วันนี้เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ฉันนั่งอยู่ร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ลำพัง และเขาก็ได้เข้ามาในชีวิตฉันด้วยความบังเอิญ
    “อ้าว! ร้องไห้ทำไมล่ะเด็กน้อย แล้วมานั่งขี้แยอยู่ตรงนี้คนเดียว”
    “ใครว่าฉันขี้แย แล้วฉันก็ไม่ใช่เด็กน้อยของใครด้วย” ฉันปาดน้ำตา แล้วหันมาเถียงเขาด้วยความหมั่นไส้
    “เหรอ แต่เราว่าเธอก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่นักหรอก ไปก่อนนะ” พูดจบเขาก็เดินจากไป ว่าบุรุษผู้นี้คือใคร แล้วเขามาพูดกับฉันทำไม
    เช้าวันต่อมาฉันก็พบคำตอบที่ฉันสงสัยมาทั้งคืน เขาเป็นนักเรียนเข้าใหม่ที่ย้ายมาจากจังหวัดเชียงใหม่ แต่ที่ซวยที่สุดคือเขามาอยู่ห้องเดียวกันฉันและที่สำคัญเขาอยู่ข้างบ้านฉันด้วย
    “อ้าว! เจอกันอีกแล้วนะเด็กน้อย ชื่อไรเหรอ ส่วนเราหนึ่ง” พูดจบก็ยื่นมือมา บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นมิตร แต่ตอนนั้นฉันไม่มีอารมณ์จะเป็นมิตรกับเขาเลยสักนิด ฉันจึงหันไปค้อนเขาแล้วตอบว่า
    “ฉันชื่อกี้ แล้วไม่ต้องมาเรียกฉันว่าเด็กน้อยนะ เพราะฉันไม่ใช่เด็กน้อยของใคร” พูดจบฉันก็ไม่สนใจเขาอีกเลย
    นับตั้งแต่วันนั้นเขาก็มาคอยตอแยฉัน จนเพื่อนล้อว่าเขาชอบฉัน แต่เขาก็ไม่ได้สะทกสะท้านหน้าแดงเหมือนกับคนที่โดนตบแล้วตบอีก กลับล้อฉันต่อหน้าเฉย เราเลยสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนวันนี้ ฉันเป็นนักศึกษาปี 4 ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และอีกเช่นเคย เขาก็ยังอยู่คณะเดียวกับฉัน แถมห้องเดียวกันอีก
    “เฮ้! นั่งคิดอะไรอยู่คนเดียว ระวังเถอะคิดมากเดี๋ยวหน้าแก่ไม่รู้ด้วยนะ” เขาเข้ามาล้อฉันอีกตามเคย
    “แค่คิดถึงวันแรกที่เรารู้จักกันน่ะ มันบังเอิญมากเลยนะนั่น ตอนนั้นทั้งเราและนายก็อยู่แค่ ม.2 เองเนอะ ก็ 8 ปีมาแล้ว ก็นานแล้วเหมือนกันนะเนี่ย”
    “โห..คิดไปขนาดนั้นเลยเหรอแม่คุณ” เขาพูดแล้วทำหน้าล้อฉัน ฉันค้อนให้เขานิดนึงก่อนถามว่า
“เออ..แล้วมาแต่เช้าเนี่ย มีอะไรเหรอ”
    “อ๋อ..จะมาบอกว่าพรุ่งนี้เย็นรอเราหน้าคณะ เรามีอะไรจะบอก”
    “อะไรของนาย มาแปลกนะวันนี้”
    “เออน่า...อย่าลืม พรุ่งนี้เย็น ไปล่ะ” แล้วเขาก็เดินจากไปดื้อๆ ไม่หันกลับมามองฉันอีก จนฉันรู้สึกหวิวในท้องยังไงชอบกล
    วันนั้นทั้งวันฉันก็ไม่ได้พบเขา แม้แต่ในห้องเรียน ‘เขาโดดเรียนเหรอ’ ทั้งที่เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยขาดเรียนถ้าไม่จำเป็น แต่วันนั้นเขาก็ไม่เข้าเรียนทั้งวัน ฉันได้แต่นั่งกระวนกระวายคนเดียว เป็นครั้งแรกที่เขาหายไปแล้วฉันรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ‘เขาเป็นอะไรรึเปล่านะ’ ฉันได้แต่ถามตัวเอง
    ขณะที่ฉันกำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ อยู่ที่โต๊ะประจำหน้าคณะ เขาก็เดินเข้ามานั่งด้วยโดยไม่บอกไม่กล่าว เล่นเอาฉันตกใจแทบแย่ ฉันค้อนให้เขา แล้วถามเขาว่าวันนี้หายไปไหนมา แต่เขาก็ถามฉันเหมือนไม่ได้ยินว่า
    “เป็นอะไรน่ะ นั่งหน้ามุ้ยอยู่คนเดียว” ฉันก็ไม่สนใจที่จะตอบคำถามเขา
    “หนึ่ง วันนี้เราขอร้องอะไรหน่อยได้มั๊ย” เขามองหน้าฉันเป็นเชิงถาม “นายอย่าขับรถเร็วนะ เรารู้สึกไม่ดียังไงไม่รู้น่ะ สัญญานะหนึ่ง” ฉันจับมือเขาแล้วเขย่า เขาจับมือฉันแน่นแล้วพูดว่า “เราสัญญา เชื่อเหอะ...มือชั้นนี้แล้ว” จากนั้นเขาก็เอามือมาขยี้หัวฉันแล้วเดินจากไป
    เย็นวันนั้นขณะที่ฉันเดินกลับบ้าน ฉันเห็นรถจักรยานยนต์คันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูง ฉันจำได้ดีว่ารถคันนั้นเป็นของใคร รถของเขานั่นเอง ฉันคิดว่าพรุ่งนี้จะไปต่อว่าเรื่องที่เขาสัญญากับฉัน แต่แล้วก็มีรถกระบะคนหนึ่งขับออกจากซอยเล็กๆ ตัดหน้ารถของเขาพอดี แล้วภาพที่ฉันเห็นต่อจากนั้นคือภาพที่ฉันไม่ปรารถนาที่เห็น เป็นภาพที่ฉันกลัวมาตลอด รถของหนึ่งประสานงากันรถกระบะคันนั้นเข้าอย่างจัง ฉันยืนทำอะไรไม่ถูก บอกไม่ถูกว่าความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างไร แต่ฉันก็รีบวิ่งไปยังที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุด ภาพที่ฉันเห็นคือหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ใกล้ๆ กับซากรถ ฉันรีบเข้าไปประคองเข้าขึ้นมา น้ำตามันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว แล้วเขาก็พูดกับฉันเหมือนกับวันแรกที่เขารู้จักฉันด้วยเสียงที่ขาดเป็นห้วงๆ
    “ร้องไห้ ท..ทำไมล่ะ ด..เด็กน้อย เรายัง ม..ไม่ได้เป็นอะไร ส..สักหน่อย” แล้วเขาก็เอามือที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้นมาเช็ดน้ำตาฉัน ฉันจับมือข้างนั้นแน่น
    “หนึ่ง นายทนอีกหน่อยนะ เดี๋ยวเราจะพานายไปโรงพยาบาล” ฉันพูดด้วยน้ำตานองหน้า แล้วพยายามจะยกเขาขึ้นและขอความช่วยเหลือ
    “ก..กี้ ร..เรามี อ..อะไรจะบอก ร..เรารัก..เธอ ร..รักมา..ตลอด ล..และจะ ร..รักตลอดไปนะ” เขาพูดพร้อมกับบีบมือฉันแน่น แต่แล้วมือข้างนั้นก็ตกลงไปข้างลำตัว ไร้ความรู้สึกใดๆ ตาของเขาปิดลงช้าๆ พร้อมกับคำว่าลา...ตลอดไป เขาจากฉันไปแล้ว จากไปแล้วจริงๆ
    “หนึ่งงงง !!!” ฉันตะโกนจนสุดเสียงแล้วกอดร่างที่ไร้ความรู้สึกของเขาแน่น “ไหนนายเคยสัญญากับเราว่าจะเรียนจบพร้อมกันไง นายจะไปไหนไม่ได้นะ หนึ่ง หนึ่ง หนึ่ง” แต่ร่างของเขาก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาล้อฉันแล้ว
ฉันไม่ทันได้บอกแม้แต่คำว่ารักที่ฉันเองก็อยากจะบอกเขามาตลอด “เรารักหนึ่งนะ หนึ่ง....ตื่นสิ..ตื่น” ฉันกอดร่างเขาแน่น และต่อจากนั้นฉันก็ไม่รับรู้เหตุการณ์ใดๆ อีกเลย
    หลังจากวันนั้น ฉันเปลี่ยนเป็นคนละคน ฉันได้แต่นั่งซึม ไม่พูดจากับใคร ไม่หลงเหลือความร่าเริงอยู่อีกเลย วันเผาศพของเขาฉันไปด้วยความรู้สึกอ้างว้าง เขาเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน แล้วเขาก็จากไป แม่ของเขาเอากระดาษแผ่นหนึ่งและรูปวาดมาให้ฉัน ซึ่งกระดาษแผ่นนั้นพบในกระเป๋าเสื้อของเขา ฉันอ่านใจความในข้อความนั้นแล้วก็ต้องร้องไห้ออกมา เขาบอกกับฉันว่าวันที่เขาหายไปนั้น เขาไปทำของขวัญวันเกิดให้ฉัน และเขาก็ตั้งใจที่จะให้มันพร้อมกับคำว่ารัก และของขวัญที่ว่าคือรูปวาดของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งนั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ และมีเด็กผู้ชายนั่งซับน้ำตาให้ มีข้อความว่า
    ‘จงจำไว้ว่าเธอจะมีเราอยู่ข้างๆ เสมอ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ไม่ว่าไปที่ใด เราจะไม่ทิ้งเธอ’
    วันรับปริญญา ฉันไปยืนหน้าศพเขา ด้วยความรู้สึกยินดี ฉันเอาดอกไม้ที่ได้ในวันนี้ไปวางไว้หน้าที่เก็บกระดูกของเขา พูดด้วยรอยยิ้มว่า
    “วันนี้เราเรียนจบแล้ว เรารู้ว่านายอยู่ใกล้เราตลอด ถึงแม้ว่านายจะไม่ได้มายืนอยู่ข้างๆ ก็เถอะ แต่เราก็ทำตามสัญญาแล้วนะ”
    ฉันยังเก็บรูปภาพและกระดาษแผ่นนั้นไว้ตลอด เมื่อฉันเหงาหรือรู้สึกท้อกับชีวิตที่เป็นอยู่ ฉันก็จะหยิบมาดู มันทำให้ฉันยิ้มได้ทุกครั้ง แม้เขาจะไม่ได้อยู่รับรู้ความสำเร็จในชีวิตของฉัน แต่ฉันก็รู้สึกว่าฉันยังมีเขาอยู่ข้างๆ ฉันตลอดมา อยู่ในใจของฉัน เป็นมิตรภาพที่แสนดี เป็นความทรงจำที่ไม่ลืมไปได้ ฉันจะเก็บเขาไว้ในใจตลอดไป ‘เขา’ มิตรภาพและความทรงจำที่มิอาจลบเลือน
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย