วันนี้ผมลืมตาขึ้นมา มองเห็นภาพเดิม ๆ ที่คุ้นตา ฝาผนังห้องที่เต็มไปด้วยรูปนักฟุตบอลที่ผมคลั่งไคล้ โต๊ะอ่านหนังสือที่มีหนังสือระเกะระกะวางเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด ผมกำลังรอคอยการมาของคำ ๆ หนึ่ง
    “นี่...ตื่นได้แล้ว จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน” แม่ตะโกนเสียงดังมาจากข้างล่าง นี่แหละคำที่ผมกำลังรอและได้ยินทุกเช้าตลอด 8 ปีที่ผ่านมา
    “เฮ้อ...เด็กป.3อย่างเราจะตื่นแต่เช้าไปทำไมกันนะ” ผมพูดกับตัวเองด้วยความขุ่นใจ
    ผมลุกจากเตียงแล้วเดินไปอาบน้ำ สายน้ำที่ปะทะกับหน้าทำเอาผมรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก ผมแต่งชุดนักเรียนตัวเก่งแล้ววิ่งลงบันไดมา มองเห็นจานข้าววางอยู่บนโต๊ะ ผมเดิมเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อจะดูว่าวันนี้มีอะไรทาน ไม่ทันจะเดินถึงโต๊ะ
    “กินข้าวให้เสร็จเร็ว ๆ เข้า พ่อเขารออยู่หน้าบ้าน” แม่ส่งเสียงดังมาจากในครัว
    “นั่นไง ผมว่าแล้วเชียว ต้องโดนว่าอีกแล้ว” ผมบ่นเบา ๆ แล้วรีบกินข้าวอย่างเร็วที่สุดก่อนที่จะโดนว่าอีก
    พอผมทานเสร็จผมก็เดินไปหาพ่อที่นั่งรออยู่ แล้วซ้อนมอเตอร์ไซด์คันเก่าที่พ่อซื้อมาตอนที่ผมเพิ่งเกิดได้ไม่กี่เดือน แต่รถคันเก่า ๆ คันนี้นี่แหละที่คอยรับใช้ครอบครัวผมตลอดหลายปีที่ผ่านมา
    ผมนั่งรถไปดูวิวไป กายก็สัมผัสกับอากาศยามเช้าที่แสนจะสดชื่น แล้วสอดส่ายสายตาไปที่ขอบฟ้าเพื่อจ้องมองแสงสีทองที่พุ่งออกมา
              “มันช่างสวยงามจริง ๆ” ผมว่านะ
              ระหว่างทางผมเห็นบ้านผู้คนที่ยังคงปิดสนิท
              “เค้ายังนอนกันอยู่อีกหรอ น่าอิจฉาจัง” ผมคิด
              เมื่อไปถึงโรงเรียน ผมยกมือไหว้พ่อ พ่อรับไหว้และขับรถจากไป ผมมองพ่อจนสุดสายตา แล้วจึงหันหน้าเดินเข้าไปในโรงเรียน ผมเดินเข้าไปสวัสดียามคนใหม่ที่มาแทนยามคนเก่าซึ่งปลดเกษียณไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
              “ว่าไง...เจ้าหนู มาโรงเรียนแต่เช้าเลย” ยามทักผมอย่างอารมณ์ดี
              “ครับ ผมก็มาแต่เช้าอย่างนี้ทุกวันแหละฮะ” ผมตอบพร้อมกับยิ้มให้ แล้วจึงเดินไปที่โต๊ะไม้ซึ่งอยู่ข้าง ๆ อาคารที่ผมเรียน
ผมเข้าไปนั่งแล้วหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าที่พ่อซื้อให้เมื่อวันเกิดปีที่ผ่านมา ตอนนี้ในสมองของผมไม่คิดจะอ่านเลยซักนิด มีแต่เสียงก้องไปทั่วในหัวของผม “คำพูดที่แม่บ่นให้ผมฟังทุกวัน”
              “ทำไมนะ แม่ถึงต้องการให้ผมตื่นนอนแต่เช้า กินข้าวเร็ว ๆ ให้ผมอ่านหนังสือเยอะ ๆ ฝึกให้ผมทำงานด้วยตนเอง เวลาที่ผมทำอะไรชักช้า แม่ก็จะบ่นผมอยู่เสมอ” นี่เป็นคำถามที่ผมอยากจะรู้คำตอบ
              เมื่อวันเวลาผ่านไป ตอนนี้ผมอายุได้ 12 ปีแล้ว ผมโตขึ้น ทำอะไรด้วยตนเองได้มากขึ้น แต่ที่ยังเหมือนเดิมก็คือคำพูดที่แม่ยังคงพูดให้ผมฟังทุกเช้า บ่นให้ผมฟังทุกวัน ผมคิดว่ามันคงจะเป็นกิจวัตรประจำวันประจำวันไปแล้ว วันไหนที่แม่ไปทำงานที่ต่างจังหวัด ปล่อยให้ผมกับพ่ออยู่กันอย่างสงบ ผมจะรู้สึกได้ทันทีเลยว่า วันนี้มีอะไรขาดไปบางอย่าง ผมใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่อย่างมีความสุขมาจนถึงวันนี้ วันที่ผมไม่คาดฝันว่ามันจะเกิดขึ้น...
              ผมลืมตาขึ้นมา มองไปทั่ว ๆ ห้อง มันไม่ใช่ภาพที่ผมคุ้นตา ผมมองเห็นพ่อกับแม่นั่งจับมือของผมคนละข้าง แม่ก้มหน้าเหมือนจะร้องไห้ พ่อก็มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาเหม่อลอย ผมรู้สึกไม่มีแรงเหมือนไม่ได้ทานอะไรมาหลายวัน
              “พ่อฮะ...นี่ผมอยู่ที่ไหน” ผมพูดออกไปด้วยแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่
              แม่ปาดรอยน้ำตาที่ไหลเป็นทางที่แก้มแล้วยิ้มให้ผม
              พ่อเหมือนจะสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อผมพูดออกมา พ่อมองผม แล้วตอบผมว่า
              “ลูกอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่ต้องพูดอะไรมาก นอนพักผ่อนเยอะ ๆ จะได้หายไว ๆ”
              พอพ่อพูดจบผมก็นึกได้ว่า วันนั้นผมเดินออกมาจากโรงเรียนแล้วข้ามถนนเพื่อจะไปขึ้นรถกลับบ้าน มีรถกระบะสีน้ำเงินคันหนึ่งขับผ่าไฟแดงมาด้วยความเร็วสูง ชนผมเข้าอย่างจัง พอรู้สึกตัวอีกทีผมก็มาอยู่ที่นี่
              ผมใช้ชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาลหลายวันแล้ว วันแรก ๆ ผมรู้สึกว่า ผมไม่เป็นไร อีกไม่กี่วันหมอคงจะให้กลับบ้านได้ ระหว่างนั้นพ่อกับแม่ก็มาดูแลผมอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะแม่ถึงกับยอมลางานมาเฝ้าผมทั้งวันทั้งคืน ส่วนผมก็มีอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ และดูเหมือนว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยดี
              แต่แล้วในวันที่เจ็ดหลังจากที่ผมฟื้น ผมปวดหัวอย่างมาก มากเสียจนทำอะไรไม่ได้ พ่อจึงไปตามหมอให้มาดูอาการของผม หมอเข้ามาดูอาการแล้วสั่งให้บุรุษพยาบาล 2 คนพาผมไปที่ห้อง “เอก...เอกซ...” ห้องอะไรนะ ผมฟังไม่ถนัด เขาเข้ามาอุ้มผมขึ้นไปบนเตียงแล้วทำท่าจะเข็นผมไปที่ห้องอะไรนั่น
            ผมร้องเสียงดังลั่นด้วยความกลัว “พ่อเขาจะพาผมไปไหน ผมไม่ไป!! ผมไม่ไป!!”
            พ่อมองหน้าผมแล้วตอบว่า “หมอจะพาลูกไปตรวจ ไม่ต้องกังวล พ่อจะรออยู่ที่นี่” แล้วมือของผมกับพ่อก็ปล่อยออกจากกันขณะที่บุรุษพยาบาลเข็นผมออกไปจากห้องพัก
            ผมถูกนำตัวไปที่ห้อง อืม ห้องอะไรนะ “อ๋อ...ห้องเอ็กซเรย์นี่เอง” ผมนึกถึงป้ายตัวเบ้อเริ่มที่ติดไว้หน้าห้องซึ่งบุรุษพยาบาลพาผมเข้ามา ในห้องนี้ค่อนข้างมืดมาก มีแสงไฟสลัว ๆ ที่มาจากหลอดนีออนสีขาวหลอดหนึ่งกับแสงที่เล็ดลอดเข้ามาจากข้างนอกเล็กน้อย ตรงกลางห้องมีเครื่องใหญ่ ๆ วางอยู่ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือเครื่องอะไร แต่มันทำให้ผมรู้สึกหวั่น ๆ หมอบอกให้ผมไปนอนบนเตียงที่ติดกับเครื่องนั่น ผมนอนหงาย แล้วสักครู่หนึ่งพยาบาลก็เอาผ้ามาปิดตาผม ทำให้ผมไม่รู้เลยว่าเขาทำอะไรกับผม ผมเห็นแต่แสงจ้าที่ลอดผ่านผ้าเข้ามา เมื่อแสงที่จ้าหายไปทุกอย่างก็เข้าสู่บรรยากาศเดิมตอนที่ผมเข้ามา มันคงเหลือแต่แสงไฟสลัว ๆ กับเครื่องน่ากลัวนั่น พยาบาลมาเอาผ้าออก แล้วผมไปนอนบนเตียงที่เข็นมา บุรุษพยาบาลคนเดิมพาผมกลับไปที่ห้องพัก
            พ่อรอผมอยู่ที่หน้าห้อง เมื่อผมเห็นพ่อ เราก็ยิ้มให้กันและกัน จากนั้นผมจึงกลับไปนอนบนเตียงที่ผมนอนมาตลอดเจ็ดวัน อาการปวดหัวของผมก็ยังไม่ทุเลาลง เสียงโฆษกในโทรทัศน์ที่พ่อนั่งดูอยู่ค่อย ๆ เงียบหายไป เปลี่ยนมาเป็นรายการเพลงคอยกล่อมผมจนผมเข้าสู่ห้วงนิทรา
            เช้าวันรุ่งขึ้นพ่อกับแม่ออกไปคุยกับหมอนอกห้องพักระหว่างที่ผมกำลังหลับอยู่ คงจะคุยกันอยู่นานทีเดียว เพราะเมื่อผมตื่นมาก็พบแต่พยาบาลที่กำลังวัดชีพจรอยู่ จากนั้นไม่นานพ่อแม่และหมอก็เดินเข้ามาในห้อง
            พ่อพูดกับหมอว่า “เอาเถอะครับ คุณหมอจะบอกลูกผมก็ได้ เขาจะรู้หรือไม่รู้ก็มีค่าเท่ากัน” แล้วพ่อก็หันไปปลอบแม่ที่ร้องไห้ไม่หยุด ผมเห็นน้ำตาของพ่อด้วย ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเห็นพ่อร้องไห้เลยสักครั้ง พ่อเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งมาก ผมว่าเรื่องนี้มันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ และที่สำคัญ...มันต้องเกี่ยวกับผม
            พ่อกับแม่เดินออกไปจากห้องปล่อยให้ผมกับหมออยู่ด้วยกัน มันก็นานทีเดียวกว่าหมอจะเริ่มพูดคำแรกออกมา เมื่อมันถูกปล่อยออกมาแล้ว คำอีกนับพันก็ถาโถมตามมา มันเหมือนกระแสน้ำหลากที่ไหลแรง ไม่ปรานีใคร และเมื่อมันผ่านพ้นไปก็จะเหลือแต่ร่องรอยความเสียหายที่ประเมินมูลค่าไม่ได้  ”คุณมีเลือดคลั่งในสมอง คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ชั่วโมง”
            น้ำตาที่กลั่นออกมาจากภายในไหลอาบแก้มทั้งสองข้างของผม โดยที่ผมไม่สามารถหยุดมันได้เลย
“ถึงเวลาที่ผมต้องตายแล้วหรือ” คำถามที่ก้องอยู่ในใจแต่ผมไม่ต้องการคำตอบ
            คืนนี้ผมนอนไม่หลับทั้งคืน พ่อกับแม่ก็มานอนเฝ้าผมอย่างเคย ไม่ใช่สิ!! วันนี้มันไม่เหมือนเช่นทุกวัน ผมนอนพลิกตัวไปพลิกตัวมา หัวของผมมันเหมือนระเบิดที่กำลังรอเวลาแตกกระจุยซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน
            “ทำไมเวลาที่ผมจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มันถึงได้น้อยนิดเช่นนี้ ผมยังไม่ได้ทำในสิ่งที่ผมใฝ่ฝัน ผมยังไม่ได้ทำให้พ่อแม่ภูมิใจ ทำไม? ทำไม? ทำไมผมต้องตาย” ผมรำพึงออกไปเบา ๆ แล้วผมก็ยิ้มออกมา ผมนึกอะไรได้บางอย่าง
            “ใช่แล้ว!! นี่ไงคำตอบของคำถามที่ผมพยายามค้นหามาตลอดทั้งชีวิต ผมรู้แล้วว่าทำไมแม่ถึงบ่นผมเวลาที่ผมทำอะไรชักช้า นั่นก็เป็นเพราะ เราไม่มีวันรู้ได้เลยว่า เราจะตายเมื่อไหร่ ถ้าเราไม่รีบทำในสิ่งที่เราต้องการ ไม่รีบทำในสิ่งที่เราอยากจะทำ สักวันหนึ่งมันอาจจะสายเกินไป” ผมมองแล้วยิ้มให้พ่อกับแม่ที่ยังมีรอยน้ำตาไหลอาบแก้ม
            “พ่อ...แม่...ผมรักพ่อกับแม่มากที่สุดในโลก ผมดีใจที่ได้เกิดเป็นลูกของท่านทั้งสอง ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้เราได้อยู่ด้วยกัน”    และนั่นคือคำสุดท้ายที่ผมพูดออกมา
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เขียน อาจยังมีประสบการณ์น้อย ขอให้ผู้อ่านช่วยติชมมา ณ ที่นี้ด้วย เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไข
ที่สำคัญ \"ขอบคุณที่อ่านจบ\"
                                                                                                                 
                                                                                                                                เด็กคอนหวัน
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น