ม 3 เทอม 1 ผมก็ขอลาออกจากโรงเรียนประจำหวัดที่ผมอยู่อย่างแสนทรมานนั้น  ผมบอกลาอาจารย์ที่สอนผมมาทุกคนต่างคนต่างก็ถามว่า เพิ่งย้ายมาไม่เท่าไรทำไมจะไปแล้วละ  ผมก็ตอบแบบที่ตอบกับอาจารย์ทุกคนว่า  ผมคงไม่เหมาะกับโรงเรียนใหญ่ๆ  อย่างที่นี้หรอกครับ  แล้วผมก็ไปลาอาจารย์ ที่สอนดนตรีไทย  ผมรู้สึกได้จากสีหน้าของอาจารย์  อาจารย์คงเสียใจที่ผมลาออก  แล้วบอกอีกว่า ถ้าเป็นไปได้ครูอยากให้เธอเล่นดนตรีไทยต่อไปนะ  แล้วผมก็ตอบไปว่าครับ ผมไม่ทิ้ง สิ่งที่ผม พยายามมาตลอด เพื่อเล่นมันให้เป็นหรอกครับ  ผมอยากจะบอกขอบคุณอาจารย์ที่ให้โอกาศผม ได้ออกงาน ทำให้ผมได้มีโอกาศได้แสดงฝีมือการบรรเลงดนตรีไทยของผม  และหลังจากนั้น ก็มีได้ยินเสียงประกาศ  เสียงประกาศ นั้น เรียกชื่อผม  ให้ผมไปที่ห้องวิชาการ  แล้วผมก็ไหว้ลาอาจารย์แล้วก็เดินไปยังห้องวิชาการ  พอไปถึงที่ห้อง  ผมก็ได้พบกับ ผู้ช่วยฝ่ายวิชาการ  แล้วผู้ช่วยก็ยื่นกระดาษใบนึงมาให้ผม  พร้อมกับพูดว่า  เธอจะย้ายไปอยู่โรงเรียนเก่าแล้วใช่มั้ย  อ่ะนี้ เธอเอาเก็บไว้เผื่อใช่ในภายหน้า  แล้วผมก็ลาผู้ช่วยแล้วเดินออกมาจากห้อง  ผมก้มดูกระดาษที่ผู้ช่วยส่งให้ผม  เมื่อผมได้อ่านแล้ว ผมถึงกับ สดุจ  เพราะมันเป็นเกียจติบัตร  ที่ผมได้ เกรดเฉลี่ยยอดเยี่ยมอันดับสามของสาย  ผมดีใจมาก  ตอนนั้นผมอยากให้แม่ผมดูเป็นคนแรกเลย  ถ้าผมเอาไปให้ดู  แม่คงภูมิใจในตัวผมและคงรักผมมากกว่าเดิม  แล้วเมื่อลาป้าผมแล้วเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดของผม  พร้อมกับสิ่งที่ผมคิดว่า สิ่งนี้มันจะทำให้แม่รักและภูมิใจในตัวผม  และเมื่อผมกลับไปถึงบ้าน ผมให้แม่ดู  ตอนนั้นผมดีใจมาก  แม่ แม่ยิ้มให้ผม  แต่ก็ไม่พูดอะไร  เพียงแค่นี้เองครับ ผมเหมือนกับว่าผมมีกำลังที่จะสู้ต่อไป  ผมรู้วิธิแล้วที่จะให้แม่รักผม  คือ  ต้องตั้งใจเรียน  หลังจากที่ผมย้ายมาได้ไม่นาน  แม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม  คือ  อารมณ์เสียใส่บ่อยๆ  ผมก็กลับมารู้สึกแย่อีกว่า  ทำไมนะเราทำขนาดนี้แล้ว   แม่ต้องการอะไรกันแน่ ถึงจะรักผมเหมือนที่แม่รักน้องบ้าง  ผมอาจเหมือนคนที่อิจฉาน้อง  แต่ผมก็ไม่ได้คิด แค้นน้องเลย  เพียงแต่อยากให้แม่รักผมเหมือนกับที่รักน้องบ้างก็เท่านั้นเอง  จนกระทั่ง ผมเรียนจบ ม 3 เทอม 2 น้าที่อยู่อีกจังหวัดนึงเค้าจะเอาผมไปอยู่ด้วย และแม่ก็ไม่ปฏิเสธ  ตอนนี้ผมจึงย้ายมาแล้วเรียบร้อย ผมไม่รู้เลยว่า อนาคตของผมจะเป็นอย่างไรต่อไป  แต่จนมาถึงตอนนี้แล้ว ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน คำพูดที่แม่เคยพูดกับผมในตอนนั้นมันยังฝังติดตามผมมาจนถึงปัจจุบัน  และถ้าเป็นไปได้ผมอยากบอกแม่ว่า ลูกแม่คนนี้ไม่เคยโกรธแค้นแม่เลย  ซึ่งจะรักและคิดถึงแม่ตลอดไป ไม่ว่าแม่จะเป็นยังไง  เพราะแม่คือแม่ของผม

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×