กระจกและตัวตน
          กระจกมีสองแบบ กระจกเงาและกระจกใส กระจกเงามีไว้เพื่อมองให้เห็นตนเองชัดขึ้น กระจกใสมีไว้เพื่อสำรวจผู้อื่น คนบางคนขะมักเขม้นกับการขัดถูกกระจกเงา เพียงเพื่อจะให้เห็นตัวเองชัดขึ้น โดยหลงคิดไปว่าตัวเองคือสิ่งเป็นสากลที่สุดในจักรวาล คนบางพวกกลับทุบกระจกเงาทิ้ง ดึงปรอทที่ฉาบไว้ออก เพื่อจะได้มองออกไปสู่เบื้องนอก มองเห็นหลาย ๆ สิ่งในจักรวาล แต่เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น เขาพวกนั้นก็จะมองไม่เห็นตัวเองอีกต่อไป มีใครบ้างในประวัติศาสตร์ที่สามารถมองเห็นทั้งตนเองและคนอื่นได้อย่างกระจ่างใส???
          คุณเคยคิดบ้างไหมว่า เราอยู่ด้านไหนของกระจกเงา ด้านนอกหรือใน จะเกิดอะไรขึ้นถ้าชีวิตประจำวันที่เราคุ้นเคยเป็นเพียงแค่ภาพสะท้อนของอะไรบางอย่างที่เหมือนเราทุกประการ ต่างกันแค่ เราเป็นเพียงภาพสะท้อนภาพลวงตา สิ่งเหล่านั้นเป็น “ความจริง” เรามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่
          ตัวตน อะไรคือตัวตน คำนี้เป็นคำที่มนุษย์ใช้มาตั้งแต่มีความสามารถในการประดิษฐ์คำถามเลยก็ว่าได้ ถ้าเรามองกลับเข้าไปในประวัติศาสตร์ มนุษย์ทุกยุคทุกเผ่าพันธุ์ภาษาล้วนมีทฤษฎีต่าง ๆ นา ๆ ในการตอบคำถามนี้ แต่ว่า เราได้เข้าใกล้คำตอบแล้วหรือยัง คงไม่มีใครสามารถตอบได้ว่า ทฤษฎีความเชื่อหรือคำสั่งสอนของลัทธิศาสนาใดเป็นคำตอบสุดท้าย เป็นไปได้ไหมว่า คำถามนี้ไม่มีคำตอบ และไม่มีใครหรือสิ่งไหนสามารถตอบได้ หากว่าคำตอบนั้นอยู่ในตัวมนุษย์เป็นแต่ละคนอยู่แล้ว เช่นเดียวกับที่มนุษย์แต่ละคนมีความต้องการในชีวิตแตกต่างกัน มนุษย์ก็มีคำนิยามเกี่ยวกับตัวตนแตกต่างกันด้วย
        ในอีกแง่หนึ่ง ถ้าตัวตนไม่ใช่สิ่งที่มีข้อเท็จจริงเป็นหนึ่งเดียวที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรมทำให้ทุกคนยอมรับได้ ตัวตนจะมีอยู่จริงหรือ ตัวตนคือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตที่มีมันสมองใหญ่โตเป็นพิเศษสร้างขึ้นมาใช่หรือไม่ ท่ามกลางความรู้สึกที่ว่า มนุษย์เป็นสิ่งที่มีชีวิต จิตใจ มี “วิญญาณ” ตัวตนใช่สิ่งที่มนุษย์เราสร้างขึ้นมาเพื่อเราจะได้รู้สึกเหนือกว่าท่ามกลางสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในโลกใบนี้หรือไม่ เช่น พวกเคร่งศาสนาบางกลุ่มไม่เชื่อว่าสัตว์มี “ดวงวิญญาณ” หมายความว่าสัตว์ย่อมไม่มีตัวตนด้วยอย่างนั้นใช่หรือไม่ การที่มนุษย์สร้างตัวตนขึ้นมา ใช่เพื่อสนองกิเลสความอยากได้ซึ่งความเหนือกว่าหรือไม่   
          การพัฒนาด้านเทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นรวดเร็วมาก มันน่าทึ่งไม่น้อยเช่นกันถ้าหากในอนาคต มนุษย์สามารถถ่ายโอนตัวตนของเราไปให้สิ่งอื่น ๆ ได้ ยกตัวอย่างให้เห็นง่าย ๆ และชัด ๆ คือหุ่นยนตร์ ปัจจุบันนี้ มนุษย์สามารถประดิษฐ์สูตรทางคณิตศาสตร์ ในการคำนวณและคาดเดากล้ามเนื้อมนุษย์ได้ และได้นำเอาสูตรนี้ไปตั้งโปรแกรมให้หุ่นยนตร์สามารถเรียนรู้กิจกรรมของมนุษย์ทุกอย่างได้ หมายความว่า หุ่นยนตร์มีความสามารถในการเรียนรู้ความสามารถของมนุษย์ได้ง่าย ๆ ในเวลาสองสามชั่วโมง ในขณะที่มนุษย์ธรรมดานั้นต้องใช้เวลาเรียนรู้เป็นสิบถึงยี่สิบปี แล้วในเชิงกายภาพนั้น ผู้ประดิษฐ์ได้เลียนแบบลักษณะทางกล้ามเนื้อของมนุษย์ไปได้เกือบทุกอย่าง ในอนาคต ถ้าหุ่นยนตร์สามารถคิดเองได้อย่างเป็นอิสระกว่านี้ แล้วหุ่นยนตร์เกิดตั้งคำถามกับตัวเองว่า ตัวมันนั้น มีตัวตนหรือเปล่า ???
          ถ้าคุณพิจารณาดูดี ๆ ร่างกายของเราก็ไม่ต่างกับร่างกายของหุ่นยนตร์เท่าไหร่เลย ระบบต่าง ๆ ในร่างกายเราที่ทำงานกันมาอย่างเป็นปกติได้นั้น ก็ต้องอาศัยการโปรแกรมด้วยเหมือนกัน เช่น หัวใจก็ถูกโปรแกรมมาให้เต้นเป็นล้าน ๆ ครั้งตลอดชีวิตของเรา ในเชิงการดำรงชีวิต ชีวิตเราก็ถูกตั้งโปรแกรมไว้ไม่มากก็น้อย ขอยกตัวอย่างในปัจจุบัน เมื่อเด็กเกิดมาได้ห้าปี ต้องพาไปเข้าโรงเรียนอนุบาล หลังจากนั้นก็ต้องพยายามกระเสือกกระสนเข้าศึกษาต่อระดับประถม มัธยม และมหาวิทยาลัย เพื่อที่จบออกมาจะได้แข่งขันแก่งแย่งหางานเงินดีทำ เพื่อที่จะได้แต่งงานกับคนดี ๆ มีฐานะ มีลูก พยายามเลื่อนฐานะตนเอง ซื้อบ้านใหญ่ขึ้น ซื้อรถใหญ่ขึ้น ใช้เครื่องประดับหรูขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างต้องดีขึ้น ๆ โดยไม่มีจุดสิ้นสุด เมื่อตัวเองมีลูก ก็พยายามกระเสือกกระสนเต็มที่ทุกวิถีทางเพื่อที่จะพาลูกเข้าโรงเรียนที่ดีที่สุด โดยคาดหวังว่า เมื่อลูกโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่จะได้แต่งงานกับคนดีมีฐานะ ทำงานเงินดี เพื่อจะได้ซื้อบ้านที่ใหญ่ขึ้น ซื้อรถใหญ่ขึ้น ใช้เครื่องประดับหรูขึ้น เที่ยวเมืองนอกทุกปี ชีวิตจะดีขึ้น ๆ ...
          ถ้าคุณให้มนุษย์ส่วนมากมาตอบคำถามนี้ คงเจอกับคำตอบหลากหลายภาษาที่แปลว่าไม่ คนส่วนมากรับไม่ได้เมื่อคิดว่า สิ่งของจะมีสถานะขึ้นมาเทียบเท่าตน ที่สำคัญ ตนเองนั่นแหละที่เป็นผู้สร้าง แล้วผู้ถูกสร้างจะยกสถานะขึ้นมาเทียบเท่าผู้สร้างได้อย่างไร คำถามเชิงอภิปรัชญาเกี่ยวกับตัวตน เป็นคำถามที่ทำให้มนุษย์รู้สึกภาคภูมิใจกับตนเองมาเป็นระยะเวลาหลายพันปี
          ถึงอย่างไรก็ตาม มนุษย์ส่วนมากไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับการค้นหาคำตอบซึ่งคำถามเหล่านี้ ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่าการค้นหาคำตอบเหล่านี้เป็นอาชีพไม่ได้ช่วยทำให้ท้องอิ่มง่ายนัก มนุษย์ส่วนมากมักปฏิเสธคำถามเหล่านี้แล้วก้มหน้าก้มตาทำมาหากิน แล้วตั้งคำถามอย่างอื่นที่สบายใจพวกเขามากกว่า ในขณะที่มนุษย์อีกพวกก้มหน้าก้มตาตั้งคำถามพร้อมทั้งพยายามหาคำตอบของสิ่งเหล่านี้ พร้อมดูถูกว่ามนุษย์พวกแรกนั้นอ่อนด้อยกว่าตน ต่างฝ่ายต่างไม่เข้าใจว่า ไม่มีฝาแฝดคนไหนเหมือนกันทุกประการหรอก และอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ชีวิตคนเรานั้นเกิดมาเพื่ออะไร ขึ้นอยู่กับการให้คุณค่าและนิยามในสิ่งที่เราเรียกว่าตัวตนแตกต่างกัน
          เราใช่สิ่งชีวิตเพียงอย่างเดียวในจักรวาลนี้หรือไม่ คงต้องใช้เวลาอีกหลายปี เมื่อเราสามารถเดินทางสำรวจได้ทั่วจักรวาล คงใช้เวลาอีกหมื่นปี เราใช้ชีวิตอยู่ด้านไหนของกระจก คงใช้เวลาอีกเป็นหมื่นถึงแสนปี คำถามเกี่ยวกับตัวตน ในอนาคตอาจจะมีศาสดาผู้ปราดเปรื่องมาให้คำตอบเราอีกมากมาย แต่เนื่องด้วยข้อจำกัดที่ตัวตนเราไม่อาจชั่ง ตวง วัด ได้ ทำให้มนุษย์ทุกปัจเจกบุคคลล้วนมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น