ซึ้งมากกกก
แนนๆ ใกล้วาเลนไทน์แล้วนะ....” จอย เพื่อนร่วมงานของแนนหันมาคุย
>>ขณะแนนกำลังง่วนอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่โต๊ะตัวเอง
>>
>>“อืม...วาเลนไทน์อีกแล้วสินะ” แนนเงยหน้าขึ้นสบตาจอยพลางยิ้มพูดเบาๆ
>>
>>วาเลนไทน์...14 กุมภาพันธ์ วันที่กุหลาบทั่วโลกบานพร้อมกัน
>>วันที่ความรักงอกงามได้เร็วกว่าทุกวัน และเป็นวันที่กามเทพแผงศร
>>ให้หลายๆคู่ได้สมหวัง แต่คงไม่ใช่แนน...เธอคนนี้แน่นอน
>>
>>
>>
>>ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย
>>ความแออัดและตึกสูงในเมืองหลวง...มีหมู่บ้านจัดสรรเล็กๆกำลังก่อตัวขึ้น
>>ก่อตัวขึ้นพร้อมกับความรัก ความรักของเขาและเธอ
>>
>>“เธอๆ มาเล่นก่อกองทรายด้วยกันมั้ย”
>>เด็กผู้ชายตัวเล็กๆหน้าตามอมแมมกำลังนั่งเล่นบนกองทรายสูงท่วมหัว
>>
>>“เธอชื่ออะไร เราชื่อเอ” เด็กผู้ชายแนะนำตัวเองก่อน
>>พลางกระโดดลงมาจากกองทราย
>>
>>“ฉันชื่อแนน” เด็กผู้หญิงแนะนำตัวเองบ้างพลางค่อยๆนั่งลง
>>ทั้งคู่ค่อยๆก่อกองทราย เด็กผู้หญิงวิ่งไปเอาน้ำมารดให้ทรายเปียกชุ่ม
>>เด็กผู้ชายค่อยๆเอาเศษไม้เกลี่ยให้ดินทรายที่เปียกค่อยๆก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง
>>จนได้เค้าโครงของปราสาททรายที่ต้องการ
>>
>>“เอ เดี๋ยวแนนประดับปราสาททรายเองนะ”
>>เด็กผู้หญิงวิ่งมาพร้อมกับก้อนหินสีสวยในกำมือ
>>วางลงข้างๆปราสาททรายที่กำลังจะอวดโฉมออกมาเป็นรูปเป็นร่าง
>>
>>“แนนๆ ตรงนี้เป็นห้องของแนนนะ ห้องของเจ้าหญิงงัย
>>ส่วนตรงนี้เป็นห้องของเอ......อันนี้เป็นห้องประชุมนะ”
>>เอพูดพลางชี้ไปเรื่อยๆบนปราสาททราย.....กองทรายแห่งความฝัน
>>
>>“เอๆ ต้องทำสวนดอกไม้ตรงนี้ด้วย เจ้าหญิงต้องมีสวนดอกไม้นะ”
>>แนนพูดแย้งขึ้นพลางชี้ไปตรงด้านหน้าปราสาททราย
>>
>>“แนนอยากได้สวนอะไร....อยากได้ดอกไม้อะไร” เอพูด
>>เงยหน้าขึ้นมองหน้าแนนอย่างใจจดใจจ่อ
>>
>>“เอาดอกอะไรดี...เอ ช่วยแนนคิดหน่อยสิ” แนนมองหน้าเอด้วยแววตาใสซื่อ
>>เด็กตัวเล็กๆสองคนกำลังสวมบทเจ้าหญิงและเจ้าชายกันอยู่
>>
>>“อืม...เจ้าหญิงต้องเหมาะกับดอกกุหลาบนะ” เอพูดพลางทำท่าคิด
>>
>>“ตกลงๆ สวนดอกกุหลาบนะ เราจะทำสวนดอกกุหลาบที่ลานหน้าปราสาทของเรา”
>>แนนพูดพลางยิ้ม
>>ค่อยๆเกลี่ยทรายให้เรียบเพื่อทำเป็นลาน....ทั้งคู่สร้างปราสาททรายแห่งความฝันของพวกเขาอยู่นาน....นานจนกระทั่ง
>>
>>“เอ ไปได้แล้ว พ่อเสร็จงานแล้วลูก”
>>เจ้าของโครงการบ้านจัดสรรเดินมาสะกิดลูกชายตัวเองเบาๆ
>>
>>“พ่อๆ ให้เอเล่นกันแนนอีกแป๊บนะ” ลูกชายออดอ้อนพ่อของตัวเอง
>>
>>“หน่า ไปได้แล้ว เดี๋ยววันหลังมาเล่นใหม่ก็ได้นี่” พ่อของเขานั่งยองลง
>>อธิบายให้ลูกชายฟังพลางลูบหัวเบาๆ
>>
>>“ตกลงครับ เดี๋ยวให้เอบอกแนนก่อนนะ”
>>เด็กผู้ชายตัวมอมแมมพูดพลางวิ่งกลับหลังไปหาเพื่อนของเขา
>>
>>“แนน เดี๋ยวพรุ่งนี้เอมาหานะ พรุ่งนี้เอจะเอาดอกกุหลาบมา
>>มาทำสวนกุหลาบให้แนนนะ” เอพูดพลางชี้นิ้วลงตรงลานหน้าปราสาททราย
>>
>>“ตกลงๆ พรุ่งนี้เจอกันนะ” แนนยิ้มพูดพลางพยักหน้า
>>เด็กสองคนเล่นกันช่างดูน่ารักเสียนี่กระไร
>>
>>ทุกวัน เอและแนนจะมานั่งก่อปราสาททรายด้วยกัน
>>ก่อสร้างความหวังบนมิตรภาพและความรัก
>>ระหว่างลูกชายเจ้าของโครงการบ้านจัดสรรและลูกสาวนายช่างใหญ่
>>
>>
>>
>>“แนนๆ เมื่อวานแม่เราสอนให้เราเขียนหนังสือด้วยแหละ”
>>เด็กผู้ชายเสื้อผ้ามอมแมมคลุกฝุ่นและทรายเปียกเงยหน้าขึ้นมองเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่วิ่งเข้ามา
>>
>>“ไหนๆ แม่ของเอสอนเขียนคำว่าอะไร” แนนถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น
>>
>>“แม่เอสอนเขียนหลายคำ แต่เอจำได้คำเดียว” เอพูดพลางทำเสียงเศร้าๆ
>>เอคงอยากจำทุกคำมาเขียนให้แนนดู
>>
>>“เอจำคำไหนได้ เขียนให้แนนดูหน่อยสิ” แนนพูด เอค่อยๆก้มลงข้างๆกองทราย
>>หยิบเศษไม้เล็กๆปักลงบนผืนทรายที่เพิ่งผ่านฝนเมื่อคืนแล้วตวัดเป็นจังหวะเพียงชั่วครู่
>>ปรากฎเป็นตัวอักขระลายเส้นบิดพลิ้ว คำว่า รัก
>>ปรากฎบนผืนทรายราบเรียบที่เกาะตัวเหนียวด้วยหยดน้ำ
>>เด็กตัวเล็กๆสองคนยืนมองด้วยความตื่นเต้น
>>
>>“อ่านว่าอะไร เอ” แนนพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นและแปลกใจ
>>
>>“อ่านว่า รัก” เอพูดกระซิบข้างหูแนนเบาๆ
>>
>>“เหรอ อ่านว่ารักเหรอ....สอนแนนเขียนหน่อยสิ นะๆๆๆ”
>>แนนพูดพลางเกาะแขนออดอ้อนเอ
>>
>>“มานี่ๆ เอจะสอน” เอพูดพลางหยิบเศษไม้เล็กๆให้แนนจับไว้
>>มือเอและมือแนนจับประสานกัน ตวัดบนกองทรายให้เกิดเป็นอักขระบิดพริ้ว
>>
>>“นี่ไง แนนเขียนได้แล้ว ดีใจจังเลย”
>>แนนพูดพลางหันหลังกลับไปกอดเอด้วยความดีใจ
>>
>>“มันแปลว่าอะไรเหรอ เอ” แนนยังคงสงสัยไม่หายในความหมายของมัน
>>
>>“เอก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่แม่บอกว่ามันมีความหมายมากนะ
>>มากจนอธิบายไม่ได้”
>>ใช่สิ...ความหมายมันคงมากมายเกินกว่าเด็กห้าขวบจะรู้
>>หรือแม้แต่คนบางคนใช้เวลาทั้งชีวิต ก็ไม่อาจรู้ว่าคำว่ารักคืออะไร....
>>
>>“สักวัน เราจะรู้ความหมายมัน แม่เอบอก” เอพูดพลางหันไปมองแนน
>>เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่ยืนข้างๆตน
>>
>>“อืม สักวันนะ” แนนพูดพลางหันมายิ้มให้กับเอ ใช่
>>สักวันแนนและเอคงรู้ความหมายของมัน......
>>
>>
>>
>>“โอ๊ย...เจ็บ”
>>เด็กผู้หญิงผมเปียพูดขึ้นพลางจับผมเปียของตัวเองด้วยสีหน้าเซ็งๆ
>>เธอโดนเพื่อนแกล้งดึงเปียผมของเธอประจำ
>>
>>“ใครดึงผมเปียแนน”
>>เด็กผู้ชายนั่งข้างๆเธอหันขวับกลับไปมองแทบจะพร้อมกันกับเจ้าของผมเปีย
>>เห็นเด็กผู้ชายวัยเดียวกันสามคนนั่งอยู่ข้างหลังหัวเราะกันคิกคักพลางชี้นิ้วมาที่แนน
>>
>>“ทำไมๆ ข้าดึงเอง จะทำไม” หนึ่งในเด็กสามคนพูดพลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
>>
>>“แกล้งผู้หญิง หน้าตัวเมีย” เอยืนขึ้นชี้หน้าด่า
>>
>>“แล้วจะทำไม” เด็กทั้งสามกรูกันมายืนหน้าเอ
>>ถีบโต๊ะเรียนกระจัดกระจายคนละทิศคนละทาง
>>
>>“ไม่เอาเอ อย่าไปยุ่งกับพวกนั้น” แนนพูดพลางเกาะแขนเอไว้แน่น
>>เอเอามือจับแขนแนนออกจากตัวทันที...
>>
>>ปั้ง...หนึ่งหมัดปล่อยออกไป คล้ายเป็นการประกาศสงครามของคนสองกลุ่ม
>>ทั้งสามคนกรูเข้ามารุมเอคล้ายหมาป่ากำลังรุมขยุ้มเหยื่อ
>>โต๊ะเรียนที่กระจัดกระจาย
>>ข้าวของทั้งของเอและแนนตกกระจายเกลื่อนกลาดคนละทิศคนละทาง
>>
>>“หยุด!!”
>>เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง...มีอำนาจมากพอจะทำให้ทั้งสี่คนหยุดการตะลุมบอนกัน
>>
>>“พวกเธอทำอะไรกัน อันธพาลกันใหญ่แล้วนะ”
>>ครูประจำชั้นเข้ามาห้ามทัพหมาป่าขยุ้มเหยื่อ แม้จะห้ามทัพได้
>>แต่ก็ได้ปรากฎเลือดไหลซิบๆที่คิ้วและโหนกแก้มของเอ
>>
>>“เอ เจ็บมั้ย” แนนวิ่งเข้ามาทันทีที่ครูประจำชั้นเดินออกไป
>>
>>“ไม่เจ็บหรอก” เอพูดพลางก้มหน้าหลบสายตาแนน
>>
>>“ไม่เจ็บอะไร เลือดไหลใหญ่แล้ว ไปห้องพยาบาลนะ แนนจะทำแผลให้”
>>แนนพูดพลางดึงตัวเอออกจากห้องเรียนไป
>>เลือดไหลเป็นทางลงมาจากคิ้วและโหนกแก้มเปรอะเปื้อนเสื้อนักเรียนสีขาวของเอ
>>
>>“โอ๊ย...เจ็บ อย่าจับสิ”
>>เอพูดโพล่งขึ้นขณะที่แนนกำลังกดดูความลึกของบาดแผล...แต่แนนกลับยิ้มออก
>>
>>“โอ๊ย แสบ”
>>เอโอดครวญด้วยความเจ็บปวดทันทีเมื่อแนนค่อยๆกดสำลีชุบแอลกอฮอลงบนแผลของเอ
>>
>>“แสบก็ทนสิ อยากหาเรื่องเค้านี่นา” แนนพูดพลางยิ้ม
>>ค่อยๆเช็ดแผลบนใบหน้าของเอช้าๆอย่างระมัดระวัง
>>
>>ทุกครั้งที่มีคนแกล้งแนน เอจะยืดอกปกป้องแนนเสมอ
>>แม้จะต้องเจ็บตัวหรือตกอยู่ในภาวะเป็นรองก็ตามที....
>>
>>
>>
>>“แนนๆ แฮปวาเลนไทน์นะ”
>>ชายหนุ่มวัยรุ่นแต่งตัวภูมิฐานพูดห้วนๆพลางยืนกุหลาบแดงให้กับมือหญิงสาว
>>
>>“อีตาบ๊อง อย่ามาทำหวานใส่ฉันหน่า” แนนพูดกวนๆพลางยิ้ม
>>เอได้แต่ยืนม้วนด้วยความอาย
>>
>>“อ้าว ก็วันนี้วันวาเลนไทน์
>>ทำหวานให้เจ้าหญิงของตัวเองสักหน่อยจะเป็นอะไรไป” เอพูดพลางยิ้ม
>>ทำไมหนุ่มวัยรุ่นเวลาอายนี่ดูตลกดีแท้
>>ทั้งมือทั้งแขนแทบจะไม่มีที่เก็บ
>>สงสัยถ้าแทรกแผ่นดินหนีได้คงหนีหายไปแล้ว
>>
>>“หวานกับเค้าก็เป็นเหรอ เดี๋ยวนี้พัฒนาขึ้นนะ”
>>แนนพูดพลางยื่นมือไปหยิกจมูกเอด้วยความเขิน
>>เอยังคงพยายามสำรวมอาการเขินอยู่
>>
>>“เอรักแนนนะ” เอพูดพลางจับมือแนนขึ้นมาเขียนรูปหัวใจไว้ที่ฝ่ามือ
>>ตอนนี้แนนเริ่มหน้าแดงขึ้นบ้างแล้ว
>>แต่ยังพยายามกลบเกลื่อนสีหน้าตัวเอง
>>
>>“เหรอ....เขียนคำว่ารักตรงนี้ ดูไม่ซึ้งเลย” แนนพยายามบ่ายเบี่ยง
>>ไม่เลิกแหย่เอ
>>
>>“เดี๋ยวสักวัน เอจะเขียนไว้ตรงหัวใจแนนเลยนะ” เอพูดประหม่า
>>มองหน้าแนนพลางเอื้อมมือดึงตัวแนนเข้ามาโอบกอดไว้แน่น....สักวัน
>>เอจะเขียนคำว่ารักไว้ในหัวใจแนนเลย.....
>>
>>
>>
>>ใต้ต้นไม้ใหญ่ บรรยากาศร่มรื่น มีโต๊ะหินอ่อนวางเรียงรายเป็นแนว
>>มีนักศึกษาจับกลุ่ม บ้างคุยกัน บ้างอ่านหนังสือ
>>บ้างหยอกล้อกินขนมกัน...
>>
>>“เอ เย็นนี้แนนไปทำวิทยานิพนธ์กับเพื่อนนะ” แนนพูดพลางเก็บหนังสือ
>>
>>“ไปทำวิทยานิพนธ์กับใคร” เอเงยหน้าขึ้นมองแนนทันที
>>
>>“ไปกับกิ๊ฟกับฝนหนะ นะๆๆๆ” แนนพูดพลางเดินไปนั่งข้างๆเอ
>>เขย่าแขนเหมือนเด็กอ้อนวอนผู้ใหญ่
>>
>>“ให้เอไปส่งมั้ย เอว่างนะ” เอพูดพลางยิ้ม ลูบผมแนนเบาๆ
>>
>>“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฝนเอารถมา” แนนพูดพลางซบหน้าลงบนบ่าของเอ
>>
>>“นี่ แล้วกินข้าวเสร็จแล้วอย่าลืมกินยาล่ะ เข้าใจมั้ย
>>กลับถึงบ้านก็อย่าลืมโทรมาบอกด้วย”
>>เอพูดพลางจ้องหน้าแนนด้วยสีหน้าจริงจัง
>>
>>“ค่ะ หัวหน้า สั่งจริงๆเลย” แนนพูดพลางยิ้ม
>>เอามือหยิกจมูกเอด้วยความเขิน
>>
>>
>>
>>“กิ๊ฟๆ แฟนแกเป็นงัยบ้าง” ฝนเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในรถ
>>ขณะที่ตนอยู่หลังพวงมาลัย
>>
>>“ปวดหัวสุดๆ เจ้าชู้เป็นบ้าเลย”
>>กิ๊ฟพูดปัดๆคล้ายกับไม่ค่อยพอใจในแฟนตัวเองนัก
>>
>>“ทำไมไม่เลิกๆไปสิ จะได้ไม่กลุ้ม” ฝนเสนอความเห็น
>>มองหน้ากิ๊ฟผ่านกระจกมองหลัง
>>
>>“หน่า....ให้โอกาสสักครั้ง”
>>กิ๊ฟพูดพลางซบหน้าลงที่กระจกหันหน้ามองออกนอกรถด้วยอาการเอือมระอา
>>
>>“โอกาสสักครั้ง รอบที่ล้าน” เสียงหัวเราะดังขึ้นเกือบพร้อมกันทั้งรถ
>>
>>“แล้วแนนล่ะ แหม...เจ้าชายเธอเอาใจเธอดีนะ”
>>ฝนพูดขึ้นพลางหันไปมองแนนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
>>
>>“โอ๊ย รายนั้นไม่รู้กี่ปีแล้ว
>>ยังจับไม่ได้สักทีว่ามีกิ๊กเก็บไว้ที่ไหน”
>>แนนพูดยิ้มพลางหันไปมองหน้าฝน
>>
>>“แปลได้สองอย่าง...ถ้าแฟนเธอไม่รักเธอคนเดียว
>>เค้าก็เก่งมากที่หลอกเธอมานานหลายปี”
>>เสียงหัวเราะดังขึ้นแทบจะพร้อมกันทั่วรถ
>>
>>“เอี๊ยยดดด.....” เสียงเบรกลากล้อดังยาวจากด้านข้างตัวรถ
>>คนทั้งรถหันไปมองแทบจะพร้อมกัน
>>รถบรรทุกฝ่าไฟแดงพุ่งเข้าชนรถเก๋งของฝนอย่างจัง
>>แรงอัดทำให้กระจกทุกบานแตกละเอียด
>>ห้องโดยสารด้านหน้าฝั่งคนนั่งยุบเข้ามาอย่างเห็นได้ชัด....ร่างไร้สติของแนนยังคงสงบนิ่งติดอยู่ในรถเก๋งขนาดสองตอน
>>มัจจุราชอาจฉุดวิญญาณเธอออกจากร่างได้ทุกเมื่อ
>>
>>
>>
>>“แนนๆ” เสียงกระซิบเบาๆดังข้างหู ทำให้แนนค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมา
>>
>>“อยู่ไหน....โอ๊ย เจ็บ” แนนค่อยๆอ้าปากพูด แต่ไม่ชัดนัก
>>เฝือกขาวถูกแต่งแต้มถามร่างกายของแนนคล้ายกับเป็นเครื่องประดับ
>>
>>“ใจเย็นๆ แนน เธอสลบไปสองเดือน” .....สองเดือน สองเดือน
>>แนนแทบไม่เชื่อหูตัวเอง.
>>...ฝนค่อยๆอธิบายเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แนนฟัง.....
>>
>>“แล้ว สรุปว่าฉันเจ็บคนเดียวใช่มั้ย” แนนพยายามพูด
>>เสียงพูดของแนนแทบจะไม่ได้ยิน
>>
>>“อืม...” ฝนพยักหน้าเบาๆ กำมือแนนไว้นิ่งๆ
>>
>>“เอ ล่ะ เออยู่ไหน” แนนเพิ่งนึกขึ้นได้ แฟนเธออยู่ไหน
>>
>>“เอมาหาเธอครั้งเดียว วันแรกที่ชน แล้วหายไปเลย”
>>ฝนพูดพลางลูบหัวแนนเบาๆ
>>
>>“ไม่เป็นไรนะ ไม่มีเอ เราก็อยู่กันได้ จริงมั้ยเพื่อน”
>>ฝนพยายามพูดปลอบใจแนน
>>
>>“อืม...” น้ำตาค่อยๆกลั่นตัวหยดลงมาจากนัยน์ตาของแนน
>>คำพูดของฝนตอนคุยกันในรถคงจะเป็นความจริง....เขาเก่งมากจริงๆ
>>เก่งมากที่หลอกแนนมาหลายปี
>>เก่งมากที่หลอกว่ามีแนนคนเดียว.....ทำไมผู้ชายทั้งโลกถึงนิสัยเหมือนกันหมดเลย
>>เสียดายเวลาที่อยู่ด้วยกัน เสียดายความรักที่มอบให้.....เสียดาย
>>เสียดาย เสียดาย
>>
>>
>>
>>“คุณแนน ค่อยๆก้าวนะครับ ช้าๆ” บุรุษพยาบาลพยายามพยุงแนนขึ้นเดิน
>>แนนยังคงไม่หายเจ็บดี ยังคงต้องทำการกายภาพบำบัดอีก
>>
>>“ระวังล้มนะครับ จับผมไว้ดีๆ”
>>บุรุษพยาบาลเดินช้าๆเพื่อให้แนนเกาะแขนเดินตามช้าๆ.....ทำไมบุรุษพยาบาลถึงไม่ใช่เอนะ....ทำไม
>>ทำไม ทำไม
>>
>>“คุณบุรุษพยาบาลค่ะ นี่ฉันสลบไปนานถึงขั้นต้องกายภาพบำบัดกันเลยเหรอ”
>>แนนถามด้วยความสงสัย
>>
>>“โห คุณไม่ได้เดินสามเดือนนี่ มันนานนะครับ”
>>บุรุษพยาบาลตอบด้วยความสุภาพ
>>
>>“จะว่าอะไรมั้ยค่ะ ถ้าจะถามชื่อเล่น คือถ้าเรียกว่าคุณบุรุษพยาบาล
>>เกรงว่ามันจะยาวไป” แนนพูดพลางยิ้ม
>>
>>“ผมชื่อ กอล์ฟ ครับ” บุรุษพยาบาลตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม น้ำเสียงเรียบๆ
>>
>>นับจากวันนั้น แนนและกอล์ฟเริ่มสนิทกัน
>>ทุกเย็นกอล์ฟจะพาแนนออกไปทำกายภาพบำบัด
>>ไม่นานแนนก็สามารถเดินเองได้และออกจากโรงพยาบาลในที่สุด....
>>
>>
>>
>>“คุณแนนค่ะ น้ำดื่มค่ะ” พยาบาลชุดขาวเดินถือแก้วน้ำมาวางข้างๆเธอ
>>ขณะเธอนั่งรอกอล์ฟที่ล็อบบี้ของโรงพยาบาล
>>เธอได้แต่พยักหน้าและยิ้มให้ด้วยไมตรี
>>
>>“กอล์ฟๆ ไปกินข้าวกัน” แนนพูดทันทีที่เห็นกอล์ฟเดินออกมา
>>มีพยาบาลหลายคนยกมือไหว้แนน แนนก็ได้แต่รับไหว้ด้วยสีหน้างงเล็กน้อย
>>
>>“ไปสิครับ” กอล์ฟพูดพลางค้อมตัวลงผายมือไปที่ห้องอาหารของทางโรงพยาบาล
>>ดูกอล์ฟค่อนข้างสุภาพและให้เกียรติแนนมาก....มากจนน่าแปลกใจ
>>ท่าทางโรงพยาบาลนี้จะเข้มงวดเรื่องมารยาทกับพยาบาลมาก
>>แนนและกอล์ฟสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ....จนบางครั้งแนนก็อยากให้กอล์ฟมาแทนที่เอ
>>
>>
>>
>>บ่อยครั้งที่แนนคิดถึงเอ เอก็ไม่โทรมา
>>
>>บ่อยครั้งที่แนนอยากคุยกับเอ เอก็ไม่ติดต่อมา
>>
>>บ่อยครั้งที่แนนนั่งเหงา อยากให้เอนั่งเป็นเพื่อน แต่เอก็ไม่ปรากฎตัว
>>
>>เอ....เอ....เอ เอหายไปไหน
>>
>>ไหนล่ะ หัวใจที่เอบอกว่าจะให้แนน
>>
>>ไหนล่ะ หัวใจที่เอเคยเขียนไว้บนฝ่ามือแนน
>>
>>มันคงหายไปแล้ว....หายไปพร้อมกับเอ
>>
>>หายไปพร้อมกับผู้ชายโกหก....ผู้ชายเจ้าชู้
>>
>>ทำไมผู้ชายเหมือนกันทั้งโลก.....ทำไม ทำไม ทำไม
>>
>>
>>
>>ใกล้วาเลนไทน์เข้าไปทุกที ปีนี้ไม่เหมือนกับปีก่อนๆ
>>ไม่มีเอคอยให้ดอกกุหลาบแดง ไม่มีอีตาบ๊องทำท่าเขินอายให้ดู
>>
>>“แนนๆ วาเลนไทน์ปีนี้ ว่างหรือเปล่าครับ” เสียงกอล์ฟดังตามสายโทรศัพท์
>>
>>“ว่างค่ะ ทำไมค่ะ” แนนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
>>
>>“พอดีผมมีของจะให้แนนนะครับ
>>เดี๋ยววันวาเลนไทน์บ่ายสามโมงเจอกันที่สยามนะครับ” กอล์ฟเสนอความเห็น
>>
>>“ตกลงค่ะ” แนนพูดพลางกดวางสาย
>>สีหน้าแววตาเปี่ยมด้วยความหวัง....หวังว่ากอล์ฟคงจะมาแทนที่เอได้เสียที
>>
>>
>>
>>วันวาเลนไทน์ วันที่กุหลาบแดงบานสะพรั่งพร้อมกันทั่วโลก
>>แม้ในลานที่สยามหรือที่วัยรุ่นเรียกกันสั้นๆว่า “เซนเตอร์พอยต์”
>>ยังถูกละเลงด้วยดอกกุหลาบสีแดง...นักเรียน
>>นักศึกษาต่างถือกุหลาบแดงในมือเดินกันขวักไขว่ทั่วลาน
>>
>>“ขอโทษค่ะ มาสาย” แนนพูดพลางยิ้มก่อนดึงเก้าอี้ออกมานั่ง
>>
>>“ไม่เป็นอะไรครับ” กอล์ฟพูดพลางยิ้ม
>>
>>“อืม...ว่าแต่มีอะไรจะให้แนนเหรอ”
>>แนนพูดพลางจ้องตากอล์ฟ...หากกอล์ฟมีพิรุธ แนนจะจับได้ทันที
>>
>>“อันนี้ของแนนนะครับ” ดอกกุหลาบสีแดงถูกดึงออกมาจากถุงอย่างช้าๆ
>>วางลงบนโต๊ะอย่างนิ่มนวล
>>
>>“หมายความว่ายังไงค่ะ จะขอหัวใจแนนเหรอ” แนนพูดติดตลกพลางยิ้ม
>>เธอคิดว่าเธออ่านเกมส์ออกหมด
>>
>>“ผมคงไม่กล้าขอหัวใจแนนหรอก” กอล์ฟพูดพลางยิ้ม แต่กลับทำให้แนนงง
>>
>>“อ้าว...แล้วกุหลาบสีแดงนี่...” ไม่ทันแนนจะพูดจบ
>>กอล์ฟต่อคำพูดของเขาทันที
>>
>>“ผมไม่กล้าขอหัวใจแนนหรอกครับ เพราะหัวใจของแนนไม่ใช่ของแนน”
>>ปั้ง...เหมือนมีแผ่นเหล็กหนาหลายฟุตทุบลงกลางศีรษะ
>>แนนเริ่มงงกับความหมายขึ้นไปทุกที...มันแปลว่าอะไร???
>>
>>“หัวใจของคุณ คือเจ้าของกุหลาบดอกนี้”
>>กอล์ฟพูดต่อ....แนนทำหน้างงๆไม่เข้าใจความหมายแม้แต่นิดเดียว
>>
>>“ตอนคุณประสบอุบัติเหตุเข้ามาที่โรงพยาบาล
>>คุณเสียเลือดมาก...หัวใจคุณเต้นอ่อนจนแทบจะล้มเหลว
>>พวกผมและหมอพยายามเยียวยาจนถึงที่สุด”
>>กอล์ฟเริ่มอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น.....เรื่องที่แนนไม่เคยรู้
>>
>>“มีผู้ชายคนนึง วิ่งเข้ามาบอกว่าเป็นแฟนคุณ เขาบอกให้ช่วยคุณให้ได้
>>เสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่า...เขายอมจ่ายไม่อั้น ไม่ว่าทางเราจะขออะไร
>>เขาจะจัดหาให้หมด.....คำพูดของเขาทำให้ผมประทับใจมาก”
>>กอล์ฟหยุดพูดชั่วครู่...แนนรู้ทันทีว่ากอล์ฟหมายถึงเอ
>>
>>“ผมยอมแลกทุกอย่างกับชีวิตเธอ - เขายอมแลกทุกอย่างกับชีวิตคุณ”
>>กอล์ฟพูดพลางจ้องหน้าแนนนิ่ง แต่แนนยังคงทำสีหน้างงอยู่
>>
>>“เขายอมทุกอย่างจริงๆ ทีแรกหมอบอกว่าทางเราหาเลือดไม่พอให้คุณ
>>เขาวิ่งตามหาเลือดให้คุณไปทั่วทุกโรงพยาบาล
>>แต่กลับไม่พบว่ามีเลือดถุงไหนที่ตรงกับเลือดคุณ”
>>กอล์ฟพูดด้วยน้ำเสียงปกติ สายตามองไร้จุดหมาย
>>
>>“สุดท้ายเราตรวจเลือดของเขา พบว่าตรงกับของคุณพอดี
>>เขาบอกให้ทางเราเอาไป เอาไปให้คุณ....ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะเป็นอย่างไร
>>ขอแค่คุณปลอดภัยก็พอ”
>>กอล์ฟหยุดพูดชั่วครู่พยายามกลั้นน้ำตา....แต่นัยน์ตาแนนเริ่มเจิ่งนองไปด้วยน้ำใสๆ
>>
>>“ต่อมา...ตอนพวกผมถ่ายเลือดให้คุณ หัวใจคุณเต้นอ่อนลงเรื่อยๆ
>>จนหมอต้องเดินออกไปบอกให้เขาทำใจ.....ทำใจว่าเขาจะต้องเสียคุณ”
>>กอล์ฟพยายามเล่าต่อไปเรื่อยๆด้วยน้ำเสียงปกติ นัยน์ตาแนนเริ่มแดงก่ำ
>>
>>“เขาถามหมอว่า เธอต้องการอะไร.....” ใช่ เอถามหมอว่าแนนต้องการอะไร
>>
>>“เธอต้องการ หัวใจครับ หัวใจเธอเต้นไม่ปกติ การสูบฉีดล้มเหลว
>>เราหาเลือดให้เธอช้าไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่เธอต้องการคือ หัวใจ”
>>หมอหวังว่าเอคงจะเลิกหวังในตัวแนน...หยุดเล่นเกมกับมัจจุราชเสียที
>>
>>“ตกลง ผมหาให้ เขาตอบสั้นๆโดยไม่ลังเลเลย”
>>ตกลงผมหาให้....เอจะหาหัวใจให้แนน
>>ทั้งๆที่รู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้...เขาไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียวเพื่อจะทำให้เธอ
>>
>>“คุณรู้มั้ย ว่าคำพูดของเขาทำให้ผมและหมออึ้งกันไปหมด
>>โรงพยาบาลยังหาหัวใจให้คุณไม่ได้ เขาจะมีปัญญาที่ไหนหาหัวใจให้คุณได้”
>>กอล์ฟพูดพลางพยายามหลบสายตาแนน....ตอนนี้กอล์ฟเริ่มกลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้ว
>>
>>“เขาถามเลขบัญชีของโรงพยาบาลกับหมอ....เขาไม่ได้โอนเงินมาซื้อหัวใจเทียมให้คุณ
>>แต่เขาโอนมาตั้งมูลนิธิการกุศลให้โรงพยาบาล
>>มูลนิธิช่วยเหลือผู้ป่วยด้านหัวใจเทียม “นานา” คุณดูดีๆ คำว่า แนน และ
>>เอ ถ้าเขียนติดกัน มันคือ “นานา” นี่คือความปรารถนาสุดท้ายของเขา
>>เขาอยากให้ตัวเขาเองเป็นคนสุดท้ายที่ไม่ได้อยู่กับคนที่เขารัก...เพราะไม่มีหัวใจเทียมสำรอง”
>>เปี๊ยง....แนนโดนสะกิดต่อมความจำเข้าเต็มเปา...เธอเคยเห็นป้ายมูลนิธิขึ้นหราที่โรงพยาบาล
>>แต่เธอไม่เคยเฉลียวใจสักนิด...มิน่า
>>ทำไมหมอและพยาบาลต้องให้เกียรติและดูแลเธอดีเสียจนน่าแปลกใจ
>>ทั้งๆที่เธอไม่มีส่วนได้เสียกับโรงพยาบาลแม้แต่บาทเดียว
>>
>>“ทันทีที่มีการยืนยันว่าเงินเข้าบัญชีทางโรงพยาบาล
>>เขาก็ยิงตัวตายในห้องน้ำโรงพยาบาลครับ ทิ้งโน้ตไว้ว่า มอบหัวใจให้เธอ
>>- เขามอบหัวใจของเขาให้คุณ” ทันทีที่กอล์ฟพูดจบ
>>แนนปล่อยโฮออกมาเหมือนไม่มีใครอยู่ข้างๆ
>>โต๊ะรอบข้างหันมามองแนนเป็นตาเดียว....เอคือเจ้าของหัวใจ
>>หัวใจที่อยู่ในร่างของแนน
>>
>>“เขายอมแลกทุกอย่างกับคุณจริงๆ”
>>กอล์ฟพูดพลางวางของทั้งหมดที่เอเคยฝากไว้กับทางโรงพยาบาลคืนให้กับแนน
>>มีทั้งเครื่องเล่นเทป ม้วนเทป จดหมาย.....
>>
>>“ผมคงไม่กล้าขอหัวใจคุณหรอก หัวใจคุณเป็นของเขา หัวใจเขาเป็นของคุณ”
>>ใช่ หัวใจเอเป็นของแนน
>>เป็นของแนนจริงๆ...ตอนนี้หัวใจแนนตายไปเรียบร้อยแล้ว ตายไปพร้อมกับเอ
>>ตายไปพร้อมกับผู้ชายที่ยอมทุกอย่างเพื่อเธอ
>>
>>“กุหลาบดอกนี้ เขาบอกผมก่อนไปเข้าห้องน้ำว่า...วาเลนไทน์ที่จะถึง
>>รบกวนซื้อกุหลาบสีแดงให้คุณสักดอก
>>ขอแค่ดอกเดียวก็พอ...เป็นคำขอร้องครั้งสุดท้ายของเขา”
>>กอล์ฟพูดพลางเช็ดน้ำตา
>>นั่งนิ่งๆสักพักก่อนลุกจากโต๊ะไป....ทิ้งแนนนั่งนิ่งอยู่เพียงลำพัง
>>
>>“เอรักแนนนะ” “เอรักแนนนะ” “เอรักแนนนะ”
>>คำพูดซ้ำๆดังมาจากเครื่องเล่นเทป
>>เป็นคำพูดเดียวกันที่พูดกันซ้ำโดยไม่มีการตัดต่อทั้งเทป.....เทป 120
>>นาทีโดยมีเพลงประกอบเบาๆ
>>แนนค่อยๆคลี่จดหมายออกอ่าน....จดหมายที่มีเนื้อความเพียงบรรทัดเดียว
>>
>>“หัวใจเอ...เขียนคำว่ารักไว้ เขียนให้แนนคนเดียว”
ผู้ชายคนนึงที่หลงรักเธอมาตลอดระยะเวลา 15 ปี
เรื่องมันอาจยาวซะหน่อยน่ะ
ผมกำลังยืนอยู่บนสะพานแขวนข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา
ท้องฟ้าในคืนนี้มืดสนิท
มีเพียงแสงเรืองเรืองของหลอดไฟทอดยาวตามแนวสะพานไป
การที่ได้เห็นกรุงเทพในมุมนี้
มันทำให้ได้พบหลายต่อหลายอย่างที่หลายคนอาจไม่เคยเห็น
ผมมองออกไปในย่านชุมชน
แสงไฟหลากสีในอาคารบ้านเรือนกระจายไปจนสุดลูกหูลูกตา
เรียบแม่น้ำเจ้าพระยาไปเป็นถนนทอดยาว
มีเพียงแสงไฟจากหน้ารถที่สาดไปยังริมถนน
ส่วนบนสะพานที่ผมกำลังยืนอยู่นี้ก็เป็นถนนกว้างพอสมควร
มีรถวิ่งอย่างเบาบางเพราะคนมักจะใช้เส้นทางอื่นกัน
บนนี้มันจึงเงียบสงบ
ผมไม่แปลกใจเลยที่เธอมักจะชวนผมมาที่นี่เป็นประจำ
ผมไม่ได้ขึ้นมาบนนี้หลายปีแล้วเพราะที่แห่งนี้มันทำให้ผมหวนนึกถึงเธอ
เธอมักจะให้ผมมายืนดูดาวเป็นเพื่อนเธอ
กินไอศกรีมรสสตอเบอรี่ที่เธอชอบเป็นเพื่อนเธอ
ที่แห่งนี้มันเคยทำให้ผมมีความสุข
ผมคงได้ขึ้นมาบนนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว
หลังจากวันนี้ไปผมจะจากไปและไม่หวนกลับมาอีก
จะมีเพียงความทรงจำของเธอเท่านั้น
ที่จะอยู่ในใจผมตลอดไป
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
.ผมได้รู้จักเธอครั้งแรกก็เมื่อตอนที่ผมอยู่ชั้น
ม.1
ผมก้าวเข้ามาในโรงเรียนแห่งนี้ พวกเราต่างก็เป็นนักเรียนใหม่
หลายหลายอย่างในห้องใหม่ของผมนี้ดูมันจะน่าเบื่อซะจริงจริง
หลังจากที่เคารพธงชาติแล้วทุกคนก็เข้าชั้นเรียน
และก็เป็นธรรมดาของนักเรียนใหม่ทั้งหลายก็ต้องมีการแนะนำตัวกัน
อาจารย์ประจำชั้นของผมเป็นผู้หญิงอายุประมาณ 40
ดูท่าทางอาจารย์เป็นคนใจดีมาก
อาจารย์ก็เริ่มแนะนำตัวเอง ขณะที่อาจารย์กำลังพูดอยู่
ก็มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา “อาจารย์ค่ะ ขออนุญาตเข้าห้อง”
ผมรีบหันไปยังที่มาของเสียงนั้นทันที แล้วหญิงสาวก็ก้าวเข้ามา
โอ้!แม่เจ้าโว้ย เธอช่างน่ารักอะไรอย่างนี้
ถึงดูเธอจะชอบตื่นสายไปสักหน่อย
แต่ถ้าเอามาบวกลบกับความสวยแล้ว ตื่นสายแค่นี้ผมยกให้
ความคิดผมในตอนนั้น
ทำยังไงจะได้รู้จักเธอบ้างนะเธอเดินเข้ามาแล้วก็หาเก้าอี้นั่ง
ตอนนั้นที่ข้างผมมีกระเป๋าใครก็ไม่รู้วางอยู่
คนทั้งห้องตอนนั้นก็คุยกันโดยไม่สนใจอะไรเลย
ผมเลยจับกระเป๋านายที่นั่งข้างผมโยนไปโต๊ะตัวข้างหลัง
ทั้งห้องเลยเหลือที่ว่างอยู่ที่เดียว คือที่นั่งข้างผม
เธอเดินมาใกล้ๆ
ผมแล้วก็พูดอย่างอ่อนหวาน
“นั่งด้วยได้มั๊ย” ก็จะไม่ได้ ได้ยังไง
ก็ที่ตรงนี้ผมพึ่งจัดไว้ให้เธอโดยเฉพาะ
ผมหันหน้าไปหาเธอแล้วก็พยักหน้า
แล้วเธอก็นั่งลงฟังที่อาจารย์พูดหน้าห้อง
ขณะที่เธอกำลังจับจ้องอยู่ที่อาจารย์
แต่ผมไม่สนใจอาจารย์เลยเอาแต่ชำเรืองไปที่หน้าของเธอ
ใบหน้าของเธอช่างขาวหมดจดอะไรอย่างนี้ แก้มเป็นสีชมพูอ่อนๆ
ดวงตาของเธอกลมโตใสเป็นประกาย
ผมไม่เคยเห็นดวงตาคู่ไหนสวยแบบนี้มาก่อน
ขนตาของเธองอน ยังกะตุ๊กตา ปากเรียวเล็ก
ทั่วทั้งใบหน้าของเธอมันช่างสวยจับใจอะไรเช่นนี้
ผมใจลอยมองหน้าเธอตาไม่กระพริบเลย
ผมพยายามมองไปที่ปกเสื้อของเธอเพื่อจะดูว่าเธอชื่ออะไร
เกือบจะเห็นอยู่แล้วเชียว ทันใดนั้นเธอก็หันมาหาผม เธอยิ้ม
“มีอะไรหรอค่ะ”
ผมสะดุ้งขึ้นมาทันที “อ้อ ปะ ปะ ป่าวครับ”
ผมตื่นเต้นไม่รู้จะทำอะไรเลยหยิบหนังสือในกระเป๋าขึ้นมา
ดันไปหยิบผิดหยิบเอาหนังสือโป๊ขึ้นมา
เธอเหลือบมาเห็นเข้าเลยยิ้มแกมหัวเราะ
ทีแรกผมคิดว่าเธอยิ้มให้ผม แต่พอเห็นหนังสือในมือตัวเอง
ผมตกใจเลยรีบปัดความรับผิดชอบทันที “ไม่..ไม่ใช่ของผมครับ!
นายที่นั่งข้างหลังมันฝากไว้”
เธอหัวเราะอย่างน่ารัก”ก็ไม่แปลกหนิพี่ชายเค้าก็อ่าน”
ผมรีบเก็บทันทีแล้วเอาหนังสืออื่นขึ้นมา ผมอายเธอแทบแย่
ผมหยิบหนังสืออื่นขึ้นมาทันที
ผมนั่งอ่านหนังสือทั้งที่จิตใจมันอยู่ที่คนข้างข้าง
ผมนั่งเงียบได้พักหนึ่งเธอก็มาสะกิดผม ผมรีบหันไปหาเธอทันที
“อาจารย์ให้แนะนำตัวกับคนนั่งข้างข้างเค้าชื่อ รุ่งฟ้า เรียกว่า
ฟ้า
เฉยเฉยก็ได้ แล้วตัวเองชื่ออะไร” ผมนั่งพิจารณาอยู่พักหนึ่ง
อืม
..คนอะไรนอกจากจะน่ารักแล้ว ชื่อก็ยังเพราะอีก “รุ่งฟ้า”
ผมทำไมชอบชื่อนี้จังนะ!
ผมนั่งจนลืมไปเลยว่าเธอกำลังถามถึงชื่อผมอยู่
เธอสะกิดผมอีก
“ชื่ออะไร บอกบ้างสิ” ผมสะดุ้งอีกที “อ้อ! เราชื่อ แบ๊งค์”
“บ้านฟ้าอยู่แถวบางเขนนู้นบ้านแบ๊งค์อยู่แถวไหนหละ”
ผมตอบเธอทันทีเลยว่าอยู่แถวบางเขนเหมือนกัน
ทั้งที่ความจริงบ้านผมอยู่คนละเขตกับเธอเลย
“งั้นขากลับแบ๊งค์กลับเป็นเพื่อนฟ้านะ”
เธอก็ยิ้มแล้วพยักหน้าผมชอบรอยยิ้มของเธอจริงจริง
หลังจากที่ผมรู้จักเธอ
ชั่วโมงนั้นทั้งชั่วโมงผมก็คุยกับเธอไม่หยุดเลย
เธอเป็นคนพูดเพราะ
และคุยสนุกมาก ผมสามารถฟังเธอได้ทั้งวันโดยไม่เบื่อเลย
หลังจากคาบนั้นผมก็ตามติดฟ้าทั้งวันเลย
ชนิดที่ว่าที่นั่งข้างเธอไม่มีใครแตะต้องได้เลย
เพื่อนทั้งห้องผมยังไม่รู้จักใครเลย ผมรู้จักแต่ฟ้าคนเดียว
หลังจากเลิกเรียนเราก็กลับบ้านพร้อมกันพอรถถึงบ้านเธอ เธอก็ลงรถ
เธอชวนผมลงไปเล่นบ้านเธอ แต่ผมก็ส่ายหน้ากลัวว่าพ่อเธอจะว่า
ผมนั่งรถเลยบ้านฟ้าไปอีก 1 ป้ายรถเมล์
จากนั้นผมก็ลงมาขึ้นฝั่งตรงข้ามเพื่อตีรถกลับไปลงโรงเรียน
แล้วผมถึงขึ้นรถที่จะกลับบ้านผมจริงจริง
และดูเหมือนการนั่งรถมาส่งฟ้าแบบนี้ผมทำทุกวันจนเป็นนิสัยเลยก็ว่าได้
ฟ้าเธอชอบที่จะมาสายทุกวันเลย อาจารย์เริ่มที่จะสอนหนังสือแล้ว
ทุกอย่างที่อาจารย์สอนดูเหมือนมันจะซึมเข้าสมองผมอย่างรวดเร็ว
แต่ฟ้านี่สินั่งฟังอยู่ด้วยกันแท้แท้ แต่เธอกลับไม่รู้เรื่องเลย
พอพักเที่ยงผมก็ซื้อข้าว 2 จานออกมานั่งทานอยู่ม้าหินอ่อนกับฟ้า
ผมไม่เคยเข้าไปทานข้าวในโรงอาหารเลย
หลังจากที่ผมยื่นจานข้าวให้เธอเธอก็นั่งทานอย่างเอร็ดอร่อย
ผมยังไม่ทานข้าวเพราะมีสิ่งที่ผมกังวลมากกว่า
ผมหยิบหนังสือวิชาคณิตศาสตร์ในกระเป๋าฟ้าออกมา “ฟ้า!
ไม่เข้าใจตรงไหนเดี๋ยวแบ๊งค์ อธิบายให้ฟัง”
ผมเปิดไปเรื่อยๆขณะที่กำลังรอคำตอบจากเธอ
เธอใช้นิ้วเรียวเรียวของเธอชี้มาบนหนังสืออย่างรังเร
“ก็..ก็
.ทั้งหมดเลยแหละ”
ผมจึงเริ่มอธิบายทั้งหมดให้ฟ้าฟังชนิดก๊อป+++ทุกคำที่อาจารย์พูด
ผมอธิบายไปเกือบชั่วโมง จนหมดเปลือกเลยทีเดียว
“เป็นไงฟ้าเข้าใจแล้วใช่มั๊ย”
เธอเริ่มมีอาการรังเรอีกแล้วครับท่าน “ฟ้า
.ฟ้า
.
เข้าใจ..ก็ได้”
ผมรู้ทันทีเลยว่าเธอไม่เข้าใจ
“โธ่! ฟ้าก็
งั้นฟังใหม่นะ”
ผมจึงเริ่มอธิบายใหม่ทั้งหมดไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบกว่าฟ้าจะเข้าใจได้
สงสัยว่าความสวยของเธอมันจะดูดกลืนเอาความเฉลียวฉลาดที่เธอมีไปซะหมดเลย
แต่ยังไงเธอก็น่ารักดี ยิ่งเวลาที่เธอทำหน้างงในสิ่งที่ผมสอน
ผมยิ่งรู้สึกว่าเธอน่ารักเข้าไปใหญ่
ผู้หญิงในอุดมคติของผมไม่จำเป็นต้องเรียนเก่งก็ได้
จากวันนั้นผมก็คอยเป็นติวเตอร์ส่วนตัวให้ฟ้าเสมอมา
หรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรผมก็จะอยู่ข้างฟ้าเสมอ
แล้วความรู้ทั้งหลายก็กำลังจะต้องถูกใช้ออกมา
วันนี้อาจารย์สอบเก็บคะแนนพวกเราก่อนที่จะสอบผมก็ติวให้ฟ้าอย่างเต็มที่
ย้ำแล้วย้ำอีกจนเธอบอกว่าเธอเข้าใจอย่างดีเยี่ยมเลย
พอเข้าห้องสอบผมก็เริ่มทำ
มันง่ายมากเลยสำหรับผม อาจารย์ให้เวลา 1 ช.ม. แต่ผมเสร็จตั้งแต่
20 นาทีแรก
ผมห่วงก็แต่ฟ้าที่นั่งอยู่คนละฟากกับผมเลย
สีหน้าของเธอตอนนี้ชักจะออกอาการแล้ว
พอหมดชั่วโมงอาจารย์ก็สั่งให้ผมยกข้อสอบทั้งหมดไปวางไว้โต๊ะห้องอาจารย์
ขณะเดินผมก็รีบเปิดหาของฟ้าทันที โอ้! แม่เจ้า ผิดหมดเลยครับ
ผมยืนคิดอยู่พักว่าจะทำยังไงดี
เพราะข้อสอบคราวนี้มีคะแนนเยอะมาก
หากสอบไม่ผ่าน มีหวังเกรด 0 อยู่แค่เอื้อม
ผมเลยตัดสินใจหยิบกระดาษคำตอบใบใหม่ขึ้นมาแล้วผมก็ทำใหม่ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทื่ทำก็ต้องคอยระวังอาจารย์เหมือนกัน พอผมทำเสร็จ
ก็เขียนชื่อฟ้าลงไป
จากนั้นก็เก็บเข้ากองเดิมแบบที่อาจารย์ไม่สงสัยแม้แต่น้อย
ส่วนกระดาษคำตอบใบเดิมของฟ้าผมก็พับเป็นจรวดเล่นเห็นจะเป็นประโยชน์มากกว่า
หลังจากวันนั้นอาจารย์ก็ประกาศคะแนน ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ผ่านกัน
แต่ทุกคนก็ต้องอึ้ง! เมื่อทั้งห้องมีเพียง 2
คนเท่านั้นที่ได้คะแนนเต็ม
คือผมกับฟ้า
ผมหนะเขาไม่ค่อยสงสัยกันหลอกเพราะใครก็รู้ว่าผมเรียนเก่งแค่ไหน
แต่ที่
“รุ่งฟ้า” ได้คะแนนเต็มนี่สิทำเอาเพื่อนๆงง แบบบอกไม่ถูกเลยหละ
เธอดีใจหันมาหาผม “เห็นมั๊ยแบ๊งค์ ฟ้าก็ทำได้”
ผมแอบหัวเราะในท่าทางอันมั่นใจว่าทำได้! ของเธอ แต่ปากผมก็ชมเธอ
ผมไม่เคยบอกกับฟ้าสักคำว่าผมเป็นคนแก้ข้อสอบให้เธอ
และผมก็ยังใช้วิธีนี้ช่วยเหลือเธอหลายต่อหลายครั้งโดยที่เธอไม่รู้ตัว
จนในที่สุดเราก็ขึ้นมา ม.2 จนได้ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม
ผมยังไปส่งเธอที่บ้านทุกวันไม่เปลี่ยนแปลง
ฟ้าก็ยังมาสายเหมือนทุกวันในปีที่แล้ว
จะเปลี่ยนไปก็แต่หนุ่มๆที่มาแอบชอบเธอดูเหมือนจะเพิ่มจำนวนขึ้นทุกวันทุกวัน
วันนี้หลังจากโรงเรียนเลิกผมก็นั่งทำงานกลุ่มกับเพื่อนเพื่อนผมอีก
7 คน
แล้วผมก็ได้ยินเสียงคนเถียงกันอยู่ห้องถัดไป ทีแรกผมก็ไม่สนใจ
เพราะอะไรที่มันไม่ใช่เรื่องของผม ผมจะไม่เข้าไปยุ่งเด็ดขาด
หรือแม้แต่แค่สนใจที่จะฟัง แต่พอเสียงมันเริ่มชัดขึ้น
คราวนี้ผมสนใจขึ้นมาทันที
มันเป็นเสียงของฟ้าที่มีเสียงผู้ชายประมาณ 5-6
คนกำลังรุมต่อว่าเธอแบบที่ไม่ปล่อยให้เธอพูดเลย ผมลุกขึ้นทันที
หยิบไม้เบสบอลที่วางอยู่หลังห้องแล้วเดินไปยังที่มาของเสียง
เพื่อนผมที่นั่งด้วยกันมันก็ตามมาทันที “มีอะไรว่ะ แบ๊งค์!”
“ตามผมมา” ผมพูดพร้อมกับเร่งฝีเท้า พอผมเดินไปถึงจุดเกิดเหตุ
อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิดฟ้ากำลังยืนอยู่ท่ามกลาง รุ่นพี่ 5
คนที่กำลัง
ด่าเธอด้วยเรื่องที่ผมคอยช่วยเธอมาหลายต่อหลายครั้ง
ก็รุ่นพี่นายที่เป็นหัวโจกมันแอบชอบฟ้า แต่ฟ้าไม่สนใจมัน
เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นกับฟ้ากี่ครั้งผมนับแทบไม่ไหว
ก็ฟ้าเป็นคนสวยนี่ครับก็ต้องมีคนรุมชอบเธอเป็นธรรมดา
แต่ทุกครั้งที่มีคนบอกรักเธอ
เธอก็มักจะปฏิเสธทุกครั้งไป
ผมปล่อยให้มันด่าฟ้าต่อไปโดยที่ผมยังไม่ผลีผลามเข้าไป
ผมยืนดูอย่างไม่พูดไม่จากับพวกเพื่อนผม
แล้วการเถียงกันมันก็เริ่มที่จะรุนแรงขึ้น
รุ่นพี่คนหนึ่งมันกระชากกระเป๋าฟ้าแล้วก็ผลักเธอล้มลงกับพื้น
ผมฟิตร่างกายเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็เรียกนายที่มันผลักฟ้า
พอมันหันมา
ไม้เบสบอลในมือผมก็ถูกขว้างออกไปอย่างเต็มแรงไม้หมุน360องศา
ประมาณ 4 รอบ
แล้วก็ถึงปากมันพอดีไม้กระแทกปากมัน มันกระเด็นเลยทีเดียว
มันลุกขึ้นมา
แล้วใช้มือจับดูปริมาณเลือดของตัวเองเลือดมันไหลนองไปหมด
มันเดินตรงมาที่ผม
ผมรู้ดีว่าการชกกันในแบบนี้ ผู้ที่ลงมือก่อนจะได้เปรียบ
ผมไม่รอช้ายิงหมัดขวาอย่างไม่ยั้ง คราวนี้มันสลบยาวเลย
เพื่อนมันที่เหลือก็ตรงเข้ามากะจะอัดผมเต็มที่
เพื่อนผมที่มาด้วยกัน
จึงวิ่งเข้าตะลุมบอลกัน เก้าอี้
โต๊ะบริเวณนั้นถูกนำมาใช้เป็นอาวุธ
ข้าวของในห้องกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ ผลสุดท้ายรุ่นพี่ทั้ง 5
ก็สลบคาพวกผม
สภาพผมแต่ละคนในตอนนั้นก็สะบักสะบอมเอาการเหมือนกัน
จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับ
ผมเก็บกระเป๋าฟ้าที่วางอยู่กับพื้นยื่นให้เธอ
“ฟ้า กลับบ้านกันเถอะ”
ผมกับฟ้าก็เดินกลับบ้านโดยที่เธอไม่พูดจาสักคำเอาแต่มองหน้าผม
แต่ถึงผมจะสะบักสะบอมแค่ไหนแต่ผมก็ยังจะไปส่งฟ้าเหมือนเดิม
เธอใช้ผ้าเช็ดหน้าของเธอเช็ดเลือดให้ผม
จนผ้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงเลย
เรายืนรอรถอยู่นานมาก เวลาก็เริ่มจะมืดแล้ว จนรถมา
ผมเดินจะไปขึ้น
แต่ฟ้าเธอดึงผมไว้
“แบ๊งค์อย่าพึ่งกลับไปดูดาวเป็นเพื่อนฟ้าหน่อย”
ผมก็นึกตลกเหมือนกันทำไมเธอถึงอยากจะดูดาวนะ
เธอพาผมขึ้นรถคันใหม่ไปกับเธอ
จนท้องฟ้ามืด ก็มาถึงที่ดูดาวที่เธอว่า “ที่นี่เหรอฟ้า
ที่ว่าจะพาแบ๊งค์มาดูดาว” เธอพยักหน้า “ใช่! ที่นี่หละ
ฟ้าไม่เคยชวนใครมาเลยนะ
แบ๊งค์เป็นผู้ชายคนแรกที่ฟ้าพามาเลยหละ” ผมมองที่
ที่เธอว่าดูดาวที่นี่
มันสวย แล้วผมก็หัวเราะ ก็ที่นี่มันสะพานแขวนชัดชัด
มันจะสวยกว่าที่อื่นตรงไหน
แต่ผมก็ไม่พูดอะไรปล่อยให้เธอเดินจูงมือผมแล้วก็เดินเพื่อจะขึ้นไปบนสะพานที่ว่า
เธอแวะซื้อไอศกรีมรสสตอเบอรี่ 2 อัน แล้วก็เดินต่อ
ข้างบนนี้มันเป็นสะพานแขวนที่รถวิ่งได้ 4 เลน
แต่ไม่ค่อยจะมีรถวิ่งเท่าไหร่
เพราะเส้นทางนี้มันทำให้เสียเวลามาก
คนจึงมักจะใช้เส้นทางอื่นจะมีก็แต่รถที่จะวิ่งไปฝั่งธนบุรี
สะพานนี้มันจึงดูเงียบเชียบ
ขอบสะพานเป็นทางเท้าสำหรับคนเดินที่ทั้งสะพานดูเหมือนจะมีแค่ผมกับฟ้าเท่านั้นที่กำลังเดินอยู่
เธอพาผมเดินไปจนถึงกลางสะพานแล้วเธอก็หยุดเดิน
เธอมองลงไปตามชุมชนที่มีแสงไฟระยิบระยับ
และก็มองตามถนนที่เรียบฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาไปจนสุดลูกหูลูกตา
เธอมองขึ้นไปข้างบนเพื่อจะดูดาวบนท้องฟ้า
อย่างที่เธอพูดจริงครับ
บนนี้ทุกอย่างมันดูสวยไปหมด เธอมองดาวพร้อมกับกินไอศกรีม
ผมแอบมองใบหน้าเธอตาไม่กระพริบเลย เธอทำไมถึงน่ารักอย่างนี้นะ
ไม่ว่าจะเรื่องหน้าตา หรือจะนิสัย เธอก็ดูดีไปหมด
เธอยังสวยเหมือนที่ผมเห็นครั้งแรกไม่มีผิด
แต่ตอนนี้เธอดูจะสวยกว่าเดิม
เธอเริ่มที่จะเป็นสาวเต็มตัวแล้ว
แววตาที่กลมโตและเป็นประกายของเธอมันช่างสวยจับใจจริงจริง
เธอหันมายิ้มให้ผม
“แบ๊งค์ ที่นี่สวยมั๊ย..ฟ้าชอบมาบ่อยๆ” ผมพยักหน้า “อื้ม
ก็
สวยดีหนิ
แล้วปกติฟ้ามากับใครหละ”
“ก็มาคนเดียวหนะสิ
ถามได้ จะให้ฟ้ามากับใครหละจ๊ะ”
ผมมองตาเธอแล้วพูด “ทำไมฟ้าต้องมาคนเดียวด้วยหละ
.
แค่ฟ้าออกปากชวน
ผู้ชายทั้งโรงเรียนก็พามากันเป็นแถบแล้ว
มีคนเขาชอบฟ้าเยอะจะตาย” เธอยิ้ม
“ผู้ชายที่ว่าเนี่ย
รวมถึงแบ๊งค์ด้วยหรือเปล่าหละ”
ผมไม่ตอบเธอแล้วเงียบไป เธอใช้มือมาจับแผลที่อยู่แก้มผม
“เจ็บมั๊ยแผลนี่”
ผมส่ายหน้า “ก็ ไม่เท่าไหร่”
เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเดิมออกมาเช็ดให้ผมอีก
“แบ๊งค์เนี่ย ยอมเจ็บเพื่อฟ้าเสมอเลยนะ แบ๊งค์เหมือนเป็นฮีโร่
ประจำตัวฟ้าเลย
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ช่วยฟ้าเสมอเลย ว่าแต่ว่าทำไมน๊า
.
แบ๊งค์ถึงชอบช่วยฟ้า
เอ๊ะ
.เอ๊ะ
.คิดอะไรอยู่น๊า
.” เธอพูดแบบอมยิ้มด้วยท่าทางน่ารัก
ผมรีบตอบไปเพราะความเขิน “ก็ ก็ ฟ้าเป็นเพื่อนแบ๊งค์ไง
เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนสิจริงมั๊ย” ผมพยายามหลบสายตาที่เธอมอง
แล้วก็ชวนเธอคุยเรื่องอื่น เราคุยกันจนดึกเธอก็ชวนผมกลับ
ผมก็พยักหน้า “ฟ้า
ว่าแต่ว่าเราจะกลับกันยังไง รถก็หมดแล้ว
ทุกครั้งที่ฟ้ามาฟ้ากลับยังไงหละ”
“ฟ้ามาทุกครั้งก็เดินกลับไง!”
ผมรู้สึกตลกทำไมเธอถึงต้องเหนื่อยเดินเพียงเพื่อมาดูดาวแค่นี้นะ
ผมก็เดินนำหน้าเธอ เธอเรียกผม “แบ๊งค์!
แต่วันนี้ฟ้าไม่ต้องเดินกลับแล้ว”
ผมหันมาทันที “แล้วเราจะกลับยังไงหละฟ้า” เธอยิ้มแบบเด็กเด็ก
“ก็
ทุกวันฟ้ามาคนเดียวฟ้าก็เดินกลับ
.แต่วันนี้มีแบ๊งค์
ฟ้าก็จะขี่หลังแบ๊งค์กลับยังไงเล่า”
เธอพูดจบก็กระโดดขึ้นหลังผมแบบไม่ให้ตั้งตัวเลย “โธ่!
ฟ้า..ก็..ตั้งไกลนะ”
เธอไม่ฟังผม แล้วเธอก็ชี้นิ้วไปข้างหน้า แล้วสั่งให้ผมเดิน
เธอชวนผมคุยตลอดทาง
การที่ผมได้ใกล้ชิดเธอขนาดนี้มันทำให้ผมไม่รู้สึกเหนื่อยแม้แต่น้อย
คืนนี้มันทำให้ผมมีความสุขมาก
หากผมหยุดเวลาได้ผมจะหยุดอยู่แค่ตอนนี้ตลอดไป
การมาโรงเรียนอาจจะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อสำหรับหลายคน
แต่สำหรับผมไม่เลยครับ
ผมอยากจะมาทุกวัน ทุกวัน ไม่มีวันหยุดไม่มีปิดเทอมเลยด้วยซ้ำไป
เพราะถ้าวันไหนผมไม่ได้เห็นหน้าฟ้าก็เหมือนบางอย่างในชีวิตผมมันขาดหายไป
วันนี้ผมมาโรงเรียนแต่เช้าเลยวันนี้เป็นวัน “วาเลนไทน์”
ผมนั่งข้างฟ้า
ตลอดทั้งวันมีผู้ชายเอากุหลาบมาให้เธอนับดอกไม่ถ้วนเลย
แต่ผมก็ยิ้มและก็แสดงความยินดีกับเธอ
หลังจากที่โรงเรียนเลิกผมก็มาทำความสะอาดห้องเพราะวันนี้เป็นเวรประจำวันของผม
ฟ้าเธอก็นั่งรอผมอยู่หลังห้อง เธอนั่งเด็ดกลีบกุหลาบเล่น
ดูเธอจะไม่เสียดายดอกกุหลาบเหล่านั้นเลย
หลังจากที่ผมทำความสะอาดเสร็จ
เวลาในตอนนั้นมันก็เย็นมากแล้ว
ผมจึงออกไปล้างไม้ล้างมือแล้วก็ปิดห้อง
ฟ้าเธอก็ชวนผมกลับ
ขณะที่เธอกำลังเดินผมก็คิดอยู่นานจนในที่สุดผมก็แข็งใจเรียกเธอ
“ฟ้าเดี๋ยวก่อน” เธอหันมาหาผมแล้วยิ้ม “มีอะไรหรอแบ๊งค์”
ผมเปิดกระเป๋าสะพายของผมแล้วค้นหาสิ่งที่อยู่ข้างในนั้น
มันถูกห่อไว้อย่างทนุถนอม
มันคือดอกทิวลิปส์สีขาวที่ผมเตรียมมาให้เธอตั้งแต่เช้า
แต่ผมไม่กล้าที่จะให้เธอ ถึงมันจะดูเฉาลงไปบ้าง
แต่ก็ยังคงงดงามอยู่
ผมค่อยๆคลี่กระดาษที่ห่อมันอยู่แล้วก็ยื่นให้ฟ้า
“อ๊ะ แบ๊งค์ให้” ตอนนั้นใจผมเต้นตุ๊บตั๊บเลย
เธอดีใจมากที่ผมให้เธอ
เธอค่อยๆหยิบจากมือผมไป ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
ดวงตาของเธอจับจ้องมา
ที่ผม “สวยจังเลย
. รู้มั๊ย ทั้งวัน
ฟ้ารอดอกไม้จากแบ๊งค์คนเดียวเลย”
เธอพูดจบก็เอากุหลาบหลายดอกที่ เพื่อนๆเธอให้
เธอเอากุหลาบทั้งหมดทิ้งลงถังขยะทันที
เหลือแต่เพียงทิวลิปส์ที่ผมให้เธอ
มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมมีความสำคัญสำหรับเธอมากเลย
เธอรีบเดินมาขวางทางไม่ให้ผมเดินต่อ
เธอจ้องตาผมแววตาของเธอมันทำให้ผมเขินแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ใจของผมเต้น ราว
150 ครั้ง ต่อนาทีได้มั๊ง เธอยิ้มแบบหน้าแดง ดูแล้วน่ารักมาก
แล้วพูดกับผม
“เอ๊ะ
.เอ๊ะ
.เอ๊ะ แบ๊งค์ให้ฟ้าทำไมน๊า
บอกมาซะดีดี
รู้นะว่าคิดอะไรอยู่
รู้น๊ะ
รู้น๊ะ”
ผมรีบหลบสายตาเธอด้วยความเขิน
แต่เธอก็ยังเดินอ้อมมาจ้องหน้าผม แล้วก็ถามอีก
ผมหลบหน้าเธอไปเรื่อยๆ
จนในที่สุดผมก็ต้องจนมุม
เพราะทุกครั้งที่เธอเริ่มจะจับได้ว่าผมชอบเธอ
เธอจะชอบถามผมแบบนี้ทุกครั้งไป แต่ผมก็มักจะหาข้อแก้ตัวทุกครั้ง
ผมคิดด้วยความเขินอยู่นานว่าจะแก้ตัวว่ายังไงดี “คือ
คือ
อ้อใช่!
ก็วันนี้วันวาเลนไทน์ไง แบ๊งค์ ก็อยากจะให้อะไรฟ้าบ้าง”
เธอหัวเราะในคำตอบของผม
“แล้วทำไมถึงอยากจะให้ฟ้าหละจ๊ะ
.ตอบให้ตรงประเด็นสิ”
ผมชักจะจนมุม เลยต้องวกไปคำตอบที่ผมมักจะใช้อยู่เสมอ “ก็
ก็
ฟ้าเป็นเพื่อนแบ๊งค์ไง”
“นั่นไง
ว่าแล้วเชียว
ชอบวนมาจบคำว่าเพื่อนอยู่เรื่อยเลยแบ๊งค์หนะจะตอบแบบอื่นบ้างไม่ได้หรือไง”
“อ้าว..ก็ถ้าไม่ให้พูดว่าเพื่อนจะให้พูดว่าไงหละ
ฟ้าก็”
เธอจ้องตาผมอยู่นาน
”อ๊ะ
ถ้าแบ๊งค์บอกว่าคิดกับฟ้าแค่เพื่อน
แล้วในห้องเราก็มีกันตั้ง 50 กว่าคน
ไม่เห็นว่าจะได้ดอกไม้จากแบ๊งค์ บ้างเลย
.เนอะ”
ดูเหมือนผมจะแก้ตัวไม่ขึ้นเลยสำหรับคำพูดของเธอ
ฟ้าเธอมักจะต้อนผมจน จนมุมเสมอ
และพยายามให้ผมยอมรับให้ได้เลยทีเดียว ผมไม่รู้จะตอบเธอว่าไง
ผมเลยชี้ไปที่ป้ายรถเมล์ “ฟ้า ฟ้า รถมาแล้วรีบไปกันดีกว่า”
“เดี๋ยวก่อนซี้
มาตอบก่อน” ผมรีบวิ่งขึ้นทันที
ตลอดทางบนรถเธอยิ้มและก็จ้องหน้าผมไม่กระพริบตาเลย
การเอาทิวลิปส์ให้เธอในวันนั้นทำให้ฟ้าเธอดูมีความสุขมาก
แต่อาจารย์ก็สั่งให้ทุกคนนั่งลงเพื่อเตรียมตัวที่จะสอบ
หลังจากวันนั้นก่อนที่อาจารย์จะติดป้ายประกาศชื่อนักเรียนว่าจะได้อยู่สายไหน
ห้องไหน ผมไปขอดูผลกับอาจารย์ที่ปรึกษาของผมก่อน
ชื่อผมกับฟ้าเราได้อยู่คนละห้อง กันเลย ฟ้าเธอหัวอ่อนได้อยู่สาย
ศิลป์-ภาษา
ส่วนผมได้อยู่สาย วิทย์-คณิต คะแนนนี้นำโด่งเลย
ผมเห็นอย่างนั้นเลยขออาจารย์ย้ายไปอยู่ สายศิลป์-ภาษา ทันที
ทีแรกอาจารย์ก็ไม่อยากให้ผมเปลี่ยนห้องอาจารย์บอกว่าคนหัวไวอย่างผม
เรียนสาย
วิทย์-คณิต จะไปได้ไกลเลย แต่ผมก็ไม่ฟัง
ขอร้องอาจารย์ด้วยเหตุผล นานัปการ
จนในที่สุดอาจารย์ก็ย้ายชื่อผมไปห้องเดียวกันกับฟ้าเลยครับ
ผมดีใจมากที่ผมจะได้ใกล้ชิดเธออีกตั้ง 3 ปี
ก็ตลอดเวลาที่ผมได้รู้จักเธอมันกลายเป็นความผูกพันที่ฝังลึกอยู่ในใจผม
มันคงยากที่ผมจะละสายตาจากเธอได้
วันที่ผมรอก็มาถึง
ฟ้าเธอดีใจมากที่เห็นผมได้อยู่ห้องเดียวกับเธอ
แต่เธอก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าคนอย่างผมทำไมถึงได้อยู่สาย
ศิลป์-ภาษา
ฟ้าเธอดูเป็นสาวขึ้น สวยขึ้น
แต่นิสัยก็ยังคงเป็นฟ้าเหมือนเดิมเด็กผู้หญิงที่น่ารัก ขี้เล่น
และก็ชอบที่จะให้ผมเอาใจอยู่เสมอ
เธอมักจะให้ผมชอบอะไรที่เหมือนเหมือนกับเธอ
เวลากินข้าวอาหารก็ต้องเหมือนกัน
ถ้าข้าวจานไหนเยอะกว่ากันเธอก็ต้องเอามาแบ่งให้เท่ากันทั้ง 2
จานถึงจะกินได้
น้ำที่ดื่มก็ต้องเหมือนกันโดยมากจะเป็นน้ำส้ม
ปากกายังต้องเป็นยี่ห้อเดียวกันเลย
และก็อีกหลายต่อหลายอย่างที่เธอมักจะสรรหามา แม้แต่รองเท้า
เธอยังเคยเปลี่ยนกันใส่กับผมเลย ถึงผมจะอายเพื่อนก็เหอะ
แต่ผมก็ไม่เคยขัดใจเธอ
เธอว่าไง
ผมก็ว่างั้น ความสุขเล็กเล็กน้อยน้อยที่เกิดขึ้นในใจผมทุกวัน
จึงทำให้ผมรู้สึกห่วงใยเธออยู่ตลอดเวลา
เวลาที่เธอร้อนผมก็จะหากระดาษมาทำเป็นพัดแล้วก็พัดให้เธอ
เวลาที่เธอหนาวผมก็จะถอดเสื้อหนาวของผมคลุมให้เธอ
เวลาที่เธอตากฝนผมก็จะใช้กระเป๋าผมเป็นร่มบังฝนให้เธอโดยที่ไม่สนใจหนังสือที่อยู่ข้างในเลยว่ามันจะเปียกแค่ไหน
หรือแม้แต่เวลาที่เธอถูกอาจารย์ทำโทษ ผมก็มักจะออกรับแทนเธอเสมอ
ฟ้าเธอเป็นคนที่ไม่กล้าเถียงคนอื่น
ผมจึงหาข้อแก้ตัวสารพัดมาช่วยเธอ
หรือถ้ามันเป็นความผิดแบบเต็มเต็ม ที่เถียงไม่ขึ้น
ผมก็จะรับโทษแทนเธอ
เธอมักจะถามผมเสมอว่าผมทำไมถึงต้องดีกับเธอขนาดนั้น
แต่ทำไมนะถึงไม่มีสักครั้งเลยที่ผมจะกล้าเอ่ยปากบอกเธอว่า
“ผมรักเธอ”
ผมเอาแต่กลัวกลัวว่าหากเธอรู้เธออาจจะจากผมไป
ผมเห็นจากที่ผู้ชายหลายคนที่มาจีบฟ้า ทั้งหล่อทั้งรวย
ฟ้าเธอก็ไม่เคยสนใจใครเลย
ดูเหมือนชายในฝันของเธอคงจะต้องดีไปซะทุกอย่าง
สำหรับผม ผมขอแค่ได้อยู่ใกล้ใกล้เธอ ได้ทำอะไรเพื่อเธอ
ได้เห็นเธอยิ้ม
เห็นเธอมีความสุข เท่านั้นมันก็มากพอแล้วสำหรับคนอย่างผม
ผมเป็นฮีโร่ประจำตัวฟ้าอยู่หลายปี
ไม่เคยมีสักครั้งที่ผมจะให้เธอยืนเดียวดาย
ตอนนี้พวกเราก็มาถึงชั้น
ม.6แล้วนี่ก็เป็นปีสุดท้ายในชั้นมัธยมแล้วสินะ
ถ้าจะนับจากวันแรกที่ผมเห็นเธอและก็แอบหลงรักเธอ
ตั้งแต่วันนั้นมาจนวันนี้ก็ย่างเข้าปีที่ 6 แล้ว
แต่ความรักที่ผมมีให้กับเธอมันไม่เคยลดน้อยลงไปเลย ตรงกันข้าม
มันมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ต้นรักที่เธอได้ปลูกไว้ในใจผมอย่างไม่รู้ตัวตอนนี้มันดูเหมือนจะแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปทุกอนูภาคของ
ร่างกายผมเลยก็ว่าได้
เธอจะรู้บ้างไหมนะว่าผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนเคียงข้างเธอเสมอมา
เขาแอบหลงรักเธอจนหมดหัวใจ
เดี๋ยวนี้ผมกับเธอมักจะไปไหนด้วยกันเป็นประจำ
ไม่ห่างกันเลยทีเดียว
เวลาที่ผมไปไหนเธอก็มักจะตามติดผมแจเลยเหมือนเด็กที่ขี้อ้อน
แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกรำคาญเธอเลย
มันกลับทำให้ผมยิ่งรู้สึกผูกพันกับเธอมากขึ้นเรื่อยเรื่อย
ผมฟันฝ่าอุปสรรคเคียงข้างฟ้าเสมอมา
จนในที่สุดเวลาในช่วงมัธยมของเราก็มาถึงจุดสุดท้าย
เรากำลังที่จะEnt
ผมรู้ว่าฟ้าเธอจะเลือกคณะ สถาปัตยกรรม
เธอขอให้ผมเรียนกับเธอด้วย ทีแรกผมก็ไม่
ไม่คำเดียวเลย เพราะใจผมอยากจะเรียนแพทย์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร
และความสามารถอย่างผมรับรองว่าสอบแพทย์ไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด
แต่ความผูกพันที่ฝังลึกในใจผม ที่มีให้กับฟ้านี่สิ
มันทำให้ผมต้องคิดหนัก
ถึงเวลาแล้วที่ผมต้องเลือกระหว่างคนที่ผมรักกับอาชีพที่ผมรัก
ตลอดเวลา 6
ปีที่ผ่านมา เธอทำให้ผมมีความสุข เธอทำให้ผมไม่เคยเหงา
เธอทำให้ผมรู้สึกว่าโลกนี้มีคนที่ผมสามารถสละแม้ชีวิตเพื่อเธอ
แล้วผมจะทำได้หรือหากสองเราจะต้องห่างกัน
ผมนั่งคิดนอนคิดอยู่นาน
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจ Ent
สถาปัตย์ กับฟ้า ผมทิ้งอาชีพที่ผมฝันมาตั้งแต่เด็ก
เพื่อสิ่งที่ผมรักยิ่งกว่า
วันประกาศผลEnt ก็มาถึงผมรีบมาตั้งแต่เช้าเลย
ผู้คนมากมายมาจากทั่วสารทิศ
มาเพื่อจุดประสงค์เดียวกัน เพื่อที่จะมาหาชื่อตนเองบนบอร์ด
ผมเบียดเสียดผู้คน
กว่าจะเข้าไปถึงก็เกือบชั่วโมง ชื่อผมอยู่เป็นอันดับแรกเลย
ดูมันจะหมูมากสำหรับผม ผมไม่สนใจชื่อผม
เพราะสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือฟ้า
หากไม่มีชื่อฟ้าบนนี้ ผมจะเรียนมหาลัยเปิดกับเธอ
ผมมองหาชื่อฟ้าเรียงลงมาเลย
20 คนก็แล้ว 50 คนก็แล้ว 100 คนก็แล้ว 300 คนก็แล้ว
ผมเปิดหาแผ่นแล้วแผ่นเล่า
มันเริ่มทำให้ผมใจเสียขึ้นมาทุกที ผมเปิดมาจนถึงแผ่นสุดท้าย
มองลงไปเรื่อยๆ
เห็นชื่อฟ้าอยู่เป็นอันดับสุดท้ายพอดีเป๊ะเลย ผมดีใจมากเลย
ผมจะไม่ได้จากเธออีกแล้ว ผมกระโดดดีใจวิ่งไปทั่วเลย
หลังจากวันนั้นผมก็เฝ้ารอวันที่ผมจะได้เจอฟ้าอีกครั้งในชุดนักศึกษามหาลัย
แล้ววันแรกในมหาลัยก็มาถึง
เมื่อคืนผมนอนแทบไม่หลับผมอยากที่จะเห็นหน้าเธอ
ผมเดินเข้าประตูมหาลัยมา ที่นี่มันกว้างใหญ่มาก
เต็มไปด้วยร่มไม้ดูร่มรื่นไปหมด
ตามทางเดินก็มีทั้งนักศึกษาหญิงชายเดินพลุกพล่านไปหมด
ข้างทางก็ติดป้ายแสดงความยินดีกับนักศึกษาใหม่ ผมมองหาคณะ
สถาปัตย์ อยู่นาน
ผมนั่งรอฟ้าอยู่หน้าตึก เธอนี้ยังชอบมาสายเหมือนเดิมเลย
ไม่รู้จักโตสักที
แล้วผมก็เห็นฟ้าเดินผ่าเหล่านักศึกษามาแต่ไกลเลย
ตอนนี้เธอดูไม่เหมือนฟ้าคนเดิมเลย ผมเธอยาว
ตาก็กลมโตเป็นประกายแก้มกับปากก็สีชมพูอ่อนๆ
เธอสวยกว่าเดิมจนผมจำแทบไม่ได้
และยังใส่ชุดนักศึกษามหาลัย ที่มองแล้วโค้งเว้าเข้ารูป
มันต่างกันลิบลับกับตอนมัธยมเลย
นักศึกษาชายที่เดินสวนกับฟ้ามองตามกันเป็นแถบ
ผมของเธอเวลาที่ต้องลมก็ปลิวออกเล็กน้อย ทำไมถึงสวยขนาดนี้นะ
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะดีใจหรือจะเสียใจดี
ที่ฟ้าเธอสวยขึ้น
เธอเห็นผมนั่งรออยู่เธอรีบวิ่งมาทันที
ถึงหลายหลายอย่างในตัวฟ้ามันจะเปลี่ยนไป
แต่ที่ยังเหมือนเดิมก็เห็นจะเป็นนิสัยของเธอ
เธอยังคงเป็นนางฟ้าตัวน้อยน้อยของผมเช่นเดิม ผู้หญิงที่น่ารัก
ขี้เล่น
ทำตัวเหมือนเด็กเด็ก ที่ผมชอบเธอก็ตรงนี้แหละ
ถึงผมกับฟ้าจะเข้าสู่มหาลัยแล้วแต่ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม
ผมยังนั่งรถไปส่งเธอบ้านทุกวัน ผมยังทานข้าวกับเธอทุกมื้อ
ผมยังไปดูดาวกับเธอเป็นประจำ
และผมก็ยังเป็นบอดี้การ์ดของเธอทุกลมหายใจ
..แต่พอเราขึ้นปี 2 ทุกอย่างมันก็เริ่มที่จะเปลี่ยนไป
มีผู้ชายที่พร้อมไปซะทุกอย่างทั้งเรื่องหน้าตาและฐานะ
หลายต่อหลายคนต่างมารุมชอบเธอ ดูผมจะเทียบกับใครเขาไม่ได้เลย
ตอนนี้ฟ้าเธอเป็นดาวของมหาลัยเลยก็ว่าได้
เธอไม่ใช่ฟ้าที่เพื่อนๆ
ชอบหาว่าเรียนอ่อน ชอบมาสาย อีกต่อไปแล้ว
ดูเหมือนความบกพร่องที่เธอเคยมี
มันถูกความสวยและความสามารถในด้านอื่นของเธอทดแทนไปหมดเลย
เธอเป็นเชียร์หลีดเดอร์ของมหาลัยที่เด่นกว่าคนอื่นๆ
เธอเข้าร่วมในหลายหลายกิจกรรมของโรงเรียน
หรือจะเป็นการประกวดด้านความสวยความงามต่างๆ
ดูเหมือนฟ้าเธอจะกวาดเรียบเลย
แต่ก็ไม่มีสักครั้งที่ฟ้าเธอจะลืมผม
จิตใจเธอข้างในยังเหมือนเดิมทุกประการ
จะเปลี่ยนไปก็แต่สภาพแวดล้อมรอบตัวเธอที่มันทำให้ผมดูจะไม่เหมาะกับฟ้า
ลงไปทุกขณะ เดี๋ยวนี้เวลาที่ผมไปไหนกับเธอมักจะมีคนมองตลอด
ผมเริ่มรู้สึกว่าผมห่างเธอไปเรื่อยๆ
เหมือนเรือที่ถูกปล่อยลอยเคว้งคว้าง
ซึ่งนับวันลมฝนจะทำให้มันห่างออกจากผืนดินเข้าทุกขณะ
เมื่อก่อนผมเคยคิดเสมอว่า
เธอเป็นนางฟ้า
.
ที่ผมต้องคอยช่วยเหลือเสมอตอนนี้มันก็ยิ่งไกลลับตา
เปลี่ยนเป็นคำว่า “ดอกฟ้ากับหมาวัด”ดูจะเหมาะกว่า
เมื่อก่อนที่ผมคอยช่วยเธอไปซะทุกเรื่อง
ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมเริ่มหมดความสำคัญแล้ว
ผู้คนรอบตัวฟ้าต่างช่วยเหลือดูแลเธอยิ่งกว่าไข่ในหินซะอีก
จึงทำให้ผมพยายามปลีกตัวออกจากเธอ
เวลาเดินกับเธอผมก็พยายามรักษาระยะไว้
หลายอย่างในตัวผมมันเปลี่ยนไป จนทำให้ฟ้าเธอผิดสังเกต
ยิ่งผมหนีเธอเธอก็ยิ่งตามติดผมเข้าไปใหญ่ เหมือนกำลังประชดผม
ฟ้าเธอช่างไม่เข้าใจอะไรเอาซะเลยว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว
เธอยังเอาแต่เป็นเด็กไม่รู้จักโต
หลายครั้งที่เธอถามผมว่าผมเป็นอะไรไป
แต่ผมก็มักตอบเธอไปว่าไม่มีอะไรทุกอย่างยังเหมือนเดิม
เดี๋ยวนี้เวลาที่เธอชวนผมไปดูดาวผมก็มักบ่ายเบี่ยงไป
บอกว่าไม่ว่างบ้าง
ติดธุระบ้าง
เมื่อก่อนการที่มาโรงเรียนแล้วได้เห็นหน้าเธอมันทำให้ผมมีความสุขแต่เดี๋ยวนี้มันกลับทำ
ให้ผมปวดร้าวเมื่อรู้ว่าระหว่างเราช่องว่างมันมากขึ้นทุกที
ทำไมนะทั้งที่ผมอยากบอกเธอใจแทบขาดว่าผมรักเธอ
รักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
แต่ปากของผมมันกลับไม่กล้าพูดออกไป
ผมนั่งเงียบอยู่พักแล้วก็ถามเธอ “ฟ้า
เมื่อตะกี๊ มีคนขับรถไปส่งไม่ใช่เหรอทำไมลงมาซะหละ
”
เธอยิ้มแล้วพูดหวานๆ
“อ้าว!
ก็เค้านึกว่าตัวเองกลับไปแล้วหนิ เพื่อนก็เลยมาส่ง
แต่พอเห็นแบ๊งค์เดินอยู่ริมถนนก็เลยรีบลงมาหานี่ไง
ทำไม
หึงใช่มั๊ย
คราวหน้าจะไม่กลับกับใครอีกแล้วจะรอให้แบ๊งค์ไปส่งคนเดียว
.แบ๊งค์เนี่ยขับรถนิ่ม
จะตาย”
ผมหัวเราะที่เธอบอกว่าผมขับรถไปส่งเธอ “รถแบ๊งค์!
ไหนหละรถแบ๊งค์”
เธอหัวเราะ “อ้าว! ก็นั่งอยู่เนี่ยไง แบ๊งค์ก็ส่งฟ้าทุกวัน
ทุกวัน
มาตั้ง8ปีแล้ว”
ผมหัวเราะที่เธอพูด เธอชอบที่จะหาอะไรมาพูดให้ผมขำอยู่เสมอ
ทุกครั้งที่เธอพูดมันทำให้ผมมีความสุข
หลังจากที่ผมส่งเธอถึงบ้านผมไม่รู้จะไปไหนต่อ
ผมยังไม่อยากกลับบ้านผมเลยนั่งรถไปสะพานคนเดียว
ทุกครั้งที่ผมมาฟ้าจะมาด้วยแต่วันนี้ผมมาคนเดียวรู้สึกหวิวใจยังไงบอกไม่ถูก
ท้องฟ้าวันนี้ดูโปร่งมากดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด
นี่ถ้าฟ้าเธอได้เห็นเธอคงจะชอบมาก
ผมยืนดูจนเพลิน แล้วก็มีมือมาปิดตาผม “ทายซิ! ใครเอ่ย”
ผมหัวเราะ
ผมรู้ทันทีเลยว่าเป็นฟ้า ผมหันไปหาเธอ
เธอโกรธเล็กน้อยแต่ก็ยังยิ้ม
“นึกแล้วเชียวว่าต้องแอบมาดูคนเดียว..แบ๊งค์เนี่ย!
ไม่ชวนฟ้าบ้างเลยนะ”
เธอพูดจบก็ยื่นไอศกรีมให้ผม แล้วเธอก็แหงนหน้ามองดาวบนท้องฟ้า
ดูเธอจะชอบมันมาก ผมแอบมองใบหน้าเธอ
ผมมองอยู่นานโดยที่เธอไม่รู้ตัว
เธอหันมาหาผม
“วันนี้ดาวสวยดีเนอะ ว่ามั๊ยแบ๊งค์”
ผมตอบเธอเบาๆไม่คิดว่าเธอจะได้ยิน
“ฟ้าดูสวยกว่าดาวบนนั้นอีก”เธอยิ้มเหมือนจะได้ยิน“ฮะ!
แบ๊งค์พูดว่าอะไรนะ”
“อ้อ เปล่าหลอก” ผมเห็นไดอะรี่เล่มเดิมของเธออีกแล้ว “ฟ้า
นี่มันก็ปี2
แล้วนะ แบ๊งค์อ่านไดอะรี่ของฟ้าได้หรือยัง” เธอหันมา
“ใกล้แล้วหละแบ๊งค์มันใกล้จะสมบูรณ์แล้วขาดก็แต่
”
เธออ้ำอึ้งไปพักแล้วก็หยุดพูดไป
ประโยคสุดท้ายเธออยากจะพูดว่าอะไรนะดูท่าทางมันคงสำคัญมาก
..
ผมว่ามันดึกมากแล้วเลยชวนฟ้าเธอกลับ ผมออกเดิน
เธอดึงแขนผมไว้ทันที
“แบ๊งค์
.ฟ้าอยากขี่หลัง”
เธอพูดจบก็กระโดดขึ้นหลังผมมันเหมือนสมัยก่อนไม่มีผิดเธอยังคงชอบที่จะขี่หลังผมเหมือนเดิม
แต่ที่มันจะเปลี่ยนไปซักหน่อยก็เห็นจะเป็นหน้าอกของฟ้าที่มันต่างจากเมื่อก่อนไกลกันลิบเลย
ผมหันไปยิ้มให้เธอ “อะไร!!..คิดอะไร..ห้ามลามกเดินต่อไปเร็วๆ”
เธอคงรู้ว่าผมกำลังคิดถึงสรีระของตัวเธอที่มันเปลี่ยนไปมาก
เดี๋ยวนี้เธอเป็นสาวเต็มตัวแล้ว
นี่ถ้าใครเห็นเธอขี่หลังผมแบบนี้คงอิจฉาน่าดู
หลายหลายอย่างในวันนี้ทำให้ผมได้รู้ว่าฟ้าเธอยังคงนิสัยเหมือนเดิม
เมื่อก่อนเคยเป็นไงเดี๋ยวนี้ก็เป็นงั้น
ย่างเข้าปี 3 ของมหาลัยแล้ว ผมมีเพื่อนต่างคณะคนหนึ่ง
มันเรียนนิติศาสตร์
เกี่ยวกับกฎหมาย มันชื่อชัย พ่อของมันเป็นนักการเมืองชื่อดัง
ถึงมันจะรู้ว่าตัวเองเส้นใหญ่แค่ไหนแต่มันกลับไม่เคยข่มเหงคนอื่น
ตรงกันข้ามมันกลับเป็นคนที่นิสัยดี ชอบที่จะช่วยเหลือผู้อื่น
หน้าตาก็หล่อเอาการเลยทีเดียว นายชัยมันแอบรักฟ้ามานานแล้ว
มันเคยถามผมหลายครั้งว่าผมคิดยังไงกับฟ้าแต่ผมก็ตอบว่าแค่เพื่อน
ผมเห็นว่าชัยมันเป็นคนดีและด้วยการที่มันอ้อนผมเช้าเย็นนั่นหละ
จนในที่สุดผมก็พามันไปแนะนำให้ฟ้ารู้จัก แต่จากที่ผมดู
ฟ้าก็รู้สึกเฉยเฉยกับมันเหมือนกับรายอื่นๆนั่นหละ
ถึงมันจะหล่อจะรวยแค่ไหนก็เหอะ
.
เวลาว่างๆนายชัยมันก็ชอบมาถามผมเกี่ยวกับตัวฟ้า
ซึ่งมันก็รู้ดีว่าหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับฟ้าผมดูจะรู้ดีกว่าทุกคน
มันค่อยๆทำอย่างที่ฟ้าชอบทุกวัน ทุกวัน มันตามจีบฟ้าอยู่เป็นปี
จนในที่สุดฟ้าก็เริ่มรู้สึกว่าชัยมันเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง
เวลาที่เธอไปไหนชัยมันก็จะตามติด
ผมเริ่มรู้สึกว่านายชัยมันกำลังเป็นผมในอีกตัวตนหนึ่ง
แต่ในตัวตนของมันดูจะเพรียบพร้อมไปกว่าตัวของผมไปซะทุกเรื่อง
ผมจึงเริ่มที่จะถอยห่างเปิดช่องว่างให้เขาทั้งสองมากขึ้นทุกวัน
หลายคนที่เห็นชัยกับฟ้าต่างก็คิดเหมือนเหมือนกันว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน
ผู้หญิงหลายหลายคน ชอบนายชัยแต่มันไม่เคยสนใจใครเลย นอกจาก
.ฟ้า
แล้วเราก็ใกล้เข้ามาถึง วาระสุดท้ายของการเรียนแล้ว
วันรับปริญญาใกล้เข้ามาทุกขณะ
ผมกำลังคิดที่จะตอบคำถามของฟ้าที่เธอเฝ้าถามผมตลอด 10
ปีที่ผ่านมา ผมได้แอบ
ออกแบบแหวนออกมาวงหนึ่งแหวนวงนี้ผมใช้เวลาอยู่หลายเดือนในการทุ่มเทที่จะทำ
เกลียวของแหวนเป็นก้านทิวลิปส์ ส่วนหัวแหวนก็เป็นดอกทิวลิปส์
ผมใช้เงินที่ผมเก็บหอมรอมริบมาตลอดหลายปีทำแหวนนี้ขึ้นมา
ถึงค่าของมันจะน้อยมาก เมื่อเทียบกับเพชร
แต่ในด้านจิตใจแล้วผมรับรองว่าฟ้าเธอต้องชอบมันมากเลยทีเดียว
ผมจะมอบแหวนนี้ให้เธอในวันรับปริญญาแล้วผมจะสารภาพในสิ่งที่ผมไม่กล้าพูดมาตลอด
10 ปี คำว่า “ผมรักเธอ”
วันรับปริญญาก็มาถึง
หลังจากที่พิธีทุกอย่างเสร็จสิ้น
ผมเดินตรงเข้าไปหาฟ้า
ยืนข้างๆเธอแล้วพูดแบบไม่กล้าที่จะสบตาเธอ
“ฟ้าคืนนี้ไปดูดาวด้วยกันนะ
แบ๊งค์มีบางอย่างอยากจะบอก”
เธอรีบมายืนข้างหน้าผมทันที ท่าทางฟ้าดีใจมาก
ผมไม่เคยเห็นเธอดีใจเท่านี้มาก่อน “แบ๊งค์อยากจะบอกอะไร
!”
ฟ้าเธออยากจะรู้มากเลยเธอตื่นเต้นอยากจะรู้ให้ได้เอาซะตอนนั้น
ผมจับมือเธอมาประกบไว้
“เอาไว้คืนนี้ฟ้าจะได้รู้สิ่งที่อยู่ในใจแบ๊งค์ ตลอด
10 ปี” เธอจ้องตาผม “สัญญาแล้วนะถ้าไม่มาเค้าโกรธด้วยหละ”
พูดจบผมก็เดินจากไป
เธอตะโกน “แบ๊งค์! ฟ้าจะรอนะ”
.ผมกลับถึงบ้านผมก็หยิบของชิ้นหนึ่งที่ผมซ่อนไว้อย่างดี
มันถูกเก็บในกล่องอย่างมิดชิด ผมหยิบสิ่งของชิ้นนั้นออกมา
มันคือ แหวน แหวน
รูปดอกทิวลิปส์
ผมได้ทุ่มเทออกแบบอย่างเต็มที่มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฟ้าเพียงคนเดียว
ผมหยิบแหวนนั้นมาแนบไว้กับอกแล้วผมก็เผลอหลับไป
ผมตื่นอีกทีเวลามันปาเข้าไป 4
ทุ่ม ผมลุกขึ้นแล้วรีบออกจากบ้านทันที นี่ผมช้ามากเลย!!
พอผมไปถึงผมรีบวิ่งทันทีผมดีใจมากที่เธอยังรอผมอยู่เธอยืนรอผมอยู่กลางสะพาน
ผมค่อยๆเดินเข้าไปหาเธออย่างใจเย็นคืนนี้ผมจะกล้าพูดกับเธออย่างเต็มที
ผมเดินเข้าไป แต่ผมก็เห็นชายคนหนึ่ง
เดินมาจากอีกฟากหนึ่งของสะพาน “นายชัย”
ดูเหมือนมันจะเดินถึงตัวฟ้าก่อนผมประมาณ 10 วินาทีเท่านั้นเอง
ตอนนั้นผมก็ใกล้จะถึงตัวฟ้ามากแล้ว ผมจึงรีบหลบเข้าหลังเสาทันที
ตอนนั้นไฟบนสะพานมืดมากเขาทั้ง 2 เลยมองไม่เห็นผม
ผมแอบดูชัยคุยกับฟ้าอยู่นานมากจนในที่สุดชัยมันเอาสิ่งของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อของมัน
เป็นกล่องสีแดงเล็กๆ
มันเปิดกล่องออกแล้วหยิบของข้างในนั้นยื่นให้ฟ้า
มันคือแหวน แหวนเพชรหลายกระหลัดเลยทีเดียว
เธอไม่รับแหวนนั่นเธอยังคงยืนรอที่จะฟังคำสารภาพของผมอยู่
เธอรอชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ในที่สุดเธอก็รับแหวนจากนายชัย
ฟ้าเธอร้องไห้และก็กอดนายชัย
แล้วผมก็รู้ทันทีเลยว่าโอกาสของผมมันหมดลงแล้ว
นี่ผมคงมาช้าไป ผมไม่ได้ช้าแค่ 10 วินาที หรือ 10 นาที
แต่ผมช้าไป 10 ปี
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
ฟ้าเธอเฝ้าถามผมครั้งแล้วครั้งเล่าว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเธอ
แต่ผมกลับไม่เคยตอบ ผมปล่อยให้เวลามันผ่านไปเรื่อยๆ
จนถึงวันนี้โอกาสครั้งสุดท้ายของผมมันได้หลุดมือไปแล้ว
แต่ถึงผมจะไม่ได้เคียงคู่กับเธอ
แต่เธอก็ได้คนที่ดีอย่างชัยเคียงข้าง
มันเป็นคนดีและก็เพรียบพร้อมทุกอย่าง ที่สำคัญมันรักฟ้ามาก
มันรักฟ้าไม่น้อยกว่าผม
ผมควรที่จะปล่อยให้ฟ้าได้พบกับสิ่งที่ดีที่สุด
ผมเชื่อว่าชัยมันจะดูแลเธอเป็นอย่างดี
แต่ถ้าวันใดที่มันทำให้ฟ้าต้องเสียใจ
ผมจะกลับมา และทวงของของผมคืน
หลังจากวันนั้นผมก็หายไปจากชีวิตของฟ้า เธอโทรมาหาผม
สายแล้วสายเล่า
แต่ผมไม่รับและก็เปลี่ยนเบอร์ไปในที่สุด
ผมคอยเฝ้าดูฟ้าอยู่ห่างๆ
เธอยังไม่แต่งงานกับชัย เธอยังคอยคำสารภาพจากผมอยู่ เธอรอผมถึง
2 ปี
จนในที่สุดพ่อของฟ้าก็ยกฟ้าให้กับชัย เธอคงจะลืมผมได้สักที
ข่าวคราวการแต่งงานของ “รุ่งฟ้า” กับ “ชัยวัตร”
ดังไปทั่วตามหน้าหนังสือพิมพ์
นิตยสาร รวมไปถึงสื่อทุกแขนง
ผมเฝ้าดูความสำเร็จของฟ้าอยู่โดยที่เธอไม่รู้ตัว
ตอนนี้เธอมีทุ่งทิวลิปส์อย่างที่เธอเคยฝันแล้ว
บ้านของเธอก็เป็นคฤหาสถ์หลังใหญ่
ที่ด้านบนสุดเป็นชั้นลอยเป็นหอสำหรับดูดาว
มีกล้องดูดาวเกือบทุกชนิด คงทำให้เธอมีความสุขกับการดูดาว
มากกว่าการมา
ทนยืนดูดาวบนสะพานเก่าเก่า กับคนเดินดินเช่นผม
ตอนนี้นายชัยก็ได้เป็นนักการเมืองเจริญรอยตามพ่อ
ซึ่งมันก็เป็นนักการเมืองที่ขาวสะอาดไม่เคยโกงกิน
เป็นที่ชื่นชอบของประชาชน
ผมเฝ้าวนเวียนอยู่รอบตัวฟ้าโดยที่เธอไม่เห็นมา 5 ปีเต็มแล้ว ทุก
วาเลนไทน์
ผมจะนำทิวลิปส์ สีขาวที่เธอชอบไปปักไว้รั้วหน้าบ้านเธอ
ทุกครั้งที่เธอได้มัน
เธอจะออกตามหาเจ้าของดอกไม้ทุกครั้ง
แต่ก็ไม่มีสักครั้งที่เธอจะได้เห็นผม 5
ปีที่ผ่านมานี้ ผมได้สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาอย่างเงียบเงียบ
ผมกลายเป็น
ดีไซเนอร์ ชื่อดัง ผมมักจะไม่ใช้ชื่อจริงในการทำงาน
คนที่มาติดต่องานกับผมจะรู้จักผมในชื่อ “ทิวลิปส์”
ส่วนใหญ่เขามักจะไม่ค่อยได้เห็นหน้าผม
เพราะผมชอบที่จะทำตัวลึกลับ
ตอนนี้ผมกำลังได้รับงานใหญ่ที่ ปารีส
หน่วยงานที่นั่นเขาขอให้ผมไปเป็น
ดีไซเนอร์ประจำที่นั่น เขาติดต่อผมมานานแล้ว
แต่ผมยังไม่เคยคิดที่จะไปผม
อยากที่จะรอดูให้แน่ใจว่าฟ้าเธอจะมีความสุข
และตอนนี้เวลามันก็ผ่านมา 5 ปีแล้ว
มันถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องวางมือสักที
ผมตัดสินใจที่จะไปอยู่ที่ปารีส และจะโอนสัญชาติเป็นคนที่นั่น
และจะไม่กลับมาอีก คืนนี้เครื่องของผมก็จะออกแล้ว
วันนี้ผมเลยตัดสินใจที่จะเอาทิวลิปส์ดอกสุดท้ายไปวางไว้หน้าบ้านเธอ
มันเป็นทิวลิปส์ดอกสุดท้ายแล้วที่จะให้ฟ้า
..หลังจากที่ผมวางทิวลิปส์ไว้
ผมก็ค่อยๆเดินจากไป แต่ฟ้าเธออยู่ข้างในบ้านและก็เห็นผมเข้าพอดี
เธอรีบวิ่งตามผมออกมาทันที
ผมเร่งฝีเท้าเดินหลบเธอเข้าไปในสวนสาธารณะ
ผมคิดว่าเธอคงไม่เห็นผมแล้ว
ขณะที่ผมกำลังจะเดินต่อก็มีมือเข้ามากอดผมจากทางด้านหลังความรู้สึกอย่างนี้ผมรู้ทันทีว่าเป็นใคร
ผมไม่เคยลืมความรู้สึกอบอุ่นที่เธอเคยกอดผมได้เลย
ตอนนี้เธอกำลังร้องไห้และซบหน้าลงบนแผ่นหลังของผมน้ำตาของเธอนองหลังผมไปหมด
ผมยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกอยู่นาน ผมจึงค่อยๆหันหน้าไปหาเธอ
ผมใช้มือเอื้อมไปเช็ดน้ำตาที่แก้มของเธออย่างเบามือ
แก้มของเธอยังคงเป็นสีชมพูเหมือนเดิม
ดูเธอยังน่ารักไม่เปลี่ยนแปลงเลย เมื่อ
15 ปีที่ผมเคยเห็นเธอ
ครั้งแรกเป็นอย่างไรเดี๋ยวนี้ก็ยังเหมือนเดิม
แววตายังคงใสเป็นประกาย
ซึ่งต่างจากผมที่นับวันดูจะแก่ลงไปทุกขณะ
เธอยื่นมือมาจับมือผมที่กำลังเช็ดน้ำตาให้เธอแล้วก็พูดอย่างสะอื้น
“แบ๊งค์!
.แบ๊งค์หายไปไหนมา ทำไมคืนนั้นแบ๊งค์ไม่มา”
ผมไม่ตอบเธอยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน
“ฟ้าตามหาแบ๊งค์ทุกวันเลยรู้มั๊ย
ฟ้ารอแบ๊งค์ จนที่สุด พ่อฟ้าก็ให้ฟ้าแต่งกับชัย”
หลายต่อหลายคำถามที่เธอถามผมแต่ผมก็ไม่ตอบ เอาแต่ยืนนิ่ง
เธอหยิบของบางอย่างยื่นให้ผม “แบ๊งค์
.ฟ้าให้
ไดอะรี่ที่ฟ้าสัญญาว่าจะให้แบ๊งค์ไง
แต่ถึงวันนี้มันก็ยังไม่สมบูร์นะ”
ผมหยิบมาจากมือเธอ
ไดอะรี่ที่ผมอยากจะดูว่าข้างในมันคืออะไรมาตั้ง 15 ปี
แต่เธอก็มักจะบอกว่ารอให้เสร็จสมบูรณ์ก่อน
แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่สมบูรณ์อีกหรือ
เธอร้องไห้แบบไม่พูดอะไรเลยอยู่นาน
แล้วเธอก็ถามผม ที่ทุกทุกครั้งที่เธอถามเธอมักจะถามแบบอ้อมค้อม
แต่คราวนี้เธอถามตรงตรงเลย “แบ๊งค์
แบ๊งค์ รักฟ้าบ้างหรือเปล่า”
ถ้าหากทุกครั้งที่เธอเคยถามผม เธอถามตรงเช่นนี้
ผมคงให้คำตอบเธอแบบไม่หยุดคิดสักนิดตั้งแต่ 15 ปีที่แล้ว
..
ผมเงียบไปในขณะที่ใบไม้ใบหนึ่งค่อยๆ ร่วง ลงมาจากต้นไม้
ผมดูจนมันตกลงถึงพื้นดิน มันทำให้ผมคิดได้ว่า
อะไรบางอย่างเมื่อมันผ่านพ้นมาแล้วมันไม่มีทางที่จะหวนกลับคืนได้อีก
เหมือนดังเช่นผมที่จนวินาทีสุดท้ายที่ผมจะได้เห็นเธอเช่นนี้
ผมก็ยังไม่กล้าที่จะพูดออกไป
หรือถึงผมจะกล้าพูดออกไปมันก็คงไม่มีประโยชน์
ผมยืนจ้องตาเธออยู่นาน
“ฟ้า
.ต่อไปนี้ฟ้าดูแลตัวเองนะแบ๊งค์คงไม่ได้เป็นฮีโร่ประจำตัวฟ้าอีกแล้วนะ”
เธอรีบถามผมด้วยท่าทางตกใจ “ทำไม! แบ๊งค์ แบ๊งค์จะไปไหน”
“ปารีส”
ผมเช็ดน้ำตาที่แก้มเธอเป็นครั้งสุดท้าย
“..ลาก่อนนางฟ้าตัวน้อยน้อยของผม.”
ผมหันหลังแล้วก็เดินจากเธอไป เธอใช้มือมาดึงแขนผมไว้
ความรู้สึกแบบนี้ผมเคยรู้สึกหลายต่อหลายครั้ง
ทุกครั้งผมจะต้องหันไปหาเธอ
แต่คราวนี้มันไม่เหมือนทุกครั้ง
ผมค่อยๆแกะนิ้วเธอที่จับที่แขนผมแล้วก็เดินอย่างไม่เหลียวหลัง
ผมได้ยินเพียงเสียงเธอร้องสะอื้นจากข้างหลัง
“แบ๊งค์!
.ไม่มีที่ไหนที่ดาวจะสวยเหมือนบนสะพานนั่น
ไม่มีใครทำให้ฟ้ารู้สึกมีความสุขเหมือนกับแบ๊งค์
ไม่มีทิวลิปส์ดอกไหนเหมือนที่แบ๊งค์ให้”
“ฟ้า.. ฟ้ารัก
.”
ประโยคสุดท้ายเธอพูดว่าอะไรผมก็ได้ยินไม่ชัดเพราะผมอยู่ห่างจากเธอมากแล้ว
ผมรู้สึกแต่เพียงว่าเธอกำลังยืนมองผมเดินจากไป จนลับตา
..คืนนี้ผมมาสะพานแห่งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว
ผมคิดถึงหลายต่อหลายอย่างบนนี้ ผมไม่เคยขึ้นมาโดยไม่มีเธอมาก่อน
ผมไม่ได้ขึ้นมานานแล้วคืนนี้มันดูเงียบเชียบจริงจริง
เมฆที่บดบังบนท้องฟ้าเริ่มที่จะลอยออกจากหมู่ดาว
ดวงดาวเริ่มที่จะส่องแสงระยิบระยับดูแล้วมันช่างสวยจริงจริง
ผมพึ่งเคยมองมันแบบเต็มตาเป็นครั้งแรก
เพราะทุกครั้งที่มาผมไม่เคยใส่ใจกับดาวเลย ผมสนใจที่เธอมากกว่า
เพราะตาที่เป็นประกายของเธอมันสวยกว่าหมู่ดาวบนท้องฟ้าเสียอีก
ผมยังรู้สึกเหมือนกับว่า เธอกำลังยืนดูดาวข้างข้างผม
และเสียงเธอกินไอศกรีมมันก็ยังก้องอยู่ในหัวผมอยู่เลย
ผมหยิบไดอะรี่ที่เธอให้ผมขึ้นมาดู ผมค่อยๆเปิดออก
ข้างในมันยังใหม่อยู่เลยไม่มีแม้รอยยับ
เธอทำไมถึงรักษาได้ดีขนาดนี้นะ
.
ผมเปิดเข้าไป ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่ง
วันเดือนปีที่ระบุไว้หน้าแรกก็ประมาณ 15 ปีได้
เธอพูดถึงครั้งแรกที่อยู่ห้องเดียวกันกับชายคนนั้นที่ห้อง ม.1/3
เธอเริ่มหลงรักเขาตั้งแต่ครั้งแรก
เธอพูดถึงความเป็นบอร์ดีการ์ดที่แสนดีของเขาที่
คอยช่วยเหลือเธอทุกครั้ง
ยอมออกรับแทนเธอทุกเรื่องยอมเจ็บตัวเพราะเธอทุกครั้ง
ให้เธอขี่หลังโดยไม่บ่นสักคำ เขาทำให้เธอมีความสุข
เขารู้ใจเธอไปซะทุกอย่าง
เขาทำให้ชีวิตเธอไม่อ้างว้าง เขากลับบ้านพร้อมเธอทุกวัน
ทั้งที่บ้านเขาและเธอไม่ได้อยู่ใกล้กันเลย
และเธอก็เขียนถึงเหตุการณ์หลายต่อหลายอย่าง
ที่ทุกเหตุการณ์เหมือนมันพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันวาน
แต่ประโยคหนึ่งในไดอะรี่ที่ผมอ่านแล้วดูเหมือนจะ น้ำตาคลอเลย
ก็ประโยคสุดท้าย
ที่เธอเขียนถึงชายในไดอะรี่ของเธอ
“เมื่อไหร่น๊า
แบ๊งค์เขาจะบอกรักเราสักที”
ผมอึ้งไปเลยมันเป็นสิ่งที่ผมมองข้ามมาตลอด และผมก็เข้าใจแล้ว
คำว่าเสร็จสมบูรณ์ของไดอะรี่เล่มนี้ว่ามันหมายถึงอะไร
เธอหมายถึง
คำบอกรักจากปากผม ที่ผมไม่เคยบอกกับเธอแม้แต่ครั้งเดียว
ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลเดียวที่ไดอะรี่ของเธอไม่เคยจบ
ยังคงขาดสิ่งสำคัญที่สุดจากปากของผม ผมอ่านจนหมดเล่ม
มันทำให้น้ำตาของผมไหลออกมาทันที น้ำตาของลูกผู้ชายที่ตลอด 20
ปีไม่เคยมีใครได้เห็น นี่ถ้าฟ้ามาเห็นเข้าเธอคงหัวเราะแย่เลย
ฮีโร่ ที่เธอบอกว่าเก่งนักหนา
แต่กลับต้องมาร้องไห้เพียงเพราะไดอะรี่ที่เธอเขียนสำหรับเขา
ถึงอย่างไรชีวิตผมก็ได้ทำเพื่อฟ้ามา จนถึงที่สุดแล้ว
สำหรับบอร์ดีการ์ด
คนนี้ก็ต้องหมดหน้าที่ซักที
มันเป็นหน้าที่ของชัยแล้วที่จะดูแลเธอต่อไป
ผมหยิบของบางอย่างที่ผมเก็บมาหลายปี แหวน
แหวนที่ผมทุ่มเททำขึ้นสำหรับฟ้า
แต่ผมก็ไม่มีโอกาสแม้แต่จะให้เธอได้เห็นมัน
ผมเคยคิดว่าจะเก็บไว้ให้หญิงอื่น
แต่ถึงวันนี้ผมก็รู้แล้วว่าไม่มีใครเหมาะกับมันเท่ากับเธออีกแล้ว
เธอคือรักแรกและจะเป็นรักครั้งสุดท้ายสำหรับผม
ผมปล่อยแหวนจากมือทันที
มันค่อยๆหล่นลงไปเบื้องล่าง และจมหายไปในแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดกาล
ใกล้จะถึงเวลาที่เครื่องกำลังจะออกแล้วผมเช็ดน้ำตาแล้วเดินลงไปตามทางเรื่อยๆ
ที่ที่ครั้งหนึ่ง เธอจะขี่หลังผม และไม่ยอมลงเลย จนถึงบ้านเธอ
ต่อจากนี้ในใจผมจะมีเพียงความทรงจำเกี่ยวกับเธอและไม่มีวันจางหาย
ตลอดกาล
“ภูมิใจที่ได้ทำอะไรให้ เต็มใจแม้ใครจะว่าเพ้อเจ้อ
ดีใจที่ได้คอยห่วงใยใส่ใจเธอ
สุขใจเสมอและจะมีเพียงเธอ
..ตลอดไป”
ผมอยู่บนเครื่องเที่ยวที่จะไป ปารีส
ท้องฟ้าบนนี้ช่างสวยจริงจริง
ผมกำลังจะได้เป็นหนึ่งในดีไซน์เนอร์ของไทย ที่กรุงปารีส
ขอให้ไปประจำ
ที่นั่น ต่อจากนี้งานของผมทุกชิ้นจะมีเพียง .ทิวลิปส์ท้องฟ้า
และ แสงดาว
คำถามกวนๆ
ทำไมในหน้าหนาว นกจากประเทศเมืองหนาว จึงบินมาเมืองไทย?
เฉลย เพราะถ้าเดินมาจะช้า จึงต้องบินมา
+
สิงห์..ที่อยู่ข้างขวดโซดาเป็นเพศไหนเอ่ย?
เฉลย เพศที่ 3 เพราะ เขียนว่า SINGHA อ่านว่า สิงห์ฮ้า..(ลากเสียงยาวๆ)
+
รถอะไรเอ่ย มี 30 วัน
เฉลย รถยนต์ เพราะลงท้ายด้วย ยน จึงมี 30 วัน (หรือคุณคิดว่าเป็นรถคม ล่ะ )
+
จรวดอะไรที่ยิงไปแล้วหาไม่เจอ
เฉลย จรวดมิดไซด์(มิดทราย)
+
ก่อนจะเป็นพยาบาลได้จะต้องเป็นอะไรก่อน
เฉลย พยาตูม
+
ม้าอะไรสีแดง?
เฉลย ม้า..เขือเทศ
+
วลีที่ว่า หลายหัวดีกว่าหัวเดียวเป็นคำพูดของใคร
เฉลย ช่างตัดผม
+
มีเรืออยู่ลำหนึ่งบรรทุกคนได้ทั้งหมด 50 คน ขณะนี้มีคนอยู่บนเรือแล้ว 49 คน พอคนที่ 50 ขึ้นเรือ เป็น ผู้หญิงท้อง 5 เดือน พอขึ้นไป แล้วทำไมเรือค่อยๆ จม
เฉลย เพราะมันเป็นเรือดำน้ำ
+
ไวน์อะไรกินแล้วไม่เมา..
เฉลย ไวน์ ตามิวด์
+
คนอะไรไม่มีวันเเก่
เฉลย คนมือยาว (คนมือยาวสาวได้สาวเอาไง)
+
1 ปีมีกี่วัน
เฉลย 7 วันก็ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์
+
พระชอบโทรศัพท์วันไหน
เฉลย วันพุธ (พุทธโท พุทธโท)
+
พิธีกรชอบพรรคอะไร
เฉลย พักสักครู่ครับ!
ชาวนาประเทศอะไรรวยและขี้เมาที่สุดในโลก
เฉลย ประเทศนามีเบีย
+
ประเทศอะไรมีนาอยู่กลางประเทศ
เฉลย แคนาดา กับ ปานามา
+
จังหวัดอะไรมีนาเยอะที่สุด
เฉลย เชียงใหม่(ล้านนา ไง)
+
ถ้าเจอเหรียญบาทจะทำอย่างไร
เฉลย ไปโรงพยาบาลเพราะถูกเหรียญบาด
+
กัดแอปเปิ้ล 1 คำ เจอหนอนกี่ตัว น่ากลัวที่สุด
เฉลย ครึ่งตัว เพราะอีกครึ่งตัวอยู่ในปากเรา!
+
เป็ดอะไรทำสวน
เฉลย เป็ดปักกิ่งไง
+
ขนมอะไรกินไม่ได้
เฉลย ขนมเปียกปูน
+
ถ้า 30 เซนติเมตร เท่ากับ 1 ฟุต แล้ว 2 ฟุต จะมีกี่นิ้ว
เฉลย 2 ฟุต มี 10 นิ้ว (เพราะฟุตแปลว่าเท้า)
+
ปลาอะไรเอ่ยไม่มีสัมมาคาราวะ
เฉลย ปลาตายอ่ะดิ เพราะมันไม่ว่าย
+
อะไรเอ่ย..ตามไดโนเสาร์มา
เฉลย ไดโนอาทิตย์...
+
แมลงวัน 30 ตัวเรียกว่าอะไร
เฉลย แมลงเดือน
+
สัตว์อะไรห้ามอ่านหนังสือ
เฉลย แกะ ( ห้ามแกะอ่าน กรุณาติดต่อเจ้าหน้าที่ของร้าน )
+
ลา อะไรมี 3 หัว
เฉลย ลาบานูน ไง
+
พี่มากพานางนากขึ้นรถเมล์จะเสียเงินเท่าไร
เฉลย 7 บาท เพราะ ผี 3 บาท (ค่ารถเมล์ขึ้นแล้วเป็น 4 บาท)
+
ขนอะไรเกิดในที่ลับ
เฉลย ขนยาบ้า
อ่านให้ได้
ที่จังหวัด ระนองระยองยะลา ได้มียักษใหญ่ไล่ยักษ์เล็ก เพราะยักษ์เล็กจะกินข้าวกับ ผัดฟักแต่ฟักผัด เป็นของยักษ์ใหญ่ ระนองระยองยะลา จึงได้แต่หวาดวิตกว่า ยักษ์ใหญ่ไล่ยักษ์เล็กจะเข้าทำร้าย จึงส่งทหารถือปืนแบกปูนไปโบกตึกเพราะปูนโบกตึกที่ทหารถือปืนแบกมานั้น อาเฮียหลีพาอาหลีเฮียไปดูผี และยานัดหมอมีแก้ฝีแก้หิด อย่านัดหมอชิดแก้หิดแก้ฝี จึงกินมันติดเหงือก กินเผือกติดฟัน จึงพาบริษัท กำจัด จำกัดมหาชน ให้มากำจัด โดยวิธีที่จะทำคือ ชามเขียวคว่ำเช้าชาวขาวคว่ำค่ำ เพื่อเมื่อเช้ากินผัดฟักเย็นกินฟักผัด แล้วจึงบอกให้พ่อบอกกับแม่ว่าให้พี่ซึ่งเป็นน้องของคุณย่าให้หาปู่ที่เป็นทวดของคุณลุงลูกแม่ยายของอาที่อยู่ระนองระยองยะลา ให้มาช่วยด่วน
การที่เราจะรักใครสักคน... ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลว่าทำไมเราจึงไปรักเขาได้ แต่ให้รู้ไว้ว่าทุกวันนี้เรารักเขาและต้องรักให้ดีที่สุดก็พอ
การที่เราจะรักใครสักคน... ไม่ต้องสนว่าหนทางข้างหน้าจะมีอุปสรรคมากมายแค่ไหน แต่ควรนึกขอบคุณโชคชะตาที่สร้างให้มีอุปสรรค เพื่อให้เราทั้งสองได้ร่วมฟันฝ่าไปด้วยกัน
การที่เราจะรักใครสักคน... ไม่ต้องไปเสียเวลาคิดว่าเขาทำอะไรเพื่อเราบ้าง แต่ให้มานั่งถามตัวเองดูว่า วันนี้เราทำอะไรเพื่อคนที่เรารักแล้วหรือยัง
การที่เราจะรักใครสักคน... ไม่ต้องไปมัวระแวงว่าเขาจะไปมีใครอื่นนอกเหนือจากเรา แต่ ควรระวังใจของตัวเองให้เข้มแข็งพอที่จะไม่รับใครเข้ามาในใจอีก
การที่เราจะรักใครสักคน... ไม่ต้องไปขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตของเขา ว่าเขาเคยมีใครยังไงแต่ให้คิดไว้ว่าทุกวันนี้มีเขาและเราอยู่ด้วยกัน...อดีต..ถึงอย่างไรก็คืออดีต
การที่เราจะรักใครสักคน... เมื่อทะเลาะกัน คำว่าแพ้หรือชนะ ก็ไม่สำคัญ เราจึงยอมให้เขาเป็นฝ่ายชนะเสมอ ถ้าทำให้เขาสบายใจ
การที่เราจะรักใครสักคน... ไม่ควรพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเขา แต่ควรพยายามปรับตัวเองให้เข้ากับเขาจะดีกว่า
การที่เราจะรักใครสักคน... ไม่ควรหูเบา เพราะอาจทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนที่เรารักได้
การที่เราจะรักใครสักคน... ไม่ใช่การสัมผัสกันด้วยร่างกาย แต่เป็นการสัมผัสกันด้วยหัวใจต่างหาก
การที่เราจะรักใครสักคน... ไม่จำเป็นต้องบอกรักกันทุกวัน เพราะการที่เราคอยห่วงใยกันอยู่เสมอๆ ก็สามารถทดแทนคำว่ารักได้ดี แม้สักล้านคำ
การที่เราจะรักใครสักคน... ไม่เกี่ยวกับสิ่งของนอกกายใดๆเลย เพราะความรักไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน หรือแลกมาได้ด้วยทรัพย์สิน
การที่เราจะรักใครสักคน... ไม่ต้องคอยนับว่าเขามีข้อเสียมากมายสักกี่ข้อ เพราะข้อดีของเขาก็มีมากพอที่จะทำให้เราลืมข้อเสียทั้งหมดของเขาได้
การที่เราจะรักใครสักคน.... ไม่จำเป็นต้องตัวติดกันตลอดเวลา แค่เรามีเขาอยู่ในใจทุกนาทีก็พอ
การที่เราจะรักใครสักคน... เมื่อเห็นเขาเสียใจ ไม่ต้องรอจนกระทั่งเขาเสียน้ำตา แล้วค่อยเข้าไปปลอบใจ แต่ควรรีบเข้าไปแบ่งเบาความทุกข์ของเขาเสียตั้งแต่เมื่อเราเห็น เขาเงียบๆ ซึมๆไป เพราะหากเราปล่อยเขาไว้จนสายเกิน ผลสุดท้ายแล้วคนที่จะเสียใจที่สุดเมื่อรู้ตัวก็คือตัวเราเอง
การที่เราจะรักใครสักคน... อย่ารอที่จะบอกรัก ให้รีบบอกคนที่เรารักซะ ก่อนที่จะไม่มีเขาคนนั้นให้บอกอีกต่อไป
การที่เราจะรักใครสักคน... แม้ว่าอาจทำให้เราตาบอด แต่ก็ทำให้เราได้รับรู้และเข้าใจ ว่าความสุขจากการที่ได้รักใครสักคน มันมีมากมายแค่ไหน
การที่เราจะรักใครสักคน... จงเชื่อมั่นในตัวเขาให้มากๆ
การที่เราจะรักใครสักคน... ง่ายยิ่งกว่าการพยายามลบเขาออกไปจากหัวใจ
...ความรัก สอนให้เราได้เรียนรู้หลายๆสิ่ง
ความรักเป็นบทเรียนดีๆ ที่ไม่อาจเข้าใจได้ถ่องแท้ถ้าไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง
ความรัก ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ทำให้เราเข้าใจอะไรๆมากขึ้น
ความรัก ทำให้เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบนี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้ ....จากการที่เราได้.... รัก.... ใครสักคน...
                                    ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น